เพียงใจลิขิต บทที่ 4 : บังเอิญ…โลกกลม
โดย : จิรปิยา
เพียงใจลิขิต นวนิยายออนไลน์โดย จิรปิยา ที่อ่านเอาอยากได้คุณได้อ่านออนไลน์… เมื่อความรักนำทางเพื่อนรักทั้งสามมาถึงจุดเปลี่ยน สายใยแห่งมิตรภาพยังจะเหนียวแน่นอยู่ไหม เมื่อทั้งหมดเดินมาถึงจุดที่ต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางที่จะก้าวเดินต่อไป..พลังแห่งรักจะทำให้ก้าวข้ามผ่านขวากหนามไปสู่แสงทองอันรุ่งเรืองได้หรือเปล่า
******************************
– 4 –
เย็นนั้นปรัตถ์ไปที่สวนสาธารณะแห่งเดิมที่เคยพบตวิษา หวังใจว่าจะได้พบเธออีกครั้งจะได้ชวนวิ่งด้วยกัน วิ่งวนไปแล้ว 3 รอบก็ยังไม่เห็นแม้เงาของหญิงสาว ถอดใจว่าสงสัยวันนี้ฤกษ์ไม่ดีคงไม่ได้พบเจ้าหญิงน้ำแข็งแล้ว เขาวิ่งต่ออีกระยะแล้วจึงเดินกลับคอนโดฯ
เมื่อกลับมาถึงคอนโดฯ เขาแวะตรวจเช็คตู้จดหมายก่อนจะขึ้นไปบนห้อง หากขณะนั้นปรัตถ์หันกลับมาก็จะได้พบหญิงสาวที่เขาเฝ้าชะเง้อมองหาที่สวนสาธารณะเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา ตวิษาเพิ่งเดินผ่านบริเวณล็อกเกอร์รับจดหมายและขึ้นลิฟท์ไป และเมื่อชายหนุ่มเดินไปถึงลิฟท์ เธอก็ได้ขึ้นลิฟต์อีกตัวไปแล้ว ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะไม่เข้าข้างเสียเลย เขาและเธอจึงคลาดกันหลายครั้ง
ทันทีที่กลับถึงห้อง ก็มีสายเรียกเข้า
กริ๊ง…กริ๊ง…
“ครับแม่…” ปรัตถ์รับสาย
“ปั้น เย็นวันศุกร์หน้าลูกว่างไหมจ๊ะ” นี่แหละคุณหญิงแม่ของเขา มักจะพูดอ่อนหวานกับเขาเสมอเมื่อต้องการให้เขาช่วยทำอะไรสักอย่าง และท่าทางวันนี้ก็คงต้องมีอะไรเป็นพิเศษที่แม่ต้องการให้เขาทำให้
ปรัตถ์รู้ดีว่าแม่รักเขาไม่แพ้กับน้องชายต่างบิดาเลย สามีใหม่ของมารดาคือรัฐมนตรีเรืองศักดิ์ก็เอื้อเอ็นดูเขาเสมือนลูกชายอีกคน อย่างไรก็ตามเขายังรู้สึกแปลกแยก ไม่สามารถทำตัวกลมกลืนกับครอบครัวใหม่ของแม่ได้อย่างสนิทใจ จึงตัดสินใจแยกตัวออกมาอยู่ลำพังที่คอนโดฯ ซึ่งเก็บเงินซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงของตน แม้มารดาจะเสนอตัวออกเงินซื้อให้ แต่เขาก็ปฏิเสธ อยากยืนบนขาตัวเองได้และพึ่งพาครอบครัวใหม่ของมารดาให้น้อยที่สุด ที่สำคัญคือไม่อยากให้มารดามีปัญหากับคุณเรืองศักดิ์ที่อาจเข้าใจว่าเบียดบังเงินทองมาให้ลูกชายคนโต
ทรัพย์สินของรัฐมนตรีเรืองศักดิ์ที่มีในปัจจุบันนั้น แท้จริงแล้วตั้งต้นมาจากทรัพย์สินของมารดาเขาแทบทั้งหมด แต่หลังจากที่คุณเรืองศักดิ์เข้าสู่วงการการเมือง ครอบครัวก็เริ่มมีฐานะดีขึ้นอีก ซึ่งเขาไม่แน่ใจว่าบิดาเลี้ยงเพิ่มพูนทรัพย์สินส่วนนี้ขึ้นมาได้อย่างไร
คุณนรีทิพย์..มารดาของเขาเป็นเศรษฐินีไฮโซมาตั้งแต่ยังสาว ตระกูลเดิมเป็นคหบดีใหญ่ที่มีสายตระกูลเป็นถึงเจ้าพระยา ฝ่ายบิดาของเขา…พลเอกพรเทพ…ก็มีพื้นฐานครอบครัวเป็นเศรษฐีเจ้าของที่ดินมากมาย แต่ท่านรักที่จะรับราชการทหารและก้าวหน้าในหน้าที่การงานอย่างรวดเร็ว ด้านคุณตาของเขาก็เป็นทหารยศนายพลเอก ส่วนคุณยายเสียชีวิตตั้งแต่คุณแม่เขายังเล็ก หลังจากตกพุ่มหม้ายคุณตาจึงเลี้ยงดูบุตรสาวคนเดียวอย่างทะนุถนอมดุจไข่ในหิน โดยมียายแม้นซึ่งเป็นคนสนิทของคุณยายมาช่วยเป็นพี่เลี้ยง คุณแม่ของเขาเป็นคนเรียบร้อยอ่อนหวานและหัวอ่อน เมื่อคุณตาเอ่ยปากอยากให้แม่เป็นฝั่งเป็นฝา โดยให้แต่งงานกับพลตรีพรเทพ…นายทหารรุ่นน้องของท่านซึ่งมีคุณสมบัติเพียบพร้อม มีอนาคตรุ่งเรือง และสามารถดูแลเธอไปจนตลอดชีวิตได้ คุณแม่ของเขาก็ยินยอมโดยดี แม้ว่าขณะนั้นท่านมีอายุเพียง 22 ปีและมีอายุห่างจากบิดาของเขาถึง 20 ปี
เขายังจำได้ดี..คุณแม่เคยเล่าว่าสมัยหนุ่มๆ คุณพ่อของเขาเป็นชายหนุ่มรูปงาม มีบุคลิกโดดเด่น สุขุม อบอุ่น หน้าตายังแลดูอ่อนเยาว์กว่าอายุ เนื่องจากเป็นคนที่ดูแลสุขภาพเสมอ แม้ว่าจะมีสาวๆ เข้าหาคุณพ่อมากมาย แต่คุณพ่อก็เลือกแต่งงานกับคุณแม่ ช่วงแรกท่านยังไม่ได้รู้สึกรักคุณพ่อ มีเพียงความรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ครองคู่กับชายผู้เพียบพร้อมเท่านั้น แต่ต่อมาไม่นานท่านก็รักคุณพ่ออย่างเต็มหัวใจ
หลังจากแต่งงานได้ปีกว่าๆ ทั้งสองก็มีโซ่ทองคล้องใจคือตัวเขา ครอบครัวมีความสุขกันตลอดมา จนกระทั่งเขา มีอายุประมาณ 6-7 ปี พอเริ่มจำความได้ว่าบิดามารดามีปากเสียงทะเลาะกันด้วยเรื่องบางอย่าง ทำให้บิดาห่างเหินจากครอบครัว บางคืนบิดาไม่กลับบ้าน เขายังจำภาพที่ตนเองไม่ยอมเข้านอนและนั่งร้องไห้รอพ่อกลับบ้านได้ และแล้ววันหนึ่งเขาเห็นแม่รับโทรศัพท์แล้วก็กรีดร้องโฮ น้ำตาไหลพราก พร่ำพูดแต่ว่า…ไม่จริง ไม่จริง..ต่อจากนั้นใครๆ ก็บอกว่าพ่อไปสวรรค์แล้ว ตอนนั้นเด็กชายปรัตถ์ก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าสวรรค์อยู่ที่ไหน อยู่ไกลบ้านมากน้อยแค่ไหน รู้เพียงว่านับจากวันนั้นเขาก็ไม่เคยพบบิดาอีกเลย เขาเฝ้าแต่ร้องไห้ร่ำร้องจะไปสวรรค์หาพ่อ
หลังจากสูญเสียสามี…พลเอกพรเทพ…ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ แม้จะเศร้าเสียใจมาก แต่คุณนรีทิพย์… มารดาของเขาก็ใช้เวลาไม่นานเรียกคืนความเข้มแข็งให้กับตัวเองเพื่อเป็นหลักให้กับบุตรชายคนเดียว ขณะนั้นแม่ของเขามีอายุเพียงต้นสามสิบ ยังสาวและสวยอยู่มาก แต่ต้องตกพุ่มหม้ายกลายเป็นม่ายสาวเนื้อหอม…พร้อมพรั่งไปด้วยมรดกมหาศาลของสามี ผนวกกับมรดกจากฝ่ายคุณตาของเขาด้วย เธอต้องเข้าบริหารกิจการของตระกูลเดิม รวมทั้งจัดการทรัพย์สินเงินทองมรดกของสามีให้งอกเงยมากขึ้น เพียง 2 ปีให้หลัง…แม่ของเขาก็ตัดสินใจสมรสใหม่กับคุณเรืองศักดิ์ ซึ่งเป็นอดีตรุ่นน้องคนสนิทของบิดาเขา
คุณเรืองศักดิ์ในขณะนั้นยังไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไรนัก เรียกได้ว่ามีฐานะปานกลาง แต่หลังจากแต่งงานกับแม่ของเขา ก็เริ่มหาหนทางเข้าสู่เวทีทางการเมืองโดยใช้ความมั่งคั่งและชาติตระกูลของฝั่งมารดาเขาเป็นฐานหนุนเสริม และนับได้ว่าจังหวะชีวิตของคุณเรืองศักดิ์ค่อนข้างดี เขาได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ตั้งแต่ลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งแรก หลังจากนั้นก็เข้าสู่เส้นทางการเป็นนักการเมืองเต็มตัว ฐานการเงินของแม่เขาช่วยต่อยอดผลักดันคุณเรืองศักดิ์ไปสู่การมีตำแหน่งทางการเมืองที่มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งพรรคการเมืองที่เขาสังกัดได้เป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาล คุณเรืองศักดิ์จึงได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแห่งหนึ่ง และในรัฐบาลชุดปัจจุบันนี้เขาก็ได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสำคัญทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นหน่วยงานที่ปรัตถ์ทำงานอยู่
“ว่าไงจ๊ะลูก ว่างไหม แม่อยากให้ปั้นไปงานเปิดตัวห้างสรรพสินค้าใหม่กับแม่จ้ะ” เสียงจากมารดาดึงห้วงความคิดเขากลับมาสู่บทสนทนาอีกครั้ง
“แม่ชวนปัถย์ไปกับแม่ดีกว่าครับ แม่ก็ทราบ ผมงานเยอะ แล้วก็ไม่ชอบออกงานพวกนี้เลย”
“ปัถย์ก็ไปจ้ะ แต่น้องบอกว่ากลัวไม่มีเพื่อน หาว่าเวลาแม่เม้าท์มอยกับเพื่อนๆ แม่มักจะลืมตัวว่าพาใครมาด้วย ปั้นก็รู้นี่นาว่าน้องเพิ่งกลับมาจากอเมริกา ก็ยังไม่ค่อยรู้จักใคร เพื่อนทางนี้ก็ไม่ค่อยมีเพราะไปเรียนปริญญาตรีที่โน่นตั้งหลายปี แม่เลยอยากให้ปั้นไปด้วยเผื่อเป็นเพื่อนน้องจะได้ไม่เก้อ นะจ๊ะปั้นลูกรักของแม่” คุณหญิงนรีทิพย์ส่งเสียงหวานอ้อนมาตามสาย เธอรู้ดีว่าลูกชายคนโตของเธอเป็นคนจิตใจดี และมักจะโอนอ่อนผ่อนตามเธอเสมอ หากเธอขอร้องอย่างจริงจัง
“…ครับแม่” ในที่สุดปรัตถ์ก็ต้องยอมจำนนให้กับมารดาเช่นเคย
เขาสังเกตว่าหลายครั้งมารดารู้สึกเหงา แม้ว่าจะมีเพื่อนฝูงในวงสังคมมากมาย แต่การคบหาก็เหมือนกับใส่หน้ากาก ไร้ซึ่งความจริงใจให้กัน อีกทั้งคุณเรืองศักดิ์ระยะหลังจากที่เป็นรัฐมนตรีแล้วก็เริ่มห่างเหินกัน เนื่องจากภารกิจการงานที่มากมาย และนั่นก็ยิ่งทำให้คุณหญิงนรีทิพย์เดินสายออกงานสังสรรค์มากขึ้นเพื่อบำบัดความเหงา เขาเคยพยายามเตือนท่านให้เพลาๆ การออกงานสังคมลงเพื่อมีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น อย่างน้อยในฐานะที่เป็นผู้ชายก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของบิดาเลี้ยงว่าคงอยากได้รับความเอาอกเอาใจเมื่อเหน็ดเหนื่อยจากการงานกลับมาถึงบ้าน แต่ดูเหมือนว่ามารดาเขากลับเพิกเฉยกับคำแนะนำ สังเกตว่าภายใต้รอยยิ้มแย้มของท่านมีร่องรอยความเหงาและความกังวลบางอย่างแฝงอยู่ เขาจึงทำได้เพียงแค่คอยดูแลห่างๆ และทำตามคำร้องขอต่างๆ ของท่านเท่าที่พอจะทำได้
“งั้นวันศุกร์ปั้นกลับมาบ้านเร็วหน่อย แล้วเราออกไปงานพร้อมกันนะจ๊ะ แม่คิดถึง จะได้คุยกันระหว่างเดินทางให้หายคิดถึงนะจ๊ะ” แม่ส่งเสียงรื่นเริงมาตามสาย
“..ครับ…วันศุกร์เจอกันครับ” ปรัตถ์รับคำมารดา หลังจากพูดคุยอีกเล็กน้อยเขาก็วางสายไป
**************************************
เช้าวันรุ่งขึ้น ปรัตถ์ตื่นเช้ากว่าปกติ รีบเร่งเดินทางออกจากบ้าน เนื่องจากเช้านี้ต้องติดตามท่านปลัดกระทรวงเข้าประชุมกับท่านรัฐมนตรี โชคดีการจราจรไม่ติดขัด เขาจึงไปถึงสำนักงานของรัฐมนตรีก่อนเวลาประชุมพอสมควร แต่ยังไม่พบใครที่หน้าห้องทำงานของท่านรัฐมนตรี…แม้แต่เลขานุการของท่าน ชายหนุ่มจึงหย่อนกายนั่งลงตรงโซฟารับรองแขกหน้าห้อง ไม่ถึงห้านาทีก็ได้ยินเสียงหญิงสาวสองคนพูดคุยกัน
“น้องดาวคะ ท่านไลน์มาว่าจะถึงแล้ว เอกสารเตรียมพร้อมแล้วหรือยังคะ”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” เสียงหวานของหญิงสาวอีกคนหนึ่งตอบรับ ตามมาด้วยเสียงรองเท้าส้นสูงที่ย่ำลงบนพื้นปาเก้ของห้องก็ดังเข้ามาใกล้จุดที่เขานั่งอยู่
ปรัตถ์เงยหน้าจากเอกสารที่กำลังอ่านและผินหน้าไปทางเสียงนั้น เห็นหญิงสาวสองคนที่เป็นเจ้าของเสียงที่เขาได้ยินเมื่อครู่ คนหนึ่งดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุราว 40 กว่าปี ท่าทางจะเป็นหัวหน้าของหญิงสาวอีกคนที่ดูมีอายุน้อยกว่า..ใบหน้าละอ่อนราวกับเพิ่งจบจากรั้วมหาวิทยาลัย สาวน้อยมีวงหน้าหวาน ผิวสีน้ำผึ้งหากนวลเนียน รูปร่างอ้อนแอ้นราวกับนางในวรรณคดี ขณะที่ชายหนุ่มกำลังเพลิดเพลินยลโฉมสาวงามในวรรณคดีตรงหน้า พลันภาพของหญิงสาวหน้าหมวย ร่างสูงโปร่ง ผิวขาวใสจนแทบจะเห็นเส้นเลือดฝอย เกล้าผมทรงโดนัทอยู่กลางศีรษะ ก็ปรากฏแทรกเข้ามาในห้วงคำนึงของเขา
‘ประหลาดจัง ไหงไพล่ไปคิดถึงเธอได้นะ’ ดอกเตอร์หนุ่มสะบัดหน้าเล็กน้อย ตั้งสติกลับมาสู่สถานการณ์ตรงหน้า
“ต๊าย…ดอกเตอร์ปั้นคะ มาเช้ามากเลยนะคะ” ผู้หญิงที่อายุมากกว่าทักเขา ปรัตถ์อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมเธอคนนี้จึงรู้จักเขา แถมยังรู้ชื่อเล่นของเขาด้วยซ้ำ เอ….หรือว่าจะเคยพบกัน…พบที่ไหนนะ….
“เอ่อ.. ครับ…พอดีรีบออกจากบ้านเร็ว กลัวรถติด แต่โชคดีถนนว่าง เลยมาถึงก่อนเวลาร่วมครึ่งชั่วโมงครับ เอกสารอยู่กับตัวแล้ว เลยเดินมารอที่หน้าห้องนี้เลยดีกว่า ไม่ทราบพี่…..” ทิ้งจังหวะเพื่อให้อีกฝ่ายแนะนำตัวเอง
“ดอกเตอร์ปั้น จำพี่ได้ไหมคะ พี่เคยตามท่านรัฐมนตรีไปประชุมกับท่านอธิบดีของดอกเตอร์ไงคะ… พี่ชื่อมารศรี เป็นเลขานุการของท่านรัฐมนตรี ติดตามท่านมาตั้งแต่กระทรวงก่อนเลยค่ะ” คุณมารศรีแนะนำตัวเองเบ็ดเสร็จ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ สงสัยว่าวันนั้นคนในห้องประชุมมาจากหลายหน่วยงาน ผมเลยจำไม่ค่อยได้ และไม่ได้มีโอกาสพุดคุยกับอีกหลายคนเลยครับ” ชายหนุ่มพูดพลางยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่า
“คงแปลกใจว่าทำไมพี่ถึงรู้จักดอกเตอร์ใช่ไหมคะ…ก็แหม… ดอกเตอร์ออกจะโดดเด่น ชื่อเสียงโด่งดังจนเป็นที่รู้จักกันทั่วกระทรวงแหละค่ะ” ท่าทางคุณมารศรีจะเป็นคนพูดเก่งเป็นต่อยหอย…เอ…หรือถ้ากล่าวโดยสุภาพขึ้น อาจเรียกว่าเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดีน่าจะเหมาะกว่ากระมัง
“ดาวขออนุญาตไปบอกแม่บ้านเตรียมของว่างและน้ำชากาแฟก่อนนะคะ” หญิงสาวอ่อนวัยอีกคนที่ยืนฟังเสมือนอยู่นอกวงสนทนาเอ่ยขึ้นบ้าง ทำให้มารศรีเพิ่งนึกได้ว่ายังมีเด็กสาวยืนอยู่ตรงนั้นอีกคน จึงแนะนำให้ชายหนุ่มรู้จัก
“ดอกเตอร์ปั้นคะ นี่น้องดาว ดารินทร์ค่ะ เป็นผู้ช่วยพี่ อยู่ทีมหน้าห้องท่านรัฐมนตรีเช่นกัน น้องดาวเป็นข้าราชการอยู่ที่กรม…..” มารศรีกล่าวแนะนำดารินทร์พร้อมทั้งเอ่ยชื่อกรมต้นสังกัดของหญิงสาว “ทางกรมเห็นว่าเป็นเด็กดี มีไหวพริบ เรียบร้อยแต่คล่องแคล่ว เลยให้ยืมตัวมาช่วยราชการเป็นทีมงานเลขานุการของท่านรัฐมนตรีค่ะ พอจะรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าคะเนี่ย”
ดารินทร์ยกมือไหว้ชายหนุ่มที่มีทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิสูงกว่าด้วยความนอบน้อม พร้อมกล่าวทักทายอย่างมีมารยาทดี “สวัสดีค่ะ ดอกเตอร์”
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มรับไหว้ “ผมอยู่กรม….” ปรัตถ์เอ่ยบอกชื่อกรมที่เขาสังกัดอยู่ ซึ่งเป็นคนละกรมกับกรมต้นสังกัดของดารินทร์ ก่อนจะหันไปตอบคำถามของมารศรี “ผมเพิ่งเจอคุณดารินทร์ครั้งแรกครับ ยังไม่เคยพบกันมาก่อน แต่ไม่แน่อาจเคยเห็นผ่านๆ ตากันมาบ้างตามงานประชุม แต่ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวครับ”
ขณะที่ชายหนุ่มพูดคุยกับมารศรี ดารินทร์เฝ้ามองหน้าของเขาและรับรู้ได้ถึงแรงเต้นของหัวใจที่ดูจะรุนแรงขึ้นกว่าปกติ ตื่นเต้นที่ได้รู้จักดอกเตอร์ปรัตถ์ หนุ่มฮอตของกระทรวงที่เธอเคยเม้าท์กับแก๊งค์เพื่อนรัก ยิ่งเห็นเขาอย่างใกล้ชิดก็ยิ่งพบว่าเขาหล่อและสมาร์ทมาก ไม่ใช่แค่รูปงามนามเพราะ แต่ยังดูเป็นคนนิสัยดี มีอัธยาศัยดี เรียกได้ว่ามีเสน่ห์ท่วมท้น เห็นแล้วหญิงสาวแทบจะสรุปกับตัวเองได้ทันทีว่า…เธอตกหลุมรักดอกเตอร์ปรัตถ์เสียแล้ว
ขณะที่กำลังใจลอยตาลอย มัวเพลินมองหน้าชายหนุ่ม ดารินทร์ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อของตน ซึ่งดังมาจากปากของมารศรีนั่นเอง
“น้องดาวคะ น้องดาวววว”
“เอ้อ…ค่ะ พี่ศรีมีอะไรให้ดาวทำหรือคะ” เธอสะดุ้งตื่นจากภวังค์
“ก็ไหนว่าน้องดาวจะไปบอกแม่บ้านเตรียมจัดอาหารว่างไงคะ ไม่รีบไปเดี๋ยวท่านมาก็เตรียมไม่ทัน” แม้ว่ามารศรีจะใช้น้ำเสียงอ่อนหวาน หากชายหนุ่มคนเดียวในที่นี้ก็ยังสามารถจับได้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงความเข้มงวดอยู่ไม่น้อย
“ได้ค่ะ ไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” ดารินทร์รับคำอย่างลนลาน แล้วรีบเร่งเดินไปอีกด้านหนึ่งของห้อง
“อ้าว…ปั้น มาแต่เช้าเลย มาก่อน พะ…ก่อนผมซะอีก” รัฐมนตรีเรืองศักดิ์เดินมาถึงหน้าห้องทำงาน เมื่อเห็นปรัตถ์ยืนอยู่กับเลขานุการของตนจึงเอ่ยทักทายลูกเลี้ยง เกือบหลุดแทนตัวเองว่า ‘พ่อ’ ตามปกติเมื่ออยู่ภายในครอบครัว ยังดีที่ยั้งได้ทัน ปรัตถ์เคยขอร้องเขาหลังจากที่เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงแห่งนี้ว่าไม่ให้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างกันเพื่อป้องกันคำครหาที่อาจเกิดขึ้น จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ได้คิดมากขนาดนั้น แต่ก็พอเข้าใจความกังวลของลูกเลี้ยงจึงยอมทำตาม เมื่อพบปะกันในที่ทำงานจึงเรียกขานกันแบบผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น
ปรัตถ์ยกมือไหว้พร้อมตอบบทสนทนาของบิดาเลี้ยง “ครับ บังเอิญรถไม่ติดครับ”
“ดีๆ งั้นไปนั่งรอในห้องประชุมก่อนดีไหม เดี๋ยวผมตามเข้าไป คุณศรี ห้องประชุมเปิดไว้แล้วหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วค่ะท่าน” เลขานุการสาวใหญ่รีบรับคำ “เชิญดอกเตอร์ทางนี้เลยค่ะ” มารศรีเดินนำชายหนุ่มไปยังห้องประชุม
ชายหนุ่มนั่งรอในห้องประชุมเพียงครู่เดียว ท่านรัฐมนตรีก็เดินตามเข้ามา ขณะนั้นยังไม่มีใครมาถึงในห้องประชุมจึงมีเพียงเขาและบิดาเลี้ยงอยู่ตามลำพัง
“เมื่อกี้พ่อเกือบหลุดเรียกตัวเองว่าพ่อไปซะแล้ว….” รัฐมนตรีเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ
“ครับ” ปรัตถ์ไม่รู้จะกล่าวอะไรมากกว่านั้น
“ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง เห็นแม่เราบอกว่าปั้นไม่ค่อยกลับไปนอนบ้าน บ่นๆ ว่าทั้งผัวทั้งลูกหายหน้ากันไปหมด” คุณเรืองศักดิ์พูดยิ้มๆ อย่างอารมณ์ดี
“งานยุ่งครับ ยิ่งตอนนี้มีโปรเจคบิ๊กดาต้าที่จะพัฒนาและเชื่อมโยงฐานข้อมูลทั้งกระทรวง เลยค่อนข้างหนัก ท่านปลัดก็อยากให้เร่งดำเนินการและให้มีการนำร่องโดยเร็วครับ”
“ว่าจะถามถึงโปรเจคนี้อยู่เหมือนกัน ถ้าทำสำเร็จนะ มันจะเป็นประโยชน์ต่อการวางนโยบายด้านเศรษฐกิจและขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ อย่างมากเลยนะ แต่โครงการนี้ก็ยากทั้งในเชิงเทคนิคและความซับซ้อนในเชิงกระบวนการประสานความร่วมมือกับหลายกรมหลายฝ่าย ก็ต้องได้คนเก่งๆ อย่างปั้นนี่แหละมาดูแล” ท่านรัฐมนตรีเอื้อมมือมาตบบ่าเขาเบาๆ “คืบหน้ายังไง หรือมีปัญหาอะไรเล่าให้พ่อฟังได้นะ”
“ครับ” ปรัตถ์ตอบรับ
ยังไม่ทันที่ดอกเตอร์หนุ่มจะกล่าวอะไรต่อ ก็มีเสียงคนเปิดประตูและเดินเข้ามา เมื่อเขาหันไปทางประตูก็ได้พบว่าคนนั้นคือท่านปลัดกระทรวง อธิบดีกรมของเขา อธิบดีและรองอธิบดีกรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 2-3 กรม รวมทั้งเจ้าหน้าที่ติดตามอีกจำนวนหนึ่งทยอยเดินเข้ามาในห้องประชุม
“สวัสดีครับท่านรัฐมนตรี ขอโทษที่มาสายครับ” ท่านปลัดกล่าวพร้อมยกมือไหว้ผู้บังคับบัญชาของตน ลูกทีมที่ติดตามมาทั้งหมดก็ทำความเคารพรัฐมนตรีด้วย
“พวกคุณก็ไม่ได้มาสายนี่ ผมกับปรัตถ์มาก่อนเวลาเท่านั้นเอง เอาล่ะมาครบกันหรือยัง จะได้เริ่มประชุมเลย” นี่เป็นบุคลิกที่โดดเด่นของรัฐมนตรีเรืองศักดิ์ วางตัวเป็นกันเองกับลูกน้อง ไม่ถือยศถืออย่าง ในขณะเดียวกันก็มีความจริงจังในการทำงาน ทำให้ลูกน้องทั้งเคารพนับถือและยำเกรง
“ครบแล้วครับท่าน” ท่านปลัดกระทรวงตอบ
“โอเค งั้นเริ่มเลย ผมเปิดการประชุมเลยนะ” รัฐมนตรีเรืองศักดิ์เอ่ยยิ้มๆ
การประชุมค่อนข้างเคร่งเครียดเนื่องจากเป็นการหารือเรื่องมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าของมหาอำนาจสองประเทศคือสหรัฐอเมริกาและจีน รัฐมนตรีต้องการให้มีการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลและสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน และเสนอแนวทางแก้ปัญหาเบื้องต้น ก่อนที่จะจัดระดมความคิดเห็นกับหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งภาคเอกชน และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาประกาศใช้มาตรการต่อไป ซึ่งครั้งนี้เป็นการประชุมหน่วยงานต่างๆ ภายในกระทรวงเป็นครั้งแรก จึงมีการนำข้อมูลมาประกอบการพิจารณาถกเถียงกันอย่างเข้มข้น แต่รัฐมนตรีดูเหมือนยังไม่พอใจว่าข้อมูลยังไม่ชัดเจน และไม่สามารถสะท้อนผลกระทบต่างๆ ได้รอบด้าน จึงสั่งการให้กรมต่างๆ ไปทำการบ้านมาเพิ่มเติมเพื่อนำมาหารือกันอีกครั้ง
มารศรีและดารินทร์ได้เข้าร่วมการประชุมด้วย โดยนั่งอยู่ส่วนหลังของห้องประชุม ดารินทร์ตั้งใจฟังและจดประเด็นการประชุมที่สำคัญ หญิงสาวเป็นคนที่ทำงานคล่องและเป็นระเบียบจึงได้รับความไว้วางใจจากมารศรีและรัฐมนตรีเป็นอันมาก แต่สำหรับวันนี้ ดูเหมือนว่าจิตใจของเธอมักจะล่องลอยไปอยู่ใกล้ๆ ดอกเตอร์หนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหน้าอยู่เป็นระยะ จนต้องพยายามควบคุมสมาธิให้จดจ่ออยู่กับการสนทนาในที่ประชุมมากขึ้น
การประชุมในวันนั้นสิ้นสุดเมื่อเวลาใกล้เที่ยง ผู้เข้าร่วมประชุมเริ่มทยอยเดินออกจากห้องประชุม ท่านปลัดกระทรวงยังยืนคุยต่อกับรัฐมนตรี ส่วนปรัตถ์เก็บเอกสารการประชุมเสร็จก็ลุกขึ้นและกำลังจะเดินออกไป แต่รัฐมนตรีเรืองศักดิ์ได้เรียกเขาไว้ก่อน
“ดอกเตอร์ปั้น เดี๋ยวรอก่อน ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
“ครับท่าน” ปรัตถ์รับคำ หากสังเกตว่าท่านปลัดกระทรวงทำสีหน้าสงสัยอยู่ครามครัน เขาเกรงว่าการเรียกพบเป็นการส่วนตัว อาจทำให้เจ้านายผิดสังเกตและไม่เป็นผลดีต่อตัวเขามากนัก
หลังจากท่านปลัดเดินออกไปแล้ว ปรัตถ์ก็นั่งลงอีกครั้ง ภายในห้องมีเพียงเขาและบิดาเลี้ยงเท่านั้น
“ปั้น….ที่พ่อเรียกไว้เพราะมีเรื่องอยากให้ปั้นช่วย”
“ครับ”
“พ่อรู้สึกว่าช่วงนี้แม่ปั้นเขาเหงาๆ นะ คงเป็นความผิดของพ่อด้วยที่ไม่ค่อยมีเวลาให้ ปั้นก็รู้…งานพ่อเยอะมาก นี่อีกเดี๋ยวก็ต้องออกไปประชุมกับท่านนายกฯ แล้ว เวลากินข้าวยังแทบไม่มี” สีหน้ารัฐมนตรีเรืองศักดิ์ดูเหน็ดเหนื่อย
“ครับผมเข้าใจ” เขาทราบดีว่าบิดาเลี้ยงเป็นผู้บริหารที่ทำงานหนักมาก
“พ่ออยากให้ปั้นช่วยหมั่นโทรคุยหรือกลับไปนอนที่บ้านบ้างจะได้ดูแลแม่มากขึ้น พ่อไม่หวังพึ่งเจ้าปัถย์มันหรอกนะ จริงอยู่ปั้นไม่ใช่ลูกของพ่อ แต่พ่อวางใจปั้นมากกว่าปัถย์นะ เจ้าปัถย์มันอารมณ์ศิลปิน เอาแต่ใจ อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ค่อยมีความรับผิดชอบเท่าไร นี่ก็มาขอเงินไปลงทุนเปิดบริษัทออกแบบบ้านร่วมกับรุ่นพี่ พ่อก็ยังไม่ไว้ใจว่าจะไปรอด มันก็ไปอ้อนแม่ จนคุณหญิงมาบอกให้พ่อให้โอกาสปัถย์ ปั้นก็รู้พ่อเคยขัดใจคุณหญิงแม่ของลูกได้ซะเมื่อไร”
“ได้ครับ วันศุกร์หน้าผมก็รับปากกับแม่ไว้ว่าจะกลับบ้าน และไปงานเปิดตัวห้างใหม่กับท่านและปัถย์ แล้วคงจะนอนค้างที่บ้านครับ”
“ดีๆ พ่อคงไม่ได้ไปงานนี้ด้วย ต้องไปราชการต่างประเทศน่ะ ยังไงฝากปั้นช่วยดูแลน้องด้วยนะ เจ้าปัถย์มันยังไม่เป็นโล้เป็นพาย เป็นพ่อพวงมาลัยลอยไปลอยมา พ่อเองก็อยากให้น้องดูปั้นเป็นตัวอย่างนะ”
“ผมว่าอย่ากดดันปัถย์มากเกินไปดีกว่าครับ น้องอาจไม่ชอบที่เอาเขามาเปรียบเทียบกับผม แต่ยังไงผมก็จะพยายามดูแลไม่ให้น้องออกนอกลู่นอกทางละกันครับ” ปรัตถ์รับปากกับบิดาเลี้ยง
แม้ว่าปัถย์เป็นน้องชายคนละพ่อกับเขา แต่ปรัตถ์กับน้องก็รักและค่อนข้างสนิทกันราวพี่น้องคลานตามกันมา เนื่องจากตอนที่น้องเกิดเขาอายุ 10 ปีกว่าแล้ว จึงได้ช่วยแม่เลี้ยงน้องมาตลอด ทำให้ผูกพันกับน้องชายมาก เมื่อปัถย์ยังเล็กก็ติดเขาแจ โตขึ้นมาปัถย์ก็มองพี่ชายเหมือนเป็นไอดอล ค่อนข้างเชื่อฟังพี่ชาย เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นช่วงเรียนมัธยมปลาย คุณเรืองศักดิ์มักจะแสดงความชื่นชมปรัตถ์มาก และพร่ำสอนลูกชายของตนให้พัฒนาตัวเองให้เก่งเหมือนพี่ชาย ปรัตถ์จึงเริ่มสังเกตว่าน้องรู้สึกกดดัน พยายามเลียนแบบพฤติกรรมต่างๆ ของเขาจนเริ่มขาดความเป็นตัวของตัวเอง หลายครั้งปัถย์ไม่สามารถเก่งได้เหมือนกับพี่ชาย ช่วงหลังจึงเริ่มแยกตัวออกห่างพี่ชายและเริ่มคบหาเพื่อนฝูงวัยเดียวกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกคนรวยที่เอาแต่ใจตัวเองและไม่ตั้งใจเรียน ประกอบกับเป็นจังหวะเดียวกับที่ปรัตถ์ซื้อคอนโดฯ และย้ายออกมาอยู่ตามลำพัง เมื่อคุณเรืองศักดิ์เห็นว่าลูกชายเริ่มเกเร จึงตัดสินใจส่งปัถย์ไปเรียนต่อปริญญาตรีที่สหรัฐอเมริกาเพราะอยากให้ออกห่างจากเพื่อนที่ไม่ดี ความสัมพันธ์ระหว่างปรัตถ์และปัถย์จึงเริ่มห่างเหินขึ้น
ปัถย์เพิ่งกลับมาเมืองไทยไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หลังจากเรียนจบปริญญาตรีด้านกราฟฟิกดีไซน์ ที่จริงแล้วเขาเรียนจบตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ก็ขอบิดามารดาอยู่ที่อเมริกาต่ออีก 1 ปี โดยอ้างว่าอยากหาประสบการณ์ฝึกงานกับเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งที่ทำงานเป็นสถาปนิกที่บริษัทใหญ่แห่งหนึ่งในนิวยอร์คก่อน คุณเรืองศักดิ์ยินยอมปลื้มปิติว่าลูกชายคงเริ่มเอาถ่านแล้ว ซึ่งหากผู้เป็นบิดารู้ความจริงว่าที่แท้แล้วลูกชายก็แค่ติดเพื่อนจึงยังไม่อยากกลับเมืองไทย และอยู่เที่ยวเล่นที่ต่างประเทศ ไม่ได้ฝึกงานจริงจัง ก็คงจะเสียใจไม่น้อย
หนึ่งปีผ่านไป เพื่อนรุ่นพี่ของปัถย์จะย้ายกลับมาเมืองไทยเพื่อเปิดธุรกิจด้านการออกแบบของตน และชวนปัถย์มาร่วมหุ้นด้วย ปัถย์เห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะทำให้บิดามารดาเห็นว่าเขาก็มีความสามารถที่จะมีธุรกิจของตนจึงตกลงใจกลับมาเมืองไทย และขอเงินพ่อแม่ไปลงทุนร่วมกับรุ่นพี่
ปัถย์ไปทำงานทุกวัน แต่ที่จริงควรเรียกว่าไป ‘ที่ทำงาน’ ทุกวันน่าจะถูกกว่า เขาไปที่ทำงานแต่ก็ไม่ได้ลงมือทำงานมากนัก มีบ้างที่เข้าประชุมบางเรื่อง หรือลงมือทำงานเองบางชิ้น แต่ส่วนใหญ่ไปนั่งเล่นเฮฮากับเพื่อนๆ ในออฟฟิศมากกว่า แต่คุณเรืองศักดิ์และคุณหญิงนรีทิพย์ก็เข้าใจไปว่าลูกชายตั้งใจทำงาน จึงปลาบปลื้มและเริ่มไว้วางใจในตัวลูกชายคนเล็กมากขึ้น
“ตามใจปั้นละกัน ยังไงพ่อฝากช่วยดูๆ น้องและแม่ด้วยนะ” บิดาเลี้ยงตบบ่าปรัตถ์เบาๆ
“ได้ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงครับ” ปรัตถ์รับคำ
**************************************
ปรัตถ์เดินออกจากห้องประชุมหลังจากสนทนากับบิดาเลี้ยงเสร็จ เห็นดารินทร์ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน เหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง
“ดอกเตอร์คุยกับท่านเสร็จแล้วใช่ไหมคะ ดาวกำลังรออยู่เลย” หญิงสาวกล่าวด้วยอาการเอียงอาย
“รอผม หรือ รอท่านครับ” เขามีสีหน้าตั้งคำถามจริงๆ ไม่ได้มีท่าทางล้อเล่นใดๆ
“รอท่านค่ะ” ดารินทร์ยิ้มเขิน จริงๆ ก็อยากบอกว่ารอเขานั่นแหละ “จะได้ให้แม่บ้านจัดอาหารกลางวันให้ท่านค่ะ”
“อ๋อครับ งั้นผมขอตัวนะครับ” ดอกเตอร์หนุ่มก้มหัวเล็กน้อยให้หญิงสาว ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
“เอ่อ…ดอกเตอร์คะ….” ดารินทร์เรียกชายหนุ่มไว้ก่อนที่จะเดินจากไป
“ครับ?” เขาหันกลับมา มองดารินทร์ด้วยแววตาฉงน
“คือ…ดาวทราบว่าดอกเตอร์เป็นหัวหน้าทีมโครงการระบบบิ๊กดาต้าของกระทรวง”
“ใช่ครับ…อ้อ เรียกผมว่าปั้นก็ได้นะครับ”
“ค่ะ…งั้นดาวขออนุญาตเรียกพี่ปั้นนะคะ” ดารินทร์รีบตอบรวดเร็ว พร้อมรอยยิ้มสดใส
“ได้เลยครับ ว่าแต่คุณดาวถามทำไมครับ”
“แหม..เกือบลืมไปเลยค่ะ คือ เพื่อนสนิทดาวเป็นทีมงานของบริษัทที่ปรึกษาโครงการนี้ค่ะ ชื่อดิว ตวิษา ไม่ทราบพี่ปั้นรู้จักไหมคะ”
ปรัตถ์ยกยิ้มทันทีก่อนจะกล่าวตอบ “รู้จักครับ”
พลันใบหน้าของสาวหมวยหน้าหวานก็ลอยเข้ามาในห้วงคำนึง “เธอเพิ่งเข้ามาพรีเซ้นต์งานเมื่อวันก่อน ท่าทางเป็นคนเก่งนะครับ”
“ดิวเก่งมากเลยค่ะ เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี ดิวเป็นสาววิศวะที่น่ารัก เป็นดาวคณะ สมัยเรียนมีหนุ่มๆ มาจีบตรึมเลยค่ะ แต่ดิวก็ไม่เคยสนใจใคร รักไม่ยุ่งมุ่งแต่เรียน แถมสอบชิงทุนรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ไปเรียนต่อได้ด้วยนะคะ ดาวยังอยากเก่งเหมือนดิวเลย….อุ๊ย…เผลอไปหน่อย เม้าท์เพื่อนซะเยอะเลย” ดารินทร์พยายามหาเรื่องคุยกับชายหนุ่ม เธอไม่รู้ว่าจะชวนเขาคุยเรื่องอะไร จึงใช้เรื่องของเพื่อนรักมาเป็นประเด็นเพื่อสานต่อบทสนทนากับดอกเตอร์หนุ่มที่เธอแอบชื่นชอบ
“ไม่เป็นไรครับ…ยินดีที่ได้รับทราบข้อมูลนะครับ ผมคงต้องทำงานกับเพื่อนคุณดาวอีกหลายเดือนเลย โปรเจคนี้มีระยะเวลาประมาณเกือบปีครับ”
“ค่ะ ไว้วันหลังพบกันนะคะ ดาวเกือบลืมไปเลย ต้องรีบไปบอกป้าแม่บ้านจัดอาหารให้ท่านแล้ว ขอบคุณนะคะ สวัสดีค่ะ” สาวน้อยยกมือไหว้ลาผู้มีอาวุโสกว่า
ปรัตถ์พยักหน้าเล็กน้อยและรับไหว้ผู้อ่อนอาวุโสกว่า ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ดารินทร์ได้แต่ทอดสายตาเคลิ้มหวานมองตามแผ่นหลังของชายหนุ่มผู้ที่เดินจากไปจนลับสายตา