เพียงใจลิขิต บทที่ 3 : บ้านที่ไม่ใช่ ‘บ้าน’
โดย : จิรปิยา
เพียงใจลิขิต นวนิยายออนไลน์โดย จิรปิยา ที่อ่านเอาอยากได้คุณได้อ่านออนไลน์… เมื่อความรักนำทางเพื่อนรักทั้งสามมาถึงจุดเปลี่ยน สายใยแห่งมิตรภาพยังจะเหนียวแน่นอยู่ไหม เมื่อทั้งหมดเดินมาถึงจุดที่ต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางที่จะก้าวเดินต่อไป..พลังแห่งรักจะทำให้ก้าวข้ามผ่านขวากหนามไปสู่แสงทองอันรุ่งเรืองได้หรือเปล่า
******************************
– 3 –
กลับมาถึงคอนโดฯ หลังจากอาบน้ำแล้ว ตวิษาก็เริ่มเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คเพื่อทำงานต่อ ใครๆ มักพูดว่าเธอเป็นคนบ้างาน…ก็คงจะจริง…เธอรู้สึกว่าเวลาทำงานคือเวลาที่เธอพุ่งความสนใจและสมาธิทั้งหมดไปกับงาน โดยไม่มีเวลาไปคิดถึงเรื่องอื่นๆ ที่บั่นทอนพลังใจของเธอ
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ทำให้ตวิษาที่กำลังเพ่งสมาธิไปที่งานสะดุ้งขึ้น
“ดิว แกจะกลับมาบ้านวันไหน” เสียงห้วนเข้มดังขึ้นทันทีที่เธอรับสาย
…ใช่…นั่นคือเสียงแม่ของเธอเอง
“มีอะไรม้า” ถ้าแม่ไม่มีเรื่องทุกข์ใจหรือเดือดร้อน ก็จะไม่มีทางโทรหาเธอ…เธอรู้ดี
“ถ้าเสาร์อาทิตย์นี้กลับมา อย่าลืมซื้อหูฉลามและเป็ดย่างเต็มตัวมาหนึ่งตัวนะ เอาตัวใหญ่ๆ ด้วย อาตี๋เล็กบ่นอยากกินมาหลายวันแล้ว”
“อ้าว…แล้วทำไมต้องรอดิวซื้อไปล่ะ มันอยากกินก็ไปซื้อกินเองสิ ทำงานหาเงินได้แล้วนี่”
“น้องเพิ่งทำงานไม่กี่เดือน ยังเป็นสถาปนิกใหม่เงินดาวน์เงินเดือนก็ไม่มาก” ผู้เป็นมารดาพยายามอธิบายเหตุผล
“แต่ค่าใช้จ่ายของมันแทบไม่มีเลยนะม้า เช้ากินข้าวบ้าน เย็นก็กลับมากินข้าวบ้าน จะซื้อเสื้อผ้าของใช้อะไรก็แบมือขอเงินม้าไม่ก็ป๊า หนูสิ…ต้องผ่อนคอนโดฯ จ่ายค่ากินอยู่ค่าน้ำค่าไฟ ให้เงินเดือนม้า แล้วไอ้เล็กกับเฮียเคยให้เงินป๊ากับม้าบ้างไหม” น้ำเสียงของตวิษาเริ่มสั่นเครือ
แท้จริงแล้วตวิษาไม่อยากลำเลิกใดๆ กับมารดา เพราะเธอก็เต็มใจที่จะให้เงินมารดาทุกเดือนตั้งแต่ได้รับเงินเดือนเดือนแรก แต่มันก็อดน้อยใจไม่ได้ทุกที ทั้งบิดาและมารดาเหมือนจะพยายามเอาสิ่งที่เธอสร้างมาด้วยตัวเองไปประเคนให้ทั้งพี่ชายและน้องชายของเธอ โดยไม่เคยถามไถ่ว่าเธอจะเหนื่อยยากลำบากแค่ไหน….ใช่….เธออาจทำงานในบริษัทใหญ่โต ได้เงินเดือนสูง แต่ที่มาจนถึงทุกวันนี้ได้ก็ด้วยความเพียรพยายามของเธอ สามารถสอบชิงทุนไปเรียนต่างประเทศในสาขาที่ยากได้ และเรียนจบด้วยคะแนนดีเยี่ยม ทำให้สามารถเข้าทำงานในบริษัทต่างชาติระดับโลกที่เป็นที่ปรึกษาด้านระบบไอทีสำหรับองค์กรต่างๆ ได้ และเธอยังเก็บหอมรอมริบเพื่อซื้อ “บ้าน” เป็นของตนเองคือคอนโดฯ แห่งนี้ที่มีขนาดพื้นที่พอสมควรกับชีวิตสาวโสดเรียบง่ายอย่างเธอ แม้มันจะเล็กเมื่อเทียบกับบ้านที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่เล็ก แต่เธอกลับรู้สึกว่ามันคือ ‘บ้าน’ ที่เธอภาคภูมิใจว่าเป็นสมบัติที่สร้างจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองอย่างแท้จริง
ส่วนบ้านที่เธออยู่กับครอบครัวมาตั้งแต่เกิดนั้น แม้ว่าจะเรียกว่า ‘บ้าน’ แต่กลับไม่เคยรู้สึกว่ามันคือบ้านเลย ครอบครัวของเธอเป็นคนจีนโดยแท้ ทั้งพ่อและแม่เป็นลูกหลานคนจีนที่ยึดมั่นขนบประเพณีจีนอย่างเหนียวแน่น เธอเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของครอบครัว แต่ไม่ใช่ลูกคนเดียว มีพี่ชายหนึ่งคน คือ ‘ตรัณ’ อายุมากกว่าเธอ 2 ปี และน้องชายอีกหนึ่งคนคือ ‘ตฤณ’ อายุน้อยกว่าเธอ 4 ปี ชีวิตลูกคนกลางที่หลายคนบอกว่าเป็น ‘Wednesday Child’ ซึ่งหมายถึงเด็กที่มีปัญหาเพราะพ่อแม่มักรักลูกคนโตและคนเล็กมากกว่านั้น เธอว่ามันเป็นจริงโดยแท้ทรู แถมชีวิตเธอยังเจอแจ็คพอตเด้งที่สอง คือ เกิดมาเป็นลูกคนกลางแถมยังเป็นลูกสาวในครอบครัวคนจีนที่มีแนวคิดแบบดั้งเดิมที่โน้มเอียงรักลูกชายมากกว่าลูกสาว ชีวิตของตวิษาจึงรันทดยิ่งกว่านางเอกละครน้ำเน่าหลังข่าวเสียอีก
พ่อรักพี่ชายมาก ในขณะที่น้องชายคนเล็กก็เป็นลูกหัวแก้วหัวแหวนของมารดา ตั้งแต่เล็กของเล่นทุกอย่างเธอต้องรอรับต่อจากพี่ชาย ซึ่งแน่นอน..มันต้องเป็นของที่พี่ชายเธอเบื่อแล้ว ตวิษาไม่ได้อยากเล่นของเล่นแบบผู้ชายแต่จำใจต้องรับมาเล่น ยังจำได้ดีว่าเมื่ออายุประมาณ 7-8 ขวบ เธอเห็นเพื่อนที่โรงเรียนมีตุ๊กตาบาร์บี้ ก็อยากได้บ้างขอให้พ่อแม่ซื้อให้ พ่อตวาดลั่นว่าจะซื้อทำไมให้เสียเงิน เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์เลย ส่วนแม่ก็นิ่งเงียบไม่ช่วยขอร้องให้เลย ตวิษาเสียใจนอนร้องไห้ แม่ก็เข้ามาปลอบและสอนให้เชื่อฟังบิดา และให้พอใจกับการเล่นของเล่นที่เป็นมรดกตกทอดมาจากพี่ชาย
แต่เพียงสองวันหลังจากนั้น พ่อกลับบ้านมาพร้อมรถยนต์บังคับวิทยุราคาแพง ซึ่งแน่นอนมันเป็นของพี่ชายเธอ ตวิษาจำได้ว่าตอนนั้นน้องชายเพิ่งอายุ 5 ขวบ รีบวิ่งเข้ามาขอเล่นด้วย พี่ชายก็หวงของไม่ยอมให้แตะต้องของเล่นชิ้นใหม่นั้น แม่เข้าไปกอดปลอบน้องชายเธอและบอกให้พี่ชายแบ่งให้น้องเล่นด้วย ตวิษารู้สึกน้อยใจมากเดินหนีเข้าห้องนอนไปโดยที่ไม่มีใครสนใจจะปลอบใจเธอบ้าง
…นับแต่นั้นเธอก็บอกกับตัวเองว่าจะต้องมีชีวิตที่รุ่งเรืองดีเด่นกว่าพี่ชายและน้องชาย เพื่อพิสูจน์ให้บิดามารดารู้ว่าลูกสาวก็ไม่ได้ด้อยค่า ลูกสาวก็สามารถเป็นที่เชิดหน้าชูตาให้กับครอบครัววงศ์ตระกูลได้ทัดเทียมกับลูกชาย….เธอจะมุ่งมั่นและพยายามพิสูจน์ให้ท่านเห็นและภาคภูมิใจในตัวเธอให้ได้
“ว่าไง..ตกลงจะกลับบ้านพรุ่งนี้ไหม” เสียงแม่แว่วมาในโสตประสาทของตวิษาอีกครั้ง
“ก็กลับเหมือนปกติแหละม้า เอาเป็นว่าดิวจะซื้ออาหารไปถวายเซ่นไหว้เจ้าเล็กมันละกัน” เพื่อตัดรำคาญจึงตอบรับแม่ไป ซึ่งดูเหมือนจะทำให้แม่ของเธออารมณ์ดีขึ้นโดยพลัน จึงส่งเสียงนุ่มนวลกว่าเดิมมาตามสาย
“ดีแล้ว เดี๋ยวม้าจะทำบัวลอยไว้ให้แกละกันนะ ของโปรดไม่ใช่เหรอ” แม่เริ่มเอาใจเธอบ้าง แค่นี้ก็ดีที่สุดแล้วที่เธอจะได้รับความรักความสนใจจากผู้เป็นมารดา
“โอเคนะม้า ดิวต้องทำงานต่อแล้ว ไว้พรุ่งนี้เจอกันนะ” รู้สึกเต็มตื้นจนไม่อยากสนทนากับมารดาต่อ ทุกครั้งที่คุยกับมารดาหรือบิดาก็ต้องมีเหตุให้รู้สึกน้อยใจเสมอ
หลังจากวางสายจากมารดา หญิงสาวพยายามดึงสติกลับมาจดจ่อกับงานตรงหน้า แต่กลับทำได้ยากยิ่ง…ในที่สุดจึงตัดสินใจปิดคอมพิวเตอร์และเข้านอน ปกติเธอเป็นคนหัวถึงหมอนก็หลับได้ง่ายดาย หากวันนี้สมองกลับฟุ้งซ่านไปด้วยเรื่องราวในอดีตที่วิ่งวนอยู่ในห้วงความคิดจนไม่สามารถข่มตาหลับได้
ในฝัน…ตวิษาเห็นตัวเองสมัยยังเรียนอยู่ชั้น ม.5 แม้ว่าเธอจะเป็นเด็กเรียนดีมาตั้งแต่เล็ก แต่เธอก็ตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่เพื่อเก็บคะแนนสอบให้ดี เพื่อเตรียมตัวสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยในปีหน้า ในขณะที่ ‘ตรัณ’ พี่ชายของเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยรัฐเมื่อปีที่แล้วไม่ได้ พ่อแม่ก็ไม่ว่ากล่าวอะไรและยอมให้ตรัณไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีค่าใช้จ่ายสูงมากเมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยรัฐ แถมยังซื้อรถเก๋งคันใหม่ป้ายแดงให้ โดยอ้างว่าเพื่อปลอบใจตรัณที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยรัฐไม่ได้ ที่จริงแล้วพี่ชายเธอเรียกร้องจะเอารถยุโรปราคาแพง แต่ช่วงนั้นพ่อกับแม่กำลังจะเปิดร้านมินิมาร์ตเพิ่มเติมจากร้านขายของชำที่เป็นกิจการดั้งเดิมของครอบครัว จึงทำให้เงินส่วนใหญ่ถูกนำไปลงทุนในกิจการร้านมินิมาร์ต บิดาจึงไม่สามารถซื้อรถราคาแพงให้ลูกชายสุดที่รักได้
‘ครั้งนี้ป๊าปลอบใจรัณแค่นี้ก่อนนะ ถ้ารัณเรียนจบป๊าจะซื้อรถเบนซ์ให้เลย’
‘สัญญานะป๊า….แค่นี้รัณก็มีกำลังใจเรียนแล้ว และจะรีบเรียนจบรีบออกมาช่วยป๊าทำงานนะ’ ลูกชายสุดที่รักออดอ้อนพ่อ
‘แน่นอน กิจการบ้านเรากำลังดีขึ้น เราเปิดร้านมินิมาร์ตแล้ว กิจการก็จะรุ่งเรือง เฮงเฮงเฮง แน่นอน’ สีหน้าพ่อมีความมั่นใจและความหวังอย่างเต็มเปี่ยม
ดูเหมือนเธอจะกลายเป็นลูกที่ถูกลืมทุกครั้ง ในขณะที่บิดาและพี่ชายคุยกันอย่างออกรส ตวิษากลับรู้สึกโดดเดี่ยวไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในห้องนอน พยายามสลัดความรู้สึกน้อยใจทิ้งไปและมุ่งมั่นตั้งใจเรียนให้มากขึ้น ในปีถัดมาเธอก็สามารถสอบเข้าเรียนต่อในคณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดของประเทศที่มีการแข่งขันในการสอบเข้าสูงมากได้ เมื่อรู้ผลสอบเข้ามหาวิทยาลัย เธอตื่นเต้นดีใจมาก รีบวิ่งไปแจ้งข่าวกับบิดามารดา
‘ป๊า ม้า…ดิวสอบเข้าวิศวะได้แล้วนะ’ เธอตะโกนเสียงดังขณะก้าววิ่งลงบันไดบ้านมา ทันทีที่ได้ยินเสียงเธอ พ่อก็เงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ที่กำลังอ่านอยู่ เธอแอบเห็นแววตาดีใจของพ่อเพียงชั่วแวบเดียว แล้วมันก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
‘เก่งมากเลยดิว ม้าดีใจจริงๆ ป๊าเราออกไปกินข้าวข้างนอกบ้านฉลองกันไหม’ สีหน้าแม่ยิ้มแย้ม แม่เข้ามาโอบกอดเธอ และนั่นทำให้เธอรู้สึกดีมาก… ดีจริงๆ….มันทำให้รู้สึกว่าแม่ก็มีความภาคภูมิใจในตัวเธอเหมือนกัน
‘ไปทำไม เปลืองเปล่าๆ กะอีแค่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้’ พ่อขัดขึ้นแล้วหันกลับไปอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ ราวกับว่าเรื่องที่เธอสอบเข้าไม่มีความหมายใดๆ
แม่ชะงักไปเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำค้านของพ่อ ‘งั้นเดี๋ยวเย็นนี้ม้าจะทำกับข้าวที่ดิวชอบ ฉลองให้นะ’ มารดาพยายามช่วยปรับบรรยากาศให้ดีขึ้น ลึกๆ แล้วนางประไพก็เห็นใจลูกสาวเช่นกัน
ตวิษาพยักหน้ารับ แล้วเดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้าหงอยๆ พูดกับตัวเองในใจว่า ‘แค่นี้ก็ดีมากแล้ว…จะหวังอะไรนักหนานะ..ยายดิว’ หัวใจถูกบีบรัดด้วยความรู้สึกน้อยใจ…เสียใจ…จนไม่สามารถบอกกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้
เธอพยายามมากที่สุดแล้วที่จะไม่เป็น ‘เด็กมีปัญหา’ แม้ว่าจะรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นลูกชังของพ่อ…และ….บางครั้งก็ของแม่ด้วย แต่ก็พยายามบังคับตัวเองไม่ทำตัวเองออกนอกลู่นอกทางไปในทางที่ทำให้ชีวิตตกต่ำลง แต่กลับใช้ความรู้สึกน้อยใจเป็นพลังในการพัฒนาตัวเองให้ก้าวไปสู่จุดที่ดีขึ้น…จุดที่ประสบความสำเร็จและโดดเด่น…ด้วยหวังว่าสักวันบิดามารดาจะภาคภูมิใจและเห็นคุณค่าของเธอ แต่เมื่อมาถึงอีกก้าวหนึ่งของความสำเร็จ กลับพบกับความผิดหวังเหมือนเช่นเคย เธอยังคงไม่ดีพอสำหรับบิดาและอาจไม่มีวันนั้น…วันที่บิดาจะมองเห็นเธออยู่ในสายตา..เลยก็ได้
สาวน้อยตวิษาในวัย 16 ปี เกือบจะตัดสินใจไม่ไปรายงานตัวเข้ามหาวิทยาลัย ไม่เรียนต่อ เพื่อประชดบิดา แต่แม่เข้ามาปลุกปลอบบอกกับเธอว่า
‘ดิวไม่ต้องน้อยใจป๊าเขาหรอก ที่จริงเขาก็ดีใจกับดิวนะ แต่เขาเป็นคนไม่แสดงออกน่ะ จริงๆ เขาก็หวังให้ดิวได้ดี ทำตัวดี เพื่อที่จะได้ไม่เป็นขี้ปากคนว่ามีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้านเท่านั้น’ สิ่งที่แม่ปลอบใจกลับไม่ได้เยียวยาความรู้สึกของตวิษาให้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายกลับตอกย้ำความรู้สึก ‘ด้อยค่า’ ของเธอเพิ่มขึ้นอีก
…ทำไมนะ…เราสอบเข้ามหาวิทยาลัยรัฐอันดับหนึ่งของประเทศที่สอบเข้ายากมากๆ ได้ แต่กลับไม่มีคำชื่นชมใดๆ จากป๊า แต่ทำไมเฮียรัณสอบไม่ได้ ป๊ากลับซื้อรถคันใหม่ให้ แค่ว่าเราเป็นผู้หญิงงั้นเหรอ สักวันเราจะพิสูจน์ให้ป๊าม้ารู้ว่าลูกสาวก็สามารถเป็นที่เชิดหน้าชูตาได้มากกว่าลูกชาย…เราจะต้องประสบความสำเร็จในชีวิตให้ได้!!’ ตวิษาสัญญากับตัวเอง
นับจากนั้นเธอก็พยายามตั้งใจเรียน เรียนจบด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง และยังสามารถสอบชิงทุนแบบให้เปล่าของรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เพื่อเรียนต่อปริญญาโทได้ หากครั้งนี้ดีกว่าครั้งก่อน พ่อแม่ยอมไปเลี้ยงฉลองให้เธอที่ภัตตาคารใหญ่ แต่ตวิษาก็อดคิดไม่ได้ว่าที่จริงงานเลี้ยงครั้งนี้อาจไม่ได้เพื่อฉลองที่เธอสอบชิงทุนไปเรียนต่อต่างประเทศได้ก็เป็นได้ แต่อาจเป็นเพราะในตอนนั้น ตฤณ…น้องชายของเธอก็สอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ได้เช่นกัน พ่อแม่จึงถือโอกาสเลี้ยงฉลองพร้อมกัน
ส่วน ตรัณ…พี่ชายเธอเรียนปริญญาตรีมาเป็นปีที่ 6 ย่างเข้าปีที่ 7 แล้วก็ยังเรียนไม่จบ เขามักบ่นกับบิดามารดาว่าเรียนยาก อาจารย์ไม่ดีสอนไม่รู้เรื่อง ซึ่งแน่นอนพ่อและแม่ก็ไม่เคยว่าอะไร ได้แต่บอกว่าแค่พยายามเรียนให้จบแค่นี้พ่อแม่ก็ภูมิใจแล้ว สุดท้ายตรัณก็เรียนจนจบด้วยคะแนนร่อแร่ หลังเรียนจบก็ไม่ยอมหางานทำ จนพ่อให้ช่วยดูแลมินิมาร์ต เขาก็อยู่เฝ้าร้านบ้างหายไปบ้างแล้วแต่อารมณ์
‘เฮีย…ตี๋ใหญ่ไม่อยู่เหรอ อั๊วจะให้ขับรถไปขนของมาเข้าร้าน’ แม่คุยกับพ่อ ในขณะที่ตวิษานั่งอ่านหนังสืออยู่อีกมุมหนึ่งของร้าน
‘เห็นบอกว่าจะไปหาเพื่อน’ บิดาตอบขณะนั่งดีดลูกคิดตรวจดูบัญชีของร้าน
‘เฮียต้องบอกรัณบ้างนะ ให้หมั่นดูแลร้านหน่อย ไม่ใช่เดี๋ยวหายเดี๋ยวหาย’ แม่เริ่มบ่นกับพ่อ นางเริ่มหงุดหงิดพฤติกรรมของลูกชายคนโต เพราะคาดหวังว่าเขาจะมาช่วยงานที่บ้านได้อย่างเต็มที่หลังจากเรียนจบ แต่ปรากฏว่าเขาก็ทำงานแบบไม่จริงจัง
‘ช่างเถอะ อาตี๋ใหญ่เพิ่งเรียนจบ ควรให้พักผ่อนบ้าง เรียนเครียดมาหลายปี” เช่นเคยบิดาไม่เคยว่ากล่าวตักเตือนใดๆ ลูกชายสุดที่รัก
‘ป๊า…ม้า ตฤณกลับมาแล้ว ม้ามีอะไรให้กินบ้าง หิวมากเลย’ ตฤณกลับถึงบ้าน วางกระเป๋าเป้ลงบนม้านั่งใกล้โต๊ะทำงานของพ่อ ยังมีเหงื่อซึมอยู่บนขมับทั้งสองข้าง
‘อยู่ในครัวน่ะ ม้าทำกล้วยบวชชีไว้ ไปตักเลย’
‘เจ๊ดิว ไปตักให้หน่อยดิ เอาน้ำเย็นมาด้วยนะ’ ตฤณหันไปสั่งตวิษา
‘ไปเอาเองสิ ฉันอ่านหนังสืออยู่ไม่เห็นเหรอ และที่สำคัญฉันไม่ใช่คนใช้ของแกนะ’ ตวิษาไม่ยอม
‘ดิว ไปเอามาให้น้องเลย น้องกลับมาเหนื่อยๆ’ พ่อผินหน้ามาสั่งเธอ แต่ตวิษายังคงทำทองไม่รู้ร้อนนั่งอ่านหนังสือต่อไปโดยไม่พูดอะไร นั่นทำให้บิดาโมโหตวาดลั่น
‘ไอ้ดิว ไปเดี๋ยวนี้นะ’
หญิงสาวข่มความน้อยใจด้วยการกัดริมฝีปากตัวเอง หากในใจยังดื้อดึงไม่ยอมทำตามคำสั่งบิดา
‘เดี๋ยวม้าไปเอามาให้เอง ป๊าใจเย็นๆ’ แม่ตัดบท ด้วยไม่อยากให้เกิดเรื่อง
ตวิษาจึงหลบขึ้นไปด้านบนของร้าน น้อยใจและโมโหที่บิดาไม่เคยเข้าข้างเธอเลย
‘ไอ้ดิว เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งนะ’ พ่อยังส่งเสียงตวาดตามหลังมา
‘เอาน่า เอาน่า เฮีย…ช่างเถอะ เดี๋ยวอั๊วไปเอากล้วยบวชชีให้ ไปๆ นั่งลง…คิดบัญชีต่อเถอะ’ แม่พยายามไกล่เกลี่ย พ่อยังดูหงุดหงิด แต่ก็พยายามทำใจให้เย็นลง
เย็นวันนั้นตวิษาเก็บตัวอยู่ในห้องนอน ไม่ยอมลงมากินข้าวเย็น ได้ยินเสียงมารดาเรียกให้ลงไปทานข้าวแว่วๆ และได้ยินเสียงบิดาพูดตามมาว่าไม่ต้องสนใจเธอ หญิงสาวพยายามข่มใจไม่สนใจสรรพเสียงใดๆ และคืนนั้นก็เป็นอีกคืนที่เธอร้องไห้จนหลับไป
*******************************
รุ่งขึ้นตวิษาตื่นมาด้วยอาการสะโหลสะเหลอ่อนเพลีย เนื่องจากเมื่อคืนนี้เธอแทบจะไม่ได้นอนหลับสนิทเลย ฝันร้ายที่เคยจางหายไประยะหนึ่งหวนกลับมาอีกครั้ง
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวและรับประทานอาหารเช้าแบบง่ายๆ คือ กาแฟและขนมปังปิ้งแล้ว เธอก็รีบเดินทางออกจากคอนโดฯ เพื่อไปแวะซื้อเป็ดย่าง และหูฉลามจากภัตตาคารชื่อดังที่แม่ได้สั่งไว้ แล้วตรงกลับบ้าน
เมื่อถึงบ้านหรืออีกนัยหนึ่งคือตึกแถวสองคูหาที่เปิดด้านล่างเป็นร้านขายของชำ เห็นบิดานั่งดูทีวีอยู่
“หวัดดีป๊า” เธอยกมือไหว้ แต่พ่อเพียงชำเลืองมอง พยักหน้ารับรู้เล็กน้อย และหันไปสนใจการดูทีวีต่อ ตวิษาจึงเดินเลยไปที่ครัวหลังบ้านเพื่อเอาอาหารที่ซื้อมาไปไว้บนโต๊ะในครัว ซึ่งมารดากำลังเตรียมอาหารเที่ยงอยู่
“หวัดดีม้า” ตวิษากล่าวพร้อมยกมือไหว้มารดา
“ได้ซื้อเป็ดกับหูฉลามมาหรือเปล่า” ได้ยินประโยคที่มารดาเอ่ยถามแล้วแทบจะสะอึก แทนที่จะทักทายหรือถามสารทุกข์สุขดิบเธอบ้าง แต่กลับห่วงเรื่องอาหารที่สั่งไว้สำหรับน้องชายเธอ
“ซื้อมาแล้ว วางบนโต๊ะแล้ว ดิวเอาของขึ้นไปเก็บก่อนนะ”
แม่พยักหน้า ตวิษาจึงขึ้นบันไดไปชั้นบน เห็นน้องชายนั่งเล่นเกมมือถืออยู่ เขาหันมาทักทายเธอเล็กน้อยพอเป็นพิธี
“หวัดดีเจ๊” ตฤณอยากจะถามพี่สาวว่าซื้ออาหารมาให้เขาหรือเปล่า แต่ก็ฉลาดพอที่จะไม่พูด ให้แม่เป็นผู้ออกหน้าสั่งพี่สาวดีกว่า แม้ว่าเขาจะมีงานการทำแล้วและมีรายได้ค่อนข้างสูง แต่ก็ไม่เคยให้เงินพ่อแม่สักบาท อีกทั้งยังพยายามให้เงินกระเด็นออกจากกระเป๋าตัวเองน้อยที่สุด เขาไม่ได้งกนะ…ก็แค่อยากเก็บเงินไว้มากๆ เท่านั้นเอง หากอยากได้อะไรก็ขอแม่ ไม่ก็ให้แม่ไปบังคับให้พี่สาวซื้อมาให้ ดังเช่นอาหารจานโปรดราคาแพงที่พี่สาวซื้อมานั่นไง
ตวิษาพยักหน้าให้น้องชายนิดๆ ก่อนจะเดินเข้าห้องของตนไป ชีวิตของเธอวนเวียนเช่นนี้มาหลายปีแล้ว หลังจากจบกลับมาจากต่างประเทศและได้ทำงานกับบริษัทขนาดใหญ่ไม่ถึง 2 เดือนดี เธอก็ตัดสินใจเอาเงินเก็บมาวางดาวน์คอนโดฯ และในที่สุดเธอก็สามารถผ่อนหมดได้ภายใน 1 ปี นับเป็นสมบัติชิ้นแรกในชีวิต เธอย้ายออกจากบ้านไปอยู่ที่คอนโดฯ เป็นหลักและกลับมาอยู่ที่บ้านเดิมเฉพาะในช่วงวันเสาร์อาทิตย์เท่านั้น ที่จริงแล้วเธอก็ไม่ได้อยากกลับบ้านทุกสัปดาห์ แต่เป็นเพราะแม่บอกให้กลับมาบ้านบ้างจะตัดขาดครอบครัวไม่ได้ แต่กลับมาบ้านมาทีไร ก็ไม่เคยสบายใจมีความสุขเลย พ่อและพี่ชายแทบจะไม่ได้แยแสมากนักว่าเธอจะกลับมาบ้านหรือไม่ ส่วนแม่และน้องชายก็ยังพอมีการพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันบ้าง
เย็นวันนั้นตวิษาลงมากินข้าวกับครอบครัว ส่วนใหญ่พูดคุยกับแม่ ส่วนพ่อนั้นเป็นปกติที่ไม่ค่อยได้คุยกัน ตรัณพี่ชายเธอไม่อยู่บ้าน แต่เธอก็ไม่ได้ซักถามว่าเขาไปไหน ตฤณน้องชายเธอก็รีบกินข้าวเพื่อขึ้นห้องไปเล่นเกม หลังทานข้าวเสร็จผู้เป็นพ่อได้แต่ชะเง้อมองไปที่ประตูรอคอยการกลับบ้านของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน
“เจ้ารัณยังไม่กลับอีกเหรอ เดี๋ยวนี้กลับดึกตีสองตีสามแทบทุกวัน ตื่นมาก็เที่ยงหรือบ่าย ไม่มีไปช่วยเฝ้าร้านเลย” นางประไพเริ่มบ่นในความไม่เป็นโล้เป็นพายของตรัณ แม้ว่าจะรักพี่ชายคนโตมากแต่ก็คาดหวังให้เขามีความรับผิดชอบแบ่งเบาภารกิจดูแลธุรกิจของครอบครัวด้วย แต่จากพฤติกรรมที่ผ่านมานางก็เริ่มตระหนักบ้างแล้วว่าตรัณคงไม่สามารถทำความหวังของนางให้เป็นจริงได้
“มันคงไปคุยกับเพื่อน รู้จักคนเยอะๆ ไว้จะได้ช่วยธุรกิจเราไง รัณมันฉลาดรู้จักสร้างคอนเนคชั่น” บิดาเข้าข้างลูกชายสุดที่รักเช่นเคย ตวิษาพอจะเดาได้ว่าบิดาก็คงรู้สึกไม่ต่างกับมารดา แต่ด้วยความรักมากมายจึงทำให้เขาพยายามหลอกตัวเองด้วยการหาข้ออ้างต่างๆ นานามาแก้ต่างให้ลูกชายคนโต
ถ้าเป็นเมื่อก่อนตวิษาจะพูดบางอย่างออกไปเพื่อให้บิดามารดาเข้าใจสถานการณ์ เธอรู้ดีว่าพี่ชายเริ่มคบเพื่อนเกเร หนีโรงเรียนไปเที่ยว จึงอยากให้บิดามารดารู้ข้อมูลและว่ากล่าวตักเตือนตรัณบ้าง ซึ่งที่เธอทำไปไม่ใช่เป็นเพราะความอิจฉา แต่เธอเป็นห่วงพี่ชายเช่นกัน คิดว่าคงต้องให้บิดามารดาเป็นคนตักเตือนเขาเอง แต่ทุกครั้งกลับกลายเป็นเธอที่เป็นคนผิด มักถูกบิดาตวาดใส่อย่างรุนแรงว่าไปให้ร้ายพี่ชาย เมื่อโดนดุหลายครั้งเข้าเธอจึงทำเพิกเฉยไม่สนใจในพฤติกรรมของพี่ชายและน้องชายอีกต่อไป
ครั้งนี้ก็เช่นกัน หญิงสาวนั่งนิ่งเงียบฟังบทสนทนาของบิดามารดาอย่างเฉยเมย หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จเธอก็ปลีกตัวขึ้นไปห้องนอนโดยไม่สนใจอีกเลยว่าพี่ชายจะกลับบ้านหรือยัง
เหตุการณ์วงจรชีวิตของตวิษาช่างเป็นวงจรเดิมๆ อันน่าเบื่อ จันทร์ถึงพฤหัสนอนคอนโดฯ คนเดียวอย่างเงียบเหงา กลับมาเยี่ยมบ้านเย็นวันศุกร์หรือไม่ก็เช้าวันเสาร์และวันอาทิตย์ก็กลับไปคอนโดฯ ความรู้สึกแปลกแยกไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวไม่เคยจางหายไป เธอโหยหาอยากมีความรักความอบอุ่นเหมือนครอบครัวอื่นๆ บ้าง หลายครั้งเธอแอบอิจฉาปาฏลี ที่มีบิดามารดาที่รักเธอดั่งแก้วตาดวงใจ หรืออิจฉาแม้กระทั่งดารินทร์ที่แม้ว่าจะมีฐานะยากจน แต่ก็ยังมีมารดาที่รักและคอยดูแลเธออย่างดี เมื่อหันกลับมามองตัวเอง หลายครั้งก็รู้สึกเบื่อหน่าย อ้างว้าง โดดเดี่ยว เหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก หากไม่มีปาฏลีและดารินทร์ที่คอยเป็นกำลังใจ ตวิษาคงจะหมดอาลัยตายอยากมากกว่านี้
เช้าวันจันทร์ ตวิษาไปที่กระทรวงเพื่อไปประชุมร่วมกับฝ่ายไอทีตามที่นัดหมายไว้ เธอไปถึงก่อนเวลานัดประมาณครึ่งชั่วโมง เมื่อผลักประตูห้องประชุมเข้าไป กลับพบชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอ่านเอกสารบางอย่างอยู่ที่โต๊ะประชุม เมื่อได้ยินเสียงประตู เขาจึงละสายตาจากเอกสารเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่เข้ามาใหม่
“เอ่อ… สวัสดีค่ะ ดอกเตอร์” เธอจำต้องกล่าวทักทายเขาก่อนตามมารยาท
“วันนี้ผมขอมานั่งประชุมด้วยนะครับ ในฐานะที่เป็นประธานคณะกรรมการกำกับโครงการนี้ ผมอยากติดตามงานอย่างใกล้ชิด หากไม่ติดอะไรอยากเข้าร่วมประชุมด้วยทุกครั้ง”
“เอ่อ….ค่ะ…ก็แล้วแต่ดอกเตอร์สะดวกค่ะ” ไม่รู้จะตอบอะไรได้มากกว่านี้ ที่จริงแล้วเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยเชิงเทคนิคอาจไม่จำเป็นที่ผู้บริหารระดับเขาจะต้องมาประชุมด้วยตัวเอง ให้เจ้าหน้าที่เทคนิคด้านไอทีของกระทรวงมาทำงานกับเธอเองอาจง่ายและสะดวกกว่าด้วยซ้ำ
“อ้อ…คุณดิวเรียกผมว่า ‘ปั้น’ ก็ได้นะครับ เราตกลงกันแล้วไง” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมส่งรอยยิ้มละไม หากไม่มีอคติใดๆ ตวิษาก็อาจยอมรับได้ว่าเขาเป็นคนมีเสน่ห์จริงๆ
“ค่ะ” รับคำสั้นๆ ก่อนจะหย่อนกายนั่งลง ขณะที่ทีมงานฝ่ายไอทีเริ่มเดินเข้าห้องประชุมมา ตามมาด้วยทีมงานของบริษัทเธอ
จากนั้นจึงเริ่มประชุมเพื่อประเมินความพร้อมของระบบและโครงสร้างที่จะรองรับการพัฒนาฐานข้อมูลและระบบเชื่อมโยงต่างๆ การประชุมใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงโดยวางแผนว่าจะทดลองใช้ระบบกับกองในกรม ประมาณ 2 กองก่อน เพื่อจะได้ตรวจสอบว่าจะมีปัญหาติดขัดที่ใดบ้าง ก่อนจะขยายการใช้ระบบทั้งหน่วยงาน
“คุณดิวครับ” ปรัตถ์เรียกตวิษาในขณะที่เธอกำลังเก็บคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของตน
“คะ?”
“เที่ยงนี้ไปทานข้าวที่ไหนครับ คือ…. ถ้าไม่รังเกียจผมอยากชวนไปทานร้านก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยข้างกระทรวง อร่อยเด็ดเลย… เอ่อ…คือผมอยากหารือเรื่องการเตรียมงานต่อไปด้วยครับ…” ปรัตถ์กล่าวชวนหญิงสาวอย่างรวดเร็ว หาข้ออ้างเรื่องงานเพื่อให้สาวเจ้ายอมไปทานอาหารเที่ยงด้วย
ปรัตถ์ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่านับตั้งแต่แรกเจอ ทำไมจึงอยากเห็นหน้า อยากพูดคุยกับเธอ แม้ว่าเธอจะทำหน้าเฉยเมย ไร้อารมณ์ร่วมในบทสนทนาทุกครั้ง แต่เขากลับรู้สึกว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าค้นหาว่าทำไมหญิงสาวหน้าใส รูปร่างเพรียวบาง น่าทะนุถนอมราวกับเจ้าหญิงน้อย แต่กลับมีความเย็นชาราวกับน้ำแข็ง….เขาอยากเรียกเธอว่า ‘เจ้าหญิงน้ำแข็งของเขา’ …อ้ะ…ของเขาเหรอ
รู้สึกอุ่นวาบในหัวใจ ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับผู้หญิงคนไหนเลย ทั้งๆ ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมา 30 กว่าปี เจอะเจอผู้หญิงสวยเซ็กซี่กว่าตวิษามาก็มากมาย แถมหลายคนยังเป็นฝ่ายเข้าหาเขา เชื้อเชิญเขาก่อนด้วยซ้ำ แต่เขากลับวางตัวออกห่าง พูดคุยตามมารยาทสังคมเท่านั้น หลายครั้งคุณหญิงนรีทิพย์…มารดาของเขาพยายามชักนำให้รู้จักลูกสาวคุณหญิงคุณนายในวงสังคมไฮโซของเธอ เขาก็มักหาทางบ่ายเบี่ยงเสมอมา แต่ไม่รู้ทำไม…นับจากวันแรกที่ได้พบกัน ใบหน้าของสาวหมวยคนนี้กลับเข้ามาวนเวียนอยู่ในจิตใจ…ในห้วงความคิดของเขาตลอดเวลา อยากค้นหา…อยากทำความรู้จักให้ลึกซึ้งมากขึ้น คงต้องพยายามใช้โอกาสในช่วงที่ต้องทำงานร่วมกันนี้ให้เป็นประโยชน์เข้าถึงเจ้าหญิงน้ำแข็งให้มากที่สุด
“วันนี้คงไม่สะดวกค่ะ ดิฉัน…” ปรัตถ์ขมวดคิ้วงุ่นทันทีที่ได้ยินหญิงสาวแทนตัวด้วยคำว่า ‘ดิฉัน’
“เอ่อ…ดิว ติดอีกงานหนึ่งช่วงบ่ายค่ะ คงต้องรีบไปเลย” สายตาเข้มของชายหนุ่มตรงหน้าทำให้หญิงสาวต้องรีบเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองทันที
“แล้วคุณดิวไม่ทานข้าวเที่ยงเหรอครับ” ปรัตถ์เอ่ยถาม
“มีขนมติดไว้ในรถค่ะ ทานรองท้องไประหว่างขับรถไปได้ กลัวรถติดไปไม่ทันนัด คงต้องขอตัวก่อนค่ะ ไว้โอกาสหน้านะคะ”
เมื่อได้ยินคำปฏิเสธของเธอ ปรัตถ์จำต้องยอมรับไปก่อน อย่างน้อยเธอก็บอกว่า ‘ไว้โอกาสหน้า’ แสดงว่ายังมีความหวังในคราวหน้า…เขาบอกกับตัวเอง
“แล้วเย็นนี้ไปวิ่งไหมครับ ถ้าไปคงได้เจอกัน”
“ถ้าเสร็จงานทันก็ไปค่ะ” หญิงสาวยกยิ้มมุมปากเพียงเล็กน้อยให้เขา
“หวังว่าจะได้พบกันนะครับ” ยิ้มเจิดจ้าของชายหนุ่มทำให้ตวิษาตาพร่าไปชั่วขณะ จึงรีบยกมือไหว้เขาแล้วเดินจากไปโดยเร็ว หากเธอมีตาหลังคงจะเห็นว่าดอกเตอร์หนุ่มยังคงยืนยิ้มค้างมองตามเธอไปจนลับสายตา