เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 1 : ภารกิจลับ
โดย : ประดับยศ
เล่ห์พันธาภรณ์ นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย ประดับยศ กับเรื่องราวของ ‘มิรามาลินทร์’ หญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูมาโดยนักบวชในวิหารเทพ แต่แล้ววันหนึ่งเธอต้องหนีเอาชีวิตรอดเพื่อตามหาบุคคลในคำทำนายที่จะมาช่วยปกป้องวิหาร คนผู้นั้นคือใคร ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร อ่านได้ในเว็บไซต์ anowl.co และเพจ anowldotco
สัญญาณมือที่ถูกแปรเป็นสัญลักษณ์เฉพาะให้กับทีมปฏิบัติภารกิจ ทำให้เพียงแค่พริบตาเดียว ชายฉกรรจ์ในชุดพรางรัดกุมสีดำทั้งห้านาย ก็วิ่งหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว จากนั้นบุคคลที่เพิ่งส่งสัญญาณมือเมื่อครู่จึงค่อยมุ่งหน้าไปยังแนวป่ากุหลาบพันปีอันเป็นพรมแดนธรรมชาติที่คั่นระหว่างประเทศศิขราชและประเทศสินธุรัฐ สองอาณาจักรเล็กๆ บนดินแดนแถบเทือกเขาหิมาลัยที่สวยงามและเงียบสงบ
ทว่าในคืนนี้ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม ท่ามกลางราตรีที่เงียบสงัดกลับมีคนกลุ่มหนึ่งที่เคลื่อนไหวอย่างลับๆ และอีกไม่กี่อึดใจต่อมาเสียงสายลมยามวสันตกาลที่พลิ้วผ่านขับกล่อมยามรัตติกาลเช่นทุกคืนก็ถูกเสียงปืนและกลิ่นอายแห่งความตายกลบเกลื่อนไปจนหมดสิ้น
เสียงอึกทึกของการต่อสู้ดังขึ้นทางด้านหลังแนวป่าทำให้ผู้ที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่จับตามองความวุ่นวายโกลาหลนั้นอย่างตาไม่กะพริบ ก่อนจะเบนสายตาไปยังหลังแนวกำแพงสูงที่ตั้งอยู่บนเชิงเขา บัดนี้เต็มไปด้วยทหารตระเวนชายแดนกลุ่มใหญ่ในชุดทหารตราเครื่องหมายประจำชาติสินธุรัฐวิ่งพล่านตามเสียงตะโกนเร่งให้ตามหานักโทษสำคัญที่แหกคุกหนีออกมา และนั่นยิ่งทำให้ร่างสูงใหญ่ขยับถอยเพื่อพรางตัวในพุ่มไม้หนาอย่างเงียบเชียบ คอยมองทุกความเป็นไปด้วยแววตาสงบนิ่งและรอคอย เพราะเป้าหมายเดียวของเขาในวันนี้ คือการช่วยคน แต่เขาอดทนรอจนเกือบกระทั่งจะยามสามแล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววคนที่เขาคอยจะมาตามนัด สวนทางกับกำลังทหารที่วิ่งวุ่นมาตลอดคืนและเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้กังวลใจ หรือว่า คนคนนั้นจะหนีออกมาไม่ได้!
“เฮ้ย! มันอยู่นั่น กระจายกำลังไปทางด้านเหนือให้หมด ถ้าไม่ยอมให้จับเป็น ก็ยิงทิ้งได้เลย!”
เสียงประกาศกร้าวนั้นทำให้ร่างสูงใหญ่พยายามข่มความกังวลและตั้งสติ ถ้าหากนี่เป็นคำลวงการที่เขาจะตามไปทางด้านเหนือก็อาจจะทำให้พื้นที่ที่เขาเฝ้าอยู่กลายเป็นช่องโหว่ แต่หากไม่ไปก็อาจจะไม่ทันการ ชายหนุ่มก้มมองนาฬิกาข้อมืออย่างชั่งใจก่อนจะตัดสินใจหาทางลงจากต้นไม้เพื่อมุ่งไปช่วยทางด้านเหนือ แต่ว่าเสียงสวบสาบจากทางพื้นด้านล่าง ทำให้คนข้างบนชะงัก ก่อนจะค่อยๆ หยิบมีดสั้นจากเอวขึ้นมากระชับไว้ในมือ เตรียมพร้อมเล็งจุดตายใส่ผู้มาใหม่ที่กำลังปีนขึ้นต้นไม้มาอย่างทุลักทุเล และแค่เสี้ยววินาทีเดียวในยามที่เผชิญหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างชะงักนิ่งอย่างตกใจและวัดใจ…ฆ่าหรือถูกฆ่า!
สองคู่นัยน์ตาที่สบประสานกันนั้นต่างไม่มีใครยอมหลบ บรรยากาศนิ่งสนิท ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ราวกับต้องการอ่านใจซึ่งกันและกัน แม้ท่ามกลางความมืดสลัวในยามราตรี แต่ในระยะใกล้เพียงคืบนั้น ดวงหน้าหนึ่งที่ถูกบดบังด้วยผ้าโพกและอีกคนก็พรางสี แต่ก็ต่างเห็นความสัตย์จริงจากแววตาอีกฝ่ายได้ชัดเจนตื่นตระหนก ระแวดระวัง แต่ไม่ฆ่า…ชายหนุ่มยอมลดมีดลงแต่ยังคงปิดปากเงียบและหยั่งเชิงร่างเล็กในเงาดำอย่างระมัดระวัง แต่ด้วยสรีระที่ต่างกันราวกับผู้ใหญ่และเด็ก ทำให้ชายหนุ่มยังคงสงวนท่าทีไม่พุ่งมีดออกไปในยามที่อีกฝ่ายปีนใกล้เข้ามายังกิ่งก้านแข็งแรงใกล้ๆ กันเพื่อซ่อนตัว
เสียงทหารลาดตระเวนของสินธุรัฐที่ย้อนกลับใกล้เข้ามา ทำให้ทั้งสองคนบนต้นไม้เกร็งตัวขึ้นอย่างระวังภัย ความกดดันเพิ่มสูงขึ้นจนแทบจะกลั้นหายใจขณะเงี่ยหูฟังเสียงสนทนาที่เต็มไปด้วยความลิงโลดและสะใจของกลุ่มคนที่เดินผ่านด้านล่าง
“คืนนี้รอดแล้ว โชคดีที่ฝั่งเหนือจับคนร้ายได้ ไม่อย่างนั้นพวกเราตายแน่”
“ซวยจริงๆ วิ่งล่าทั้งคืนแล้วยังต้องไปเข้าเวรต่ออีก”
“ไม่โดนโทษก็บุญหัวแล้ว ไปเร็วๆ”
กลุ่มทหารเหล่านั้นเดินโต้เถียงกันไปอีกหลายประโยค ไม่นานนักเสียงคุยก็ห่างหายไปจนทุกอย่างกลับเข้าสู่ความเงียบสงบของป่าอย่างที่ควรจะเป็นอีกครั้ง แต่สองคนบนต้นไม้กลับมีสีหน้าที่หนักใจกว่าเดิม ต่างฝ่ายต่างจมอยู่กับความคิดตัวเอง ก่อนชายหนุ่มที่พรางหน้ากลืนไปกับเงามืดจะเป็นฝ่ายเก็บมีดและออกคำสั่งสั้นๆ
“ไปซะ”
ร่างเล็กที่เกาะกิ่งไม้อยู่ข้างกันไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยซ้ำ รีบตะเกียกตะกายปีนลงต้นไม้ไป ทว่าเสียงหล่นตุ้บสุดท้ายทำให้ชายหนุ่มด้านบนเอะใจ ก่อนจะค่อยๆ ปีนตามลงไปและพบว่าร่างในชุดเสื้อกางเกงตัวโคร่งสีหม่นทึมนั้นนอนสลบไสลไม่ได้สติ พร้อมกับรอยเลือดที่ซึมออกมาเต็มแผ่นหลัง
“ตายรึเปล่าวะ”
ความสงสัยมาพร้อมกับความไวของมือที่จับร่างผอมบางโชกเลือดนั้นพลิกสำรวจลมหายใจ แม้จะแผ่วเบารวยรินแต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ ชายหนุ่มเพ่งมองร่างที่จมอยู่บนกองใบไม้อย่างชั่งใจจนคิ้วขมวดแน่น มโนธรรมและภารกิจหน้าที่ต่างห้ำหั่นบีบคั้นกันจนรำคาญใจ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเลือกเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง ก็แค่เด็ก! ต่อให้เทียบกันตัวต่อตัว ไอ้เด็กนี่ก็คงสูงแค่อกเขา แขนขายาวเรียวผอมบางเสียจนเขาแทบจะหักได้ด้วยมือเดียว ฉะนั้นถ้ามันริอ่านจะเป็นศัตรูก็ค่อยฆ่าทิ้ง แต่ตอนนี้ นาทีนี้ จะให้เขาก็ตัดใจทิ้งเด็กให้ตายต่อหน้าต่อตานั่นเป็นไปไม่ได้!
ชายหนุ่มที่ถือคติ ชายชาติทหาร รบคนพาล บริบาลเด็ก ก็จัดการแบกร่างเล็กที่ไร้สติเพราะเสียเลือดมากนั้นขึ้นมา ก่อนจะกลบเกลื่อนรอยเลือดให้มิดชิดและมุ่งหน้าข้ามชายแดนกลับไปยังแผ่นดินศิขราชของตน
แสงเงินแสงทองที่ค่อยๆ จับขอบขุนเขาตัดฟากฟ้าทำให้ความมืดมิดแห่งราตรีกาลจางหายหมดเวลาสำหรับปฏิบัติการในครั้งนี้แล้ว และถึงแม้ภารกิจจะล้มเหลว แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถช่วยคนให้รอดตายกลับมาได้หนึ่งชีวิต และวันข้างหน้าที่เขากลับมาที่นี่อีกครั้ง คนที่เขาต้องการช่วยก็จะต้องรอดเช่นกัน!