นิราศรักสองนครา บทที่ 4 : บทสนทนา

นิราศรักสองนครา บทที่ 4 : บทสนทนา

โดย : ปรียนันทนา

Loading

นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้  จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co

โต๊ะรับประทานอาหารยาวสำหรับรับแขกผู้มาเยือนราวสิบคนมีเพียงบุรุษหนุ่มต่างวัยสองคนนั่งรับประทานอาหารที่จัดเตรียมโดยคนรับใช้ไว้อย่างพรักพร้อม ไวน์ชั้นดีที่สั่งไว้ตั้งแต่กงสุลคนก่อนมีติดบ้านไว้เสมอ น้ำองุ่นสีสวยถูกเทลงแก้วเจียระไนที่ส่องล้อแสงไฟพราวแสงระยับช่วยให้บรรยากาศอาหารมื้อเย็นรื่นรมย์ยิ่งขึ้น

“ตกลงว่าคุณอาจะได้เข้าเฝ้าในหลวงเมื่อใดหรือขอรับ”

“วันพรุ่ง” ฝ่ายอาวุโสกว่าตอบขณะยกผ้าเช็ดปากเนื้อดีขึ้นแตะมุมปากหลังจากดื่มไวน์แก้วแรกเกือบหมด

“แลมีวี่แววว่าทางสยามจะตอบรับการเจรจาของทางเราหรือไม่ขอรับ”

“หารู้ได้ไม่ แต่ไม่ว่าทางใดอาต้องเจรจาให้สำเร็จจงได้ สยามควรต้องยอม ด้วยเป็นความชอบธรรมที่ฝรั่งเศสพึงได้จากการที่เราเข้าครองญวณได้สำเร็จ” เขาหมุนแก้วไวน์อย่างใช้ความคิดก่อนวางลงแล้วหันมาจัดการกับอาหารในจานต่อไป

“กระผมก็เห็นจริงดังนั้น แต่กลับกังวลบางเรื่องขอรับ”

“เรื่องใดฤๅมิเชล” มีดและส้อมเงินถูกวางลงบนจานกระเบื้องโดยพลัน แววตาฉลาดเฉลียวของกงสุลดูขรึมลงถนัดตา

“ทางเขมรเองมีความสัมพันธ์อันดีกับสยามมาช้านาน หากเขามิยอมเล่าขอรับ”

“เป็นไปมิได้ดอกหลาน ทางนั้นดูจะยินดีมากนักที่จะมาเข้ากับฝรั่งเศส แลหลานคงจำมิได้ว่าท่านกรองดิแยร์ได้ทำหนังสือสัญญากับเขมรแล้ว เพียงแต่เรามิได้ห้ามที่เขมรจะยังคงมีสัมพันธ์อันดีกับสยาม หากอยากส่งราชบรรณาการต่อไปสามารถกระทำได้” โอบาเรต์เอ่ยถึงนายพลกรองดิแยร์ผู้นำเรือรบไปยังจอดยังเมืองอุดงมีชัยเพื่อเจรจาให้กษัตริย์เขมรทำสัญญากับฝรั่งเศส

“อย่างไรเสียกระผมก็มิวางใจอยู่ดี แต่คุณอาอย่ามาถือสาคำของกระผมเลยขอรับ ในบางเพลาพวกนักเขียนก็อาจคิดเพ้อเจ้อไปบ้าง” เขาหยิบขนมปังในตะกร้ามาบิแล้วปาดซอสในจานก่อนส่งเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย

“อาจะให้คนไปสืบก็แล้วกันว่ามีเรื่องลับใดที่เรามิรู้หรือไม่ หรือหากหลานได้รู้อะไรมาก็ขอให้มาบอกเถิดจะได้เป็นประโยชน์กับประเทศของเรา อาจะได้จัดการได้ทันท่วงที” เขาหมดความสนใจจากเรื่องงานเพียงเท่านั้น เมื่อบ่าวลำเลียงจานอาหารออกไปจึงถามไถ่เรื่องของอีกฝ่ายขึ้นอย่างอารมณ์ดี “เมื่อกลางวันไปชมเมืองมาเป็นอย่างไรบ้างล่ะมิเชล”

“กระผมไปที่วัดคอนเซ็ปชั่น แต่ยังมิได้พบบาทหลวง จึงเพียงเดินเล่นในชุมชนบ้านเขมร บ้านญวน แลไปแถวบ้านลานละแวกบางขุนพรหมด้วยขอรับ” เขาหยุดเว้นวรรคครู่หนึ่งแล้วเอ่ยออกมาอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มเปิดเผย “ได้เจอหญิงสาวผู้หนึ่งที่มิเหมือนใคร” น้ำเสียงตื่นเต้นพาให้คู่สนทนายิ้มออกมาด้วย

“จริงฤๅ หญิงใดกันที่ทำให้เจ้าสนใจใคร่รู้มากขนาดนี้”

“นางเป็นคนย่านบางขุนพรหม บ้านมีกิจการขายใบลานขอรับ ตอนแรกกระผมพบนางแถวบ้านญวนจากนั้นนายต่วนพากระผมไปบ้านลานนั้นจึงได้เจอนางอีก” เขาบรรยายรายละเอียดให้ฟังคร่าวๆ ซึ่งทุกคำที่เอ่ยออกมาเปี่ยมไปด้วยความประทับใจ

“เป็นคนค้าขายกระนั้นฤๅ น่าแปลกที่พูดต่างภาษาได้”

“คุณอาคิดเห็นเช่นเดียวกับกระผม กระผมถามนาง นางก็ตอบว่ามิแปลกด้วยว่าประเทศของนางมีคนต่างชาติต่างภาษาอาศัยอยู่มากมาย แต่ดูจากการแต่งกายที่นางสวมเครื่องประดับทั้งต่างหูแลสายสร้อยทองก็พอจะเดาได้ดอกนะขอรับมิได้ชาวบ้านทั่วไป” แววตาชายหนุ่มเต็มไปด้วยความอยากรู้

“คงมิเป็นเช่นที่นางตอบเจ้าดอก อาคิดว่านางคงเป็นหญิงสาวชาววังหรือมิเช่นนั้นก็ต้องเป็นหญิงในตระกูลขุนนางแน่แท้” จากข้อมูลที่เขามีอยู่นั้นในวังหลวงได้ให้ครูแหม่มชื่อแอนนาเข้าไปสอนภาษาแก่ชาววังทั้งพระราชโอรสพระราชธิดารวมไปถึงข้าราชบริพารฝ่ายใน นอกจากนี้ยังมีภรรยามิชชันนารีอเมริกันเช่นภรรยาหมอบลัดเลย์และหมอเฮาส์ที่เปิดสอนภาษารวมถึงการบ้านการเรือนแก่เด็กหญิง

“หากเป็นคนในวังเหตุใดจึงมาเดินเล่นเช่นวันนี้ได้ กระผมเห็นว่าอาจเป็นอย่างหลังมากกว่า” มิเชลยิ้มเห็นฟันเรียงสวยงาม ดวงตาเป็นประกายของชายหนุ่มฉายชัดถึงความกระตือรือร้นที่จะได้พบเจอหญิงคนนั้นอีกครั้งจนอีกฝ่ายเอ่ยอย่างแปลกใจ

“ไม่คิดว่าสิ่งที่อาพูดเล่นจะเป็นจริงรวดเร็วนัก อยากรู้จริงว่านางคือใคร คงต้องพิเศษมากจนทำให้หลานสนใจได้ขนาดนี้”

“หากคุณอาได้พบนางคงประทับใจไม่ต่างจากหลาน ผู้หญิงตะวันออกที่ทั้งรูปโฉมงดงามแลกิริยาสง่า ทั้งท่าทีเปิดเผยมั่นใจหากก็มีความไว้ตัวอยู่ในที” ดวงตาสีน้ำตาลของชายหนุ่มแวววาวชวนฝันยามเอ่ยถึงนางที่ต้องใจ

“ขออวยพรให้หลานได้เจอนางอีก เพราะอาก็อยากรู้ว่าเป็นลูกสาวขุนนางคนใดกัน” โอบาเรต์เอ่ยยิ้มๆ น้ำเสียงเรียบเรื่อยหากแต่แววตาลึกล้ำยากเกินที่ผู้อ่อนอาวุโสจะเข้าใจได้

“กระผมมั่นใจว่าคุณอาต้องได้พบกับนางแน่ขอรับ”

เสียงหนักแน่นมั่นใจของชายหนุ่มราวกับย้ำให้ตนเองฟังว่าเขาจะต้องไปพบหญิงสยามผู้นั้นอีกให้จงได้ และเขาจะทำให้เธอพูดจาอย่างมีไมตรีด้วยความเต็มใจ มิใช่การแสดงออกตามมารยาทหากแววตากลับเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัยในตัวเขาเช่นครั้งแรกที่พบกัน

 

อากาศเย็นสบายเมื่อหญิงสาวนั่งเรือผ่านวัดน้อยขำแถมหรือวัดอนงคารามอันเป็นอู่ต่อเรือของเจ้าคุณกลาโหม ซึ่งจวนของท่านอยู่ใกล้กับสวนกาแฟตรงวัดประยุรวงศาวาส โชติเห็นคนหลายคนกำลังง่วนกับงานตรงหน้าด้วยเพราะกำลังเร่งต่อเรือพระที่นั่งองค์ใหม่ถวายในหลวงในอีกไม่นานนี้

หญิงสาวขึ้นจากเรือเมื่อถึงท่าหน้าบ้านเจ้าคุณลุงผู้เป็นบุตรชายท่านเจ้าคุณกลาโหม ตึกฝรั่งใหญ่โตโอ่อ่ามีบ่าวไพร่เดินกันขวักไขว่ หญิงสาวก้าวเท้าอ้อมไปยังด้านข้างเพื่อตรงไปยังบริเวณส่วนของคุณป้า แต่เมื่อบ่าวคนหนึ่งเห็นหล่อนก็ตรงเข้ามาหาทันที

“คุณโชติมาแล้วหรือเจ้าคะ คุณหญิงบ่นถึงเสียหลายวันเลยเจ้าค่ะ เมื่อเช้านี้คุณพระมาแจ้งว่าคุณจะกลับมาคุณหญิงท่านให้เตรียมของว่างมากมายทีเดียวเจ้าค่ะ” หญิงสาวคุ้นเคยกับคนในเรือนจนอาจเรียกได้ว่าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวนี้ก็ว่าได้ ความเป็นกันเองของหญิงสาวทำให้ทุกคนกล้าพูดจาโดยปราศจากความกลัวเยี่ยงนายกับบ่าวแต่ขณะเดียวกันก็ยังให้ความเคารพเป็นอย่างดี

“คุณป้าอยู่ที่ห้องพักผ่อนหรือในสวนล่ะจ๊ะ” หญิงสาวถามพลางยกตะกร้าสานใบโตซึ่งมีปิ่นโตบรรจุข้าวแช่และกับหลายอย่างให้บ่าวดู เธอรีบกำชับอีกฝ่ายอย่างกระตือรือร้น “เดี๋ยวช่วยเอาจานแลถ้วยมาให้ครบชุดด้วยนะจ๊ะ ฉันจะจัดสำรับข้าวแช่”

“ได้เจ้าค่ะ ท่านอยู่ในสวน กำลังให้ตั้งน้ำชา ท่านเจ้าคุณแลคุณพระก็จะมารับด้วยนะเจ้าคะ”

“ดีจริง กำลังอยากพบคุณลุง ขอบใจนะจ๊ะ” หญิงสาวกล่าวจบก็สาวเท้าก้าวไปยังทิศทางที่มุ่งหมาย เมื่อเห็นว่าคุณหญิงอยู่เพียงลำพังกับบ่าวคนสนิทโชติจึงกล้าเดินเข้าไปทักทายอย่างยินดี

“กราบคุณป้าเจ้าค่ะ” กิริยานอบน้อมแต่เต็มไปด้วยความคล่องแคล่วของหญิงสาวทำเอาผู้อาวุโสกว่าถึงกับส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ

“หายไปเสียสองวันกลับมายังกระโดกกระเดกเหมือนเดิมนะแม่โชติ นี่แม่เราเขามิได้กวดขันกิริยาให้บ้างเลยหรือ” กิริยาของหญิงสาวห่างไกลกับคำพูดของคุณหญิงผู้มีศักดิ์เป็นป้าอย่างมากหากแต่ด้วยความเอ็นดูแกมหมั่นไส้ทำให้คุณหญิงอ่วมเอ่ยออกมาเช่นนั้น “แหม คุณป้าเจ้าคะ ครอบครัวหลานทำมาค้าขายมิได้มีอันจะกินดังเช่นบ้านนี้จะได้คอยกะล่อยกะหลิบหยิบจับของแลสลักผักผลไม้นะเจ้าคะ” หญิงสาวพูดพลางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้ววางตะกร้าลงบนเก้าอี้ จากนั้นจึงวางหนังสือภาษาอังกฤษในมือที่ยืมครูเฮาส์มาอ่านไว้ข้างกาย

“มิต้องมาประชดดอก แม่หล่อนนะรวยยิ่งกว่าป้ามากนัก กิจการขายใบลานน่ะหรือก็มีแต่บ้านหล่อนที่ขาย มีเงินผ่านมือทุกวันจะเรียกว่าจนได้เยี่ยงไร” ผู้อาวุโสพูดพลางหยิบพัดมาคลี่แล้วพัดเบาๆ กลิ่นหอมเย็นจากเครื่องหอมที่ชโลมกายอวลอยู่ในอากาศ สไบสีดอกรักขยับไหวน้อยๆ เป็นจังหวะตามแรงลม คุณหญิงอ่วมเป็นสตรีรูปร่างบอบบาง ตาคม ท่าทางสง่างามสมกับที่ต้องดูแลบริวารในบ้านมากมาย

“แต่กระนั้นก็มิมีเวลาจะอบรมหลาน ต้องมาให้คุณป้าช่วยขัดเกลาให้เป็นแม่หญิงผู้เพียบพร้อมกับเขาบ้างใช่ไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยอย่างรู้ทัน ด้วยว่าเป็นคำพูดที่ได้ยินมาแต่เล็กจนโตว่าการที่คุณป้าพาเธอมาอยู่เพื่ออบรมกิริยาให้เป็นกุลสตรีแต่ขณะเดียวกันก็ไม่เคยปิดกั้นให้โชติกลับไปหามารดา ทั้งยังสนับสนุนให้เธอได้ออกไปเรียนภาษากับมิชชันนารีอีกด้วย บทสนทนาระหว่างเธอกับคุณป้าจึงเป็นเพียงการพูดคุยอย่างสนุกสนานตามประสาป้าและหลานที่สนิทสนมมิได้มีนัยใดแฝงเร้น

“รู้มากเสียจริงนะแม่โชติ พอเถอะ มาเตรียมของว่างให้คุณลุงแลพ่อของเจ้าดีกว่า” คุณหญิงอ่วมส่งจานกระเบื้องเนื้อดีให้หญิงสาว โชติจัดเรียงของว่างจากถาดซึ่งบ่าวนำมาวางไว้ใส่จานแบ่งอย่างคล่องแคล่ว

“มีห้าจาน ใครมาเพิ่มหรือคะคุณป้า” หญิงสาวถามขณะตักช่อม่วงใส่จานอย่างเบามือ

“มิใช่ใครดอก พ่อชายอย่างไรเล่า เพิ่งกลับจากบ้านเจ้าคุณปู่ คุณลุงของหลานพาไปสนทนาแลดูอู่ต่อเรือ”

“ดีจริงค่ะ หลานเตรียมข้าวแช่มาให้น้องด้วย ระยะหลังนี้หลานมิค่อยได้เจอหน้าพ่อชายเลย”

“นั่นปะไร คิดแล้วว่าต้องโอดเรื่องเที่ยวเล่น”

“หามิได้ค่ะคุณป้า หลานเพียงแค่นึกถึงน้องเพราะมิได้พบกันหลายเพลา”

“เช่นนั้นคราวนี้จงพูดคุยเล่นกันเสียให้หนำใจเถิด อีกไม่นานพ่อชายคงต้องเริ่มติดตามคุณลุงของเจ้าแล้ว” คุณหญิงเอ่ยจริงจัง

“เจ้าค่ะ” โชติพยักหน้าขณะยังสาละวนกับงานตรงหน้า

ไม่นานชายสามคนก็ตรงขึ้นจากท่าน้ำมายังสวนข้างบ้านอันเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจยามบ่ายของครอบครัว บุรุษวัยกลางคนผู้เดินนำมามีสีหน้าเรียบเฉยทว่าแฝงด้วยความใจดี ส่วนเด็กชายที่เดินมากับบิดาของหญิงสาวเริ่มมีความนิ่งตามวัยที่ใกล้โกนจุกหากแต่เมื่อเห็นหน้าพี่สาวผู้เป็นญาติสนิทแววตาของเขาก็ส่องประกายโดยพลันอย่างดีใจ

“กราบเจ้าคุณลุงแลคุณพ่อเจ้าค่ะ” โชติส่งเสียงอย่างรื่นเริงทว่าสำรวมอยู่ในที “พ่อชายเป็นอย่างไรบ้าง วันนี้พี่เอาข้าวแช่ของโปรดจากที่บ้านมาฝากด้วยนะ” หญิงสาวบอกญาติผู้น้องซึ่งเธอสนิทสนมและรักใคร่ประหนึ่งน้องชาย เด็กชายรีบเดินตรงมาหาพี่สาวดีใจ เขามองสำรับในจานที่โชติกำลังจัดอย่างถูกใจ

“แม่โชติ มาคราวนี้คงมาอยู่หลายวันใช่หรือไม่ รู้ไหมว่ายามที่หลานไม่อยู่ป้าเขาบ่นหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจไปเสียทุกอย่าง เขาบอกว่าใครก็มิคล่องเท่าหลาน” พระยาสุรวงษไวยวัฒน์เอ่ยพลางเหลือบมองภรรยาเอกผู้กำลังรินน้ำชาจากป้านชาแล้วเลื่อนส่งให้สามี

“สักสามสี่วันเจ้าค่ะคุณลุง ช่วงนี้แม่เริ่มบ่นอุบแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบพลางมองบิดา

“ก็เล่นเทียวไปเทียวมาบ้านนี้มั่ง บ้านครูฝรั่งมั่ง แม่เขาก็บ่นน่ะสิ” บิดายิ้มมองบุตรสาวอย่างเอ็นดู

“ความจริงถ้าคุณพระกับครอบครัวย้ายมาอยู่ด้วยกันเสียที่นี่ตะแรกก็มิมีปัญหาเยี่ยงนี้ แต่อย่างว่าแหละ แม่แสงเขาเป็นคนมีอันจะกิน เขาก็ต้องอยู่บ้านเขา”

“แหม คุณพี่ขอรับ พูดแบบนี้ผมก็กลายเป็นคนผิดกระนั้นหรือ ความจริงหากคุณพี่จะมีลูกสาวสักคนคงไม่เป็นเยี่ยงนี้นะขอรับ” พระนรินทรราชเสนาสัพยอกพี่สาวอย่างสนิทรักใคร่

“ไม่มีแล้ว เท่านี้ก็เต็มบ้านแล้ว ไหนจะลูกเจ้าคุณกับพวกนางเล็กๆ ตั้งหลายคน พี่จำมิใคร่ได้นักดอกว่าแม่ไหนกันบ้าง” คุณหญิงตอบน้องชายพลางเหลือบมองสามี

บรรยากาศสนทนาดำเนินไปอย่างออกรส เจ้าคุณผู้เป็นประมุขของบ้านมองภรรยาและน้องชายของภรรยาคุยกันอย่างเพลิดเพลิน การกลับมาของแม่โชติหลานสาวของคุณหญิงเสมือนเชื่อมร้อยให้เกิดความผูกพันระหว่างญาติพี่น้องได้แนบแน่นขึ้น หญิงสาวผู้กำลังเจริญวัยคนนี้งดงามทั้งรูปโฉมและความคิด บางคราเขารู้สึกว่าหล่อนละม้ายคล้ายคุณหญิงเมื่อวัยสาว แต่เมื่อพิศดูก็พบว่านางมองดูละมุนตากว่าแต่สิ่งที่คล้ายกับถ่ายทอดมาจากคุณหญิงคงเป็นความคิดที่นำสมัยเกินหญิงสยามมากกว่า

“นี่พ่อชาย ได้ยินว่าจะต้องติดตามเจ้าคุณลุงเรื่องงานราชการฤๅ”

“ใช่แล้วพี่โชติ อีกไม่นานหลังจากฉันโกนจุกก็ต้องไปแล้ว”

“เยี่ยงนี้พี่กับเจ้าก็มิได้เที่ยวเล่นอีกแล้วสินะ”

“อย่างไรกันแม่โชติ น้องจะทำงานราชการแล้วมิยินดีดอกหรือ” หญิงสาวมองหน้าญาติผู้น้องคนสนิทแล้วถอนหายใจ

“หาเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะคุณพ่อ ลูกย่อมยินดีเป็นแน่ เพราะรู้มาตั้งแต่ปีที่พ่อชายติดตามเจ้าคุณลุงไปเมืองฝรั่งเศสแล้วว่าอย่างไรเสียน้องย่อมต้องเข้ารับราชการเจ้าค่ะ แต่ส่วนที่เสียดายนั้นลูกอดใจหายมิได้ด้วยว่าเวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน จากเด็กชายตัวเล็กที่วิ่งเล่นมาด้วยกัน มาบัดนี้น้องเติบโตจนช่วยงานคุณลุงได้แล้ว”

คำพูดของหญิงสาวสร้างรอยยิ้มให้ทุกคนในวงสนทนาด้วยอารมณ์อันแตกต่าง สำหรับท่านเจ้าของบ้านฝ่ายชายและบิดาของโชติล้วนคิดว่าอย่างไรเสียโชติก็ยังมีความเป็นผู้หญิงที่อ่อนไหว ส่วนคุณหญิงนั้นมองว่าหลานสาวและบุตรชายช่างรักใคร่กันดีเหลือเกิน แต่สำหรับเจ้าตัวผู้ถูกกล่าวถึงซึ่งนั่งยิ้มตาแป๋วอยู่นั้นทั้งรักใคร่ชื่นชมพี่โชติของเขาเสมอมาแม้ว่าต่างคนต่างกำลังเติบใหญ่และมีทางเดินในชีวิตที่แตกต่างกัน แต่ความผูกพันในวัยเยาว์จะคงอยู่เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าใด

 



Don`t copy text!