เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 21 : ยา

เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 21 : ยา

โดย : ประดับยศ

Loading

เล่ห์พันธาภรณ์ นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย ประดับยศ กับเรื่องราวของ ‘มิรามาลินทร์’ หญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูมาโดยนักบวชในวิหารเทพ แต่แล้ววันหนึ่งเธอต้องหนีเอาชีวิตรอดเพื่อตามหาบุคคลในคำทำนายที่จะมาช่วยปกป้องวิหาร คนผู้นั้นคือใคร ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร อ่านได้ในเว็บไซต์ anowl.co และเพจ anowldotco

“แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง กำหนดพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระราชาธิบดีศรีสินธุราชรัฐที่ 6 ณ วิหารหลวง พระที่นั่งอัมพุสราญ มหานครสินธารา”

สื่อทุกประเภทล้วนประโคมข่าวการขึ้นเสวยราชย์ของสมเด็จพระราชาธิบดีองค์ใหม่ของสินธุรัฐไปทั่วโลก หากสถานการณ์ภายในพระราชวังหลวงนั้นยังคงเต็มไปด้วยความตึงเครียด

เจ้าชายธัชธาราทรงเชิญพระราชมารดาให้ประทับอยู่ในพระตำหนักริมธารอันเป็นพระตำหนักส่วนพระองค์อย่างเข้มงวด และตามหมออย่างเร่งด่วนให้มารักษาอาการของมิรามาลินทร์ที่ตอนนี้หมดสติไปตั้งแต่ที่ราชินีลงพระนาม จนบัดนี้ไม่ว่าจะรักษาด้วยศาสตร์แขนงไหนหญิงสาวก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว

ห้องอภิบาลถูกคุ้มกันอย่างแน่นหนา ห้ามใครเข้าออกยกเว้นหมอและพยาบาลเท่านั้น แต่องค์จอมพลตุลธรฯ และเจ้าชายธัชธาราก็แทบจะปักหลักประทับในห้องนี้ จนราชองครักษ์ต้องทูลเชิญให้เสด็จไปพักและให้แพทย์พยาบาลรักษากันอย่างเต็มที่

อลินาพยายามป้อนยาที่ท่านอาจารย์เคยปรุงไว้แต่ว่ามิรามาลินทร์ก็ยังไร้อาการตอบสนอง จนทุกคนเริ่มเครียด ลมหายใจที่แผ่วเบาของหญิงสาวทำให้คุณหมอสาวเพียงคนเดียวในที่นั้นใจไม่ดีเอาเสียเลย เมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้มาใหม่เข้ามาถวายรายงานต่อเจ้าชายรัชทายาทที่ทรงเฝ้าดูไม่ห่าง

“ฝ่าบาท…มีรายงานว่า องค์เจ้าหลวงภวินทราชทรงมีพระราชสาสน์ถึงพระองค์พระพุทธเจ้าข้า”

อินทัช ราชองครักษ์ประจำพระองค์ที่บัดนี้ควบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารแทนนายพลชาตรีที่ยังอยู่ในคุกเพราะเนตรญาณของมิรามาลินทร์ เข้ามากราบทูลด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพราะขบวนที่อันเชิญพระราชสาสน์ของเจ้าหลวงแห่งศิขราชนั้นมิใช่ขบวนเกียรติยศ แต่เป็นกองทัพนักรบจากค่ายจตุรทิศ

“เชิญราชทูต และอันเชิญพระราชสาสน์มาที่วังหลวง ส่วนทหารให้ยั้งรออยู่ที่ชายแดน”

“ให้เกล้ากระหม่อมไปพาท่านอาจารย์กลับมาก่อนดีไหมพระเจ้าค่ะ” คามินที่คอยอารักขาอยู่ไม่ไกลเสริมขึ้น เพราะเกรงว่าจะไม่มีใครคอยห้ามทัพ แต่องค์รัชทายาทแค่นยิ้มก่อนรับสั่งอย่างไม่มีทางเลือก

“จะทำอะไรก็รีบทำเถอะ เราไม่มีเวลามากนักหรอก”

เจ้าชายธัชธาราทอดพระเนตรคนสำคัญที่นอนนิ่งไม่รู้สึกตัวอยู่อย่างห่วงใย ก่อนจะรับสั่งอย่างตัดสินใจพระทัยแล้ว

“อินทัชจัดคนไปประจำการชายแดนส่วนหนึ่ง คามินกับคุณหมออลินาคอยดูแลมิรามาลินทร์ให้ดี เราจะไปทูลปรึกษาเรื่องสำคัญกับเจ้าชายตุลธรฯ เอง”

“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ”

ราชกุมารตบไหล่ทหารคู่พระทัยอย่างเชื่อมั่น ที่ผ่านมาอินทัชแฝงกายคอยดูแลมิรามาลินทร์มาตลอดและยังเป็นครูฝึกทหารชั้นยอดดังนั้นจึงทรงวางพระทัยยิ่ง ก่อนจะเสด็จนำไปลิ่วๆ ทรงไม่อยากรับศึก ไม่ปรารถนาสงคราม ดังนั้นจึงต้องเสด็จไปหยุดจอมพลให้ได้…เพียงแต่ทรงไม่มั่นพระทัยเลยว่า หากมิรามาลินทร์ไม่ฟื้นดีขึ้นมาตอนนี้ ผลลัพธ์จะดีขึ้นหรือแย่ลงกว่าเดิม

 

ห้องมนตราซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของพระราชวังหลวงแทบจะเป็นสถานที่เดียวที่จะทรงสงบใจได้ ดังนั้น จอมพลตุลธรฯ จึงเสด็จและทำหน้าที่แทนคนที่นอนเจ็บอยู่ ทรงภาวนาเพื่อคนอันเป็นที่รัก มิรามาลินทร์นอนหายใจรวยริน ในพระทัยพระองค์จึงทั้งทุกข์และเจ็บแค้น คามินจึงทูลแนะนำให้ทรงพักพระเนตรที่นี่ อย่างน้อยเผื่อว่าพระทัยจะได้ผ่อนหนักเป็นเบา อึดใจต่อมาก็ทรงรับรู้ได้ว่ามีบุคคลใหม่ก้าวเข้ามา

“หม่อมฉันมีเรื่องกราบทูล”

วรองค์สูงสององค์ที่นั่งเคียงกันนั้นแผกกันตรงความบึกบึน องค์หนึ่งสูงใหญ่สง่างามดั่งนักรบที่กล้าแกร่ง อีกองค์ประเปรียวหากพระพักตร์งามดังเทวาจำแลง หากเอกบุรุษทั้งสองต่างนั่งคุกเข่าภาวนาต่อเทพเคารพด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าในสิ่งเดียวกัน…ขอให้หญิงอันเป็นที่รักปลอดภัย

“จะไม่รับสั่งถามสักคำหรือ ว่าทำไมมิรามาลินทร์ถึงเป็นแบบนี้” พระรัชทายาทแห่งสินธุรัฐรับสั่งถามหลังจากที่ทอดเวลามากพอให้ใจสงบลงแล้ว

“เป็นเพราะเรา…ไม่ดูแลเธอให้ดี”

“สินธุรัฐไม่ต้องการสงคราม”

“มิรามาลินทร์ห้ามเราแล้ว เป็นเราที่ไม่ฟัง…”

“หม่อมฉันเชื่อว่าทรงมีเหตุผล”

“มันไม่สำคัญอีกแล้ว” พระพักตร์เข้มหม่นลงจนน่าใจหาย เสียงในพระทัยดังก้องราวกับต้องการตะโกนบอกกับเหล่าเทวาให้ได้ยินถึงคำภาวนาที่ซ้ำไปซ้ำมา

“เจ้าหลวงภวินทราชทรงมีพระราชสาสน์มาถึง…พร้อมกองทัพ” ว่าที่สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งสินธุรัฐรับสั่งเสียงเครียด หากผู้รับสาสน์ตัวจริงกลับนิ่ง เพราะทรงรู้ว่าหมายถึงสิ่งใด พระราชสาสน์นี้พระเชษฐาของพระองค์ทรงร่างไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะเสด็จข้ามมา หากสินธุรัฐไม่ยินยอม ไม่ว่าเรื่องใด…ในพระราชสาสน์นี้มีเพียงความหมายเดียว อนุญาตให้รบ!

“เจ้าหลวงฯ แค่ทรงยืนยันให้ทางสินธุรัฐรู้…ทรงยอมรับมิรามาลินทร์”

“มิรามาลินทร์คือเทวกุมารีแห่งวิหารเทพ” เจ้าชายธัชธารารับสั่งยืนยันหนักแน่น ทว่าองค์จอมพลศิขราชตรัสตอบมิหวั่นเกรง

“อดีต…ตอนนี้เธอคือชายาปติของหม่อมฉัน และหม่อมฉันจะพาเธอกลับศิขราช”

“ย่อมเป็นไปตามพระประสงค์ เพียงแต่หม่อมฉันอยากให้อาการของเธอพ้นวิกฤติเสียก่อน และที่นี่มีน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ มิรามาลินทร์ต้องใช้น้ำเป็นยา”

เจ้าชายธัชธาราทรงทั้งอธิบายและหว่านล้อม หากยังคงมีเพียงความเงียบที่โอบล้อมทั้งสองพระองค์ไว้ นานหลายอึดใจ องค์จอมทัพจึงทรงยอมตรัสตอบ

“จะไม่มีสงคราม และมิรามาลินทร์ต้องปลอดภัย!”

 

ร่างแบบบางบนเตียงคนไข้ที่มีอุปกรณ์การรักษารายล้อมแต่ก็ไม่อาจปลุกเธอจากการนอนหลับใหลมิรู้สตินั้น ทำให้จอมพลสมเด็จแห่งศิขราชแทบจะทรงหยุดหายใจเสียเอง ใดใดในโลกมิทรงปรารถนาสิ่งใดอีก นอกจากจะได้เห็นหญิงสาวตรงหน้าลืมตาตื่นขึ้นมาเจรจากับพระองค์อีกครั้ง

“อาการเป็นอย่างไรบ้างอลินา” ทรงหันไปคาดคั้นกับคนของตนเองที่น่าจะตอบได้ถูกพระกรรณกว่า

“เกิดภาวะช็อก เนื่องจากฝืนร่างกายจนเกินขีดจำกัดเพคะ”

“รักษาได้ไหม”

“ตอนนี้ได้แต่ประคองอาการเพคะ เพราะยาปฏิชีวนะรักษาได้เบื้องต้นเท่านั้น” อลินาเอ่ยเป็นนัยๆ คราวนี้เจ้าชายทรงหันไปถามองค์รัชทายาทที่ทรงเครียดอยู่เช่นกัน

“ส่งใครไปรับท่านอาจารย์เทวนารีมาหรือยัง”

“เอกทิศกับคามินไปแล้วเพคะ”

“ช้า!” แค่ทรงบ่น ทหารราชองครักษ์อีกสองคนก็ถวายคำนับและรีบไปจัดการทันทีเพราะแบบนี้แปลว่าจะทรงเสด็จเอง เจ้าชายตุลธรธิบดีจึงทรงหันมาทางแพทย์หญิงประจำพระองค์อีกครั้ง

“พอจะเคลื่อนย้ายได้ไหม”

“หม่อมฉันอยากให้รอท่านอาจารย์อมราวดีก่อนเพคะ”

“มีโอกาสมากกว่าหรือ”

“จากที่คามินบอกหม่อมฉัน ท่านอาจารย์รู้จักท่านหญิงมิรามาลินทร์มากที่สุดเพคะ ท่านต้องรักษาได้แน่”

“ก็ได้”

จอมพลตุลธรฯ ทรงรับปากง่ายๆ เสียจนเจ้าชายรัชทายาททรงแปลกพระทัย

“หม่อมฉันคิดว่าจะทรงโวยวายมากกว่านี้เสียอีก”

“เธอไม่ชอบเสียงดัง…” รับสั่งพลางนิ่งงันไป บางสิ่งที่กำลังคืบคลานเกาะกินพระทัย จนทรงต้องหันไปถามเจ้าบ้าน

“ห้องมนตราปิดหรือยัง เราขอสงบใจสักครู่”

ชายหนุ่มสองพระองค์ต่างหยั่งพระทัยซึ่งกันและกันกับคำถามนี้ หากในพระเนตรที่ฉายแววหม่นหมองเสียจนราวกับคนหลงทางนั้นทำให้เจ้าชายธัชธาราทรงยอมตามพระทัยอีกฝ่าย

“หม่อมฉันจะพาไปเอง เชิญเสด็จ”

 

เอกทิศและคามินยืนกระวนกระวายอยู่ด้านหน้ามหาวิหารกลางจนแทบจะไม่รู้ร้อนรู้หนาว เพราะตั้งแต่ตนมาถึงมหาวิหารก็ยังไม่สามารถพบอาจารย์เทวนารีได้ แม้จะกลัวพระอาญาแต่ก็ต้องส่งข่าวให้องค์จอมพลทรงรับรู้ และก็เป็นไปดังคาด แค่ไม่กี่ชั่วโมงถัดมา รถยนต์พระที่นั่งที่ประดับธงศิขราชจอดเทียบที่ด้านหน้ามหาวิหารหินอ่อนที่ใหญ่ที่สุดในมหิศรปุระ พร้อมๆกับที่เจ้าชายตุลธรฯ เปิดประตูรถและก้าวกระโดดจากรถมาจนราชองครักษ์แทบจะหัวใจวายพลางกราบทูลรวดเร็ว

“ทางมหาวิหารแจ้งว่าอาจารย์อมราวดีจะไปไหนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากมหาเทวนารีไม่ได้กระหม่อม”

จอมพลฯ ตุลธรก้าวเข้ามาในมหาวิหารด้วยจิตใจที่ร้อนรุ่ม แม้จะควบคุมกิริยาไว้ หากแววเนตรที่ดุดันก็กวาดแลทุกผู้จนบรรดาผู้พิทักษ์ลนลานเข้ามารับหน้า

“ถวายบังคมฝ่าบาท เสด็จถึงมหิศรปุระ ทรงมีพระประสงค์สิ่งใดหรือกระหม่อม”

“เราต้องการพบมหาเทวนารี”

“มหาเทวนารีทรงศีล ไม่รับแขกตลอดปีกระหม่อม'”

“เราไม่ใช่แขก” รับสั่งพลางเผยให้เห็นตราสูงสุดของเทวกุมารี หาก…เป็นกุมารีแห่งศิขราชผู้ซึ่งสละตำแหน่งสูงสุดของมหาวิหาร เพื่อรั้งตำแหน่งชายาปตีแห่งอดีตเจ้าหลวงศิขราชองค์ก่อน

ข้อตกลงนี้เพื่อแลกกับความสงบสุขของมหาวิหาร ที่ในยามนั้นทรงอิทธิพลมากที่สุด จนทำให้แรงศรัทธาสั่นคลอนราชบัลลังก์ การแต่งงานที่มีขึ้นเพื่อควบคุมอำนาจของมหาวิหาร ถูกกระทำมาเสมอ หากมหาวิหารก็แก้เกมด้วยการส่งกุมารีไปเชื่อมสัมพันธ์กับทุกแคว้นเสียเลย

เจ้าชายตุลธรธิบดีทรงได้รับเข็มตรานี้ในยามที่ทรงสูญเสียพระมารดา หากวันนี้จะไม่ทรงยอมสูญเสียใครอีก

“นำเข็มตรานี้ไปถวาย เราจะรอที่นี่”

วรองค์สูงใหญ่ราวกำแพงยืนปักหลักอย่างมั่นคง ยืนยันคำพูดไปในตัว ผู้พิทักษ์คนนั้นจึงยอมเดินออกไปจากโถงรับรอง และไม่นานนักอัตติยะก็มาพบเขาแทน

“ขอประทานอภัย ที่วิหารต้อนรับไม่ดี เชิญเสด็จห้องรับรองก่อนดีกว่ากระหม่อม”

“เราต้องการพบมหาเทวนารี”

“ทรงถือศีลศักดิ์สิทธิ์ ละวางมาพบฝ่าบาทมิได้จริงๆ พระเจ้าค่ะ”

“ทหาร!” สุรเสียงก้องไปทั่วบริเวณ ไม่นานนัก ชายฉกรรจ์ในชุดปฏิบัติการพร้อมอาวุธก็ล้อมบริเวณรอบไว้ทั่ว

“พระทัยเย็นก่อน ถึงอย่างไรวิหารก็พร้อมจะยอมทำตามสิ่งที่ทรงร้องขออยู่แล้ว แต่หม่อมฉันขอทราบก่อนได้หรือไม่ว่าทรงต้องการพบมหาเทวนารีเพราะอะไร”

“เราต้องการให้อาจารย์อมราวดีข้ามไปสินธุรัฐกับเรา มิรามาลินทร์บาดเจ็บสาหัสและเธอต้องการยาที่นอกเหนือกว่ายาสามัญ ที่นี่มีหอเทพโบราณ มีตำรารักษาโรคหายากมากมายไม่ใช่หรือ”

“ถ้าเรื่องนี้ หม่อมฉันช่วยฝ่าบาทได้ หม่อมฉันจะนำไปเอง”

อัตติยะเอ่ยพลางนำเสด็จไป จอมพลตุลธรฯ ทรงพินิจบุรุษผู้กุมอำนาจแห่งวิหารกลางเอาไว้พลางรับสั่งถามขึ้นอย่างที่ทรงสงสัยมานาน

“เพราะเรา หรือ เพราะมิรามาลินทร์”

“เพราะเข็มตราทั้งสองชิ้นนั้นต่างหากพระเจ้าค่ะ”

บุรุษชาตินักรบทอดพระเนตรคนพูดด้วยอาการเชื่อครึ่งไม่ใช่ครึ่ง หากถ้าเป็นจริงก็นับว่าระบบการปกครองของมหาวิหารนั้นน่ากลัวเกินไป เข็มตราชิ้นเดียวพันธนาการคนคนหนึ่งไว้ ยามครอบครองนั้นได้ทุกอย่างดังใจ หากในยามที่ต้อง ‘คืน’ ไม่เคยเห็นใครยังมีลมหายใจอยู่สักคน!   

 



Don`t copy text!