เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 23 : โอกาส

เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 23 : โอกาส

โดย : ประดับยศ

Loading

เล่ห์พันธาภรณ์ นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย ประดับยศ กับเรื่องราวของ ‘มิรามาลินทร์’ หญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูมาโดยนักบวชในวิหารเทพ แต่แล้ววันหนึ่งเธอต้องหนีเอาชีวิตรอดเพื่อตามหาบุคคลในคำทำนายที่จะมาช่วยปกป้องวิหาร คนผู้นั้นคือใคร ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร อ่านได้ในเว็บไซต์ anowl.co และเพจ anowldotco

ท่ามกลางห้วงเวลาที่ไม่รู้ว่ากลางวันหรือกลางคืน ได้กลิ่นแต่สมุนไพรผสมยาฆ่าเชื้อ ช่างเป็นกลิ่นที่ผสมเอาความแสบจมูกที่แตกต่างได้อย่างชวนเวียนหัว และยิ่งเมื่อรวมกับเสียงสวดมนต์ที่ได้ยินแว่วทุกระยะ ก็ทำให้มิรามาลินทร์ชักจะไม่แน่ใจเสียแล้วว่า บัดนี้เธอยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว

และถ้าหากเธอมีโอกาสลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เธออยากจะทำอะไร

มิรามาลินทร์นอนนิ่ง ปล่อยให้สมองและความคิดทำงานไปเรื่อยๆ เจ้าชายธัชธาราจะทรงขึ้นครองราชย์เรียบร้อยหรือยัง อาจารย์จะได้กลับมาอยู่ที่วิหารเทพแล้วหรือไม่ และ…องค์จอมพลตุลธรฯ จะทรงทำอะไรอยู่ที่ค่ายจตุรทิศ

จะเสด็จลำธาร แอบไปหามุมสงบหลังค่ายอีกหรือไม่

จะเสด็จมหิศรปุระ ไปตำหนักมหาราชเพื่อทรงภาวนาบ้างหรือเปล่า

หรือจะเสด็จป่ากุหลาบพันปี ช่วยชีวิตคน แล้วพากลับไปค่ายจนวุ่นวายอีกหรือเปล่า

หญิงสาวคลี่รอยยิ้มอ่อนหวานให้กับความรู้สึกอาวรณ์ห่วงหาที่ค่อยๆ ซึมซาบลงในใจ ความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอ…คิดถึง คงจะดีไม่น้อยหากทรงเสด็จมาเยี่ยมเธอบ้าง

ในเวลาที่เรามองไม่เห็น แต่เราจะเห็น ในสิ่งที่ใช้อย่างอื่นมอง

เมื่อเราใช้ดวงตา เราจะเห็นสิ่งต่างๆ ในแบบที่มันเป็น แต่เมื่อสองตาไม่อาจทำหน้าที่มองเห็น มีแต่ความมืดเท่านั้นที่เป็นทุกอย่าง แต่เธอกลับเห็นหลายๆ อย่างชัดเจนขึ้น ชัดเสียจนความมืดก็ไม่มีผลใดๆ เพราะสิ่งที่เธอเห็นคือหัวใจที่ยิ่งใหญ่ของผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายที่ทำให้เธอมองเห็นทุกอย่างได้ชัดแม้จะต้องอยู่ในความมืดมิดไปตลอดกาล

กว่ามิรามาลินทร์จะรู้ตัวว่าเธอร้องไห้ ก็เมื่อปลายนิ้วที่สัมผัสหางตาเธออย่างอ่อนโยน

“ลองตื่นมาคุยกันสักหน่อยไหมว่าร้องไห้ทำไม”

เจ้าของสุรเสียงเข้มกระซิบถามอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงสั่นพร่าอย่างมิอาจควบคุมได้ ในยามที่ประคองดวงหน้าซีดเซียวที่พยายามกะพริบตาหากมิอาจมองสบเนตรพระองค์ได้

“เราอยู่ตรงนี้มิรา…อยู่ตรงนี้ ไม่เคยไปไหนเลย”

 

วันเวลายังคงหมุนเวียนไปตามหน้าที่ไม่เคยหยุด วิหารเทพเต็มไปด้วยผู้คนคลาคล่ำอีกครั้งเมื่อทุกคนได้รับทราบข่าวว่า งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระราชาธิบดีพระองค์ใหม่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้จะใช้น้ำจากบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ในการประกอบพระราชพิธีสรงพระมูรธาภิเษกและพระราชพิธีถวายน้ำอภิเษก ดังนั้นชาวบ้านเมืองอัมพุจึงได้มีโอกาสเฝ้ารับเสด็จอยู่บ่อยครั้ง และไม่ใช่แค่เจ้าชายจากสินธุรัฐ เพราะเจ้าชายตุลธรธิบดีจอมพลแห่งศิขราชก็เสด็จมาปักหลักที่วิหารเทพเช่นกัน โดยมีชาวบ้านที่มาคอยเฝ้ารับเสด็จเพื่อแสดงความซาบซึ้งต่อพระมหากรุณาธิคุณที่ทำให้พวกตนได้กลับมาอาศัยที่บ้านของตนอีกครั้งอย่างร่มเย็นเป็นสุข รวมทั้งปรมะและปาราวตีที่ได้โฉนดที่ดินคืนมาเรียบร้อยแล้วและคอยมาเฝ้ารับเสด็จก่อนใครเพื่อนในทุกวัน

วรองค์สูงเพรียวเสด็จพร้อมกับอาจารย์เทวนารีเพื่อสวดอธิษฐานที่หอมนตราในทุกเช้า ทำให้ข้าราชบริพารและชาวบ้านในบริเวณนั้นก็ร่วมสวดมนต์ไปด้วยโดยปริยาย วิหารเทพจึงได้กลับมาทำหน้าที่เป็นเทวสถานอันศักดิ์สิทธิ์และกลับมาเป็นศูนย์รวมจิตใจอีกครั้ง เพราะคำภาวนาอธิษฐานที่ทุกคนล้วนแต่ยึดเหนี่ยวในสิ่งเดียวกัน…ขอให้ความสงบสุขจงบังเกิด

มิรามาลินทร์ต้องกลับมาสวมชุดส่าหรีสีขาวดั่งกุมารีผู้ทรงศีลอีกครั้งในระหว่างที่เริ่มพิธีสวดอธิษฐานภาวนา ลานกว้างในหอน้ำพุกลางวิหารนั้นถูกกั้นเป็นปะรำพิธีชั่วคราวสำหรับรักษากุมารีเป็นกรณีพิเศษ หญิงสาวก้าวลงไปแช่ในน้ำแร่ที่ถูกตักมาพักบนอ่างไม้สมุนไพรสำหรับรักษาร่างกายและผ่อนคลายจิตใจพร้อมกับภาวนาสมาธิไปด้วย โดยมีท่านอาจารย์เทวนารีและอลินาคอยจับประคองอย่างระวังเพราะดวงตาของเธอยังคงมีอาการพร่าและมองเห็นเพียงเลือนราง แต่สำหรับมิรามาลินทร์แล้วก็นับเป็นสัญญาณที่ดีที่เธออาจจะมีโอกาสจะกลับมามองเห็นอีกครั้ง

กว่าจะผ่านพิธีแช่น้ำศักดิ์สิทธิ์ในแต่ละวัน มิรามาลินทร์ก็แทบจะตัวเปื่อยซีดทุกครั้ง ดังนั้นเมื่ออาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็มักจะถูกพามายังโถงรับรองด้านหน้าวิหารที่มีเตาผิงขนาดใหญ่คอยจุดให้ความร้อนกำจายทั่ว และยังมีอีกบุคคลสำคัญอีกหนึ่งพระองค์ที่ถือเสื้อคลุมกันหนาวรอรับร่างเพรียวบางที่เดินเข้ามาร่วมแบ่งปันไออุ่นจากวรองค์สูงใหญ่นั้น

“ที่เธอต้องเป็นแบบนี้ เพราะเราใช่ไหม”

“เอาอีกแล้ว…ทรงถามแบบนี้ทุกวัน ไม่เบื่อบ้างหรือเพคะ”

“ก็เบื่อ แต่โกรธตัวเองมากกว่า เพราะเราดื้อดึงเรื่องสงคราม เธอเลยต้องฝืนตัวเองจนเป็นแบบนี้ใช่ไหม”

“ทรงอย่าโทษตัวเองเลยเพคะ หม่อมฉันแค่พยายามปกป้องทุกคนเท่าที่จะทำได้ หม่อมฉันไม่อยากให้ใครต้องสูญเสียครอบครัวไป การพลัดพรากสูญเสียมันทรมานสำหรับหม่อมฉันเหลือเกินเพคะ”

“เธอรู้แต่เธอก็ทำ…แล้วก็ลืมสงสารคนอย่างเรา ที่เกือบสูญเสียเธอไป”

“หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ”

“เราเลิกทรมานใจกันเสียทีดีไหม อยู่ด้วยกันดีๆ เสียที”

“จะทรงให้หม่อมฉันกลับไปอยู่ที่ค่ายทหารหรือเพคะ”

“ไม่…เธอต้องรักษาตัว เราจะอยู่ที่นี่ ที่วิหารเทพกับเธอ”

“จะทรงอยู่ได้อย่างไร แล้วค่ายจตุรทิศล่ะเพคะ”

“ทำไมจะอยู่ไม่ได้ ธัชธาราจะปิดชายแดนหรือไง”

“ไม่ปิดพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันจะเปิดทางถวายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลย” พระรัชทายาททรงรีบออกตัวทันทีที่ก้าวเข้ามาได้ยินประโยคท้าย ก่อนจะวางนมอุ่นๆ ให้พระน้องนางที่รีบขัดขึ้นทันควันเช่นกัน

“ทรงอย่าสนพระทัยทางนี้นักเลย เข้าข้างกันแบบนี้ อีกหน่อยชาวเมืองอัมพุคงวุ่นวาย”

“ไม่วุ่นวาย เขาเรียกส่งเสริมเศรษฐกิจและการค้าชายแดนแบบไม่มีวันหยุดต่างหาก”

“แล้วเรื่องเหมืองเพชรล่ะเพคะ”

“ไม่ต้องห่วง พี่ชะลอโครงการพัฒนาเหมืองแร่ไว้ก่อน รอให้พี่หาทีมผู้เชี่ยวชาญและชาวบ้านทุกคนมีความพร้อมมากกว่านี้ค่อยทำก็ไม่สาย ส่วนตอนนี้ทุกคนได้บ้านคืนเรียบร้อย ยกเลิกการเวนคืนที่ดินทั้งหมดแล้ว”

“ขอบพระทัยแทนชาวอัมพุทุกคนเพคะ ต่อไปสินธุรัฐคงอยู่กันอย่างสงบร่มเย็นภายใต้พระบารมี”

“จะดีกว่านี้ถ้าเธอมาช่วยพี่ดูแลทุกคนด้วยกัน”

“ถ้าจะทรงใช้งานพระชายาปติของหม่อมฉัน” จอมพลตุลธรฯ ทรงขัดขึ้นทันที พลางทอดพระเนตรอีกฝ่ายเขม็ง

“ก็ต้องประทานอนุญาตให้หม่อมฉันมาด้วย”

“ฝ่าบาททรงทำตามสบายพระทัยได้ แต่ขอเป็นการส่วนพระองค์นะกระหม่อม ไม่เอาทั้งกองทัพตามเสด็จมา” ว่าที่สมเด็จพระราชาธิบดีทรงพระราชทานพระราชานุญาต พร้อมกับทรงรับรองความปลอดภัยทุกประการ

“ตอนนี้สินธุรัฐยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมาก โดยเฉพาะเรื่องการเมืองและการทหาร เราจะลงไปดูแลเอง”

“แล้วองค์ราชินีล่ะเพคะ” มิรามาลินทร์ถามถึงบุคคลที่เธอกังวล ซึ่งพระเชษฐาก็เข้าพระทัยดี

“ทรงจะไปประทับต่างประเทศสักระยะ”

“ทรงลงโทษหรือเพคะ”

“เปล่า…สมเด็จแม่ทรงอยากไปเอง พี่เองก็เห็นดีด้วย รอวันที่สมเด็จแม่ทรงพร้อมทั้งกายและใจมากกว่านี้ พี่ก็จะทูลเชิญท่านกลับบ้าน หวังว่าเธอคงจะไม่โกรธที่พี่เลือกทำแบบนี้”

“ทรงทำดีที่สุดแล้วเพคะ หม่อมฉันเองก็เห็นชอบด้วย” มิรามาลินทร์เอ่ยอย่างจริงใจ รู้ดีว่าพระเชษฐานั้นทรงเปี่ยมพระเมตตาและพร้อมให้อภัย ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่จะได้ยินพระกระแสรับสั่งถัดมาจากพระองค์

“พี่ลงโทษแค่พวกทหารที่ไม่หวังดีต่อราชบัลลังก์ ว่ากันไปตามความผิด ชั้นผู้น้อยพี่ก็ให้ออกมาทำงานต่อได้ถ้าหากว่าต้องการ แต่ถ้าใครอยากไปทำอาชีพอื่นก็ตามสะดวกใจ แต่ระดับนายพลขึ้นไป ขังคุกตลอดชีวิต”

“ใจดีเกินไป” องค์จอมพลตุลธรฯ ทรงเปรยขึ้นลอยๆ หากมิรามาลินทร์เอื้อมมือไปกุมพระหัตถ์เอาไว้ทั้งสองพระองค์พลางขอร้อง

“อย่าลงโทษชีวิตใครถึงชีวิตเลยนะเพคะ”

“ไม่มีโทษประหาร แม้แต่นายพลชาตรี” พระรัชทายาททรงรับปาก อีกพระองค์เลยต้องทรงจำยอมไปด้วย

“คุกของสินธุรัฐ จะตัดสินใจยังไงก็แล้วแต่เลย เราจะไม่ยุ่ง”

“ขอบพระทัยเพคะ”

มิรามาลินทร์ยิ้มรับก่อนจะอิงพักตร์ซบลงกับต้นพระพาหาแห่งจอมพลพระคู่หมั้น เป็นผลให้เจ้าชายตุลธรฯ ทรงแย้มพระสรวลกว้างแบบดีพระทัยสุดๆ ผิดกับพระเชษฐาที่ตอนนี้เริ่มพระพักตร์บึ้งตึงขึ้นก่อนจะทรงบ่นลอยๆ เช่นกัน

“อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ต้องทรงช่วยกันทำการทำงานบ้าง งานด้านระหว่างประเทศก็เยอะแยะ”

“ทรงไปคัดองคมนตรีที่ปรึกษาเอาเองเถิด เราไม่ว่าง ต้องเตรียมงานอภิเษกสมรส” จอมพลตุลธรฯ รับสั่งตอบหน้าตาย หากแววพระเนตรหวานซึ้งยิ่งยามทอดพระเนตรพระคู่หมั้น

“หม่อมฉันยังไม่ได้ตอบตกลงเลยนะเพคะ”

“ก็ตอบเลย มีพยานเป็นถึงว่าที่สมเด็จพระราชาธิบดี จะได้บิดพลิ้วไม่ได้”

“ไม่ตกลงเพคะ”

สิ้นคำตอบบรรยากาศก็ดูเหมือนจะอึมครึมขึ้นมาทันที องค์ว่าที่ราชาจึงรีบปลีกตัวอย่างทรงรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง ปล่อยให้ทั้งสองคนเคลียร์กันเองน่าจะดีกว่า

อึดใจถัดมาในโถงรับรองนั้นก็เหลือเพียงเสียงสวดมนต์กังวานมาไกลๆ ราวกับต้องการปลอบให้ใจเย็นๆ ต่อกัน

“ทำไม…” จอมพลตุลธรฯ ทรงไม่รู้ว่าจะถามเช่นไรให้มากเท่าความรู้สึกข้างในได้ สุดท้ายจึงกลายเป็นรับสั่งสั้นๆ นั้น

“หม่อมฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะหายดีเมื่อไหร่”

“นั่นไม่นับเป็นเหตุผลเลยมิรามาลินทร์”

“หม่อมฉันจะเป็นสิ่งด่างพร้อยในชีวิตของพระองค์”

“เธอคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของเราต่างหากมิรา”

รับสั่งพลางโอบร่างแบบบางของหญิงสาวมากอดไว้แน่นราวกับจะให้เสียงหัวใจที่เต้นระรัวอยู่ข้างในเป็นเครื่องยืนยันคำตอบ ทว่าคนที่จมอยู่กับความมืดนั้นกลับยิ่งกังวลและลังเล

“แต่หม่อมฉันแบ่งเบาภาระของพระองค์ไม่ได้เลย และสุดท้ายตัวหม่อมฉันเองจะกลายเป็นภาระที่สักวันก็จะทรงรำคาญ”

“เธอไม่ใช่ภาระเลยมิรามาลินทร์ เลิกคิดแบบนั้นไปได้เลย ถ้าจะมีใครที่เป็นภาระก็คงเป็นเรามั้ง ดูอย่างวันนี้สิ สมเด็จพระราชาธิบดียังหาว่าเราเป็นภาระอยู่เลยที่มาอาศัยวิหารของเธออยู่”

“ทรงไปฟังทำไม ก็แค่ทรงบ่นไปอย่างนั้นเอง”

“เห็นไหม…ไม่ว่าใครจะคิดเห็นอย่างไร นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าเราคิดอย่างไรหรอก”

“แต่หม่อมฉันมองไม่เห็น ไม่อาจรู้ได้เลยว่าทรงคิดเช่นไร”

“รัก…” ทรงประทานคำสารภาพและรอยจุมพิตแสนหวานที่ทรงพยายามอย่างยิ่งไม่ให้มากเกินไป …อย่างไรที่นี่ก็คือเขตวิหารเทพ หากเสียงหัวใจที่เต้นราวกับจะทะลุออกมานั้นก็พลอยทำให้สุรเสียงสั่นพร่าอย่างมิอาจควบคุมได้

“เธอเป็นคนเดียวในนี้…” หัตถ์หนากุมมือเรียวผ่องแตะตรงอุระ พลางกระซิบเสียงแผ่วราวกับต้องการให้ฟังเสียงจากหัวใจมากกว่าคำพูดที่เธอหวั่นเกรง

“หัวใจของเราไม่เคยที่จะมองเห็นใครเลย นอกจากเธอเป็นคนแรก…นับจากวันที่เราเจอกัน ฉันก็มองเห็นหัวใจตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่ไม่เคยรู้สึกเลยด้วยซ้ำ ว่ามันยังเต้นอยู่ ยังมีชีวิต ยังมีความรัก เป็นรักแรกและรักเดียว”

“แล้วสักวัน หากทรงไม่รัก…”

“หัวใจของเราอยู่ในกำมือเธอนี่ เราอนุญาตให้เธอทำตามสบายใจ”

รับสั่งพลางดึงมือนิ่มขึ้นจุมพิตอย่างอดใจไม่ไหว มิรามาลินทร์จึงแกล้งหยิกเข้าตรงพระทัยนั่นแหละ

“โอ๊ย…รังแกกันทำไม”

“ก็ทรงให้ทำตามสบายใจ”

“แย่แน่…มือหนักเสียด้วย ตอนฝึกรวมในค่ายได้อาบน้ำทั้งชุดทหารแน่ เดี๋ยวเขาจะรู้ว่าโดนพระชายา…รังแก”

“ทรงล้อหม่อมฉัน”

“ไม่ได้ล้อ กำลังพูดเรื่องจริง…ว่าเราจะอยู่ด้วยกันใช่ไหม”

“ก็ถ้าหากจะทรงอนุญาตให้หม่อมฉันทำตามสบายใจ หม่อมฉันก็คง…ตามเสด็จได้”

มิรามาลินทร์ตอบกลับพลางยิ้มกว้าง เพราะตอนนี้ถึงเธอจะยังมองไม่เห็นด้วยตา แต่เธอก็มองเห็นหัวใจของตัวเองชัดเจนแล้วเช่นกัน เพียงแต่มันไม่ได้อยู่กับเธอ แต่อยู่ในอ้อมอุระของคนตรงหน้าต่างหาก

หญิงสาวซบอิงแอบตัวและหัวใจลงในอ้อมกอดที่แสนอ่อนหวานและอบอุ่นนั้น ก่อนจะหลุดปากอุทานเสียงหลงเมื่อรับรู้ได้ว่าตัวเองถูกอุ้มออกไปพร้อมกับสุรเสียงทุ้มที่เที่ยวเดินบอกใครต่อใครตั้งแต่หน้าวิหารจนถึงท้ายวิหาร ว่าเธอตอบรับคำขอแต่งงานของพระองค์แล้ว

เมื่อใดรัก รักย่อมจัก มิผันแปร               เมื่อใดแล แลสองเนตร มิเป็นอื่น

เมื่อใดลา ลามินาน จักเร่งคืน               เมื่อใดตื่น ตื่นคะนึง ถึงพักตรา

เมื่อใดห่าง ห่างทางไกล ใจยังอยู่           เมื่อใดสู้ สู้เพียงเสียง สำเนียงหา

เมื่อใดรบ รบมิหวั่น ดินจรดฟ้า              เพื่อควรค่า เคียงมาลินทร์ แห่งหทัย

แม้จะยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะได้จัดงานอภิเษกสมใจ หากเมื่อคนสองคนต่างผูกพันธะแห่งหัวใจต่อกันแล้ว…พันธาภรณ์ใดๆ ก็มิอาจเทียบเท่าความรัก ที่เกาะเกี่ยวเป็นสายใยครองคู่ให้คงอยู่ด้วยกันจากนี้ไป…ตลอดกาล

 



Don`t copy text!