หนึ่งในหล้า บทที่ 5 : คุณปู่
โดย : กฤษณา อโศกสิน
หนึ่งในหล้า นวนิยายชุดโหราศาสตร์ของ กฤษณา อโศกสิน เล่าถึง ‘ยุคทอง’ ชายหนุ่มผู้มีดาวพฤหัสเป็นดาวสำคัญที่มีอิทธิพลโน้มนำชีวิตของเขาจนได้พบกับหญิงสาวนาม ‘ปรางสี’ จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์เกิดขึ้นเพราะความตั้งใจหรืออิทธิพลของดวงดาว และเขาจะเลือกเดินบนเส้นทางใด นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์
บ้านคุณปู่ใหญ่ของดร.นภากาศเป็นตึกทรวดทรงโบราณ บริเวณกว้างราวสองไร่ ใกล้ประตูบ้านที่ตีด้วยแผ่นไม้ทึบ ตั้งเสาสองข้างโดยใช้ไม้ท่อนเดียวกัน แบ่งเป็นสองท่อนนั้น ต่อตามด้วยกำแพงยาวเหยียดทั้งซ้ายขวา แต่ข้างซ้ายสุดสร้างเป็นห้องเดียวขนาดสองคูหา เปิดเป็นร้านค้า เคียงกับตึกแถวที่อยู่ถัดไป เพียงแต่วันนี้ประตูปิดสนิท เหนือประตูเฟี้ยมพับได้ปรากฏอักษรสีทองตัวใหญ่ว่า ‘ไชโยชีวิน’
ประตูใหญ่เปิดอยู่แล้วโดยคนสวนผู้มีเรือนพักเล็กๆอยู่ถัดออกไปทางหลังร้านยังคงยืนอยู่ รถจึงแล่นผ่านทางปูอิฐยาวจากประตูไปจนถึงหน้าตึกที่มีคนนั่งรออยู่ก่อนบนม้ายาวที่วางอยู่ข้างบันไดหินอ่อนหน้ามุขทั้งสองด้าน
คือชายสูงวัยคนหนึ่งกับหญิงกลางคนและหญิงสาว
ดร.นภากาศจึงก้าวนำคนทั้งสามลงจากรถของโรงแรมที่ส่งมาบริการ เข้าไปทรุดตัวคุกเข่าลงตรงหน้าผู้อาวุโสพลางแนะนำ
“คุณปู่ใหญ่ของผมครับคุณลุงคุณป้าคุณยุค…คุณปู่ครับ…วันนี้ผมเลยพาท่านทั้งสามจากกรุงเทพฯมาทำความเคารพคุณปู่ครับ”
“เออ…เออ…ว่าไง…สวัสดีทุกคน” บุรุษชราวัย 95 ปียกฝ่ามือขวาขึ้นเชิงรับไหว้ พร้อมผายริมฝีปากที่มีฟันปลอมอย่างดีสีธรรมชาติออกยิ้มแย้มต้อนรับ “กาศหายไปทั้งวันเลย…แล้วเป็นไง…ต้อนรับขับสู้แขกเหรื่อดีหรือเปล่าล่ะลูก”
“ดีครับคุณปู่”
“เอ้า…ถ้างั้นเชิญขึ้นเรือน…เชิญทุกคน…” พลางหญิงสาวผู้นั่งอยู่เงียบๆจึงขยับตัวเตรียมพยุง
ขณะที่นภากาศรีบแนะนำอีกครั้ง
“แล้วนี่ก็คุณป้ากับน้องปรางสี เป็นหลานแท้ๆของคุณปู่ครับคุณลุง”
“อ้อ” ทั้งสามจึงรีบยกมือไหว้หญิงกลางคนที่ดูเหมือนจะแก่กว่าทั้งอัจฉราและอินทรี
แต่หญิงสาวนามปรางสี ดวงตาสีสนิมเหล็กผิวเนียนละเอียด ขาวอมเหลือง มีเสน่ห์เพิ่งเลยวัยรุ่นไปมินาน
หล่อนนุ่งซิ่นยาวกรอมเท้าสีน้ำตาลเข้มลายขวาง สวมเสื้อมัดย้อมสีเอิร์ธโทนแขนกว้าง อันเป็นศิลปหัตถกรรมประจำถิ่น
“น้องเพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรังฮะน้องยุคคุณลุงคุณป้า กำลังอยากหางานทำเหมือนกันใช่ไหมน้อง”
“ค่ะ” น้องสาวผู้คือสายเลือดเดียวกันกับผู้พูดตอบรับยิ้มๆ หากมิใช่ยิ้มอายๆ แต่เป็นยิ้มที่ค่อนข้างมั่นใจในตนเอง “ก็หาๆไปก่อนค่ะ…ไม่รีบมากเพราะอยากดูแลคุณตามากกว่า…ทั้งๆที่นึกอีกทีก็อยากต่อโทเหมือนกัน”
“นังหนูมันดียังกะไม่ใช่หลาน มันดีกว่านังแม่มัน” ปู่ใหญ่นามว่า เปล่ง ไชโยชีวิน หันไปถลึงตากับลูกสาวผู้กำลังขำขัน
“พ่อนี่ไม่รู้ยังไง ไม่ค่อยเห็นความดีของลูก” ประทินตัดพ้อยิ้มๆ แต่ไม่ถือสา
ผู้มาใหม่ก็เลยยิ้มในหน้าทั่วกัน ขณะก้าวตาม ปรางสีประคองตาของหล่อนขึ้นบันได
“คุณปู่ยังแข็งแรงดีมากเลยนะอาจารย์” อินทรีพึมพำเบาๆ เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องรับแขกกว้างขวาง วางตั้งเก้าอี้หมู่ที่ทำด้วยไม้ชิงชันเกลี้ยงเกลาเงางาม มีหมอนอิงพิงอยู่ที่พนักเก้าอี้ทุกตัว สีไม่ซ้ำกัน หน้าต่างเปิดกว้าง แสงสว่างยามใกล้สนธยาสาดเข้ามาบรรโลม ช่วยให้แลเห็นโฉมหน้าตึกโบราณสมัยรัชกาลที่ 6 เต็มนัยน์ตาว่าถัดออกไปมีทั้งเตียง ตู้ ตั่งและกี๋
ปรางสีประคองคุณตาของหล่อนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่มีพนักโค้งสลักด้วยลวดลาย วางเบาะใหญ่นุ่มสำหรับนั่ง กับหมอนฟูๆสำหรับพิง
ขณะที่ผู้มาใหม่ทั้งสามนั่งถัดไป หันหน้าให้แสงสว่างที่ผ่านเข้ามา ช่วยให้ปู่เปล่งได้ประจันกับอาคันตุกะทั้งสามพลางเพ่งพิศ
ครั้นแล้วจึงติดใจชายหนุ่มผู้เป็นแขกของหลานชาย จึงเอ่ยถาม
“คุณชื่อไรนะ เมื่อกี้ไม่ทันฟัง”
“ยุคทองครับ คุณปู่” อีกฝ่ายบอกกล่าวอย่างนอบน้อม
“ยุคทอง…ยุคทอง…ย.ยักษ์สระอุ ค.ควายนี่น่ะเรอะ…ยุคยังงี้ใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
“อือ…” คุณปู่ทำเสียง ขณะที่หลานสาวของเขาอมยิ้ม พลางหันมาทางชายหนุ่ม
“คุณตาชอบตั้งคำถาม”
“ก็ต้องตั้งกันไว้มั่งจริงไหม…ยุคนี่มันแปลว่าอะไร หนูรู้รึเปล่า”
ประทินได้แต่หันมาขยิบตากับผู้มาใหม่เชิงขออภัยว่าพ่อของเธอจะหลงเลอะทำนองนั้น
แต่บิดาเห็นเข้าพอดี จึงส่งเสียง
“นังทิน…อย่านึกว่ากูไม่รู้นะ”
“พ่อขา-า-า” ลูกสาววัยใกล้เจ็ดสิบลากเสียงยาว “เดี๋ยวแขกเอาไปโจษว่าพ่อขึ้นกูมึงละก็ หนูไม่รู้นะ”
“คุณปู่ครับ” ดร.นภากาศเลยต้องรีบขัดจังหวะโต้เถียงระหว่างพ่อกับลูก ทันใดนั้น ด้วยว่าเกรงใจอีกสามคนที่ต้องมานั่งฟัง ทั้งๆยุคทองรู้สึกสนุกบอกไม่ถูก คล้ายได้เปลี่ยนบรรยากาศจากยุคใหม่มาสู่ยุคของคนโบราณ “ถ้าคุณปู่ไม่รังเกียจ ผมอยากให้คุณปู่อวดของเก่าพวกเหรียญสมัยต้นรัตนโกสินทร์ พดด้วง ธนบัตรอะไรต่อมิอะไรที่คุณปู่สะสมไว้น่ะครับ…”
“อ้าว…อยากดูจริงๆน่ะเรอะกาศ…ได้ซี ได้เลยนังหนู กุญแจเก็บดีรึเปล่า ไปเอามาไขให้คุณๆดูของที่ตาหวงหน่อยก็ดี…แล้วที่ว่าจะชวนกินข้าวด้วยน่ะ…ไปถึงไหนแล้ว” คุณเปล่งถามไถ่ไล่เลียง
ดูเอาเถิด อายุปูนนี้แล้วความจำก็ยังแสนดีเป็นที่สุด อัจฉรานึกในใจ
“เตรียมไว้แล้วค่ะพ่อ”
“แต่คุณลุงอินทรีว่าจะชวนไปทานที่ร้านอร่อยใกล้ๆนี่นะฮะ คุณปู่”
“มีร้านไหนอร่อยเท่าที่ร้านนี้มั่ง” คุณปู่ถามขันแข็ง พลางชี้นิ้วไปทางครัว “ไม่ได้นะ มาถึงนี่แล้วไม่กินไม่ได้ นังทิน เอ็งก็สั่งให้เขาเตรียมไว้แล้วใช่ไหม”
“ค่ะ พ่อ เตรียมไว้ทุกอย่างเลย…เพียบเลย ไม่ให้ขายหน้าพ่อหรอกน่ะ…รับรอง” ลูกสาวยังคงยิ้มกริ่มพริ้มพรายเห็นได้ว่า ‘รู้เส้น’ พ่อของเธอ พลางก็หันมาหลิ่วตาวับหนึ่งให้นภากาศเชิงรู้กัน
หลานชายก็ได้แต่ยิ้มอย่างนึกขำ
“เดี๋ยวนี้คุณป้ายังทำกับข้าวเองหรือเปล่าครับ” ญาติผู้เยาว์ถามไถ่ พร้อมกับหันมาทางอินทรี “คุณป้าทำกับข้าวเก่งมากฮะ ฝีมือเยี่ยม บางวันถ้าว่างมากก็ทำออกไปขายที่ร้านหน้าบ้าน
“ก็ทำเหมือนกันจ้ะกาศ แต่นานๆที ส่วนใหญ่จะให้ยายณีทำ” เธอหมายถึงญาติอีกคนที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ข้างนั้นยังเด็ก มีครอบครัวอยู่รวมกันที่เรือนยาวหลังตึก
“เอานิยายกะนังนี่ได้ที่ไหน” คุณเปล่งเอ็ดอึงถลึงตา จึงเห็นได้ชัดว่า เป็นพ่อลูกที่พ่อคอยกระแนะกระแหนชวนให้ลูกแหย่ไม่เสร็จ “ขึ้นอยู่กะอารมณ์ของมัน…ก็งี้ไง ผัวถึงตายเร็ว”
“พ่อขา-า-า” ลูกลากเสียงยาวอีกครั้งเชิงเตือน “เดี๋ยวพี่โรจน์เขามาเข้าฝันทวงของของเขาคืนละก็ ไม่รู้ด้วยนะ”
คราวนี้ผู้เป็นพ่อก็ได้แต่อึ้งไป…หากวินาทีต่อมาก็บอกเชิงท้าทาย แต่เสียงอ่อยลงกว่าเดิม
“ก็ให้มันมาทวง นึกว่ากูไม่มีคาถาไล่ผีงั้นมัง”
ประทินยังคงยิ้ม พลางหันมาทางสามีภรรยา กล่าววาจาเชิงขออภัย
“คุณสองคนก็อย่าเป็นกังวลเลยนะคะ พ่อก็ยังงี้แหละ ไล่เบี้ยใครไม่ได้ก็มาลงที่ฉันทุกชั่วโมงทุกวันเลยละค่ะ”
“คุณอยากเชื่อมันก็ตามใจ” ชายสูงวัยพยักพเยิด
พอดี แม่บ้านประคองถาดเงินยาวรูปไข่ มีหูสองข้าง วางจานอาหารว่าง มีปอเปี๊ยะสดจานใหญ่พร้อมจานแบ่งมาวางลงบนโต๊ะสี่เหลี่ยมตรงหน้า แก้วน้ำคริสตัลในเครื่องพวงสี่ที่เคียงมา คุณเปล่งก็ดูจะหลงลืมถ้อยคำที่เถียงไม่ขาดปากเมื่อครู่ หันมาทางอาคันตุกะ
“เชิญทุกคนรับทานเลยนะ แต่ผมขอตัวเพราะเพิ่งอิ่มหยกๆก่อนคุณมา”
“พ่ออยู่ว่างๆ จะเอาของเก่าออกมาอวดไหมล่ะจ๊ะ”
ฝ่ายพ่อกำลังงอน เลยหันไปทางหลานผู้ที่มิว่าใครมาพบปะเพียงวินาทีแรก ก็ย่อมต้องรู้ว่านี่คือผู้ที่ตาของหล่อนรักใคร่เอ็นดูกว่าผู้ใด
“นังหนู…ไหนกุญแจล่ะลูก…เอาออกมา…เอามาไข…จะได้โชว์ของเก่าของตา…คุณสามคนจะได้รู้ว่าที่นี่…ที่ปักษ์ใต้นี่ ก็มีของโบราณดีๆไม่น้อยหน้าภาคกลางหรือภาคไหนๆ” พลางก็บอกอินทรี “ผมนี่ไม่เคยไว้ใจนังทินเลย…กุญจงกุญแจเลยให้หนูปรางเก็บหมด”
สามอาคันตุกะฟังแล้วยิ้มหัวไปตามกัน…แม้แต่ประทินเองก็คลี่ริมฝีปากออกกว้าง นัยน์ตาเป็นประกาย
ดร.นภากาศก็อดขำมิได้ขณะมองตามหญิงสาววัยยี่สิบเอ็ดเดินตรงไปยังตู้จีนกลางห้องที่ตั้งเรียงกันสามหลัง คล้ายใช้ต่างลับแลกั้นบังระหว่างด้านที่รับแขกกับด้านที่ตั้งโต๊ะยาวรับประทานอาหาร
ไขบานประตูตู้แรกให้เปิดกว้าง หยิบของในนั้นออกมาสองสามชิ้น ครั้นแล้วจึงนำมาส่งให้ผู้เป็นตา
“นี่เป็นลูกปัด กับพดด้วง แล้วก็เหรียญอย่างละอัน…ลูกปัดนี่…โอ้โฮ…อย่าให้เซดดีกว่า…”
ทุกคนก็เลยหัวเราะขึ้นพร้อมกัน
อินทรีนั้นนึกอยู่แค่ว่า จะต้องหาทางถามวันเดือนปี เวลาตกฟากของชายชราผู้นี้ให้ได้
ใคร่รู้เหลือเกินว่าเป็นคนราศีใด จึงได้ ‘มัน’ ไม่สร่าง
“ขืนเซดมาก เดี๋ยวคุณๆจะฟินกันไปใหญ่”
ประทินก็เลยดึงแขนพ่อของเธอเข้าไปกอด
แต่ฝ่ายพ่อกำลังจดจ่อกับของสามชิ้นบนฝ่ามือ
“คุณมีแว่นขยายไหมล่ะฮะ…ถ้ามีแว่นละก็…รับรอง…เพลินเลย” พลางก็บอกหลาน “หนูเอาแว่นของตามาให้คุณดู…ลูกปัดแก้วท่าชนะ…แกะเป็นรูปหน้าคน…”
อินทรีก็เลยรับมาเพ่งพิศ ขณะที่อีกฝ่ายบอกกล่าวสืบไป
“แกะด้วยหินอเกต”
“งามมากครับท่าน” ผู้อ่อนอายุพึมพำด้วยใจจริง แม้ไม่เคยสนใจเรื่องเช่นนี้ รวมทั้งไม่มีความรู้เกี่ยวเนื่อง หากก็ชื่นชอบสิ่งประเทืองปัญญา โดยเฉพาะมีโอกาสมาเหยียบยืนบนแดนดินแปลกใหม่ ย่อมต้องสนใจทรัพยากรของท้องถิ่น
“คุณชอบไหม”
“ชอบมากครับ”
“ถ้ายังไง…ผมจะให้คุณเลือกที่มีหลายชิ้น ถ้ามีชิ้นเดียวนี่ ต้องสงวน…นังหนู…เดี๋ยวคุณๆจะกินข้าวกะเรา…หนูก็ขึ้นไปเอาของที่ห้องตามาให้เลือกแล้วกันลูก”
“โอย…ผมคงไม่รบกวนรับไปเปล่าๆหรอกครับ คุณปู่ขายดีกว่า”
“ไม่ขาย” ปู่เปล่งตอบเป็นคำตาย “คุณเป็นแขกของหลานกาศ…หลานคนนี้เป็นลูกของลูกน้องชายผม…น้องชายย้ายไปอยู่เมืองนอก แล้วไปตายที่นั่น ลูกเขาคนเดียวก็เรียนจบที่นั่น ก็พ่อของหลานกาศนี่ไง…นานๆมาเมืองไทยทีถึงได้เจอกัน หรือไม่ก็โทร.คุย อ่อนกว่านังทินสี่ห้าปี ตอนนี้ก็หกสิบสี่”
เจ้าของคฤหาสน์เล่าความ ท่าทางผ่อนคลายเมื่อขยายเรื่องราวออกไปจนโยงไยชัดเด่น
“แล้วนี่…คุณ…” ผู้พูดพยักหน้ามาที่ยุคทอง “คุณก็ยังมาชวนกาศไปทำงาน…แล้วจะไม่ให้ผมให้ของขวัญคุณสักชิ้นสองชิ้นได้ไง ให้ทั้งสามคนนี่ละ”
“กราบขอบพระคุณคุณปู่มากครับ…” ยุคทองพนมมือ “แต่ของนี่เป็นของหายาก ของสะสมของคุณปู่…”
“ก็จะให้ซะอย่าง มีอะไรไหม “ คุณเปล่งถามไถ่