พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 9 : แผนการ

พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 9 : แผนการ

โดย : เด็กหญิงเจ้าสำราญ

Loading

พระเอกในใจตัวร้ายในจอ นวนิยายออนไลน์โดย เด็กหญิงเจ้าสำราญ จาก อ่านเอา เรื่องราวของดาวร้ายตัวพ่อวัย 82 แห่งวงการบันเทิงที่มีครอบครัวแสนอบอุ่น แต่ก้นบึ้งของหัวใจปรารถนาจะได้รับการให้อภัยจากเพื่อนรัก และเขาก็ได้โอกาสแก้ตัวให้กลับไปในปี พ.ศ.2512 แต่เป้าหมายไม่ใช่แค่เรื่องเพื่อนแต่ยังมีหญิงสาวที่เขาต้องคว้าเธอมาแนบใจให้ได้

 

“พี่กระชากแขนขวัญแรงไปไหม ขวัญเจ็บหรือเปล่า” ธงรบคว้าข้อมือของขวัญชีวาขึ้นมาพิจารณา และเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อถ่ายทำฉากที่เขาต้องกระชากตัวหญิงสาวให้ตามแรงเขาไป เพื่อจับมัดมือมัดเท้าและขังไว้ภายในกระท่อมที่ถูกทีมงานเนรมิตให้เป็นบ้านร้างภายในโรงถ่ายเสร็จ

“ฉันไม่เป็นไรค่ะ” ขวัญชีวาใช้มืออีกข้างของปลดมือใหญ่ออกอย่างสุภาพ จนธงรบถอนหายใจ

“เมื่อไหร่ขวัญจะพูดกับพี่ดีๆ เหมือนที่คุยกับเจตน์ คุยกับทุกคน” ธงรบตัดพ้อทั้งน้ำเสียงและแววตา

“ตรงไหนที่คุณธงคิดว่าฉันพูดไม่ดีคะ” ขวัญชีวาตีหน้าซื่อ นับตั้งแต่วันที่ธงรบสารภาพความในใจกับเธอจนเธอตั้งตัวแทบไม่ทัน ก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเก้อเขินวางตัวไม่ถูกเมื่อต้องอยู่ต้องอยู่ต่อหน้าเขา และถึงไม่อยู่ต่อหน้า ทุกครั้งที่เธอพูดคุยหรือเข้าฉากกับเจตน์ เธอก็จะรู้สึกได้ว่ามีสายตาคมคู่คมของชายหนุ่มเฝ้ามองมาที่เธอตลอด และเหมือนดวงตาคู่นั้นแอบซุกซ่อนอะไรไว้มากมาย

“วันนี้พี่ซื้อขนมกลีบลำดวนที่ขวัญชอบมาให้ด้วยนะ ได้ชิมหรือยัง ร้านดังตรงเทเวศน์เลย” ธงรบบอกเธออย่างเอาใจ อย่างน้อยวันนี้เขาก็เห็นเธอกินขนมที่เขาซื้อมาด้วยท่าทีเบิกบาน

“ใครบอกคุณธงคะว่าฉันชอบขนมกลีบลำดวน” ขวัญชีวาทำหน้าประหลาดใจ เพราะเธอไม่เคยบอกใครเรื่องนี้ ยิ่งเมื่อสบสายตาของเขาที่รู้ว่าเธอได้กินมันแล้ว ก็ยิ่งให้รู้สึกเขินอายที่ไม่รู้จักถามไถ่ว่าขนมนั้นเป็นของใคร

“พี่ก็…เดาเอา…แต่ถ้าขวัญชอบพี่ก็ดีใจ” ธงรบรีบส่งยิ้มพร้อมสายตากรุ้มกริ่มให้หญิงสาวร่างเล็กที่รีบหมุนตัวเดินหนีไปด้วยความเขินอายโดยที่เขาเองก็ไม่คิดที่จะเดินตามไป เอาวะ…จะยุคไหนสมัยไหนก็ช่าง อย่างน้อยน้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน สุภาษิตนี้มันต้องใช้ได้เสมอสิ

“ข้าว่าเอ็งเผื่อใจไว้มั่งก็ดีนะ…อย่างเอ็งคงเป็นได้แค่ดาวร้าย ไม่มีโอกาสได้เป็นพระเอกในชีวิตจริงของน้องขวัญเหมือนไอ้เจตน์มันหรอก..” คมเดชที่เห็นเหตุการณ์อยู่ไม่ไกลเดินเข้ามาแซวด้วยการเอาไหล่ชนแขนธงรบ เมื่อเห็นทั้ง 2 พูดคุยกันได้ไม่นานแล้วหญิงสาวเลือกที่เดินหนีไป

“ฝันไปเถอะ ข้าไม่อยู่เป็นดาวร้ายกับเอ็งหรอกไอ้คม ข้าจะเป็นพระเอกในใจเขาให้เอ็งดู” ธรรบหมายมั่น เพราะอย่างน้อยในอนาคตข้างหน้าเขากับขวัญชีวาก็ได้ใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความรักเคียงคู่กันจนนาทีสุดท้ายของชีวิต เพียงแต่วันนี้เขาก็แค่ต้องพยายามทำให้ขวัญชีวารักเขาอีกครั้ง

“ว่าแต่เอ็งเถอะ…เคยคิดอยากเป็นพระเอกกับเขามั่งไหม อย่างน้อยไปไหนมาไหนก็มีแต่คนรัก…ไม่เหมือนเป็นดาวร้ายไปไหนก็มีแต่คนเกลียด” ธงรบเอ่ยถามชายข้างตัว

“เอ็งนี่ไม่รู้อะไรซะแล้ว…ข้าออกจะชอบ ยิ่งคนเกลียดเยอะเท่าไหร่ แสดงว่าข้านี่เล่นได้สุดยอด ถึงจะลำบากเวลาไปไหนมานั่น ซื้อของแล้วเขาไม่ขายให้ โดนเขวี้ยงของใส่บ้าง มันก็เจ็บตัวไปอีกแบบ” คมเดชหัวเราะชอบใจในความซาดิสม์ของตัวเอง

“เอ็งนี่มันพิลึกคนจริงๆ”

“ดาวร้ายมือใหม่ๆ อย่างเอ็งอะ เอาแค่ให้เด็กๆ เห็นแล้วร้องไห้จ้าให้ได้แบบข้าก่อนเหอะ อย่าเพิ่งจะมาริเทียบชั้นกับข้า” คมเดชลูบหนวดอย่างทะนงในฝีมือการแสดงของตน

“แล้วข้าจะบอกเอ็งให้นะธง ไม่ว่าจะพระเอกหรือดาวร้ายมันก็แค่บทบาทการแสดง สำคัญที่ข้างในเอ็งต่างหากว่าเอ็งอยากเป็นอะไร” คมเดชเอานิ้วจิ้มไปที่หัวใจของธงรบ ถึงเขาจะดูตลก ไร้สาระ แต่เขาคิดว่านี่เป็นเรื่องจริงที่เขาอยากให้เพื่อนคิดและรู้สึกเหมือนเขา

“เอ็งนี่มันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ” ธงรบชมเพื่อนจากใจจริง 50 กว่าปีก่อนคมเดชก็เคยพูดประโยคนี้ใส่หน้าเขา แต่เขาไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่เพื่อนพูดจนกระทั่งวันนี้ที่เขาได้กลับมาฟังมันอีกครั้ง

 

“วันนี้คนเยอะดีจัง” ธงรบเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นผู้คนมากมายทั้งชายหญิง ลูกเด็กเล็กแดงพยายามเบียดเสียดเข้ามารุมล้อมเพื่อดูการแสดง และการทำงานของพวกเขาบริเวณชานชลารถไฟ บ้างก็ยืนชะโงกตัวจากช่องหน้าต่างโบกี้รถไฟ บางก็แกล้งทำทีเดินไปเดินมาเพื่อจะได้เข้ามามีส่วนร่วมกับหนังของพวกเขา ซึ่งการถ่ายทำในวันนี้เป็นการยกกองถ่ายมายังสถานีรถไฟหัวลำโพง เพื่อให้ได้บรรยากาศที่สมจริง ในฉากที่พระเอกกับนางเอกจะต้องโดยสารรถไฟเพื่อหนีการตามล่าของดาวร้ายอย่างเขากับคมเดช

“นี่ขนาดพี่เทอดเขาให้ทีมงานไปช่วยกันคนให้เว้นระยะให้พอถ่ายทำได้แล้วนะ แต่ละคนปักหลักไม่ไปไหนเลย คงอยากเห็นดาวร้ายอย่างข้าใกล้ๆ” คมเดชเชิดหน้าลูบหนวดอย่างที่ชอบทำด้วยความภาคภูมิใจ

“ข้าละคิดถึงบรรยากาศไทยมุงแบบนี้…ต่อไปก็ไม่มีให้เห็นแล้ว” ธรงรบเปรยกับตัวเองเบาๆ เพราะหากเทียบไทยมุงในยุคสมัยนี้กับยุคสมัยใหม่แล้วนั้น ในยุคสมัยใหม่การพบเห็นดารานักแสดงตามสถานที่สาธารณะถือเป็นเรื่องง่ายและออกจะดูเป็นปกติสำหรับผู้คนมากกว่าในยุคสมัยนี้ ที่ดารานักแสดงส่วนใหญ่มักเก็บตัวและพยายามไม่ตกเป็นข่าว ด้วยการใช้ชีวิตเงียบๆ ไม่เปิดเผยตัวตนและชีวิตส่วนตัวในสถานที่สาธารณะ

มันเลยไม่ใช่เรื่องน่าแปลกถ้ายุคสมัยนี้ทุกคนจะตื่นเต้นกับการปรากฏตัวของดารานักแสดงที่พวกเขาชื่นชอบ ถึงขั้นยอมสละเวลาทำการทำงานของตัวเองเพื่อรอเฝ้าดู ดีไม่ดีตอนหนังฉายถ้ามีภาพของพวกเขาปรากฏอยู่ด้วย เรียกว่าเอาไปคุยต่อได้ตั้งแต่หัวซอยยันท้ายซอย  ไม่เหมือนการถ่ายทำในยุคสมัยใหม่ที่ผู้คนแวดล้อมที่ปรากฏอยู่ในฉากส่วนใหญ่คือนักแสดงประกอบแทบทั้งสิ้น

“คิดถง คิดถึงอะไร เอ็งเพิ่งจะออกมาถ่ายข้างนอกครั้งแรกไม่ใช่รึ…” คมเดชถามย้อนกลับด้วยความสงสัย “แล้วไทยมุงเยอะขนาดนี้ จะถ่ายหลบไม่ให้ติดพวกเขาก็ยากนะเอ็ง บางทีพี่เทอดเขาก็ต้องปล่อยเลยตามเลย เอ็งนี่ก็พิลึกคน”

“ก็นั่นแหละ..ข้าตื่นเต้นที่ได้เห็นคนมาดูเยอะๆ เขาจะได้จำเราได้ไง” ธงรบรีบแก้ตัว

“จะว่าไป…อีกไม่กี่วันก็จะถ่ายหนังเสร็จแล้ว ไอ้เจตน์ก็มีหนังเรื่องใหม่มารอให้เล่นแล้ว คิวทองซะยิ่งกว่าอะไร ส่วนน้องขวัญก็ต้องกลับไปเรียนต่อ เอ็งก็ต้องกลับไปทำงาน ข้าคงเหงาแย่เลย” คมเดชทำน้ำเสียงเศร้าสร้อยใส่ธงรบระหว่างที่กำลังนั่งรอเข้าฉาก

“อย่างเอ็งนี่นะเหงา…นี่เอ็งทำการแสดงกับข้าอยู่หรือเปล่าเนี่ย“ ธงรบใช้ศัพท์ที่วัยรุ่นในยุคสมัยใหม่ชอบใช้และมองคมเดชอย่างไม่เชื่อสายตา “เดี๋ยวเอ็งก็มีหนัง มีละครมาให้เล่นจนแก่คากองถ่าย แบบไม่มีเวลามาให้เหงาเลยละ..เชื่อข้า” ธงรบพูดในสิ่งที่ไม่เกินจริงถึงอนาคตของคมเดช พร้อมหัวเราะขำ

“นี่เอ็งแช่งให้ข้าแก่หรือให้กำลังใจกันแน่วะ”

“แล้วแต่เอ็งจะคิด ฝีมืออย่างเอ็ง ปากอย่างเอ็ง มันต้องอยู่ให้เป็นตำนานโว้ย ไม่ใช่มานั่งบ่นเหงาทำหน้าเหมือนหมาหงอย”

“โห…อยู่ให้เป็นตำนาน…ข้าชอบคำนี้ว่ะ…แสดงว่าเราต้องอยู่ในวงการนี้ไปอีกนานๆ เอ็งไปเอาคำพูดแบบนี้มาจากไหนวะ” คมเดชลูบหนวดทำสีหน้าเคลิ้มฝัน

ธงรบยิ้มขำกับท่าทางเพ้อฝันของคมเดช อยากจะบอกเพื่อนว่าในอีก 50 ปีข้างหน้าคมเดชยังต้องจะเจอคำแปลกๆ ศัพท์ใหม่ๆ อีกเยอะ “ข้าก็อ่านหนังสือจำเขามาอีกที”

“แล้ว…เอ็งอ่านพวกหนังสือเลี้ยงสัตว์ด้วยเหรอวะ ถึงรู้ว่าหมาหงอยหน้าตาเป็นไง”

“ก็หน้าแบบเอ็งเมื่อกี้นี้ไง” คราวนี้ธงรบถึงหัวเราะลั่นด้วยความชอบใจ

“เออ…เอ็งสังเกตไหมธง ว่าช่วงนี้เสี่ยกำจรแวะมาบ่อย จนข้านึกว่าเขาเป็นนายทุนให้หนังพี่เทอด” คมเดชทักขึ้น

“ข้าเคยบอกเอ็งแล้วว่าข้าไม่ชอบไอ้เสี่ยนั่น มันเป็นคนไม่น่าไว้ใจ” ธงรบสวนขึ้นทันทีเมื่อนึกถึงชายร่างท้วมเจ้าของบริษัทหนังเกริกเกียรติเกรียงไกร นั่นเพราะเขารู้จุดประสงค์ในการมาของเสี่ยกำจร

“เอ็งชอบอะไรบ้างวะธง” คมเดชถามความสงสัย “เอ็งรู้ไหม พวกนักแสดงทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่หลายคนอยากมาเล่นหนังกับเสี่ยกำจรจะตาย เพราะเสี่ยแกจ่ายดี ทำหนังเรื่องไหนหนังก็ดัง นักแสดงก็ดัง” คมเดชสาธยายขณะที่ธงรบตอบกลับแบบคนขวานผ่าซาก

“ข้าไม่เห็นอยากดัง…แล้วข้าก็จะฟ้องพี่เทอดด้วยว่าเอ็งบ่นว่าพี่เทอดให้ค่าตัวเอ็งสู้เสี่ยกำจรไม่ได้”

“ไอ้นี่ ข้าเปรียบเปรยโว้ย! พูดกับเอ็งแล้วปวดหัว…ข้าไปคุยกับน้องเลขาดีกว่า” คมเดชลุกขึ้นเบ้ปากพร้อมเดินหนี

“อ้าว…คม…จะรีบไปไหนวะ” ชาติที่เดินสวนคมเดชเข้ามามองหน้าถามธงรบ “หน้าตาบอกบุญไม่รับ ยังกะรีบไปตามควาย”

“ไอ้ชาติ! ข้าได้ยินนะเว้ย!” เสียงคมเดชตะโกนไล่หลังให้ได้ยิน จนสองหนุ่มหัวเราะ

“ข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเอ็ง” จู่ๆ ชาติก็พูดขึ้นอย่างเป็นการเป็นงาน

“เรื่องอะไรวะ ทำหน้าซะจริงจัง”

“ก็เรื่องที่เสี่ยกำจรเขามาที่กองถ่ายเราบ่อยๆ”  ธงรบหน้าตึงทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น เพราะรู้ว่าสิ่งที่ชาติจะพูดต่อไปคืออะไร “เอ็งรู้ใช่ไหมว่าเสี่ยเขาได้บทประพันธ์ของแก้วระย้ามาทำเป็นหนัง” ธงรบพยักหน้านิ่งฟัง

“ข้าบังเอิญไปได้ยินเสี่ยเขาคุยกับพี่เทอดว่า เขากำลังหาพระเอกมาเล่นหนังเรื่องนี้อยู่”

“เอ็งอยากเป็นพระเอกว่างั้น” ธงรบถามสวนทันควันจนชาติตกใจที่คนตรงหน้ารู้ทันความคิดเขา

“ข้าก็ไม่รู้หรอกวะว่าจะมีโอกาสนั้นหรือเปล่า แต่ข้าก็อยากให้เอ็งช่วย…”

“ไม่ว่าเอ็งคิดอะไร ข้าไม่ช่วย และไม่เอาด้วย” ธงรบดักคอและปฏิเสธทันที เพราะเขายังจำเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้ดีเหมือนมันเพิ่งผ่านมาเมื่อวาน ที่เขาตกปากรับคำชาติทำเรื่องที่ไม่สมควร จนเขาและเจตน์ต้องผิดใจกันไปตลอดชีวิต

55 ปีก่อน

“พวกเอ็งว่าไหมวะ…เวลาเจตน์กับน้องขวัญมีฉากเข้าพระเข้านางกัน มันน่าดู” คมเดชทำหน้าเคลิ้มฝัน

“เป็นพระเอกมันก็ดีอย่างนี้ละว้า ข้ายังอยากเป็นเลย” ชาติบอกเพื่อนทั้งสอง

“แหม…เอ็งก็ทำพูดไป เอ็งเป็นพระรองยังได้จับมือถือแขนน้องจิตรเลขาของข้า” คมเดชทำเสียงหงุดหงิดใส่เพื่อน

“คนเขาไม่จำพระรองหรอกวะ เขาจำได้แต่พระเอกทั้งนั้นละไอ้คม” ชาติตอบตามใจคิด “อีกอย่างน้องจิตรเลขาเป็นของเอ็งตั้งแต่เมื่อไหร่” ชาติเยาะ “ข้าเห็นเอ็งตามตื๊อเขาอยู่ฝ่ายเดียว ไม่เห็นเขาจะเออออห่อหมกไปกับเอ็งเลย ไอ้คม”

“ดาวร้ายอย่างเราคงหมดสิทธิ์เป็นพระเอกในชีวิตใคร ทำใจซะเถอะวะคม” คำปลอบใจคมเดชที่เหมือนบอกตัวเองของธงรบ ทำเอาคมเดชถึงกับทำหน้านิ่วเหมือนเด็กโดนขัดใจและนิ่งแบบยอมรับอยู่ในที ขนาดเขาแม้จะชอบขวัญชีวามากแค่ไหนก็ยังต้องเก็บมันไว้ ในเมื่อเขาตั้งใจจะหลีกทางยอมเป็นพ่อสื่อพ่อชักให้เจตน์ เขาก็ควรอยู่ให้ห่างขวัญชีวา และต่อให้ไม่ต้องอยู่ห่างตอนนี้ขวัญชีวาก็แทบจะไม่มองหน้าเขาอยู่แล้ว เจอกันทีไรก็ไม่เคยได้พูดจาดีๆ กันสักครั้ง และเขาก็เริ่มเหนื่อยที่จะหาเรื่องมาต่อล้อต่อเถียงกับเธอ เพราะอยากให้เธอสนใจ

“พวกเอ็งไม่อยากเป็นพระเอกกันบ้างเหรอวะ อย่างน้อยก็มีแต่คนรัก…เป็นดาวร้ายไปไหนก็มีแต่คนเกลียดขี้หน้า”  ชาติถามเพื่อนทั้งสอง

“เอ็งจะสนใจทำไมวะ ใครจะรักไม่รักก็เรื่องของเขา อย่างน้อยคนที่ข้ารักรักข้า ข้าก็พอใจ ไม่เห็นต้องสนใจคนอื่น” คมเดชหัวเราะอย่างอารมณ์ดี  “แล้วข้าก็ชอบนะ ที่เด็กๆ บางคนเห็นข้าแล้วก็ร้องไห้จ้า”

“แล้วเอ็งล่ะธง” ชาติหันมารอฟังคำตอบจากธงรบ

“ถ้ามีโอกาสข้าก็อยากลองดูนะ เป็นพระเอกที่มีแต่คนรัก ดีกว่าเป็นตัวร้ายที่มีแต่คนเกลียด” คำตอบของธงรบทำให้คมเดชหันมามองหน้าเพื่อนทั้งสองอย่างไม่เข้าใจว่าจะไขว่คว้าเป็นพระเอกไปทำไมกัน

“ข้าจะบอกเอ็งให้นะธง ไอ้ชาติ จะพระเอกหรือดาวร้ายมันก็แค่บทบาทการแสดง สำคัญที่ข้างในเอ็งต่างหากว่าเอ็งอยากเป็นอะไร” คมเดชเอานิ้วจิ้มไปที่หัวใจตัวเอง ถึงเขาจะดูตลก กวนตีน หรือเป็นคนไร้สาระในสายตาเพื่อนแต่เขาคิดว่านี่เป็นเรื่องจริงที่เขาอยากให้เพื่อนคิดและรู้สึกเหมือนเขา แต่เหมือนสิ่งที่พูดไปจะไม่เข้าหูเพื่อนทั้งสองคนเลย

 

“ฉากนี้จะเป็นฉากที่พระเอกดวลปืนกับดาวร้ายเพื่อมาช่วยนางเอกที่ถูกจับตัวมา…พอพี่เผากระท่อม เจตน์กับชาติหลบอยู่ก้อนหินใหญ่ตรงโน้น แล้วก็ตะโกนให้ทุกคนมอบตัว  ธงกับคมที่หลบอยู่ตรงถังน้ำมันฝั่งนี้ก็ยิงปืนใส่พระเอกเลย  จากนั้นเอ็งสองค่อยก็ค่อยยิงสวนกลับ”  เทอดหันมาบอกเจตน์กับชาติ “แล้วเอ็งก็วิ่งมาหลบมาตรงต้นไม้ด้านนี้ ส่วนธง คม พอฝั่งเจตน์มันยิงมาธงก็ลากขวัญไปหลบทางที่ถังน้ำมันฝั่งนี้…” เทอดอธิบายฉากและตำแหน่งของนักแสดงแต่ละคนอย่างที่เคยทำให้ทุกคนได้เข้าใจ

“ช่วงนี้เสี่ยกำจรแวะมาบ่อย จนข้านึกว่าเขาเป็นนายทุนหนังเรื่องนี้ให้พี่เทอด” คมเดชเปรยขึ้นระหว่างพัก

“คงมาชวนพี่เทอดไปทำหนังเรื่องใหม่ด้วยกันกระมั้ง” ธงรบแสดงความคิดเห็น เมื่อมองไปยังชายร่างท้วมเจ้าของบริษัทหนังเกริกเกียรติเกรียงไกร ที่มักมาเฝ้าดูพวกเขาขณะแสดงและพูดคุยกับเทอดแต่ละครั้งอยู่เป็นนาน

“ว่ากันว่าพวกนักแสดงทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่หลายคนอยากมาเล่นหนังกับเสี่ยกำจร เพราะเสี่ยแกจ่ายดี แถมทำหนังเรื่องไหนก็ดัง” คมเดชสาธยาย

“แหม…ถ้าข้าได้เป็นพระเอกหนังของเสี่ยก็คงดี” ธงรบคิดขำๆ เมื่อนึกภาพตัวเองได้เป็นพระเอก

คมเดชกวาดตามองเพื่อนตั้งแต่หัวจรดเท้า

“จะว่าไปเอ็งก็หล่อ…ตา จมูก ปาก คิ้ว คาง ก็ดูมีเสน่ห์…กล้ามก็มี” คมเดชเว้นจังหวะ “แต่…คงยากว่ะ…เพราะสู้เจตน์มันไม่ได้” คมเดชหัวเราะ “ไหนจะมีไอ้ชาติอีก เอ็งเป็นดาวร้ายกับข้าน่ะดีแล้ว อย่าเป็นเลยพระองพระเอก”

“เป็นดาวร้ายกับเอ็งนี่นะ…ฝันไปเถอะ วันหนึ่งข้าจะเป็นพระเอกให้เอ็งดู” ธงรบหมายมั่น

คมเดชลุกขึ้นเบ้ปากให้ธงรบ “เออ..ข้าจะคอยดู ระหว่างนี้ข้าเอาเวลาไปกับคุยกับน้องเลขาดีกว่า เบื่อพวกดาวร้ายอยากเป็นพระเอก” และไม่ต้องรอให้ธงรบด่าตามหลัง คมเดชก็รีบเดินหายไปอย่างรวดเร็ว

“อ้าว…คม…จะรีบไปไหนวะ” ชาติที่เดินสวนคมเดชเข้ามามองหน้าถามธงรบ “มันรีบไปตามควายรึไง”

“ไอ้ชาติ! ข้าได้ยินนะเว้ย” เสียงคมเดชตะโกนไล่หลังให้ได้ยิน จนสองหนุ่มหัวเราะกับความกวนตีนที่เสมอต้นเสมอปลายจนโกรธไม่ลงของคมเดช

“ข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเอ็ง” จู่ๆ ชาติก็พูดขึ้นอย่างเป็นการเป็นงาน

“เรื่องอะไรวะ ทำหน้าซะจริงจัง”

“ก็เรื่องที่เสี่ยกำจรเขามาที่กองถ่ายเราบ่อยๆ…เอ็งรู้ใช่ไหมว่าเสี่ยเขาได้บทประพันธ์ของแก้วระย้ามาทำเป็นหนัง” ธงรบพยักหน้า

“ข้าบังเอิญไปได้ยินเสี่ยเขาคุยกับพี่เทอดว่า เขากำลังหาพระเอกมาเล่นหนังเรื่องนี้อยู่”

“เอ็งอยากเป็นพระเอกว่างั้น” ธงรบสวนตอบอย่างคนไม่คิดอะไร จนชาติตกใจที่คนตรงหน้ารู้ทันความคิดเขา แต่สิ่งที่เขาแสดงออกคือการเสแสร้างตอบปัด

“ข้าคงไม่มีโอกาสนั้นหรอกวะ แต่ที่ข้าได้ยินเสี่ยเขาพูด คือเขาหมายตาเอ็งกับเจตน์ไว้” ชาติทำน้ำเสียงตื่นเต้นและนิ่งรอดูทีท่าธงรบ

“แล้วเอ็งมาบอกข้าทำไมวะ” ธงรบถามออกไปด้วยความสงสัย

“ข้าเคยอ่านบทประพันธ์เรื่องนี้ในนิตยสารรายสัปดาห์ของแม่ข้า ข้าว่าบทพระเอกมันดูเหมาะกับเอ็ง” ชาติปด

“แต่คนเลือกมันก็คือเสี่ยกำจร ข้าจะทำอะไรได้วะ”

“ถ้าข้าไม่เคยอ่านบทประพันธ์ก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ข้ามั่นใจว่าบทนี้มันเหมาะกับเอ็ง” ชาติเว้นจังหวะคำพูดของตัวเอง พร้อมประเมินท่าทีของชายหนุ่ม ก่อนตัดสินใจพูดต่อ “ข้าว่า ข้าอยากช่วยเอ็งให้ได้เป็นพระเอกกับเขาสักครั้ง” ชาติแสดงความจริงใจ

“ถ้าบทมันเหมาะกับข้า เดี๋ยวเสี่ยก็คงเลือกข้า” ธงรบหัวเราะอย่างไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องสลักสำคัญใด

“คนอย่างเสี่ยเขาเป็นนายทุน เอ็งคิดเหรอว่าจะอ่านบทประพันธ์จนจบ ข้าว่าดีไม่ดีคุณนายปราณีเมียเขานั่นแหละที่ยุให้เสี่ยแกไปขอลิขสิทธิ์มาทำหนัง เขาอาจจะเลือกเจตน์มาเป็นพระเอกก็ได้”

“ก็ไม่เป็นไร…ข้าก็กลับไปทำงานช่างของข้า ข้าลางานบ่อยจนจะโดนไล่ออกอยู่แล้วตอนนี้” ธงรบยักไหล่ตอบอย่างไม่ยี่หระ

“แล้วเอ็งจะปล่อยให้โอกาส…ให้ความฝันที่มันใกล้แค่เอื้อมหลุดมือไปหรือวะ”  ชาติมองหน้าธงรบพร้อมคำถามแทงใจดำ หากเขาโน้มน้าวและยืมมือธงรบให้เห็นด้วยไปกับแผนการที่เขาอุตส่าห์คิดไว้ไม่สำเร็จ คนที่จะทำความฝันให้หลุดลอยไม่ใช่ธงรบหรอก เป็นเขานี่แหละ

“ข้ารู้นะว่า ลึกๆ ในใจเอ็งอยากเป็นพระเอก…หรือไม่จริง” ชาติยิ้มสบายๆ ให้ธงรบเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา  “ข้าว่าข้าช่วยเอ็งได้”  ชาติเสนอ

“ช่วยยังไงวะ” ยิ่งชาติพูดเขายิ่งไม่เข้าใจ ชาติเหลียวมองรอบตัวก่อนถ่ายทอดสิ่งที่คิดให้ธงรบฟัง

“เฮ้ย!” ธงรบตกใจเมื่อได้ฟังสิ่งที่ชาติเล่าจนจบ เพราะมันไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่า ‘ช่วย’ แต่มันแทบจะเรียกว่าเป็น ‘แผนการ’

“มันเกินเลยไปหรือเปล่าชาติ ทำไมข้าต้องทำถึงขนาดนั้นวะ เจตน์เป็นเพื่อนข้ารักนะเว้ย” ธงรบอดตั้งคำถามไม่ได้ เขาไม่ปฏิเสธว่าลึกๆ ในใจเขาเองก็อยากจะเป็นพระเอก เขาเชื่อว่าการเป็นพระเอกมันทำให้ทุกคนเปิดใจรักได้ง่ายกว่าการเป็นดาวร้าย เขาไม่อยากเป็นอย่างที่คมเดชพูด ที่แค่เด็กเห็นหน้าก็กลัว หรือไม่ก็ร้องไห้จ้า ถ้าเลือกได้เขาก็อยากเป็นเหมือนที่เจตน์ ที่ทุกคนพร้อมเปิดใจ โดยเฉพาะเรื่องความรักกับขวัญชีวา ที่ดูเหมือนเขาจะเป็นตัวร้ายในสายตาขวัญชีวาทั้งในจอและนอกจอ แต่อีกใจเขาก็รู้สึกว่าสิ่งที่ชาติคิดจะทำมันดูไม่ถูกต้อง

“ข้ารู้ว่าเอ็งกับเจตน์เป็นเพื่อนรักกัน”  ชาติพยายามหว่านล้อมเมื่อเห็นสีหน้าลังเลของชายหนุ่ม “เอ็งคิดตามข้านะ ถ้าไม่นับเอ็งกับน้องขวัญที่มีหนังเรื่องนี้เรื่องเดียวให้เล่น ทุกคนมีหนังอย่างน้อยก็คนละเรื่องสองเรื่องที่แทบจะวิ่งรอกถ่าย ข้าก็มีหนังเรื่องอื่น ไอ้คมก็มี และต่อให้ไม่ได้เล่นหนังของเสี่ยกำจร เอ็งคิดหรือว่าเจตน์มันจะไม่ได้เป็นพระเอกให้นายทุนคนไหน”

มันก็จริงอย่างชาติพูดแต่เขาก็ยังอดสงสัยไม่ได้  “แล้วเอ็งจะได้อะไรจากการช่วยข้าวะ”

“ก็ไม่เห็นต้องได้อะไรนี่ เอ็งเป็นเพื่อนที่ข้าสนิทด้วยที่สุดคนหนึ่งในกองถ่ายนี้ เพื่อนช่วยเพื่อนผิดตรงไหน ” ชาติอ้างพร้อมสบตาธงรบด้วยความจริงใจ ฝีมือการแสดงระดับเขาถ้าเทียบแล้วธงรบยังห่างชั้นมากนัก และระหว่างที่ธงรบกำลังใช้ความคิดชาติก็ไม่ลืมพูดย้ำในสิ่งที่เป็นความฝันของธงรบ

“…ข้ารู้ว่าเอ็งอยากเป็นพระเอก…อย่างน้อยเอ็งก็จะได้รู้ไง ระหว่างการได้เป็นพระเอก กับเป็นดาวร้ายเอ็งชอบอย่างไหนมากกว่ากัน”

 



Don`t copy text!