พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 13 : อุบัติเหตุ

พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 13 : อุบัติเหตุ

โดย : เด็กหญิงเจ้าสำราญ

Loading

พระเอกในใจตัวร้ายในจอ นวนิยายออนไลน์โดย เด็กหญิงเจ้าสำราญ จาก อ่านเอา เรื่องราวของดาวร้ายตัวพ่อวัย 82 แห่งวงการบันเทิงที่มีครอบครัวแสนอบอุ่น แต่ก้นบึ้งของหัวใจปรารถนาจะได้รับการให้อภัยจากเพื่อนรัก และเขาก็ได้โอกาสแก้ตัวให้กลับไปในปี พ.ศ.2512 แต่เป้าหมายไม่ใช่แค่เรื่องเพื่อนแต่ยังมีหญิงสาวที่เขาต้องคว้าเธอมาแนบใจให้ได้

ภาพเหตุการณ์วันที่เจตน์ชี้นิ้วไล่เขาออกจากห้องพักด้วยอารมณ์โกรธ และตัดขาดความเป็นเพื่อนกับเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน คำขอโทษและคำอธิบายที่ติดค้างถูกเก็บไว้ในก้นบึ้งของหัวใจมาตลอด 50 กว่าปี เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นเจตน์ก็ออกจากโรงพยาบาลโดยไม่มีใครติดต่อได้อีกเลย บ้านพักในกรุงเทพฯ ถูกปิด ช่วงปีแรกธงรบกลับไปตามหาเจตน์ที่บ้านเกิดเกือบทุกเดือน เพราะเชื่อว่าอย่างไรเสียเจตน์ก็ต้องกลับบ้านหรือติดต่อครอบครัว แต่ก็ไม่มีใครที่บ้านได้ข่าวคราว

ขึ้นปีที่ 2 เจตน์กลับไปอยู่ที่บ้านเกิดอย่างที่เขาคาดเดา เขาพยามขอเข้าบ้านไปพูดคุย แต่พี่ชายของเจตน์ หรือไม่ก็เข้ม เพื่อนในวัยเด็กของพวกเขามักจะเดินออกมาบอกหน้าบ้านว่าเจตน์ไม่สะดวกเจอใคร และที่ทำให้เขาเจ็บปวดเพิ่มมากขึ้นกับสิ่งที่เพื่อนรักต้องเจอก็คือ เสียงคำครหานินทาจากชาวบ้านที่พูดเข้าหูให้ได้ยินว่าเจตน์เป็นพระเอกตกอับ หน้าตาอัปลักษณ์ หมดทางไปเลยต้องกลับมาบ้าน ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกทุกข์ใจที่ได้ยิน เพราะเขาไม่สามารถอธิบายให้ชาวบ้านทุกคนได้เข้าใจ หรือกล้าพอที่จะช่วยอะไรเพื่อนได้เลย

ช่วงปีที่ 3 ในวันที่เจตน์ยอมเดินออกจากบ้านมาเจอเขา นั่นคงเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เขาไม่มีวันลืมใบหน้าที่ปรากฏร่องรอยของแผลเป็นนูนบนโหนกแก้ม กับคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคที่มันเกาะกินหัวใจเขาไปทั้งชีวิต

“ถ้าเอ็งยังคิดว่าข้าเป็นเพื่อน อยากเห็นข้ามีความสุข ก็อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีกเลย”

“แต่ข้าอยากให้เอ็งฟังข้าบ้าง ข้าไม่ได้วางแผนทำร้ายเอ็งอย่างที่เอ็งเข้าใจ” ธงรบพยายามขอโอกาส

“ไม่มีประโยชน์อีกแล้วธง เรื่องมันผ่านมาหลายปีแล้ว ข้าไม่อยากรื้อฟื้น” แม้เจตน์ในตอนนี้จะดูนิ่ง ใจเย็น ไม่เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธเหมือนในวันนั้น แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกกริ่งเกรงไม่ต่างไปจากวันที่โดนชี้นิ้วไล่ในวันนั้นเลย

เจตน์ยกมือแตะรอยแผลเป็นของตัวเอง “อย่างน้อยแผลเป็นนี้ก็ไม่ทำให้ข้าลืมเอ็ง อย่าเอาชีวิตดีๆ ของเอ็งมาให้ข้าเห็นอีกเลย ถือว่าข้อขอ…” ร่างสูงใหญ่ที่เขาเคยกอดคอหยอกล้อเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก หันหลังก้าวเดินเข้าบ้านไปอย่างมั่นคงอย่างคนที่ตัดสินใจดีแล้ว แต่เท้าทั้ง 2 ข้างของธงรบยังตรึงงอยู่กับที่ด้วยความรู้สึกเสียใจอันท่วมท้นที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้อธิบาย และรู้ทันทีว่ามิตรภาพความเป็นเพื่อนระหว่างเขากับเจตน์มันสิ้นสุดลงแล้วจริงๆ

 

ในร่างของตัวเอง พ.ศ.2512

“ธง…ไอ้ธง เอ็งฟังที่ข้าพูดอยู่หรือเปล่าวะ” ชาติเขย่าแขนเรียกธงรบ เมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้านั่งฟังเขาอย่างคนใจลอย

“เอ็งว่าอะไรนะ”

“ข้าบอกว่า ข้าบังเอิญไปได้ยินเสี่ยเขาคุยกับพี่เทอดว่าเขากำลังหาพระเอก…แล้วข้าก็คิดว่าเอ็งเหมาะกับบทพระเอกเรื่องนี้ ข้าเลยคิดว่าข้าช่วยเอ็งได้” ชาติเล่าซ้ำด้วยความรวบรัด

“ไม่ว่าเอ็งคิดจะทำอะไรข้าไม่เอาด้วย…ข้าไม่อยากเป็นพระเอก” ธงรบพูดในสิ่งที่ใจคิด 50 กว่าปีที่ผ่านมาเขามีความสุขดีกับการเป็นดาวร้าย ถ้าปาฏิหาริย์ใดๆ ทำให้เขาย้อนเวลากลับมาในช่วงเวลานี้ เขาก็ควรใช้โอกาสนี้แก้ไขมัน

“อะไรของเอ็งวะ…เมื่อกี้เอ็งยังบอกอยากเป็นพระเอก…ตอนนี้บอกไม่อยาก” ชาติเริ่มงงกับคำพูดกลับไปกลับมาของชายหนุ่มตรงหน้า

“นั่นมันเมื่อกี้ แต่ตอนนี้ไม่อยากแล้ว” ธงรบเสตอบ จะเล่าให้ชาติฟังได้ยังไงว่าเขาตอนนี้ กับตัวเขาในตอนนั้นมันไม่เหมือนกัน ชิชะ…ไอ้เด็กเมื่อวานซืน

“แต่นี่มันโอกาสเลยนะ…เอ็งรู้ไหมบทประพันธ์เรื่องวิมานพยัคฆ์ของคุณแก้วระย้านี่ ตอนลงเป็นตอนๆ ในนิตยสารนี่คนอ่านติดกันงอม หนังสือก็ขายดีจนหมดแผง” ชาติพยายามโน้มน้าว “แล้วยิ่งคุณแก้วระย้ายอมให้เสี่ยกำจรเอามาทำเป็นหนัง ข้าเชื่อว่าต้องดังทั้งหนัง ทั้งดาราที่เล่น โดยเฉพาะบทพระเอก”

ธงรบนิ่งฟังชาติอย่างใจเย็น เขาในวันนี้ไม่ใช่ชายหนุ่มอารมณ์ร้อนที่จะหลงเชื่อใครง่ายๆ อีกแล้ว เขาเป็นชายวัย 82 ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาทั้งชีวิต ชาติเวลานี้ก็เหมือนเด็กรุ่นลูกรุ่นหลานเขาคนหนึ่ง ที่ทำอะไรโดยไม่คิด เอาอารมณ์ความอยากเป็นที่ตั้ง มากกว่าจะมองไกลไปถึงผลเสียที่ตามมาอย่างที่เขาประสบกับตัวเองมาแล้ว

ธงรบมองหน้าชาติ…ถ้าโอกาสนี้เขาได้แก้ไขความเข้าใจผิดในสิ่งที่ทำกับเจตน์ และช่วยให้ชาติไม่ต้องทำในสิ่งที่ผิดพลาด..บางทีเขากับเจตน์คงยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ชาติก็อาจไม่ต้องถูกตำรวจจับก็เป็นได้ แล้วตัวเขาก็อาจจะได้กลับไปมีชีวิตปกติอย่างคนอายุ 82 ไม่ใช่คนที่ติดอยู่ในร่างของตัวเองในวัย 27

“ถ้าข้าอยากเป็นพระเอก…เอ็งจะช่วยข้ายังไงวะ” ธงรบลองถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบ

“ข้าคิดว่าถ้าเราทำให้เจตน์บาดเจ็บนิดหน่อยจากการถ่ายทำ…แล้วต้องพักฟื้นสักอาทิตย์ บทพระเอกก็น่าจะเป็นของเอ็ง”

“แล้วถ้าทุกอย่างมันไม่เป็นไปตามแผน?”

“เราก็ทำให้มันเป็นไปตามแผนสิวะ…วันสุดท้ายที่เราถ่าย มีแต่ฉากบู๊ทั้งนั้น” ชาติให้เหตุผล “แล้วถ้าเอ็งได้เป็นพระเอก ข้าไม่ขออะไรมาก ขอแค่เอ็งช่วยพูดกับเสี่ยกำจรให้ข้าได้เล่นเป็นดาวร้ายเรื่องนี้ด้วยได้ไหม ข้าเบื่อจะเล่นบทคนดี เป็นเพื่อนพระเอก…พระรองเต็มทีแล้ว” คำพูดเหล่านี้หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงเชื่อสนิทใจแต่ตอนนี้เขาทำได้แค่ยิ้มรับให้กับคำโกหกนั้น พร้อมพูดในสิ่งที่คิดว่าชาติคงไม่อยากได้ยิน

“ข้าว่าเราต่างคนต่างไปทำหน้าที่ในบทบาทที่เราได้รับให้ดีดีกว่า…อย่าไปคาดหวังกับอะไรที่ยังมาไม่ถึง จะผิดหวังเอาซะเปล่าๆ”

“แปลว่า เอ็งจะไม่ทำอะไร…แล้วปล่อยให้โอกาสมันหลุดลอยไปทั้งๆ ที่เห็นมันอยู่ตรงหน้าน่ะหรือ” ชาติชายเริ่มไม่เข้าความคิดและอารมณ์ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของธงรบ ก่อนหน้านี้ยังมีทีท่าเห็นดีเห็นงาม ตอนนี้ทำทีเหมือนจะไม่อยากทำอะไร

“บางทีการมีความฝันมันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะสมหวังเสมอไปนะ” นานมาแล้วคมเดชเคยพูดประโยคนี้กับเขา ทำให้เขายอมรับความจริงและตัดสินใจที่จะไม่ทำในสิ่งที่ชาติปรารถนา ขนาดตัดสินใจไม่ทำ เขายังเสียเพื่อนรักแบบจากเป็นไปนานกว่า 50 ปี หลายครั้งที่เขายังต้องคอยปลอบใจที่โชคยังเข้าข้างไม่ปล่อยให้เขาถลำตัวร่วมมือไปกับชาติ มิเช่นนั้นเขาคงไม่มีหน้าไปสู้ใครและความรู้สึกผิดคงกดทับเขาไว้ทั้งชีวิตมากกว่านี้

“ข้ารู้นะว่าเอ็งไม่ได้อยากเป็นดาวร้ายหรอก” ธงรบมองชายหนุ่มหน้าตาดี ที่ชอบแต่งตัวเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าตรงหน้าด้วยแววตารู้ทัน เพราะเขาเคยตกอยู่ในช่วงเวลานี้มาแล้วเพียงแต่ตอนนั้นเขามองมันไม่ชัดอย่างตอนนี้ รูปลักษณ์ภายนอกที่หล่อเหลาดูดี มันก็เป็นแค่เปลือกที่ห่อหุ้ม เมื่อกะเทาะเปลือกออกสิ่งที่อยู่ข้างในต่างหากคือสิ่งที่บอกคุณค่าของมนุษย์คนหนึ่ง

“เอ็งจะมารู้ดีไปกว่าข้าได้ไง” ชาติเริ่มระแวง…หรือว่าธงรบจะรู้ว่าเสี่ยกำจรมีเขาเป็นตัวเลือกด้วย

“มันไม่ผิดนะชาติ…ที่คนเราจะมีความฝัน มีความทะเยอทะยาน” ธงรบมองชาติด้วยแววตาแห่งความปรานีที่ผ่านโลกมามาก “แต่เราต้องไม่ทำร้ายใครเพื่อให้ได้ความฝันหรือโอกาสนั้นมา ถ้าต้องทำร้ายใคร ต่อให้ความฝันนั้นมันอยู่ในมือข้า ข้าก็ปล่อยทิ้งได้ เพราะข้าเชื่อว่าถ้าความฝันมันอยู่กับเรา มันต้องอยู่กับเราด้วยความสง่างาม”

“พูดเป็นคนแก่รอความตายไปได้…ถ้าเราไม่สู้เพื่อความฝัน เราจะได้มันมาได้ยังไงวะ เอ็งนี่ประหลาด” ชาติเริ่มหงุดหงิดที่ธงรบไม่มีทีท่าว่าจะเห็นด้วยหรือคล้อยตามไปกับแผนการที่เขาวางไว้

“เอ็งอยากเป็นดาวร้ายไปตลอดก็เรื่องของเอ็ง ข้าผิดเองที่เสือกหวังดี” ชาติแกล้งตัดพ้อตัวเอง หวังให้ธงรบเปลี่ยนใจ หากแต่คำตอบของธงรบก็ทำให้เขายิ่งขัดใจ

“เอาเป็นว่าข้ายังยืนยันคำเติม และจากนี้ไปข้าจะจับตาดูเอ็ง ถ้าเอ็งทำให้เจตน์มันเจ็บ ข้าคงไม่ปล่อยเอ็งไว้เหมือนกัน” ธงรบขู่ด้วยน้ำเสียงและแววตาที่เอาจริง

 

หลังจากวันนั้นธงรบก็ทำอย่างที่พูด เขาจับตาดูชาติตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันในกองถ่าย ไม่ว่าชาติจะกินข้าว หรือนั่งคุยกับใคร ชาติมักจะรู้สึกได้ว่าธงรบคอยมองเขาอยู่ตลอด ไม่ก็เสนอหน้าเข้าไปร่วมวงด้วยเสมอๆ จนเขาเริ่มอึดอัด

“เอ็งเลิกตามติดข้าซะทีได้ไหมวะธง”

“ก็ข้าไม่ไว้ใจเอ็ง”

“ไม่ไว้ใจเรื่องอะไร” ชาติทำไขสือ

“เรื่องอะไรก็ได้ที่เอ็งคิดจะทำ…โดยเฉพาะเรื่อง…บทพระเอกของเสี่ยกำจร แล้วทำให้เพื่อนข้าต้องเจ็บตัว”

“ข้าไม่ได้คิดทำอะไรแล้วโว้ย…เอ็งไม่อยากเป็นพระเอกก็เรื่องของเอ็ง มันไม่เกี่ยวอะไรข้า” ชาติโวยวาย เขายอมรับว่ารู้สึกผิดหวัง ที่ธงรบจะไม่ยอมหลงกลไปกับแผนที่เขาวางไว้ แต่คนอย่างเขาก็ไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ง่ายๆ อีกไม่กี่วันการถ่ายทำก็จะเสร็จแล้ว ในเมื่อโอกาสที่จะได้เป็นพระเอกมันอยู่ไม่ไกล เขาคงไม่โง่พอที่จะปล่อยมันไปเหมือนที่ธงรบบอกหรอก

“ถ้าเอ็งคิดได้อย่างนั้นก็ดี” ธงรบยิ้ม และพยายามคิดหาคำพูดที่จะทำให้ชาติเลิกหวังในบทเพราะเอกด้วยการพูดดวามจริงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเพียงส่วนหนึ่งให้ชาติฟัง

“เอ็งเชื่อข้า…สุดท้ายก็ไม่มีใครได้เป็นพระเอกในหนังเรื่องนี้ของเสี่ยกำจรหรอก”

“เอ็งรู้ได้ไง…อย่ามาพูดพล่อยๆ บทเขาออกจะดี เสี่ยเขาก็ทุนหนา ใครก็อยากมาเล่นเป็นพระเอกทั้งนั้น” ชาติสวนขึ้นทันควัน

“เออ…ข้ารู้ละกัน เป็นพระเอกมันไม่สนุกหรอก” ธงรบยักไหล่ นึกถึงวันที่เขาได้เป็นพระเอก แต่ก็เป็นพระเอกได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง เพราะสุดท้ายหนังเรื่องนี้ก็พับไปกลางทาง แถมในอนาคตก็ไม่เห็นมีใครจำเขาได้ในฐานะพระเอกเลย

“ข้าว่า…เป็นดาวร้าย เป็นพระรอง หรือเป็นตัวตลก ที่เล่นไปตามบทบาทที่ตัวเองได้รับให้เต็มที่ดีกว่าเยอะ ไม่ต้องเป็นพระเอกหรอก เป็นตัวร้าย เป็นตลกเนี่ยแหละ ดีไม่ดีได้เป็นตำนานด้วยนะ…เชื่อข้า” ธงรบนึกถึงนักแสดงหลายคนในวงการที่แม้ไม่ได้เป็นพระเอกนางเอก แต่เป็นแค่ดาวร้าย หรือดาวตลก ถึงจะล่วงลับลาโลกไปแล้ว ผู้คนรุ่นหลังก็ยังชื่นชมและพูดถึงบทบาทการแสดงอย่างไม่มีวันลืม

“ตำนง ตำนานอะไรของเอ็ง…ข้าไม่เห็นจะเข้าใจ…เอ็งเลิกยุ่งกับชีวิตข้าสักทีได้ไหม”

“ได้…แต่เอ็งรับปากข้าเรื่องหนึ่งก่อน”

“เรื่องอะไร”

“ก็รับปากว่าเอ็งจะเล่นตามบทบาทของเอ็งให้ดี ไม่คิดวางแผนทำอะไรที่ไม่ดี โดยเฉพาะทำให้เพื่อนข้าเจ็บ” สีหน้าและแววตาที่พร้อมเอาเรื่องและย้ำเรื่องเดิมๆ ของธงรบ ทำให้ชาติเริ่มคิดทบทวนแผนการของตัวเองในใจใหม่ และก้มลงมองมือขวาของธงรบที่ยื่นมาตรงหน้าเขา

“อะไรของเอ็งอีก” ชาติมองมือของชายหนุ่มอย่างรำคาญเต็มทน

“ก็ขอคำมั่นแบบลูกผู้ชายไง” ชาติจับมือนั้นแบบผ่านๆ ก่อนสะบัดออกด้วยความหงุดหงิด “เออๆ…เอ็งมันบ้าไปแล้วไอ้ธง”

วันถ่ายทำฉากสุดท้ายของภาพยนตร์เรื่องจอมใจไกลปืนเที่ยง เทอดเรียกนักแสดงหลักและนักแสดงประกอบทุกคนมาซักซ้อมทำความเข้าใจกับฉากต่างๆ เหมือนเหตุการณ์ที่เคยเป็นในอดีต ระหว่างที่เทอดกำลังถ่ายฉากพระเอกนางเอกง้องอนปรับความเข้าใจกัน ธงรบก็รีบเดินตรงไปยังบริเวณที่ทีมงานเตรียมรถยนต์และมอเตอร์ไซค์สำหรับใช้ในการเข้าฉากไล่ล่าระหว่างเขากับเจตน์ ทันทีที่เห็นชาติอยู่ในบริเวณนั้นความรู้สึกไม่ไว้ใจก็ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง หากครั้งนี้เขาจะไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นง่ายๆ อีกแล้ว

“ธง…เอ็งเห็นรถที่เอ็งจะใช้ขับหรือยัง” ชาติผายมืออวดรถยุโรป 2 คัน ที่จอดคู่กัน ใกล้ๆ มีมอเตอร์ไซค์จอดเรียงอยู่อีก 4-5 คัน สำหรับใช้ในการเข้าฉาก เหมือนที่เขาเคยเห็นมาแล้วในอดีต ธงรบเอามือวางบนหลังคารถยนต์และลูบมันเบาๆ อย่างที่เคยทำ แต่ครั้งนี้เขาเลือกที่จะเดินวนดูรอบๆ รถอย่างสำรวจ “คันนี้ของข้าหรือของเจตน์วะ”

“คันนี้ของไอ้เจตน์มัน ส่วนของเอ็งก็คันโน้น…ถามทำไมวะ”

“ก็พอเข้าฉากมันต้องถูกใช้งานแบบสมบุกสมบันน่ะสิ” ธงรบลูบตัวรถที่เจตน์ต้องใช้ขับอย่างครุ่นคิด

“เอ็งเสียดายเหรอ เดี๋ยวพี่ๆ เขาก็เอาไปซ่อมให้มันกลับมาใช้งานได้…” ชาติตอบอย่างเป็นเรื่องปกติ

“ไหนๆ เอ็งก็มาแล้ว มาช่วยตรวเช็กรถด้วยกันเลยไหม” ชาติเอ่ยชวน “เอ็งมันเป็นช่างด้วยเผื่อช่วยอะไรทีมงานได้”

“ด้วยความเต็มใจเลยวะ” ธงรบรีบรับตอบรับ “เดี๋ยวข้าจะช่วยเช็กอย่างละเอียดเลย”

“มีเอ็งเป็นช่างก็ดีอย่างนี้นี่เอง” ชาติยิ้มให้ หากแต่ธงรบมองรอยยิ้มที่ส่งมาของชาติด้วยความรู้สึกตะขิดตะขวงและไม่ไว้วางใจ

 

“เป็นไงบ้างทุกคน..เรียบร้อยดีไหม” เสียงเทอดทักทายทีมงานที่กำลังง่วนอยู่กับการตรวจเช็กความเรียบร้อยของรถดังขึ้น “อ้าว…ธง มาอยู่นี่เอง พี่ก็นึกว่าหายไปไหน”

“พอดีผมว่างๆ ก็เลยมาช่วยทีมงานเขาเช็กรถที่พี่จะใช้ถ่าย”

“ดีๆ ขอบใจมาก พี่ว่าพี่จะถ่ายฉากที่เจตน์กับธงขี่มอเตอร์ไซค์ก่อนดีกว่า แสงกำลังดี” เทอดบอก

“เก็บฉากใหญ่ไว้ถ่ายท้ายสุด จะได้ปิดกล้องกลับบ้านไปพักผ่อนกันซะที…เออ แล้วนี่เห็นชาติบ้างไหม”

ธงรบเหลียวมองไปรอบๆ และเริ่มตกใจที่ไม่เห็น ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ชาติยังป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ให้เด็กไปหามันเอง” เทอดตัดบท “เอ็งก็ไปไป๊…ล้างไม้ล้างมือเตรียมตัวเข้าฉาก” เทอดดันตัวธงรบให้ออกห่างจากตัวรถ พร้อมตะโกนสั่งทีมงานที่เหลือ “ส่วนพวกเอ็งก็เอารถไปเตรียมรอในฉากได้เลย” ทันทีที่เทอดเดินไป ธงรบก็รีบเดินตรงไปล้างมือเพื่อที่จะได้ไปตามหาชาติ แต่กลายเป็นว่าเขาพบชาติกำลังยื้อยุดหนังสือพิมพ์กับคมเดชอยู่หน้าห้องน้ำ

“พวกเอ็งสองคน มาทำอะไรกันตรงนี้วะ”

“ไอ้คมน่ะสิ จู่ๆ มันก็มาแย่งหนังสือพิมพ์ในมือข้า” ชาติพยายามดึงหนังสือพิมพ์ในมือคมเดช

“ก็ข้าจะเข้าห้องน้ำ” คมเดชเริ่มงอตัวตอบเสียงแผ่ว “ข้าเห็นมันออกมาจากห้องน้ำแล้ว ก็จะยืมหนังสือพิมพ์เข้าไปอ่านสักหน่อย”

“แต่ข้าไม่ให้ ข้ายังอ่านไม่จบ” ชาติแกล้งคมเดชด้วยการดึงหนังสือพิมพ์มาไว้ข้างตัว

“ข้ามีเรื่องจะคุยกับเอ็ง” ธงรบตัดบทพร้อมดึงหนังสือในมือชาติส่งให้คมเดชเข้าห้องน้ำ

“คุยอะไรอีกวะ…คุยเรื่องเดิมๆ ว่าข้าคิดวางแผนจะทำโน่นทำนี่ ข้าไม่มีอะไรจะคุยแล้วนะ เพราะมันไม่ใช่เรื่องของข้า” ชาติเริ่มหงุดหงิดและทำน้ำเสียงจริงจัง จนธงรบเริ่มไม่แน่ใจว่าเขาระแวงชายตรงหน้ามากเกินไปหรือเปล่า ชาติอาจจะเปลี่ยนใจคิดร้ายต่อเจตน์แล้วจริงๆ ก็ได้

“ใจคอเอ็งจะมาตามเฝ้าข้าทั้งตอนขี้ ตอนเยี่ยวเลยหรือไงวะ”

“พี่เทอดให้ข้ามาตามเอ็งไปเข้าฉาก” ธงรบแก้ตัว ก่อนลากชาติเดินออกไปพร้อมกัน โดยไม่ลืมตะโกนบอกชายหน้าหนวดที่ทำธุระสำคัญอยู่ในห้องน้ำ พร้อมอ่านคอลัมน์ประจำในหนังสือพิมพ์ด้วยความเบิกบานใจ “เอ็งด้วยไอ้คม…รีบๆ ออกมา” 

 



Don`t copy text!