นิราศรักสองนครา บทที่ 3 : บ้านลานย่านบางขุนพรหม

นิราศรักสองนครา บทที่ 3 : บ้านลานย่านบางขุนพรหม

โดย : ปรียนันทนา

Loading

นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้  จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co

ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มของมิเชลฉายชัดถึงความพึงใจยามจ้องมองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึงในความงามราวภาพเขียน หากแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยิ่งทวีความขุ่นเคืองจนต้องเอ่ยถามเขาซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง

“ฉันถามว่ามองฉันด้วยเหตุใด” หญิงสาวเริ่มเสียงดังจนเขาเห็นเด็กชายผมจุกที่ยืนอยู่ด้านหลังกระตุกแขนเบาๆ เพราะชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาเริ่มหันมามอง

“หามิได้ดอกคุณผู้หญิง กระผมเพียงแค่แปลกใจที่หญิงสยามพูดจาภาษาต่างชาติได้” เขาตอบกลบเกลื่อนด้วยไม่อาจบอกความจริงได้ว่าเขากำลังชื่นชมความงามของหล่อน

“แปลกอันใดกัน บ้านเมืองเรามีผู้คนต่างเชื้อชาติมากมายทั้งอยู่อาศัยแลติดต่อค้าขาย”

หญิงสาวพูดจบก็หันไปสั่งซื้อน้ำสำหรับตนเองและเด็กชายที่ยืนมองเขาอย่างสนใจ เมื่อมิเชลยิ้มให้เด็กคนนั้นก็ยิ้มตอบเขาจนตาปิดเผยให้เห็นฟันขาวเรียงกันไม่ต่างจากหญิงสาวที่มาด้วย หากแต่แตกต่างจากแม่ค้าที่ขายของให้เขาซึ่งเป็นหญิงสาวเช่นกันแต่ยามแย้มยิ้มกลับเห็นฟันเป็นสีดำ

“พี่โชติๆ นายคนนี้ท่าทางอยากคุยกับพี่นะจ๊ะ ฉันเห็นจ้องพี่ตาไม่กะพริบเทียว”

“มิต้องสนใจดอกเจ้าแดง พี่ว่าเราไปทางโน้นเถิด พี่บอกแม่ว่าจักเพียงเดินมาหาซื้อกระถางดินเผาจากเกาะเกร็ด”

“แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ใช่ไหมจ๊ะ” เด็กชายผมจุกย้อนอย่างรู้ทัน

“สมกับเป็นน้องรักพี่จริง เดี๋ยวพี่ซื้อขนมให้กิน”

“ฉันกินไม่ไหวแล้วจ้ะพี่โชติ เมื่อก่อนออกมาจากบ้านพี่ป้าแสงก็ให้กะละแมมากิน”

“เช่นนั้นเย็นนี้กลับไปกินข้าวแช่ที่เรือนพี่ก็แล้วกัน” หญิงสาวเอ่ยถึงอาหารประจำเทศกาลที่แม่ของหล่อนลงมือตระเตรียมการทำล่วงหน้ามาหลายวันโดยมีลูกสาวอย่างเธอช่วยเป็นลูกมือพร้อมทั้งบ่าวอีกหลายคน เมื่อกลางวันนี้แม่ก็นำไปทำบุญที่วัด ส่วนเธอไปบ้านมิสซิสเฮาส์แล้วจึงกลับมาตอนกลางวันจึงยังไม่ได้ลิ้มรสข้าวแช่ฝีมือมารดาเลย

“ดีจริง ฉันจะชวนใหญ่กับอ้นไปด้วยนะพี่”

“ได้สิ เดี๋ยวขากลับพี่จะแวะเรียกสองคนนั้นที่เรือนก็แล้วกัน พวกผู้ใหญ่เขาคงกินกันตั้งแต่เมื่อกลางวันที่วัดแล้ว มีแต่พวกเรานี่แหละที่ยังไม่ได้กิน” หญิงสาวพูดจบก็ออกเดินนำเด็กชายไปยังเรือขายของจำพวกดินเผา

“ประเดี๋ยวก่อนคุณผู้หญิง” เสียงเรียกตามหลังของชายหนุ่มรั้งฝีเท้าที่กำลังเร่งรีบของโชติให้ช้าจนในที่สุดก็หยุดลง

“มีสิ่งใดฤๅ” หญิงสาวส่งสายตาเรียบเฉยอย่างที่มิเคยเป็น

“ผมอยากทราบว่าหากต้องการไปแถววัดสามพระยาตรงบางขุนพรหมต้องไปอย่างไร”

เขาแสร้งถามเพียงแค่อยากยืดเวลาพูดคุยกับหญิงสาวเท่านั้นเพราะถึงอย่างไรนายต่วนก็ต้องพาเขาที่นั่นอยู่แล้ว

“ท่านต้องการไปแถวนั้นด้วยเหตุใดกัน” คิ้วสีดำได้รูปขมวดเข้าหากันขณะดวงตาสีนิลกลมโตรื่นเริงบัดนี้มีวี่แววสงสัย

“ผมทราบมาว่าเป็นวัดเก่ามาแต่ครั้งแผ่นดินก่อนแลผู้คนละแวกนั้นเป็นชาวมอญ ทั้งยังเป็นศูนย์กลางการค้าขายใบลานด้วย ผมเดินทางมาด้วยท่านกงสุลฝรั่งเศส มาเมืองบางกอกเพื่อหาข้อมูลไปเขียนหนังสือ”

เขาอธิบายละเอียดเพียงเพื่อให้เธอหยุดฟังซึ่งดูเหมือนความคิดของเขาจะถูกต้องเพราะหญิงสาวกำลังมองเขาอย่างสำรวจ

“มาด้วยท่านกงสุลฤๅ” แววตาของโชติแปรเปลี่ยนจากความเฉยเมยเป็นความรู้สึกที่มิเชลไม่อาจคาดเดาได้

“ใช่แล้วคุณผู้หญิง ตกลงว่าหากต้องการไปที่วัดนั้นต้องไปอย่างไร”

โชติปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วจึงตอบกลับไปอย่างสุภาพหากทว่ากลับยิ่งดูห่างเหินกว่าเดิมจนชายหนุ่มไม่กล้าถ่วงเวลาเธอไว้ต่อไป

“ท่านคงมิต้องวิตกไปดอก ผู้ติดตามของท่านคงนำทางไปได้เป็นแน่ ใช่หรือไม่จ๊ะน้า” หญิงสาวมองมิเชลและนายต่วนผู้ที่เธอคิดว่าเขาได้ยินรวมถึงเข้าใจบทสนทนาระหว่างเธอกับเจ้านายของเขาโดยตลอด จากนั้นโชติหันมาจูงมือเด็กชายแดงผู้กำลังจ้องเธอและมิเชลตาแป๋วด้วยความอยากรู้ ก่อนที่หญิงสาวจะออกเดินไปยังทิศทางตรงข้ามกับเขาโดยไร้คำตอบ

ทว่าในใจของมิเชลยังงงงันและเต็มไปด้วยคำถามว่าเหตุใดหญิงสาวจึงมีปฏิกิริยาราวต่อต้านเขาเช่นนี้

 

บ่ายคล้อยแล้วเมื่อหญิงสาวและแม่รวมถึงเด็กชายแดงกลับมาถึงเรือน ผู้คนละแวกบ้านผู้ซึ่งล้วนเป็นเครือญาติต่างทยอยเดินออกจากวัดกลับเรือนของตน เรือนสองชั้นริมน้ำของหญิงสาวที่คึกคักยามเช้า

บัดนี้ดูจะเงียบลงเพราะท่าน้ำไม่มีเรือของผู้มาจับจ่ายสินค้าแล้ว นางแสงปล่อยให้บุตรสาวและเด็กชายผู้เป็นลูกสมุนขนของที่โชติอ้างว่าจะไปซื้อขึ้นเรือนกันเอง นางทราบดีว่าโชติเพียงแต่อยากเดินเล่นจึงทำทีเป็นขอไปซื้อของที่ท่าน้ำใกล้กับวัดส้มเกลี้ยงอันเป็นอาณาบริเวณที่ไม่ไกลจากเรือนคุณพร้อมหรือหลวงภูบดินทร์พิทักษ์ ด้วยว่าเรือนของขุนนางหนุ่มผู้นั้นปลูกอยู่ระหว่างวัดคอนเซ็ปชั่นและวัดเซ็นฟรังซิสซาเวียร์อันเป็นชุมชนคริสต์ทั้งสองแห่ง แม่จันภรรยาของคุณพร้อมนั้นเป็นบุตรสาวของขุนนางผู้นำชุมชนชาวญวนที่อพยพมาแต่ครั้งแผ่นดินก่อน ส่วนคุณพร้อมเป็นน้องสาวของเจ้าจอมวาดผู้สนิทคุ้นเคยกับเธอมาแต่ครั้งเยาว์วัย สองพี่น้องเป็นเชื้อสายท่านพระยาเจ้าของบ้านใกล้กับวังหน้านั่นเอง เมื่อคุณพร้อมแต่งงานได้ปลูกเรือนใกล้กับบ้านพ่อตาเนื่องด้วยทั้งตระกูลฝ่ายชายรู้กันดีว่าบ้านใหญ่นั้นท่านเจ้าของตั้งใจจะมอบให้กับพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งประสูติแต่เจ้าจอมมารดากลิ่น

“แม่จ๊ะ เดี๋ยวฉันขอตั้งสำรับของว่างตรงท่าน้ำนี้นะจ๊ะ จะให้เจ้าแดงแลเพื่อนมากินข้าวแช่กันตรงนี้” หญิงสาวบอกกล่าวขณะหยิบหม้อดินเผาใบย่อมจากเรือ

“ได้สิ แม่จะให้พวกบ่าวยกมาไว้ให้ วันนี้คุณพ่อคงมิกลับมารับข้าวเย็นหรือมิใช่” นางเอ่ยถามบุตรสาวผู้รู้ความเป็นไปของบิดายิ่งกว่านางผู้เป็นภรรยา

“จ้ะ เห็นว่าอยู่หารือกับคุณลุงเรื่องให้กงสุลเข้าเฝ้า” แววตาสนุกสนานรื่นเริงแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เมื่อเอ่ยถึงกงสุลจิตใจให้กระหวัดไปถึงเรื่องที่พบชายชาวฝรั่งเศสเมื่อครู่

“เรื่องการบ้านการเมืองแม่มิใส่ใจ ตัวเราเองก็เถิดแม่โชติ เป็นหญิงควรจักหัดอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนบ้าง มิใช่เที่ยวตะลอนไปเรื่อย เช้าบ้านแหม่มบ่ายก็บ้านเจ้าคุณ นี่ถ้ามิใช่สงกรานต์แม่อาจลืมไปแล้วเทียวว่ามีลูกสาว” เสียงมารดาอ่อนใจหากก็ไม่ได้เคร่งครัดด้วยรู้ดีว่าคุณพระผู้เป็นสามีรักและตามใจบุตรสาวคนเดียว ทั้งบ้านฝ่ายสามียังความคิดผิดแผกจากคนทั่วไปว่าบุตรสาวนั้นไม่จำเป็นต้องอยู่โยงกับบ้านเพื่อปรนนิบัติสามีเพียงอย่างเดียว ดังเห็นได้จากคุณหญิงอ่วมพี่สามีของเธอผู้ที่เป็นคู่คิดให้สามีมาตลอด เมื่อน้องชายคนเดียวมีบุตรสาวคือแม่โชติคุณอ่วมจึงขอรับไปดูแลตั้งแต่เล็ก ถ่ายทอดความคิดอ่านที่เกินสมัยให้โชติหากแต่ไม่ลืมให้หญิงสาวได้กลับมาอยู่กับเธอบ้างเพื่อโชติจะได้ไม่ลืมว่าตนเองมีวงศ์วานว่านเครือเป็นคนบ้านลาน

“ฉันก็มาอยู่บ้านแล้วนี่จ๊ะ แม่อย่าบ่นนักเลย” หญิงสาววางของในมือตรงใต้ถุนเรือนอันเป็นที่เก็บใบลานที่รับมาจากบ้านบางตะไนย์เมืองนนทบุรีอันเป็นแหล่งปลูกต้นลาน มีบ่าวหญิงมาหยิบไปเก็บในห้องอย่างรู้งาน

“แล้วนี่แซมไปไหนเล่าจ๊ะ” หญิงสาวมองตรงเสาเรือนซึ่งจานข้าวคลุกปลาทูพร่องไปจนเกือบหมด

“แม่มิรู้ดอก แต่วันๆ มันก็วิ่งไปทั่วแถวนี้แหละ”

“ซนจริงๆ แซม แซม อยู่ไหนเนี่ย” หญิงสาวเดินร้องเรียกไปยังทิศทางที่มารดาชี้ เสียงเรียกเหมียวๆ ของหญิงสาวดังไปทั่วบริเวณ มีเสียงตอบรับไกลๆ อย่างรู้ว่าเจ้านายร้องเรียกหากก็ยังไม่เห็นตัว หญิงสาวจึงเดินออกไปบ้านใกล้ๆ โรงอบลานที่อยู่หลังบ้านแต่ก็ไม่พบ หญิงสาวจึงเดินเรื่อยไปใกล้กับทางไปวัดก็เห็นใบหน้ากลมเล็กภายใต้ขนสีดำเงางามดวงตาสีดอกบวบ ขนใต้คอมีสีขาวเป็นกระจุก เจ้าตัวเล็กกำลังเดินแกมวิ่งมาหาหญิงสาวอย่างออดอ้อน เมื่อมาถึงมันกลิ้งตัวลงแทบเท้าผู้เป็นเจ้าของพลางเอาหัวถูไถไปกับมือหญิงสาวที่กำลังทรุดตัวนั่งเล่นกับเจ้าเหมียวแสนซน

“ไปเที่ยวหน้าวัดมาอีกแล้วใช่หรือไม่ คราวที่แล้วหลวงพ่อบอกว่าเอ็งขโมยปลาย่างฤๅ ข้าให้ข้าวมิอิ่มหรือแซม ซนนักเทียว” หญิงสาวเอื้อมมือไปขยุ้มพุงกลมของเจ้าเหมียวอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนอุ้มเจ้าสี่ขาขึ้นมาแนบอกอย่างรักใคร่เอ็นดู

โชติอุ้มแมวตัวโปรดเดินไปบ้านเด็กชายใหญ่และอ้น ไม่นานเด็กชายทั้งสองก็เดินมาพร้อมหล่อนและเข้าวิ่งไปสมทบกับแดงซึ่งรออยู่ที่ริมน้ำ โชติเดินทอดน่องตามไปอย่างสบายใจแต่ขณะที่หญิงสาวกำลังหันหลังกลับเข้าไปในบ้านก็กลับได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ และการสนทนาภาษาฝรั่งเศสระหว่างชายสองคน

“หลังนี้แหละขอรับที่มีโรงอบลาน ได้ยินว่าใหญ่ที่สุดในละแวกแลมีใบลานมากมายให้เลือกซื้อ” หญิงสาวยืนชะงักอยู่อย่างนั้น มือที่อุ้มเจ้าเหมียวขนดำเป็นมันวาวรัดแน่นจนมันดิ้นหลุดจากพันธนาคารไปยังทิศทางตรงข้าม และเมื่อหันไปเพื่อจะจับมันหญิงสาวก็พบสบตากับดวงตาประกายเจิดจ้าคู่นั้นที่เต็มไปด้วยความยินดีเปล่งประกายชัดเจนโดยมิต้องเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา

“คุณผู้หญิง!”

ริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อของฝ่ายชายแย้มยิ้มออกมาเผยให้เห็นฟันสวยรับกับใบหน้าเรียวมีเหลี่ยมสันได้รูป

“ท่านเองฤๅ” โชติอุทานออกมาอย่างแผ่วเบา แม้ไม่แปลกใจที่เห็นเขาที่นี่หากแต่เธอกลับไม่คิดว่าจะต้องเจอกันอีก

“คุณอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่” เขาเดาได้ทันทีด้วยกิริยาที่หญิงสาวแสดงออกมานั้นชัดเจน

“ใช่ นี่บ้านฉันเอง ท่านต้องการสิ่งใด” เมื่อเห็นเจ้าเหมียวกำลังเดินสำรวจรอบตัวชายหนุ่มอย่างไม่หวั่นเกรงโชติจึงร้องเรียกออกไป “แซม มานี่มา” หากแต่เจ้าแซมกลับมิได้นำพา มันยังคงเดินดมไปรอบๆ รองเท้าสีดำของชายหนุ่ม

“แมวของคุณหรือ” เมื่อเห็นหญิงสาวพยักหน้าเขาจึงสนทนาต่อไป “น่ารักมากทีเดียว”

“แซม เข้าบ้านเร็ว” หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งจนชายสไบสีเขียวขาบระลงกับพื้นแล้วตั้งใจเรียกชื่อสัตว์เลี้ยงของหล่อนอีกรอบ คราวนี้เจ้าเหมียวหมดความสนใจจากผู้แปลกหน้าแล้วผละมาหาเจ้าของอย่างเต็มใจ

“บ้านคุณขายใบลาน เหตุใดจึงมิใคร่บอกผม” เขาเอ่ยยิ้มๆ

“มิใช่เรื่องต้องบอก วันนี้ร้านปิดแล้ว ท่านต้องการใบลานมากสักเท่าใด วันพรุ่งมารับได้ ฉันจะแจ้งคนให้ตระเตรียมไว้” โชติยืนขึ้นแล้วเอ่ยเสียงเรียบหากก็มิได้ห้วนจนอีกฝ่ายรู้สึกว่าไร้น้ำใจ

“มิต้องดอก วันหน้าผมคงมาอีกด้วยตนเอง”

หญิงสาวจ้องมองดวงตาอีกฝ่ายราวต้องการค้นหาความนัย หากแต่เธอกลับมิพบความเคลือบแคลงแฝงเร้นสิ่งใดนอกจากความความจริงใจที่ส่งมา ชายหนุ่มก้มศีรษะแสดงการกล่าวลาแล้วหันหลังกลับไป โชติมองเขาที่เดินไกลออกไปครู่หนึ่งจึงเลี้ยวเข้าบ้าน หญิงสาวตรงไปยังศาลาริมน้ำที่บัดนี้เด็กชายสามคนกำลังนั่งหัวร่อรอหญิงสาวอย่างเพลิดเพลิน เมื่อเห็นโชติกำลังเดินมาพวกเขาก็ตะโกนเรียกอย่างดีใจแล้วจึงรีบจัดแจงที่นั่งตรงกลางบนตั่งยาวสำหรับหญิงสาว ก่อนจะเปิดชามข้าวอันมีน้ำลอยดอกชมนาดหอมกรุ่นให้เธออย่างเอาใจ จากนั้นทั้งสามจึงค่อยๆ เปิดชามของตนแล้วลงมือรับประทานข้าวแช่พร้อมกับข้าวที่ต่างมีสำรับแยกของตนอย่างเอร็ดอร่อยโดยที่ไม่รู้ว่าหญิงสาวกำลังมีเรื่องครุ่นคิดในใจสักนิด

 

ยังมินอนดอกหรือ แม่โชติ” เสียงทุ่มต่ำของบิดาเอ่ยถามอย่างห่วงใยเมื่อก้าวขึ้นเรือนแล้วเห็นบุตรสาวยังนั่งรออยู่ตรงหอนั่ง โชติหยิบใบลานออกมาสานเป็นรูปปลาตะเพียนอย่างครุ่นคิด อากัปกิริยาที่แสดงออกมาดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจงานตรงหน้านอกจากเพียงแค่ทำเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้น เมื่อได้ยินเสียงผู้ที่รอคอยหญิงสาวจึงวางงานในมือโดยพลันแล้วขยับตัวออกจากหมอนอิงในลักษณะนั่งตรงอย่างกระตือรือร้น

“คุณพ่อมาพอดี ลูกกำลังรออยู่ทีเดียว” ถ้อยคำที่เอ่ยออกมาล้วนแสดงชัดเจนว่าบุตรสาวบ้านนี้สนิทสนมกับบิดา

“รอพ่อ มีเรื่องใดฤๅแม่โชติ” พระนรินทรราชเสนากล่าวบุตรสาวพลางนั่งลงเคียงข้างอย่างเอ็นดู

“ลูกอยากทราบเรื่องที่เจ้าคุณลุงหารือกับคุณพ่อเจ้าค่ะ ได้ยินว่ากงสุลฝรั่งเศสจะเข้าเฝ้าในหลวงใช่หรือไม่คะ” สีหน้ากระตือรือร้นของโชติทำเอาผู้เป็นบิดาที่เคร่งเครียดมาทั้งวันยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน

“อยากรู้ไปด้วยเหตุใดกัน มิใช่เรื่องของผู้หญิง” วาจาของบิดาเอ่ยตำหนิหากแววตาแสดงออกชัดเจนว่าภูมิใจในตัวบุตรสาวที่สนใจและใส่ใจความเป็นไปของบ้านเมืองซึ่งผู้เป็นบิดาปลูกฝังมาแต่วัยเยาว์

“หามิได้เจ้าค่ะ วันนี้ลูกไปเดินซื้อของแถวสามเสนระหว่างรอแม่คุยกับน้าจัน บังเอิญได้เจอฝรั่งคนหนึ่ง เขาบอกว่าเขามากับกงสุลคนใหม่ค่ะ” หญิงสาวส่งขันน้ำลอยดอกมะลิให้บิดาและหยิบพัดมาโบกไปมาอย่างเอาใจ “วันก่อนได้คุยกับครูเฮาส์ ลูกก็ถามท่านเรื่องนี้แต่ท่านไม่ใคร่รู้รายละเอียดมากนักดอกค่ะ”

“ท่านกงสุลคนใหม่มาถึงแล้วจริงดังที่ลูกรู้ แลวันพรุ่งจักเข้าเฝ้าในหลวงเพื่อเจรจาเรื่องเขตแดนเขมร” พระนรินทรราชเสนามีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังขึ้นมาทันทีที่เอ่ยถึงเรื่องความเมือง

“แลคุณพ่อคิดว่าครานี้ฝรั่งเศสจักบังคับให้ในหลวงทำตามที่เจรจาได้หรือไม่เจ้าคะ”

“เรื่องนี้ทางโน้นบีบเราว่าตนเองมีสิทธิ์เหนือดินแดนเขมรด้วยเข้าครองญวนได้สำเร็จ แต่ทางเขมรเองเข้าสวามิภักดิ์กับราชสำนักสยามมานาน แลหวังว่าเหตุการณ์จะเป็นไปตามที่พ่อคาดหวัง” ผู้เป็นบิดาเอ่ยอย่างเคร่งขรึมหากแววตาคล้ายมีบางสิ่งซ่อนเร้นลึกล้ำซึ่งบุตรสาวกลับไม่ได้สังเกต

“คราวสัญญาเรื่องภาษีแลคนในบังคับก็เช่นกัน มาคราวนี้จักมาเอาเปรียบเรื่องดินแดนอีก เหตุใดทั้งอังกฤษแลฝรั่งเศสจึงมิเข้ามาฉันมิตรเยี่ยงพวกมิชชันนารีเจ้าคะคุณพ่อ” กระแสเสียงอ่อนใจของหญิงสาวที่เอ่ยเรื่องการทำสัญญาระหว่างสยามและฝรั่งเศสแสดงให้เห็นว่าเธอเข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองอย่างดี มือขวาที่กำลังโบกพัดไปมาชะงักลง แววตาหญิงสาวไม่สดใสรื่นเริงเช่นเดิม

“ยามนี้สิ่งที่เราทำได้ก็คงต้องพยายามรักษาความสัมพันธ์กับทั้งอังกฤษแลฝรั่งเศสให้ได้ทั้งสองฝั่ง หากเพลี่ยงพล้ำอาจเป็นเราเองที่จักต้องเสียเปรียบ นั่นย่อมหมายถึงผู้คนที่ไม่รู้เรื่องต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย” พระนรินทรราชเสนาเอ่ยเสียงสุขุม แววตามองไปบนท้องฟ้าที่บัดนี้แสงจันทร์ส่องลงมาตรงลานกลางบ้านสว่างนวลตา เมื่อหันมามองหน้าบุตรสาวก็พบดวงตากลมโตที่เคยสุกใสมีวี่แวววิตก สองพ่อลูกสบตากันอย่างเข้าใจโดยมิเอ่ยคำใดออกมาด้วยต่างรู้ดีว่าทุกอย่างต้องรอเวลาเพื่อให้เหตุการณ์คลี่คลาย สุดแท้แต่ว่าจะเป็นไปในทิศทางใดเท่านั้นเอง

 



Don`t copy text!