เพียงใจลิขิต บทที่ 2 : แก๊งค์สามสาวสวย

เพียงใจลิขิต บทที่ 2 : แก๊งค์สามสาวสวย

โดย : จิรปิยา

Loading

เพียงใจลิขิต นวนิยายออนไลน์โดย จิรปิยา ที่อ่านเอาอยากได้คุณได้อ่านออนไลน์… เมื่อความรักนำทางเพื่อนรักทั้งสามมาถึงจุดเปลี่ยน สายใยแห่งมิตรภาพยังจะเหนียวแน่นอยู่ไหม เมื่อทั้งหมดเดินมาถึงจุดที่ต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางที่จะก้าวเดินต่อไป..พลังแห่งรักจะทำให้ก้าวข้ามผ่านขวากหนามไปสู่แสงทองอันรุ่งเรืองได้หรือเปล่า

******************************

– 2 –

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

เย็นวันศุกร์หลังเลิกงาน ตวิษารีบออกจากที่ทำงานเร็วกว่าปกติ วันนี้เธอมีนัดแก๊งค์สามสาวสวย การจราจรเย็นวันศุกร์ค่อนข้างหนาแน่นติดขัดกว่าทุกวัน  ยิ่งเป็นวันศุกร์ใกล้สิ้นเดือนแบบนี้อีกด้วย ในที่สุดก็สามารถฝ่าการจราจรมายังร้านอาหารที่นัดหมายบนถนนสุขุมวิทได้อย่างทันเวลา

ตวิษามาถึงร้านก่อนเป็นคนแรก เธอเป็นคนตรงเวลาเสมอ ด้วยความเชื่อพื้นฐานว่าเวลาเป็นสิ่งมีค่าและเป็นโอกาสของชีวิต  ประกอบกับหน้าที่การงานในฐานะที่ปรึกษาด้านไอทีที่จะต้องมีความเป็นมืออาชีพในการให้บริการปรึกษากับลูกค้าที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่ ยิ่งปลูกฝังให้ต้องรักษาเวลาอย่างเคร่งครัด

สั่งน้ำมะนาวมาดื่มพลางๆ ระหว่างรออีกสองสาวเพื่อนซี้ ก่อนจะส่งข้อความเข้าไปในไลน์กลุ่ม

          Dew น้ำค้างบนยอดหญ้า :  ถึงไหนแล้ว  เราถึงร้านแล้วนะ

หลังจากข้อความถูกส่งไปไม่นาน  ก็เห็นว่าเพื่อนอ่านข้อความแล้ว และสักครู่ก็มีข้อความส่งกลับมา

          ปอปลาตากล๊มกลม :  กำลังติดอยู่ทางเข้าลานจอดรถ ตัวยังไปไม่ถึง แต่ใจไปถึงนานแล้วนะจ๊ะ 

          ดาวน้อยคอยรัก : อยู่บนรถไฟฟ้า อีกสองสถานีถึง รอก่อนน้า…ที่รัก จุ๊บๆ

อ่านข้อความของเพื่อนแล้วอดอมยิ้มไม่ได้  ปาฏลีหรือปลา และดารินทร์หรือดาว เป็นเพื่อนรักของเธอ มาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย  แม้ว่าจะเรียนต่างคณะกัน แต่สามสาวรวมแก๊งค์เป็นเพื่อนรักกันตลอดมา ปาฏลีเรียนคณะอักษรศาสตร์  ดารินทร์เรียนรัฐศาสตร์ ในขณะที่ตวิษาเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาคอมพิวเตอร์ เนื่องจากทั้งสามสาวหน้าตาสวยน่ารักดีกรีระดับดาวคณะกันทุกคน จึงได้รับฉายาว่า “แก๊งค์สามสาวสวย”

ตวิษารู้จักกับปาฏลีก่อน ภาพความทรงจำวันแรกที่เจอกันยังคงกระจ่างชัดอยู่ในห้วงคำนึง แม้ว่ามันจะล่วงเลยมานานกว่า 9 ปีแล้ว… 

…วันนั้นเป็นสัปดาห์แรกของการเปิดปีการศึกษาแรกของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเก่าแก่ของประเทศ เด็กปีหนึ่งของทุกคณะมักจะต้องมีกิจกรรมเชียร์หลังเลิกเรียนแทบทุกวัน วันนั้นตวิษากำลังนั่งกินขนมอยู่บริเวณม้าหินข้างคณะรอเข้าห้องซ้อมเชียร์  บริเวณนั้นเป็นเส้นทางเดินที่นักศึกษาคณะต่างๆ มักเดินผ่านไปมา และรุ่นพี่คณะมักนั่งอยู่โต๊ะแถวนั้น คอยแกล้งแซวนิสิตรุ่นน้องที่เดินผ่านไปมาเพื่อความครื้นเครง  ตวิษาสังเกตเห็นนิสิตสาวคนหนึ่งเดินมา เธอใส่ชุดนักศึกษากระโปรงสีกรมท่าจีบรอบตัวยาวคลุมหัวเข่า สวมถุงเท้ารองเท้าสีขาว แสดงชัดว่าสาวน้อยคนนี้เป็นนิสิตปีหนึ่งเฟรชชี่รุ่นเดียวกับเธอ  เด็กสาวกอดแฟ้มและสมุดเล็กเช่อร์แน่น ก้มหน้างุดๆ  เร่งฝีเท้าเพื่อให้เดินผ่านบริเวณสามแยกที่รุ่นพี่ตั้งด่านแซวโดยเร็ว  แต่แล้วรุ่นพี่คนหนึ่งก็กระโดดมาขวางทางเธอไว้

‘น้องสาว จะรีบไปไหนจ๊ะ’ นิสิตรุ่นพี่ถามมาดกวนๆ ราวกับเป็นจิ๊กโก๋หน้าปากซอย

ปาฏลีไม่ตอบ พยายามเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น แววตาตื่นกลัว  แต่รุ่นพี่แก๊งค์นั้นอีก 4 คนกลับกระโจนเข้ารุมล้อมดักหน้าดักหลังเธอพร้อมพูดแซวอย่างคึกคะนอง  ตวิษาเห็นเด็กสาวคนนั้นกลัวมากจนลนลาน พยายามหาช่องแทรกตัวออกจากวงล้อมของรุ่นพี่ที่กำลังหัวเราะขบขัน  ตวิษาอดรนทนไม่ได้ จึงบอกเพื่อนอีกคนให้ช่วยไปตามอาจารย์ที่ปรึกษาฝ่ายกิจการนักศึกษามาที่นี่  แล้วก็ก้าวอาดๆ ตรงเข้าไปที่วงล้อมนั้น 

‘พี่ๆ คะ อย่ารังแกน้องเลยค่ะ’  ตะโกนเสียงดังออกไป

‘แล้วน้องคนสวยมายุ่งอะไรด้วยล่ะจ๊ะ’ รุ่นพี่คนหนึ่งถามกลับด้วยน้ำเสียงกวนๆ

‘หนูก็ไม่อยากยุ่งหรอกค่ะ ถ้าหากพี่จะไม่ทำความเสื่อมเสียให้คณะที่หนูกำลังเรียนอยู่ ถ้าพี่ไม่ยอมหยุด หนูก็แค่เอาคลิปที่อัดไว้ส่งให้อาจารย์แสนก็แค่นั้นค่ะ’  ตวิษากล่าวอ้างถึง ‘อาจารย์แสนสมุทร’ ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาฝ่ายกิจการนักศึกษาที่นิสิตทุกคนให้ความเคารพและเกรงกลัว

‘เฮ้ย ไอ้น้องเนี่ย…วอนซะแล้ว  คิดว่าพี่จะกลัวเหรอ  พี่ไม่ได้แกล้งใครสักหน่อย ก็แค่อยากทำความรู้จักน้องใหม่ก็แค่นั้น’  รุ่นพี่อีกคนยังคงมีท่าทีไม่ยอมหยุดการกระทำอันไม่เหมาะสมของตนตอบกลับมา 

ตวิษากำลังจะโต้กลับ แต่เสียงดังกัมปนาทของอาจารย์แสนสมุทรแผดก้องขึ้นเสียก่อน…..

‘พวกเธอทำอะไรกัน แกล้งรุ่นน้องอีกใช่ไหม’   

สิ้นเสียงนั้น นิสิตรุ่นพี่ทั้งกลุ่มก็หันขวับไปมอง สีหน้าสีตาของแต่ละคนจืดจ๋อยลงอย่างฉับพลัน  พวกเขารู้ดีว่าอาจารย์แสนสมุทรน่าครั่นคร้ามเพียงใด  ใครๆ ก็เรียกว่า ‘อาจารย์แสนสมุทรสุดเฮี๊ยบ’  อาจารย์มีความเที่ยงธรรมดุจตราชั่ง และมีความเมตตาราวพระพุทธเจ้าโปรดสัตว์โลก  ใครทำผิดอาจารย์จะมีวิธีการลงโทษให้หลาบจำแบบครีเอทมากๆ ไม่ว่าจะเป็นให้ล้างห้องน้ำของคณะทุกห้อง  ลอกท่อน้ำคณะ  ล้างลานจอดรถ เก็บขยะ และกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์อื่นๆ  โดยมีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรกับผู้ปกครองและอัดคลิปไว้เป็นหลักฐาน ระยะเวลาในการลงโทษก็แล้วแต่ระดับความรุนแรงของความผิด โดยอาจารย์มีเมนูบทลงโทษนานาชนิดให้นิสิตที่กระทำความผิดเลือกเอง  และหากใครไม่ยอมทำตามเงื่อนไขก็ต้องโดนโทษขั้นต่อไป ซึ่งทำให้ได้รับความอับอายมากขึ้น จนถึงขั้นพักการเรียน นิสิตที่เคยลองของมาแล้วก็เล่าขานถึงรสชาติความทรงจำอันเลวร้ายของการผิดสัญญากับอาจารย์แสนสมุทรปากต่อปากจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วคณะ  ทำให้ไม่มีใครกล้าลองของกับอาจารย์แสนสมุทรอีกเลย

แม้ว่าอาจารย์แสนสมุทรจะเป็นที่เกรงกลัวของบรรดานิสิตเกเร ขณะเดียวกันก็เป็นที่รักและเคารพด้วย  เพราะท่านให้ความใส่ใจ สนับสนุน ให้คำปรึกษา และถึงกับทุ่มทุนสร้างด้วยกำลังทรัพย์ของท่านเองเพื่อสนับสนุนการทำกิจกรรมดีๆ ที่นิสิตริเริ่มขึ้นมา  นิสิตคนไหนมีปัญหาเดือดร้อนอะไร ก็สามารถเข้าพบขอคำปรึกษาได้เสมอ และอาจารย์ก็พยายามหาทางออกและช่วยเหลืออย่างเต็มที่  ทำให้นิสิตทุกรุ่นให้ความเคารพรักอาจารย์และไม่กล้าหืออือเวลาได้รับการลงโทษในกรณีที่ทำความผิด  เรียกได้ว่าอาจารย์แสนสมุทรใช้หลักพระเดชและพระคุณในการดูแลนักศึกษาอย่างแท้จริง

‘เฮ้ย…อาจารย์แสนมา…ซวยแล้วพวกเรา’  นิสิตรุ่นพี่คนหนึ่งตะโกนบอกเพื่อน แก๊งค์โจ๋ปากซอยทุกคนแทบอยากสลายตัวเผ่นหนีไปโดยเร็ว  แต่กลับไม่กล้าเมื่อเห็นสายตาคมกริบจ้องมองมา จำต้องยืนรอรับชะตากรรมอยู่ที่เดิม

‘พวกเธอทำอะไร  เล่ามา…สารภาพบาปมาซะดีๆ…. ยังอีก…ถ้าไม่มีใครเล่า อาจารย์จะถามคนแถวนี้ ได้ข้อเท็จจริงแล้ว พวกเธอโดนหนักแน่’  เสียงเข้มยิ่งทำให้รุ่นพี่ทั้งก๊วนหน้าจ๋อยลงไปอีก

‘พวกผมแค่แซวน้องเค้าครับ แค่อยากทำความรู้จัก’  รุ่นพี่คนหนึ่งเป็นหน่วยกล้าตายกล่าวตอบอาจารย์

‘ทำความรู้จักประสาอะไร ไปล้อมเค้ายังกับนักเลงข้างถนน พวกเธอทั้งหมดตามอาจารย์ไปที่ห้อง  ส่วนหนู…..’   พูดพลางหันหน้าไปทางปาฏลีและตวิษาซึ่งขณะนี้เดินมายืนเคียงข้างกัน  ‘หนูไม่ได้อยู่คณะนี้ใช่ไหม’

‘ค่ะ หนูเรียนคณะอักษรค่ะ  เพิ่งเลิกเรียนจากหอประชุมกลางกำลังจะเดินกลับคณะค่ะ’  ปาฏลีตอบ เริ่มคลายอาการตื่นกลัว  

‘โอเค…..อาจารย์ขอโทษแทนนิสิตกลุ่มนี้ด้วย อาจารย์ไม่ดีเอง ไม่ได้สั่งสอนพวกมันดีพอ’  คำพูดของอาจารย์ส่งผลให้รุ่นพี่กลุ่มนั้นรู้สึกละอายใจมากขึ้นไปอีก

‘ไม่เป็นไรค่ะ หนูเข้าใจ ขอบพระคุณค่ะ หนูขอตัวกลับคณะก่อนนะคะ’  ปาฏลียกมือไหว้ทำความเคารพอย่างนอบน้อม

‘พวกพี่ก็ต้องขอโทษน้องด้วยนะครับ  พวกพี่คึกคะนองไปหน่อย หวังว่าน้องจะให้อภัยนะครับ’ รุ่นพี่คนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาด้วยความสำนึกผิด  ตามมาด้วยเสียงขอโทษอย่างพร้อมเพรียงกันของคนที่เหลือ  แล้วทั้งแก๊งค์ก็เดินก้มหน้าก้มตาตามอาจารย์แสนสมุทรไป

เมื่อแก๊งค์รุ่นพี่เดินจากไปแล้ว ปาฎลีหันมาทางตวิษาพร้อมส่งยิ้มหวาน  ‘เราขอบใจเธอมากนะ ที่เข้ามาช่วย…เราชื่อปลา ยินดีที่ได้รู้จักนะ..’

‘ยินดีเช่นกัน  เรียกเราว่าดิวนะ  เราเรียนที่คณะวิศวะนี่แหละ ปีหนึ่งเหมือนกัน’  ต่างยิ้มให้กัน มิตรภาพได้ก่อเกิดขึ้นแล้ว

นับจากวันนั้นทั้งสองไม่ได้เจอกันอีกเลย จนกระทั่งสัปดาห์ถัดมาตวิษาไปเข้าเรียนวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานที่นิสิตชั้นปีที่หนึ่งทุกคณะต้องลงทะเบียนเรียน เนื่องจากลงทะเบียนเรียนช้า ทำให้ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกับเพื่อนๆ ร่วมคณะ  เมื่อไปถึงห้องเรียนซึ่งมีลักษณะเป็นห้องออดิทอเรียมใหญ่  มีเก้าอี้เรียงรายเป็นชั้นๆ คล้ายโรงภาพยนตร์  ที่นั่งส่วนใหญ่ถูกจับจองไปแล้ว  เธอจึงมองหาที่ว่างที่พอจะนั่งได้ ซึ่งอยู่กลางห้องค่อนไปทางด้านหลัง สักครู่ก็มีคนนั่งลงทางด้านขวา เว้นเก้าอี้ว่างจากเก้าอี้ที่เธอนั่งไปหนึ่งตัว ตวิษาเหลือบตาไปมอง พลันสบตากับเจ้าของดวงตากลมโตส่องประกายสุกใสที่กำลังทำสีหน้าประหลาดใจ พร้อมกับส่งรอยยิ้มหวานตามมา 

‘ดิว!  เราดีใจจังได้เจอดิวอีก’  สาวน้อยหน้าใสบนกรอบหน้ารูปหัวใจ ดวงตากลมโต ขนตายาวงอนเป็นแพหนา รับกับคิ้วโก่งที่มีขนคิ้วเรียงตัวอย่างงดงาม  ผิวหน้าขาวอ่อนใส แก้มนวลมีสีระเรื่ออมชมพูอย่างคนมีสุขภาพดี ปากน้อยจิ้มลิ้มแวววาวด้วยลิปมันเอ่ยถ้อยคำด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น  พลางเขยิบตัวมานั่งมาติดกับเก้าอี้ที่ตวิษานั่งอยู่

ตวิษาส่งยิ้มกว้างตอบกลับ มองปาฏลีที่หน้าตาน่ารักดุจดั่งเจ้าหญิงน้อยอย่างเพลิดเพลิน  ‘ปลาเป็นไงบ้าง ลงเรียนวิชานี้เหมือนกันเลย ดีใจที่ได้อยู่ห้องเดียวกันนะ ตอนแรกคิดว่าจะไม่มีเพื่อนซะแล้ว’

‘ดีเลย ได้เรียนด้วยกัน  เราขอเบอร์ดิวหน่อยดิ  รู้ป่ะ…วันนั้นเรากลับไปเล่าให้คุณพ่อคุณแม่ฟังถึงวีรกรรมของดิวด้วย จนคุณพ่อคุณแม่อยากเจอดิวเลยล่ะ เสียดายลืมขอเบอร์มือถือดิวไว้…..ดิวเป็นไอดอลของเราเลยนะ เราอยากเก่งอย่างดิวบ้างจัง’  ปาฏลีเล่าเสียงเจื้อยแจ้ว 

‘โห…ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เราก็แค่เห็นว่าปลากำลังถูกรุม เราอยู่ตรงนั้นจะให้อยู่เฉยๆ ได้ไง..’  ตอบเขินๆ

ทั้งสองแลกเปลี่ยนเบอร์มือถือกันและเตรียมพร้อมกับการเรียน เนื่องจากเห็นอาจารย์เดินเข้าห้องแล้ว 

‘ขอโทษนะคะ  ที่ตรงนี้ว่างไหมคะ’  เสียงใสๆ ดังขึ้นด้านซ้ายของตวิษา

‘ว่างค่ะ เชิญเลยค่ะ’  ตวิษาตอบพร้อมส่งยิ้มเล็กๆ ให้เพื่อนใหม่ เธอเป็นสาวน้อยหน้าไทย ผิวสีน้ำผึ้ง  ตาโตหวานคมคาย  ริมฝีปากรูปกระจับ วงหน้ารูปไข่แต่มีแก้มเล็กๆ จมูกเล็กโด่ง ปลายจมูกเชิดรั้นเล็กน้อย รูปร่างเล็กบอบบาง  ผมดำยาวถูกถักเป็นเปียก้างปลาเดี่ยวไว้ด้านหลังศีรษะ ดูรวมๆ แล้วเธอสวยเหมือนนางในวรรณคดีไทยเลย

 ‘ขอบคุณค่ะ…’ นางในวรรณคดีหันมายิ้มอ่อนหวาน  พร้อมเอ่ยแนะนำตัว  ‘เราชื่อดารินทร์ เรียกว่าดาวก็ได้นะ  เรียนคณะรัฐศาสตร์  เรามาเรียนคนเดียว ลงทะเบียนช้าน่ะ  ขอนั่งเรียนด้วยนะจ๊ะ’

‘ได้เลยจ้ะ เราชื่อดิว เรียนวิศวะปีหนึ่ง’

‘เราชื่อปลาจ้ะ  เรียนอักษรปีหนึ่งเช่นกัน ดีใจที่ได้เพื่อนใหม่จ้ะ’  ปาฏลีเอ่ยพร้อมรอยยิ้มสดใส

นับจากวันนั้น สามสาวกลายเป็นเพื่อนซี้ที่คอยช่วยเหลือกันและกันตลอด แม้ว่าทั้งสามจะมีฐานะครอบครัวที่แตกต่างกันอย่างมากก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อมิตรภาพอันจริงใจของพวกเธอเลย  ปาฏลีเป็นคุณหนูลูกสาวคนเดียวของมหาเศรษฐีเจ้าของห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ในเมืองไทย  ขณะที่ตวิษาเป็นอาหมวยเต็มตัว  พ่อแม่ของเธอมีกิจการร้านขายของชำและมินิมาร์ตขนาดกลางแห่งหนึ่ง ส่วนดารินทร์นั้น ทางบ้านมีฐานะยากจน อยู่อาศัยกับแม่เพียงลำพังในชุมชนแออัด  ด้วยความที่เป็นเด็กเรียนดีและประพฤติดี ดารินทร์จึงได้รับทุนการศึกษาสำหรับเด็กยากจนมาโดยตลอด จนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยก็ได้รับทุนสนับสนุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัย สามสาวเป็นเพื่อนรักกันมาตลอด 4 ปีของการเรียนในมหาวิทยาลัย

จวบจนกระทั่งเรียนจบ  ตวิษาสอบชิงทุนรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เพื่อไปเรียนต่อปริญญาโทสาขา Data Science เป็นเวลา 2 ปี ซึ่งเป็นทุนให้เปล่าแบบไม่ผูกมัดให้ต้องกลับมาทำงานใช้ทุน ขณะที่ปาฏลีก็ต้องไปเรียนต่อระดับปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจตามที่บิดามารดาต้องการ เพื่อที่จะกลับมาช่วยบริหารกิจการห้างสรรพสินค้าของครอบครัว  ที่จริงแล้วปาฏลีชอบเรียนด้านภาษาและศิลปะมากกว่า  เมื่อครั้งที่สอบเข้าเรียนระดับปริญญาตรีในคณะอักษรศาสตร์ได้ บิดามารดาก็ไม่อยากให้เรียน เธออ้อนวอนท่านว่าการเรียนอักษรฯ เอกภาษาอังกฤษจะเป็นพื้นฐานที่ดีในการทำธุรกิจในอนาคต  ท่านจึงยอมแต่ตั้งเงื่อนไขว่าเรียนจบแล้วเธอจะต้องเรียนต่อปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ   หญิงสาวจำต้องตอบรับเงื่อนไขนั้นไปก่อน  และเมื่อมาถึงวันที่ต้องเรียนต่อจริงๆ  จึงไม่อาจบิดพริ้วได้  ปาฏลีอ้อนวอนบุพการีขอไปเรียนที่ประเทศเนเธอร์แลนด์เช่นเดียวกับตวิษา อ้างว่าจะได้มีเพื่อน  บิดามารดาเห็นว่าตวิษาเป็นเด็กดีจึงยอมตามใจบุตรสาว 

ช่วง 2 ปีที่ตวิษาและปาฏลีเรียนต่อในประเทศเนเธอร์แลนด์ แม้ว่าจะอยู่ต่างมหาวิทยาลัย แต่เป็นมหาวิทยาลัยที่อยู่ในเมืองเดียวกัน  จึงตัดสินใจเช่าห้องพักอยู่ด้วยกัน  ที่จริงแล้วหลักสูตรปริญญาโทที่ปาฏลีเรียนใช้เวลาเพียง 1 ปีครึ่ง ในขณะที่หลักสูตรของตวิษาใช้เวลาถึงสองปี  แต่ปาฏลีเห็นใจเพื่อน หากเธอกลับเมืองไทยตอนนี้เพื่อนจะต้องจ่ายค่าเช่าห้องคนเดียว  เธอรู้ว่าตวิษาค่อนข้างเก็บหอมรอมริบเงินที่ได้รับทุนไว้เพื่ออนาคต  อีกทั้งตัวเธอเองก็อยากอยู่เที่ยวเล่นพักผ่อนก่อนจะกลับไปลุยงานธุรกิจของครอบครัว  จึงขออนุญาตบิดามารดาอยู่ต่อที่เนเธอร์แลนด์อีก 6 เดือน ซึ่งเป็นความโชคดีที่ในช่วงนั้นรัฐบาลเนเธอร์แลนด์มีนโยบายให้นักศึกษาต่างชาติที่จบการศึกษาระดับปริญญาแล้ว สามารถยื่นขอวีซ่าพำนักต่อในประเทศได้อีก 1 ปี เพื่อหางานทำ  การได้ใช้ชีวิตในต่างประเทศด้วยกันทำให้ตวิษาและปาฏลีสนิทสนมกันมากขึ้น 

แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกัน แต่ทั้งสองสาวยังติดต่อกับดารินทร์เพื่อนรักอีกคนผ่านทางอีเมล์และโปรแกรมวิดีโอคอลล์ออนไลน์อยู่เสมอ  ด้านดารินทร์เมื่อเรียนจบปริญญาตรีแล้วก็สมัครเข้ารับราชการในกระทรวงด้านเศรษฐกิจแห่งหนึ่ง  โดยหวังว่าทำงานได้สักระยะจะพยายามสอบชิงทุนรัฐบาลไปเรียนต่อเช่นกัน  ดารินทร์มีฐานะค่อนข้างยากจนเมื่อเทียบกับอีกสองสาวเพื่อนรัก  แถมยังต้องดูแลแม่ที่มีปัญหาสุขภาพจิตเป็นโรคซึมเศร้า โชคดีมีเพื่อนบ้านใจดีคอยช่วยดูแลแม่ให้ในช่วงที่เธอไปทำงาน ปัจจุบันดารินทร์ถูกย้ายตำแหน่งมาช่วยราชการหน้าห้องรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงคนใหม่  จึงมีภาระเพิ่มขึ้นตามภารกิจของรัฐมนตรี  หลายครั้งต้องติดตามท่านเข้าประชุมจนถึงมืดค่ำหรือไปต่างจังหวัด แม้ว่าจะเป็นห่วงแม่มาก แต่ด้วยภาระงานสำคัญและเพื่อความก้าวหน้าในงาน ดารินทร์ก็พร้อมทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ 

“ดิว….ดิว….เป็นอะไรไป  เหม่อเชียว”  เสียงเรียกของดารินทร์ และแรงมือที่ตบลงบนบ่าของเธอ  ปลุก ตวิษาให้สะดุ้งตื่นจากห้วงคำนึง

“เปล่า…คิดอะไรเพลินๆ…คิดถึงเรื่องราวของพวกเราตอนอยู่มหา’ลัย น่ะ….เราคบกันนานมากเลยนะ  กี่ปีมาแล้ว….โอ้! เข้าปีที่ 9 แล้วนะเนี่ย”  ตวิษาถามเองตอบเองเสร็จสรรพ

“จริง..แทบไม่น่าเชื่อเนอะ  เผลอแป๊บเดียวเกือบสิบปีแล้ว”  ดารินทร์พูดพลางหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ ตวิษา

“สั่งน้ำก่อนดิ  เราสั่งออเดิร์ฟนิดหน่อยมากินพลางๆ แล้ว เดี๋ยวคงมาเสิร์ฟ”

ขณะที่ดารินทร์กำลังเลือกเครื่องดื่มในเมนูอาหาร  ปาฏลีก็มาถึง

“เพื่อนๆ  ขอโทษที่มาช้า  รถติดม้ากมาก”  ปาฏลีกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่โต๊ะที่สองสาวนั่งรออยู่

“เฮ้ย ไม่เป็นไร  สั่งน้ำเลย  นี่ไอ้ดาวก็กำลังเลือกอยู่”

“ดีเลย หิวน้ำมากๆ  สั่งอาหารด้วยเลยนะ หิวแล้ว”  คุณหนูบอกพร้อมกับโปรยรอยยิ้มหวาน

“จัดไป…”  ตวิษาเอ่ย  เธอชอบมองรอยยิ้มของปาฏลี เป็นรอยยิ้มที่สดใส ทำให้คนรอบข้างมีความเพลินตาเพลินใจผ่อนคลาย  เนื่องจากมีชีวิตดุจดั่งเจ้าหญิง  ปาฏลีจึงเป็นคนมองโลกในแง่บวกเสมอ  อ่อนโยนอ่อนหวาน  แต่ด้วยความเป็นเพื่อนกันมานาน  แถมได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในต่างประเทศ  ทำให้ตวิษารู้ว่าภายใต้ความอ่อนโยนที่เป็นภาพลักษณ์ภายนอกของปาฏลีนั้น  ภายในจิตใจของเพื่อนคนนี้มีความเข้มแข็งอยู่มาก หากเธอมีความมุ่งมั่นตั้งใจในสิ่งใดแล้ว ก็จะพยายามทำให้สำเร็จ และหลายครั้งก็มีนิสัยดื้อเงียบหากรู้สึกว่าต้องทำเรื่องที่ขัดต่อหลักการที่เธอเชื่อ

เมื่อสามสาวสั่งอาหารเรียบร้อยจึงพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ อัพเดทชีวิตความเป็นไปของแต่ละคน

“ดาว  แกเป็นไงบ้าง งานหนักไหม ไปอยู่หน้าห้องรัฐมนตรีเรืองศักดิ์แล้วใช่ป่ะ”  ปาฏลีเริ่มถาม

“ใช่…ก็เหนื่อยหน่อย เพราะต้องติดตามท่านเข้าประชุมที่ต่างๆ  และต้องทำงานให้เร็วแต่รอบคอบ ท่านค่อนข้างใจร้อน  อยากเห็นงานออกเร็วๆ น่ะ  บางครั้งเลยต้องไปตามไล่ทวงงานกับเจ้าหน้าที่ในกระทรวง อาจแอบถูกหมั่นไส้บ้าง  แต่ทำไงได้เราก็ถูกนายสั่งมาเนอะ  แต่ส่วนใหญ่พี่ๆ เจ้าหน้าที่เขาก็เข้าใจนะ รีบปั่นงานให้”  ดารินทร์เล่าอย่างพร่างพรู  หลายครั้งเธอรู้สึกอึดอัดกับภารกิจ  แต่ก็ไม่สามารถพูดหรือระบายให้เพื่อนร่วมงานฟังได้ ด้วยเกรงจะเป็นภัยกับตัวว่าแอบนินทาเจ้านาย  แต่กับเพื่อนสนิทก็จะสบายใจ กล้าที่จะปลดปล่อยความอึดอัดในใจออกมาอย่างสะดวกใจ

“แล้วแกล่ะ ดิว”  ปาฏลีซักไซ้เพื่อนต่อ  แม้กับคนทั่วไปเธอจะเป็นหนูแสนเรียบร้อยอ่อนหวาน  แต่กับเพื่อนรักที่คบกันมากว่าสิบปีเช่นตวิษาและดารินทร์ เธอจะใช้สรรพนามระหว่างกันแบบเฮี้ยวมากขึ้น

“ก็เรื่อยๆ งานหนักตามปกติ…เอ่อใช่..เกือบลืมไป ว่าจะบอกแกหลายครั้ง….ดาว..ตอนนี้บริษัทเราได้งานโครงการบิ๊กดาต้าของกระทรวงแกด้วยนะ”  ตวิษาเอ่ยกับดารินทร์

“จริงเหรอ แกเป็นหัวหน้าทีมเลยป่ะ”  น้ำเสียงตื่นเต้น

“ก็กึ่งๆ นะ  มีหัวหน้าอีกคนดูอยู่ แต่เราเป็นตัวหลักในการดีลงานกับทีมทางกระทรวง”

“โอ๊ย..อิจฉาจัง งั้นพวกแกสองคนก็ได้เจอกันบ่อยๆ ล่ะสิ”  ปาฏลีแทรกขึ้นมา

“ยังไม่เคยได้เจอกันเลย… ส่วนใหญ่เราต้องตามท่านรัฐมนตรีไปประชุม ไม่ค่อยได้อยู่ออฟฟิศเท่าไรหรอก” ดารินทร์ทำหน้าม่อย

“เอาไว้เราเข้าไปออฟฟิศแกวันไหนจะโทรหานะ เผื่ออยู่จะได้แวะไปคุยหรือกินข้าวกัน”

“โอเคจ้า”

“แล้วแกเป็นไงบ้างล่ะปลา ไปช่วยงานที่บ้านแล้วใช่ป่ะ”  ตวิษาหันกลับมาทางปาฏลีบ้าง

“ก็ยากอยู่..เราไม่ค่อยมีหัวทางธุรกิจน่ะ  แต่ตอนนี้คุณพ่อให้เราช่วยดูฝ่ายประชาสัมพันธ์รวมทั้งฝ่ายออกแบบอีเว้นต์และดีสเพลย์ของห้างในช่วงที่มีอีเว้นต์ต่างๆ น่ะ  ก็เลยยังพอสนุกบ้าง  เพราะถ้าให้เราไปดูเรื่องตัวเลขการเงินทั้งหลาย คงเครียดหน้าแก่รอยตีนกาขึ้นมากกว่านี้แน่นอน” คุณหนูพูดยาวระบายความรู้สึกเต็มที่

“คิดในแง่ดีสิ ทั้งหมดที่ทำไปก็จะกลายเป็นสมบัติของแกล่ะนะ”  ตวิษาปลอบใจเพื่อน  รู้ดีว่าปาฏลีไม่ชอบงานด้านธุรกิจเลย  แต่ชอบงานด้านศิลปะมากกว่า

“ก็ทำใจอยู่ล่ะ…เนี่ย..เรามีเรื่องอยากปรึกษาพวกแกด้วย..” พลันเปลี่ยนสีหน้าเศร้าๆ มาเป็นกระตือรือร้น

“ว่ามา”  ดารินทร์ตอบรับ  ส่วนตวิษามองหน้าปาฏลีอย่างพร้อมตั้งใจฟัง

“ช่วงนี้เรารู้สึกว่าคุณพ่อคุณแม่แปลกๆ”

“ยังไง”  ดารินทร์ตาวาว ยื่นหน้ามาตรงหน้าเพื่อนอย่างสนใจเต็มที่

“ท่านชอบชวนเราไปออกงานต่างๆ พยายามแนะนำเรากับลูกเพื่อน  ลูกคุณหญิงคุณนายเพื่อนๆ ท่านน่ะ  ตอนแรกเราก็ไม่ได้คิดอะไร  นึกว่าท่านคงอยากให้เรารู้จักคนมากขึ้นจะได้มีคอนเนคชั่น  แต่ก็เริ่มเอะใจ เพราะท่านพาไปแทบจะทุกสัปดาห์  บางสัปดาห์ไปสองสามงานเลย”

“ก็ไม่เห็นแปลกนี่ แกเป็นคุณหนูไฮโซอยู่แล้ว ก็ต้องออกงานสังสรรค์สมาคมบ้าง”  ตวิษาออกความเห็น

“ที่เราว่ามันผิดปกติคือ ตอนหลังมันไม่ใช่การออกงานแล้ว  แต่เป็นการนัดกินข้าวกับเพื่อนแม่ หรือเพื่อนพ่อ  แล้วทุกครั้งทางโน้นก็จะพาลูกชายมาด้วย  แต่ละคนนำเสนอโพรไฟล์ของตัวเองเลิศเลอเพอร์เฟคมาก  เราก็แปลกใจว่าเพื่อนแม่มีแต่ลูกชาย  ไม่มีใครมีลูกสาวเลยเหรอ  ถ้าเป็นผู้หญิงพามารู้จักกันก็อาจเป็นเพื่อนกันต่อไปได้นะ  เลยตะหงิดๆ ว่าคุณพ่อคุณแม่คงกำลังพยายามจับคู่ให้เรา”

“แล้วไม่ดีเหรอไงล่ะ  ก็แกยังไม่มีแฟน พ่อแม่ก็คงเป็นห่วงกลัวแกจะเกาะคานไม่ยอมลงมาซะที  คานทองแท้ด้วยนะ  ถ้าแกยอมลงจากคาน จะได้เอาทองไปทำอย่างอื่นให้งอกเงยขึ้นไง  เราว่านะ..ถ้าเป็นอย่างที่แกเล่ามา  แต่ละคนก็โพรไฟล์เริ่ดอลังการงานสร้าง  ก็น่าจะพอเลือกๆ ได้สักคนไหมอ่ะ  แล้วถ้ามีเหลือๆ ส่งมาทางนี้บ้างก็ได้นะ  เพื่อนๆ แถวนี้ก็อยากเลิกอาชีพปลูกแห้วแล้ว”  ดารินทร์พูดพลางยิ้มเย้าๆ

“ไม่เอาอ่ะ  เรายังไม่อยากมีแฟนนี่นา  แค่ศึกษางานดูแลงานที่ห้างและบริษัทในเครือก็แทบไม่มีเวลาแล้ว  พวกแกก็รู้นี่ว่าเราไม่ค่อยมีหัวธุรกิจ  เลยต้องใช้พลังงานและเวลาเรียนรู้ทำความเข้าใจมากกว่าคนอื่นหลายเท่า”

“แล้วแกจะทำยังต่อไป”  ตวิษาถามต่อ

“นั่นสิ  ถึงมาปรึกษาพวกแกไง  เราพยายามปฏิเสธหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยชนะเลย เพราะคุณแม่จะงอนมากๆ ถ้าไม่ยอมไปกับท่าน  สุดท้ายก็ต้องไปง้อและยอมทำตามที่ท่านสบายใจ”  ปาฏลีเล่าเสียงหงอยๆ

“งั้นเราว่า…แกก็หยวนๆ ตามใจท่านไปก่อน  ถือว่าเป็นโอกาสได้รู้จักคนเยอะขึ้น  ถ้าเกิดบังเอิญถูกชะตาถูกจริตคนไหน ก็อาจลองศึกษาดูใจกัน  อย่าเพิ่งเกร็งหรือคาดเดาไปก่อน  มันอาจไม่ได้เลวร้ายอะไร ในเมื่อแกก็ยังไม่มีใคร…เอ๊ะ…หรือว่ามี”   ตวิษาหลิ่วตาล้อเลียนเพื่อน

“ใช่ๆ  เราว่าปลาต้องแอบมีใครซุกไว้แล้วไม่บอกเราแหงๆ  ไม่งั้นจะมาตีโพยตีพายทำไม”  ดารินทร์พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับตวิษา

“บ้าเหรอ…ยังไม่มี้…”  สั่นหัวดิก

“นั่นไง  เสียงสูงมาก”  ดารินทร์ตอกย้ำ

“ไม่มีจริงๆ”  ปาฏลีทำเสียงขรึมจริงจัง  “ถ้าเรามีแฟน  มีหรือจะรอดหูรอดตาพวกแกไปได้  เราเพียงแค่รู้สึกอึดอัดที่ต้องถูกคลุมถุงชนน่ะ  อยากมีอิสระในการทำความรู้จักคนที่เราชอบเอง”

“คลุมถุงชนก็ไม่เห็นเป็นไรนะ…เป็นเรานะ…ยังอยากมีใครสักคนที่รักเราจริง สามารถดูแลเราและแม่ได้  ถ้าหากเรามีพ่อ…เฮ้อ..ที่จริงก็ไม่มีพ่ออ่ะนะ.. เราก็อยากให้ท่านช่วยหาชายหนุ่มให้เราสักคนอยู่นะ” ดารินทร์หน้าสลดลง ทำให้ตวิษาและปาฏลีมองหน้ากัน  สองสาวรู้ดีว่าดารินทร์อยู่กับแม่เพียงลำพังและไม่เคยรู้เลยว่าพ่อของเธอเป็นใครนับตั้งแต่ลืมตาดูโลก  แม่เธอบอกว่าพ่อตายไปตั้งแต่เธอเกิด  แต่ดารินทร์คิดว่าแม่ปกปิดบางอย่างไว้   เธอเคยระบายความทุกข์ใจให้เพื่อนรักฟังว่าเธอไม่เชื่อว่าพ่อเธอเสียชีวิตไปแล้ว  เพราะแม่ไม่เคยเก็บรูปพ่อไว้เลย เมื่อร่ำร้องอยากเห็นรูปพ่อเพื่อรู้จักหน้าค่าตาผู้ให้กำเนิด แม่ก็มักบ่ายเบี่ยงทุกครั้ง  หลายครั้งแอบเห็นแม่ร้องไห้และเหม่อลอยคิดถึงพ่อบ่อยๆ  รำพึงรำพันว่าทำไมถึงทอดทิ้งไป และแม่มักสั่งสอนให้เธอรักนวลสงวนตัว อย่ามีความรัก อย่าเผลอตัวเผลอใจทอดกายให้ผู้ชาย มิฉะนั้นจะต้องชอกช้ำใจ  ดารินทร์จึงตั้งข้อสังเกตว่าพ่ออาจยังไม่ตาย แต่เขาน่าจะทอดทิ้งแม่และเธอไปตั้งแต่เธอเกิด

ตวิษาสังเกตเห็นรอยเศร้าหมองในแววตาของดารินทร์  เธอจึงรีบดึงเรื่องกลับมาจุดเดิม

“โอเค  เชื่อๆ แล้วจ้าคุณหนูปลา เราว่ายังไงลองทำตามคุณพ่อคุณแม่ไปก่อน  ท่านก็ยังไม่ได้เร่งรัดหรือบีบบังคับอะไรปลาไม่ใช่เหรอ  ก็ถือว่ายังให้อิสระปลาในการเลือกคนที่ถูกใจอยู่นะ”

ปาฏลีพยักหน้าน้อยๆ  เริ่มคล้อยตามความเห็นของเพื่อน  “เราจะลองทำตามที่ดิวบอกนะ  เนี่ยอีกสองอาทิตย์หน้าจะมีงานเปิดห้างสาขาใหม่ของเรา  รับรองคุณพ่อคุณแม่จัดเต็ม เอาลูกชายเพื่อนๆ มาโชว์ตัวในงานแน่นอน   เอ่อ… พวกแกไปด้วยนะ…นี่การ์ดเชิญ”  ว่าแล้วก็หยิบบัตรเชิญจากกระเป๋าสะพาย ยื่นให้เพื่อนทั้งสอง

“มีหรือจะพลาด…ยิ่งหนุ่มๆ มาเยอะ  ยิ่งน่าสนใจ”  ดารินทร์ทำท่าทางคึกคัก  ทว่าอีกสองสาวรู้ดีว่าท่าทางที่เห็นนั้นเพื่อกลบเกลื่อนความเศร้าหมอง ที่จริงแล้วดารินทร์เป็นคนเรียบร้อยอ่อนหวาน ค่อนข้างเก็บตัว  หากเจอผู้ชายคงได้แต่หลบมุมหรืออย่างมากที่สุดก็ยิ้มเอียงอาย  แต่เวลาอยู่กับตวิษาและปาฏลี เธอจะปลดปล่อยตัวเองให้รื่นเริงบ้าง เพื่อหลุดออกจากอารมณ์เครียดและเศร้าจากปัญหาครอบครัว

“ดิวไปไหม  ไปนะๆๆ”  ปาฏลีทำเสียงอ้อนเพื่อน

“ขอดูก่อนได้ป่ะ  เรายังไม่แน่ใจว่าจะติดงานหรือเปล่า”

“ดิวไปนะ  ไม่งั้นเราคงไม่มีเพื่อน  ถ้าดิวไม่ไปเราก็คงไม่ไปอ่ะ”  ดารินทร์ยื่นมือไปเขย่าแขนตวิษา

“ไปก็ไป เราคงต้องรีบทำงานแล้วกลัวเสร็จไม่ทัน  โปรเจคใหม่ที่กระทรวงค่อนข้างเร่ง  แถมอีตาดอกเตอร์ขี้เก๊กก็ประกบติดตามงานตลอดเลย”

“ดอกเตอร์คนไหนเหรอ เผื่อรู้จัก”  ดารินทร์รีบถาม  เธอเป็นเลขานุการของรัฐมนตรีของกระทรวงที่ตวิษารับทำโปรเจคด้วยจึงลองถามดู

“เขาชื่อ ดร. ปรัตถ์น่ะ  ดาวรู้จักไหม”

“อ๋อ  คนนี้น่ะดาวรุ่งพุ่งแรงของกระทรวงเลยนะ  ใครๆ ก็ชมว่าเก่งมาก  นิสัยดี  หล่อเลิศ เราเคยเห็นไกลๆ  เขาไม่รู้จักเราหรอกนะ  แต่แค่เล็งอยู่ไกลๆ  ออร่าคุณชายท่านเจิดมากนะ”

“ไม่เห็นออร่ง ออร่าอะไรเลย” ตวิษาทำหน้ายู่

“แกอย่าอคติดิ  คนนี้น่ะเป็นหนึ่งในสิบหนุ่มฮอตของกระทรวงเลยนะ  โสด หล่อ เก่ง  คุณสมบัติแค่นี้สาวๆ ก็หลอมละลายแล้ว  แหม..นี่ถ้ารวยด้วยนะ  รับรองสาวตรึมกว่านี้”

“ดาวพูดจนเราอยากเห็นเลยอ่ะ”  ปาฏลีเอ่ยขึ้น

“ว่างๆ ก็มากินข้าวกับเราที่กระทรวงดิ  เดี๋ยวเราลองเช็คตารางท่านดู วันไหนมีประชุมที่ ดร.ปรัตถ์มาด้วย  จะรีบบอกปลาเลย”  ดารินทร์เริ่มจริงจัง

“โอเค….ดาวส่งสัญญาณมานะ  เราจะรีบวาร์ปไปเลย” ปาฏลีหัวเราะคิกคัก

“เอาเข้าไป สองสาว…เราว่ามีคนที่น่าสนใจมากกว่าอีตาดอกเตอร์สุดเก๊กนี้อีกเยอะเลยนะ”  ตวิษาทำหน้าหงุดหงิด ประจวบกับอาหารที่สั่งไว้เริ่มมาเสิร์ฟ  ตวิษาเลยชวนเพื่อนทานอาหาร “อาหารมาแล้วมัวแต่เม้าท์ลืมกินเลย  เอาเลยนะ…ลุย”

สามสาวเพลิดเพลินกับการคุยกันไปรับประทานอาหารไปจนลืมเวลา กระทั่งคนในร้านเริ่มเบาบางลง ปาฏลีจึงเริ่มเอะใจถึงเวลา

“ว้าย…ตายแล้วจะสี่ทุ่มแล้ว เราต้องกลับบ้านแล้วอ่ะ”  คุณหนูปาฏลีส่งเสียงง้องแง้ง  ที่จริงเธอยังอยากคุยกับเพื่อนๆ แต่บิดามารดาของเธอค่อนข้างกวดขันไม่ให้กลับบ้านมืดค่ำนัก

“งั้นกลับกันเลยละกัน เจ้าหญิงซินเดอเรลล่าหมดเวลาวีซ่าแล้ว ไม่งั้นรถรับส่งอาจกลายเป็นรถฟักทองได้”   ตวิษาแซวเพื่อนอย่างขำๆ

ตวิษาอาสาขับรถไปส่งดารินทร์ที่บ้าน  แต่ปาฏลีเสนอว่าให้ดารินทร์ติดรถเธอไปจะสะดวกกว่า  เพราะบ้านของดารินทร์อยู่บนเส้นทางไปบ้านเธออยู่แล้ว และเธอก็มีคนขับรถ ไม่ได้เหนื่อยอะไร เมื่อตกลงกันได้แล้ว  เพื่อนรักทั้งสามจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน 

 



Don`t copy text!