ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 6 : ศึกนอกมิสู้ศึกใน (3)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 6 : ศึกนอกมิสู้ศึกใน (3)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

ครั้นถึงเจ้าอุปราช วาสุเทพก็ยิ่งหนักใจ ‘อันพระชะตาเจ้าชายกัษษกรนั้นก็หาได้ปกติไม่ ประสูติในยามราหูคายจันทร์ออกมาพอดิบพอดี พยากรณ์ได้ว่าจักเป็นกษัตริย์ผู้เจริญ หากก็คล้ายถูกม่านหมอกเงามัวบดบังมิให้ฉายแสงสมบารมีได้เท่าที่ควร มีดวงดาวบางดวงทำมุมแปลกประหลาดที่ข้าก็อ่านไม่แตก’

สุกกทันตฤๅษีลังเลว่าควรไขความลับให้สหายร่วมสำนักฟังหรือไม่…ว่ายังมีอนุชาแฝดอีกพระองค์ที่ประสูติในยามราหูกลืนจันทรามืดมิด เจ้าชายผู้ถูกราชสำนักกำจัดหายไปตั้งแต่ยังเยาว์วัยด้วยการบังคับให้ถือเพศนักพรต เป็นตายร้ายดีอย่างไรเขาก็มิอาจทราบได้ด้วยตนจากไชยามาเสียก่อน

แต่ป่านนี้เจ้าชายในเงามืดผู้นั้นก็คงครองเพศนักบวชอยู่ในศรีวิชัย คงไม่เกี่ยวข้องกับพระชะตาของเจ้าชายกัษษกรนับจากนี้กระมัง

‘ข้ามองว่าเป็นกรรม’ วาสุเทพเอ่ยน้ำเสียงปลง ‘แปลกมิใช่หรือ ที่ดาบสอย่างเราเอ่ยเรื่องกรรมเยี่ยงคนพุทธ…กรรมที่เป็นของส่วนตน ละเมิดกันมิได้ เราจึงมิสามารถอ่านไขดวงชะตา พยากรณ์ได้กระจ่างแจ้งไปทุกเรื่อง มิเช่นนั้นก็คงครองโลกได้หมดสิ้นไปแล้ว’

‘หากที่พอจักทราบได้ ก็คือการศึกอันหลีกเลี่ยงมิได้ แต่จักมาจากทิศทางใด ข้ายังมองมิออก มิแคล้วเป็นคนในราชสำนักด้วยกันนั้นแล’ สุกกทันตะกลุ้มใจมิแพ้กัน ‘มีข่าวลือว่าหลายฝ่ายแอบไปเฝ้ารุธีฤๅษีที่ล้มป่วยอยู่เนืองๆ ราวกับท่านรุธีมิได้เจ็บป่วยจริงกระนั้น หากครั้นสืบสาวอย่างไรก็ไร้ร่องรอย’

‘ดังนั้นท่านต้องคอยระวังเจ้าชายให้ดี บางคราก็ต้องให้ฝืนพระทัยทำในสิ่งที่มิโปรดเสียบ้าง’

ระลึกมาถึงตรงนี้ สุกกทันตฤๅษีจึงถ่ายทอดถ้อยคำของสหายให้ลูกศิษย์ไปตามตรง

“อาจารย์เกรงว่า ฝ่าบาทจักต้องฝืนพระทัยบ้าง เพื่อสุขสวัสดิ์ของฝ่าบาทแลบ้านเมืองเจ้าข้า”

อุปราชรามราชเงียบไปยาวนาน ก่อนพยักพักตร์ช้าๆ คล้ายจำนน

ทว่าพระอาจารย์อย่างเขาทราบดี ไม่มีทางเดาได้ว่าแท้จริงทรงดำริเช่นไรแน่

 

และแล้ว…ต้นฤดูแล้งปีถัดมา เงามืดทะมึนก็คืบคลานสู่ชาวทวารวดี โดยเฉพาะราชธานีอย่างลวปุระ เมื่อม้าเร็วจากชายแดนตะวันตกได้นำสาส์นขึ้นถวายพระเจ้าจักวัติวิราช

ข้าพเจ้า เจ้าฟ้าสิทธิราชแห่งเมืองมาว ยุพราชแห่งนครรัฐไตมาวโกชานปยี มีประสงค์จักเจริญไมตรีต่อลวปุระ นคราอันยิ่งใหญ่…

ถ้อยความในสาส์นสรรเสริญพระบารมีพระเจ้าจักวัติวิราชและปฐมกษัตริย์ทวารวดี แลสาธยายความเกรียงไกรของอาณาจักรไตมาวอีกยืดยาว ตามด้วยใจความที่ทำให้โลหิตในกายผู้อ่านเย็นเยียบ ก่อนลงท้ายว่าจักส่งพระราชสาส์นพร้อมเครื่องบรรณาการอย่างสมพระเกียรติตามมาในอีกมิเกินสามทิวา

ถ้อยความเป็นอย่างไรมีเพียงพระราชาและขุนนางผู้ใหญ่ไม่กี่นายที่ทราบ ไม่เกินราตรีนั้น เจ้าหญิงมฤติกาก็ถูกเรียกเข้าเฝ้าส่วนพระองค์ แลเสด็จกลับออกมาด้วยพระพักตร์ซีดขาวเคร่งเครียด

เพลานั้นเจ้าหญิงชวาลาก็เองก็ทรงถูกเรียกกลับลวปุระเป็นการด่วน มาบัดนี้ทรงพอคาดการณ์ความเป็นไปได้บ้างแล้วว่าอาจทรงต้องเผชิญกับสิ่งใด…ไตมาว…เช่นนี้เอง นามนี้ถึงรบกวนพระทัยตั้งแต่แรก ลางสังหรณ์พระนางมิเคยผิดพลาด อยู่ที่จักเชื่อในลางนั้นมากน้อยเพียงใด

เมื่อขบวนพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการมาถึง สารในสาส์นจึงไขกระจ่างต่อธารกำนัล ว่าเจ้าฟ้าสิทธิราชแห่งรัฐไตมาวได้แจ้งความประสงค์จักสู่ขอเจ้าหญิงชวาลาไปเป็นมเหสีเพื่อเป็นเกียรติแก่อาณาจักรไตมาวโกชานปยี อันเป็นนครใหญ่เหมาะสมด้วยศักดิ์ศรีแห่งพระนางด้วยประการทั้งปวง

พระเจ้าจักวัติวิราชทรงรับสาส์นไว้ด้วยไมตรี ซ่อนความพรั่นพรึงไว้เร้นลึกสุดหทัย แลได้ทรงตอบไปตามความจริงว่าพระนางชวาลาได้อภิเษกเป็นพระชายาเจ้าอุปราชรามราชมาหลายปีแล้ว จึ่งมิอาจสนองพระประสงค์ของเจ้าฟ้าอาณาจักรไตมาวได้ ทั้งนี้พระเจ้าจักวัติหวังพระทัยว่าความสัตย์จริงใจที่ทรงตอบกลับนั้นจักธำรงรักษาสัมพันธภาพต่อนครรัฐอันเกรียงไกรทางตะวันตกไว้ได้

ทว่า ความหวังอันริบหรี่ของราชันละโว้ก็ถึงกาลมอดดับ ด้วยสาส์นตอบกลับเช่นนั้นทำให้เจ้าฟ้าสิทธิราชทรงลุแก่โทสะ ทรงมีพระดำริว่าลวปุระคงมิประสงค์จะมีสัมพันธไมตรีกับไตมาว ทั้งที่ทรงถวายเกียรติสูงสุดให้พระนางชวาลา ดังนั้นแล้วจึงทรงรวบรวมกองทัพรี้พลจากเก้านครในอาณาจักรไตมาวและจากพระญาติพระวงศ์นอกราชอาณาจักรได้จำนวนมหาศาล มีกำลังพลรวมกันไม่น้อยกว่าหนึ่งแสนเศษ แล้วสั่งเคลื่อนพลจากไตมาวมุ่งตรงมายังลวปุระ หมายโจมตีให้แตกพ่ายโดยเร็วที่สุด

เป้าหมายอันดับแรกที่กองทัพไตมาวจักมุ่งมาเป็นอันดับแรกคือรามนคร ด้วยความบังเอิญว่าเป็นเมืองแห่งสวามีพระนางชวาลาหรือเพราะเมืองรามอยู่ในเส้นทางการเดินทัพก่อนถึงละโว้ก็ตาม

เจ้าชายกัษษกรจึงต้องเร่งเตรียมกองทัพเท่าที่มีตั้งรับข้าศึกประวิงเวลาไว้ก่อน และส่งสาส์นขอความช่วยเหลือจากนครหลวง ทางละโว้เมื่อทราบข่าวก็ยิ่งโกลาหล จัดการประชุมโดยเร่งด่วน

เหล่าแม่ทัพนายกองทั้งหลายล้วนออกความเห็นไปในทางเดียวกันว่า “กองทัพไตมาวมีรี้พลมหาศาลมากกว่าทวารวดีทั้งอาณาจักรรวมกันเสียอีก ไม่มีทางที่เราจักต่อกรทำศึกด้วยได้เลยพระเจ้าข้า”

บรรดาขุนน้ำขุนนางฝักฝ่ายต่างๆ ที่มิได้เป็นกลางต่างกราบบังคมทูลเป็นเสียงเดียวกัน

“ถึงคราที่องค์หญิงชวาลาจักต้องรับไมตรีจากเจ้าฟ้าสิทธิราชเพื่อเอกราชของบ้านเมืองแล้วเจ้าข้า”

มฤติกาตวาดทันใด “สามหาวนัก เท่ากับละโว้ยอมให้หมิ่นหยามเกียรติยศพระชายาเจ้าอุปราช ลดศักดิ์ศรีศิโรราบให้คนเถื่อนเช่นนั้นหรือ มาขอสตรีผู้มีสวามีแล้วมิได้ดังประสงค์ก็ใช้กำลังบังคับทำลายบ้านเมืองนั้นว่าต่ำทรามแล้ว แต่ผู้ที่ยอมก้มหัวให้กับเงื่อนไขทุเรศเช่นนั้นช่างน่าสมเพชอดสูยิ่งกว่า”

ท่ามกลางความอกสั่นขวัญแขวนของทุกคนในที่ประชุมกลางท้องพระโรง เจ้าหญิงชวาลากลับมีพระดำรัสอย่างเยือกเย็น “ละโว้ต้องเข้าร่วมสงคราม”

กวาดพระเนตรทั่วท้องพระโรง สบตาเจ้านายทุกพระองค์และขุนนางข้าราชบริพารโดยทั่วถ้วน ตรัสอย่างเด็ดเดี่ยว

“หม่อมฉันจักนำทัพออกศึกด้วยตนเองเพคะ”

 



Don`t copy text!