เพียงใจลิขิต บทที่ 5 : ชายในฝัน…ที่สุดเอื้อมคว้า
โดย : จิรปิยา
เพียงใจลิขิต นวนิยายออนไลน์โดย จิรปิยา ที่อ่านเอาอยากได้คุณได้อ่านออนไลน์… เมื่อความรักนำทางเพื่อนรักทั้งสามมาถึงจุดเปลี่ยน สายใยแห่งมิตรภาพยังจะเหนียวแน่นอยู่ไหม เมื่อทั้งหมดเดินมาถึงจุดที่ต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางที่จะก้าวเดินต่อไป..พลังแห่งรักจะทำให้ก้าวข้ามผ่านขวากหนามไปสู่แสงทองอันรุ่งเรืองได้หรือเปล่า
******************************
– 5 –
หลังเลิกงานในเย็นวันนั้นดารินทร์นั่งรถเมล์กลับบ้านที่อยู่ในย่านที่ค่อนข้างเป็นชุมชนแออัด แวะซื้ออาหารมื้อเย็นสำหรับแม่และตัวเอง แล้วเดินเข้าไปยังตรอกเล็กด้านขวามือของตลาด
ปกติเธอกลับบ้านค่อนข้างดึก เมื่อเดินมาในตรอกนี้ ร้านรวงสองข้างทางส่วนใหญ่ปิดแล้ว บ้านเรือนละแวกนั้นก็แทบจะปิดประตูบ้านหมด ไฟส่องสว่างข้างทางค่อนข้างสลัวราง ทำให้เส้นทางกลับบ้านค่อนข้างเปลี่ยว หญิงสาวจึงมักเร่งฝีเท้าก้าวเดิน พร้อมทั้งสอดส่ายสายตาไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง
แต่วันนี้ยังไม่ค่ำมากนัก แสงไฟจากบ้านเรือนยังมีเล็ดลอดออกมา ผู้คนยังเดินขวักไขว่พอสมควร หากหญิงสาวก็ยังคงรีบเดินเร็วตามปกติ เพราะอยากรีบกลับถึงบ้านเร็วที่สุดด้วยความเป็นห่วงมารดาที่เป็นโรคซึมเศร้า ช่วงกลางวันในเวลาที่เธอไปทำงานเธอได้ฝากให้ครอบครัวของป้าข้างบ้านที่สนิทสนมกันช่วยดูๆ แม่ให้
แม้จะไม่ชอบ..หรืออาจเรียกได้ว่าเกลียดสภาพแวดล้อมที่เธออยู่มาตั้งแต่เล็กจนโต แต่ดารินทร์ก็ไม่สามารถย้ายไปอยู่ที่อื่นได้เพราะฐานะครอบครัวยังไม่เอื้ออำนวย เธอตั้งใจว่าจะทำงานเก็บเงินและอาจกู้เงินสหกรณ์ของกระทรวงเพื่อขยับขยายหาที่อยู่ใหม่ที่มีสภาพแวดล้อมดีกว่านี้ ทั้งแม่และเธอจะได้มีความสะดวกสบายและปลอดภัยมากกว่าที่เป็นอยู่
ปาฏลีเคยเอ่ยปากให้เธอยืมเงินเพื่อมาซื้อบ้านแล้วค่อยๆ ทยอยใช้คืน แต่ดารินทร์ปฏิเสธด้วยความเกรงใจเพื่อนเพราะรู้ว่าเพื่อนรักก็ต้องขอเงินมาจากบิดามารดามาให้ตน อีกทั้งเธออยากมีบ้านที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของตนมากกว่า…หวังว่าความฝันที่วาดไว้คงจะใกล้เป็นจริงในเร็ววัน
จริงๆ แล้วหญิงสาวไม่ได้อยากมาเป็นเลขานุการของรัฐมนตรีเรืองศักดิ์เลย แต่เห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะแสดงให้ผู้ใหญ่เห็นความสามารถและอาจได้ก้าวหน้าเลื่อนตำแหน่งได้เร็ว ซึ่งนั่นหมายความว่าเธอจะได้รับเงินเดือนสูงขึ้นด้วย
แต่การมาช่วยราชการหน้าห้องท่านรัฐมนตรีก็ต้องแลกด้วยการทำงานหนัก กลับบ้านดึก หลายครั้งต้องติดตามท่านไปงานต่างๆ ซึ่งท่านก็จะให้เบี้ยเลี้ยงเธอจากเงินส่วนตัวของท่านทุกเดือน ด้วยทราบว่าเธอต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มจากปกติ ทั้งค่าแท็กซี่ที่จำเป็นต้องใช้ในการเดินทางหากกลับบ้านมืดค่ำ ค่าโทรศัพท์มือถือ และอื่นๆ อีกจิปาถะ แม้ว่าเบี้ยเลี้ยงที่ได้รับจะไม่มากมายนัก แต่เธอก็พยายามเก็บเงินส่วนนี้ไว้ให้มากที่สุด
“แม่จ๋า…ดาวกลับมาแล้วจ้ะ” ดารินทร์เปิดประตูบ้านซึ่งเป็นห้องแถวเรือนไม้สองชั้นเล็กๆ หน้าบ้านมีชานแคบๆ มีกระถางต้นไม้เล็กๆ สองสามกระถางประดับอยู่
หลังจากส่งเสียงเรียกหามารดาแต่ไม่ได้ยินเสียงขานรับ จึงเป็นกังวลใจอย่างมาก หญิงสาวรีบวิ่งตรงไปที่ครัวหลังบ้านแต่ก็ไม่พบมารดา จึงร้องเรียกอีกครั้งพร้อมทั้งวิ่งขึ้นไปบันไดไปชั้นสอง
“แม่…แม่จ๋า..อยู่ไหนจ๊ะ ดาวซื้อข้าวมาแล้ว มากินกันนะ” ส่งเสียงเรียกพรางวิ่งพราง เมื่อขึ้นมาชั้นสองก็ตรงไปเคาะประตูห้องมารดา โชคดีที่ประตูไม่ได้ล็อก หญิงสาวจึงผลักประตูเข้าไป
ไฟในห้องไม่ได้เปิด หากมีแสงรางๆ ที่มาจากไฟส่องสว่างนอกบ้านที่ลอดผ่านหน้าต่างห้องที่เปิดอยู่ กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง จึงเห็นร่างของมารดานอนหันหลังขดตัวอยู่บนฟูกนอนที่มุมห้อง ดารินทร์รีบเปิดสวิตช์ไฟเพื่อให้แสงสว่าง ก่อนจะพุ่งตัวตรงไปที่ฟูกที่มารดานอนอยู่
“แม่..เป็นอะไรไปจ๊ะ..ไม่สบายเหรอ” เธอเอื้อมมือไปจับแขนของมารดา จากสัมผัสเธอพบว่ามารดาร่างสั่นเทากำลังสะอื้นไห้อยู่ เธอจึงพลิกร่างมารดาให้หันกลับมา
“กลับมาแล้วเหรอดาว” นางเพียงจันทร์เอ่ย น้ำเสียงยังคงสั่นสะอื้น
ดารินทร์เริ่มใจชื้นขึ้นที่อย่างน้อยมารดาก็ยังพอมีสติรับรู้และโต้ตอบกับเธอได้
“เพิ่งมาถึงจ้ะ แม่เป็นอะไรทำไมร้องไห้ เล่าให้หนูฟังนะจะได้สบายใจ แล้วเราลงไปกินข้าวกันนะ หนูซื้อแกงส้มชะอมกับหมูผัดพริก ของโปรดของแม่มาด้วยนะ” ดารินทร์พยายามทำเสียงรื่นเริง
“แม่ไม่ได้เป็นอะไร รู้สึกเพลียๆ เลยมานอน คิดอะไรเรื่อยเปื่อย แล้วอยู่ดีๆ มันก็คิดถึงอดีต แล้วน้ำตามันก็ไหลออกมา หนูดาว…สัญญากับแม่นะลูก อย่าหลงเชื่อผู้ชาย อย่าไว้ใจผู้ชาย ต้องรักนวลสงวนตัว ผู้ชายทุกคนมันปลิ้นปล้อนหลอกลวง ตอนมันยังไม่ได้เรา มันจะป้อยอเราด้วยคำหวาน ทำทุกอย่างให้เราหลงรักมัน พอมันได้เราแล้ว มันก็จะทิ้งไปไม่แยแส เชื่อแม่นะ เชื่อแม่” นางเพียงจันทร์พลิกตัวขึ้นนั่งแล้วจับแขนลูกสาวเขย่าเพื่อให้คำมั่นสัญญากับนาง
“จ้ะ…ดาวเชื่อแม่จ้ะ” หญิงสาวรับคำหนักแน่น แม่เพียงจันทร์พร่ำสอนเธอด้วยข้อความเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่เล็กจนโต หลายครั้งที่หญิงสาวรู้สึกเบื่อกับคำสอนย้ำคิดย้ำทำของแม่ แต่เธอเชื่อว่าในโลกนี้มีเพียงแม่เท่านั้นที่รักและหวังดีกับเธอด้วยทั้งหมดของชีวิตและหัวใจ จึงไม่เคยแสดงอาการเบื่อหน่ายให้ท่านเห็นเลย
ตั้งแต่เกิดมาเธอมีแค่แม่เป็นญาติเพียงคนเดียวในโลก แม่ไม่เคยพูดถึงญาติพี่น้องคนอื่นๆ เธอพยายามถามถึงพ่อ แต่ไม่เคยได้รับคำอธิบายใดๆ แม่บอกแต่ว่าอย่าไปพูดถึงคนใจร้าย ไม่มีพ่อก็ไม่เป็นไร มีแม่เพียงคนเดียวก็พอแล้ว
เมื่อยังเล็กดารินทร์อิจฉาเพื่อนๆ ที่มีพ่อไปร่วมงานวันพ่อที่โรงเรียน ในขณะที่เธอไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าพ่อ ไม่เคยรู้ว่าพ่อคือใคร เมื่อโตขึ้นมาดารินทร์รู้แล้วว่าความพยายามที่จะรู้ว่าพ่อเป็นใครคงไม่เป็นประโยชน์ใดๆ อีกต่อไป
เธอเห็นแม่ทำงานหนักทุกอย่างเพื่อหาเงินเลี้ยงดูเธอมาตลอด สมัยยังเด็กมากเธอจำได้ว่าแม่พาย้ายที่อยู่หลายครั้งทำให้เธอไม่ได้เรียนอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดก็ได้ย้ายมาอาศัยที่ชุมชนแห่งนี้เป็นเวลานานสิบกว่าปีแล้วแม่หาบไข่ปิ้งขายและรับงานรับจ้างซักรีดเสื้อผ้าให้คนในหมู่บ้านใกล้ๆ ย่านนั้น พอมีรายได้กินอยู่อย่างมัธยัสถ์
ดารินทร์ได้เข้าเรียนในโรงเรียนใกล้ๆ ชุมชน โชคดีที่เธอเป็นเด็กหัวดีเรียนเก่ง จึงสามารถสอบชิงทุนนักเรียนยากจนแต่เรียนดีของโรงเรียนได้ทุกปี ช่วยแบ่งเบาภาระค่าเล่าเรียนไปได้มาก และเมื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็ได้รับทุนจากมหาวิทยาลัยเพื่อใช้ในการเรียนตลอดสี่ปี เด็กสาวพยายามทำงานหาเงินโดยรับจ้างสอนพิเศษติวเด็กมัธยมที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกด้วย ทำให้พอจะมีค่าขนมเล็กๆ น้อย และมีเงินเก็บไว้ยามฉุกเฉิน
ชีวิตของสองแม่ลูกถือว่าพออยู่ได้โดยไม่ได้ลำบากมากนัก จวบจนกระทั่งดารินทร์เรียนอยู่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่สอง…
คืนหนึ่งนางเพียงจันทร์ไปส่งผ้าที่ซักรีดเสร็จ ดารินทร์เพิ่งกลับมาจากมหาวิทยาลัยกำลังจะหุงข้าวไว้รอแม่ เด็กสาวเห็นแม่เดินกลับมาบ้านอย่างอ่อนระโหยโรยแรง สภาพคล้ายคนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ทรุดตัวนั่งข้างประตูบ้าน แววตาแห้งผากเหม่อลอย ชันเข่าสองข้างขึ้นพร้อมทั้งโอบแขนรอบเข่า ห่อไหล่ขดตัว ก้มหน้าลงซุกซบบนหัวเข่า
‘แม่…แม่เป็นอะไรจ๊ะ’ ตอนนั้นดารินทร์ตกใจมาก รีบวางหม้อข้าวลงบนโต๊ะ แล้วผวาไปหาแม่ โอบกอดมารดาไว้แน่น
‘ดาว…ดาว..แม่เจอมัน นางมารร้าย มันจะมาทำร้ายเรา’ นางเพียงจันทร์เงยหน้าที่ขณะนั้นเริ่มเปรอะเปื้อนด้วยคราบน้ำตาที่หลั่งรินลงมา แววตาของแม่ไหวระริกเปี่ยมด้วยความหวาดระแวง
‘ใครจ๊ะแม่ ใครจะมาทำอะไรเรา’
‘ยายคุณผู้หญิงกับขี้ข้าของมัน มันกลับมา คนใจร้ายมันกลับมา’ แม่พร่ำเพ้อฟูมฟายอย่างเสียสติ
‘คุณผู้หญิงกับขี้ข้า?? ใครจ๊ะ’
‘ก็คนที่มันเฉดหัวเราแม่ลูกออกจากบ้านของพ่อไง’ ดารินทร์ใจหายวาบ เป็นครั้งแรกที่แม่เริ่มเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับพ่อให้เธอได้ยิน
‘เขา…เขาเป็นใครคะ’
‘มันจะให้คนตามฆ่าเรา…ต้องหนี…ดาว…เราต้องหนี’ แม่เริ่มโวยวายดิ้นรนออกจากอ้อมกอดของลูกสาว มีอาการหวาดกลัว
‘แม่จ๊ะ..ใจเย็นๆ จ้ะ ไม่มีใครตามมาเลย เราปลอดภัยจ้ะ หนูจะดูแลแม่เองนะ’
‘ดาวอยู่กับแม่นะ…อย่าไปกับเขา’ แม่เริ่มเย็นลง
‘หนูจะอยู่กับแม่คนเดียว ไม่ไปกับใครแน่นอนจ้ะ’ ดารินทร์เริ่มตะล่อมมารดา จนท่านเริ่มมีสติมากขึ้น
คืนนั้นแม้ว่าดารินทร์จะสามารถกล่อมจนนางเพียงจันทร์สงบลง แต่นางยังพร่ำพูดประโยคเดิมๆ เกี่ยวกับ ‘คุณผู้หญิงใจร้าย’ ที่ดารินทร์ไม่เคยรู้ว่าคือใครกันแน่ แต่จากเรื่องราวที่แม่พูดอย่างไม่ปะติดปะต่อ ดารินทร์เริ่มจับใจความได้ว่าผู้หญิงคนนั้นน่าจะมีความเกี่ยวพันกับบิดาของเธอ และน่าจะเป็นผู้ที่ไล่แม่และเธอออกจากบ้าน อีกทั้งคงทำอะไรร้ายแรงจนกระทั่งแม่เกิดความหวาดกลัวอย่างฝังใจ
นับตั้งแต่วันนั้น ดารินทร์ก็ไม่ได้พบเจอเรื่องราวผิดปกติใดๆ อีก ไม่มีคนมาติดตามหรือทำร้ายเธอและแม่ ทว่านางเพียงจันทร์กลับเริ่มมีอาการโรคซึมเศร้าและบางครั้งก็หวาดระแวง จนทำให้นางไม่กล้าออกมานอกบ้านมากนัก จึงต้องหยุดขายไข่ปิ้ง แต่ยังคงพอรับเสื้อมาซักรีดได้บ้าง โดยดารินทร์เป็นคนไปรับส่งเสื้อแทนมารดา
“แม่จ๋า…ลงไปข้างล่างกินข้าวกันนะ หนูซื้อกับข้าวมาแล้วจ้ะหรือแม่อยากกินข้างบน” ดารินทร์ดึงความคิดคำนึงถึงอดีตกลับมาสู่เหตุการณ์เฉพาะหน้าในปัจจุบัน
“ไม่เป็นไร ลงไปกินข้าวกันข้างล่างดีกว่า” นางเพียงจันทร์เริ่มรู้สติมากขึ้น พยายามชันตัวขึ้นยืน แต่ร่างยังเอนเอียงอย่างไม่มั่นคงนัก
ดารินทร์ประคองแม่เดินลงบันไดมาชั้นล่างเพื่อรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน ระหว่างนั้นก็พยายามทำตัวสดใสร่าเริง เล่าเรื่องราวการงานที่เกิดขึ้นประจำวันให้มารดาทราบ ด้วยความที่มีกันเพียงสองคนแม่ลูก เธอจึงมักเล่าทุกอย่างที่พบเจอในแต่ละวันให้มารดารับรู้ ยกเว้นเรื่องที่เครียดหรืออาจทำให้ท่านไม่สบายใจ เธออยากทำให้แม่มีความสุขและผ่อนคลายมากที่สุด
“อ้อ…แม่จ๊ะ..ตอนนี้บริษัทของดิวไปรับโปรเจกต์ที่กระทรวงด้วยนะ แถมหัวหน้าโปรเจกต์นี้ก็ล้อหล่อ.. วันนี้หนูมีโอกาสได้เจอเขาด้วย ได้ยินกิตติศัพท์ความเก่งและหล่อมานาน หนูเพิ่งได้เจอได้คุยกันก็วันนี้แหละ”
แม่หยุดชะงักหลังจากเสียงเล่าเจื้อยแจ้วของลูกสาวจบลง
“ดาว…ออกห่างจากผู้ชายคนนั้นนะ เขาจะมาหลอกลวงลูก…อย่าหลงเชื่อ” นางเพียงจันทร์เริ่มมีอาการเกลียดผู้ชายฝังใจขึ้นมาอีก
และนั่นทำให้ดารินทร์รู้ว่าตัวเองพลาดแล้ว แม่ไม่ชอบให้เธอมีเพื่อนผู้ชายหรือมีแฟน เธอจึงค่อนข้างปิดกั้นตัวเองกับเพศตรงข้าม
…แต่สำหรับดอกเตอร์ปรัตถ์…ดารินทร์ก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงรู้สึกชื่นชม ชื่นชอบ และอยากคุย อยากใกล้ชิดกับเขาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับผู้ชายคนใดมาก่อน
หญิงสาวเห็นอาการของแม่ จึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย “จ้ะ… ไม่มีอะไรเลยจ้ะแม่ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ คงยากที่หนูจะได้เจอเขาอีกจ้ะ” แล้วก็รีบเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อให้แม่เลิกกังวล “อ้อ… แม่จ๊ะ วันพฤหัสปลายเดือนหนูต้องติดตามท่านรัฐมนตรีไปต่างจังหวัด 3 วัน 2 คืนนะคะ ท่านมีประชุมที่พัทยาค่ะ แต่แม่ไม่ต้องห่วงนะ พี่มารศรีไปด้วยจ้ะ” รีบให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อที่มารดาจะได้ไม่เป็นห่วง
นางเพียงจันทร์ยังคงขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าเป็นกังวล เกรงว่าลูกสาวคนเดียวต้องเผชิญชะตากรรมเหมือนดั่งที่นางเคยประสบมา
เมื่อสมัยที่นางเพียงจันทร์อายุเพียง 17 ปี ได้มาอาศัยอยู่กับป้าที่เป็นแม่ครัวในบ้านของท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเพื่อมาเรียนหนังสือต่อในกรุงเทพฯ นายท่านและคุณผู้หญิงใจดีกับเธอมาก เพียงจันทร์ชอบแอบมองคุณผู้หญิง เธอสวยสง่ามาก มีอายุห่างจากเพียงจันทร์ประมาณแค่ 5-6 ปีเท่านั้น นายท่านแม้ว่าจะอยู่ในวัยกลางคนแล้วแต่ยังคงแข็งแรงและสง่างาม ทั้งคู่สมกันราวกิ่งทองใบหยก เพียงจันทร์อาศัยในบ้านนั้นอย่างมีความสุข จนกระทั่ง 5 ปีหลังจากนั้น…เกิดเหตุการณ์ที่พลิกผันชีวิตของเพียงจันทร์…เหตุการณ์ที่นำมาสู่โศกนาฏกรรมร้ายแรงตามมา….
…ไม่….ไม่…เราต้องลืม จำไม่ได้ ต้องจำไม่ได้…นางเพียงจันทร์สะบัดหน้าแรงๆ พยายามควบคุมสติไม่ให้คิดถึงอดีต…อดีตที่ทำให้ทุกข์ทรมานมาจนถึงทุกวันนี้ นางอยากเป็นแม่ที่ดีของลูก ต้องไม่ทำให้ลูกทุกข์ใจ
“พยายามอยู่กับคุณมารศรีไว้นะ ใครให้ทานอะไรถ้าเราไม่เห็นตั้งแต่แรกอย่าทานนะ ต้องระมัดระวังตัวเองให้มาก ผู้ชายไว้ใจไม่ได้สักคน”
“จ้า..แม่…หนูจะตัวติดกับพี่ศรีเป็นปาท่องโก๋เลย” ดารินทร์ยิ้มหวานสดใสให้มารดา “งั้นหนูเอาจานไปล้างก่อนนะ แม่ขึ้นนอนก่อนก็ได้นะจ๊ะ เดี๋ยวหนูปิดบ้านแล้วก็จะเข้านอนเหมือนกัน”
**************************************
คืนนั้นดารินทร์เข้านอนบนฟูกที่อยู่อีกมุมหนึ่งในห้องเดียวกับมารดา นางเพียงจันทร์นอนหลับไปแล้ว หญิงสาวพยายามข่มตานอนให้หลับ แต่ดูเหมือนสมองจะยังคงตื่นตัว ครุ่นคิดกังวลกับอาการของมารดา แม้ว่ามารดาจะมีอาการดีกว่าเมื่อหลายปีมาก หลังจากที่เธอพาไปหาจิตแพทย์อาสาที่เข้ามาช่วยรักษาผู้เจ็บป่วยในชุมชนเป็นประจำ อาการหวาดระแวงของมารดาก็ลดน้อยลง แต่บางครั้งก็ยังมีอาการซึมเศร้าอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าดีขึ้นกว่าในอดีตมาก
หญิงสาวหวนคิดถึงวันวารในวัยเยาว์ ตั้งแต่จำความได้ในชีวิตเธอมีเพียงแม่ที่เฝ้าดูแลทะนุถนอมเธออย่างดีที่สุด แม้ว่าหลายครั้งสองชีวิตต้องเรียกได้ว่าแทบจะอดอยากไม่มีอะไรจะกินเลยด้วยซ้ำ
เธอยังจำได้เมื่ออายุประมาณ 10 ขวบ…
เด็กสาวในชุดนักเรียนเก่าๆ เพิ่งกลับมาถึงบ้าน ยังไม่ทันได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า แม่ก็กลับมาถึงบ้าน หลังจากวางหาบตระกร้าขายไข่ปิ้งลงแล้ว แม่ทรุดตัวนั่งอย่างหมดแรง ดารินทร์เหลือบมองตระกร้าที่มีไข่ปิ้งเหลืออยู่หลายฟอง แต่สภาพของมันไม่น่าดูนัก ราวกับว่ามันคลุกดินคลุกฝุ่นมาอย่างสะบักสะบอม
เด็กน้อยรีบวิ่งไปหาแม่ ‘แม่จ๋า…แม่เหนื่อยไหมจ๊ะ หนูเอาน้ำมาให้นะ’ แล้วเด็กหญิงดารินทร์ก็วิ่งไปที่ครัวหลังบ้าน รินน้ำใส่แก้วพลาสติกมายื่นให้มารดา
นางเพียงจันทร์รับแก้วน้ำจากลูกสาวมาดื่มด้วยความกระหาย ดูเหมือนว่าจะเริ่มมีพลังฟื้นกลับมาบ้าง ดารินทร์สังเกตเห็นแก้มแม่มีรอยช้ำและมีรอยถลอกที่แขนทั้งสองข้างและข้อศอก เมื่อมองเลยมาถึงขา ก็พบว่ามีร่องรอยบาดแผลถลอกเลือดซิบเช่นกัน
‘แม่…แม่เป็นอะไรจ๊ะ ทำไมเลือดออก มีแผลเต็มไปหมดเลย’ ละล่ำละลักถามมารดา
‘แม่หกล้มน่ะ ไม่เป็นอะไรมากหรอก’ นางเพียงจันทร์ตอบเสียงเบา หลบตาแป๋วของลูกสาวที่มองมา
‘หกล้มรุนแรงขนาดนี้เลยเหรอจ๊ะ ใครทำอะไรแม่หรือเปล่า’ เด็กหญิงไม่เชื่อที่แม่บอก
นางเพียงจันทร์ไม่อยากเล่าความจริงที่เธอเผชิญมาให้ลูกสาวเกรงว่าเด็กน้อยจะเป็นกังวล แท้จริงแล้ววันนี้เธอลองหาบไข่ปิ้งไปขายในอีกซอยหนึ่งที่เป็นแหล่งชุมชนซึ่งคิดว่าน่าจะมีลูกค้ามาก ไข่ปิ้งของเธอขายราคาไม่แพงนักและดูสะอาดถูกสุขอนามัย ทำให้ลูกค้าเข้ามาอุดหนุนไข่ปิ้งของเธอมากมาย จนทำให้แม่ค้าข้าวเหนียวปิ้งและไข่ปิ้งเจ้าถิ่นเหล่มองด้วยความไม่พอใจที่โดนแย่งลูกค้า จึงเรียกนักเลงมาหาเรื่องทำลายข้าวของ รวมทั้งทำร้ายร่างกายของเธอ เป็นสาเหตุให้เพียงจันทร์มีสภาพสะบักสะบอมกลับมาบ้าน เธอพยายามเก็บไข่ปิ้งที่ยังเหลือกลับมาบ้านด้วยความเสียดาย วันนี้คงขาดทุนไม่มีเงินจะต่อทุนสำหรับพรุ่งนี้แล้ว
เมื่อแม่ไม่ยอมบอก ดารินทร์ก็ไม่อยากซักไซ้ เดินไปหยิบยาแดง ขันน้ำและผ้าขนหนูมาทำความสะอาดบาดแผลให้แม่ เมื่อทำแผลเสร็จ นางเพียงจันทร์พยายามลุกยืนขึ้น เด็กน้อยรีบเข้าประคองแม่
‘แม่จะไปหุงข้าว เราน่าจะพอมีข้าวสารเหลือนะ’
‘เดี๋ยวหนูจัดการให้เองจ้ะ แม่พักก่อนเถอะนะ’ นางเพียงจันทร์พยายามจะเคลื่อนตัวไปทางครัว ดารินทร์จำต้องประคองมารดาไป แล้วให้มารดานั่งลงบนเก้าอี้ในครัว รีบแย่งหม้อข้าวมาถือไว้ก่อน
‘แม่จ๋า ให้หนูดูแลแม่นะ แม่เจ็บขนาดนี้ หนูทนเห็นแม่ทำงานไม่ได้หรอกจ้ะ’ เด็กหญิงต้องใช้ข้ออ้างนี้ เพราะรู้ดีว่ามารดารักเธอมาก และพยายามให้เธอมีความสุขมากที่สุด นางเพียงจันทร์จึงยอมนั่งลงและให้ลูกสาวหุงข้าวซึ่งเหลือเพียงหนึ่งถ้วยเท่านั้น ถ้ากินแบบคนละครึ่งท้องคงจะทานได้ถึงมื้อเช้าวันพรุ่งนี้
‘วันนี้แม่ไม่มีเงินซื้อกับข้าวนะ คงต้องเก็บเงินที่พอได้มาวันนี้สำหรับเป็นทุนซื้อไข่มาขายวันพรุ่งนี้ เราคงต้องกินไข่ปิ้งที่เหลือเป็นกับข้าวสำหรับมื้อนี้และพรุ่งนี้เช้านะลูก’ นางเพียงจันทร์กล่าวเสียงอ่อน
‘ได้เลยจ้าแม่ ไข่ปิ้งแม่อร่อยที่สุด’ เด็กหญิงดารินทร์ให้กำลังใจแม่ ‘แต่หนูว่าพรุ่งนี้แม่พักก่อนเถอะนะ เดี๋ยวหนูลาหยุดเรียนวันนึง เอาไข่ไปขายเองจ้ะ’
‘อย่าเลย…หนูต้องเรียนหนังสือให้สูงๆ หนูเป็นความหวังของแม่ แม่ไหว แม่ไปขายได้’ นางเพียงจันทร์ยังคงดื้อรั้น ตัวนางจะลำบากแค่ไหนก็ได้ แต่ลูกต้องไม่ลำบาก
‘เอาอย่างนี้ไหมจ๊ะ ตอนเช้าหนูจะตื่นเช้าไปซื้อไข่ให้แม่ แม่ปิ้งไข่แล้วหนูเอาไปขายที่โรงเรียน น่าจะพอขายได้แต่คงไม่ได้มากนัก คุณครูเข้าใจจ้ะว่าเรายากจน ครูไม่ว่าอะไรถ้าไปขายของเล็กๆ น้อยๆ’ ดารินทร์เสนอทางเลือก เด็กน้อยอยากให้แม่ได้พักผ่อนรักษาตัวก่อน อ้อนวอนอยู่นานจนมารดายอมทำตามข้อเสนอของเธอ
ปรากฏว่าคืนนั้นนางเพียงจันทร์ไข้ขึ้นสูงจากแผลที่อักเสบ โชคดีที่บ้านมียาลดไข้เหลือหนึ่งเม็ด ดารินทร์จึงเอาให้แม่ทานและช่วยเช็ดตัวแม่จนอาการไข้เริ่มทุเลา
เด็กหญิงได้นอนเพียงสามชั่วโมงก็ต้องรีบตื่นขึ้นมาเพื่อไปซื้อไข่ วันนั้นเธอเอาไข่ปิ้งไปขายที่โรงเรียน คุณครูที่โรงเรียนช่วยกันซื้อจนเด็กน้อยขายไข่ปิ้งได้หมด เธอดีใจเก็บเงินที่หามาได้อย่างดี
… ไม่รู้ว่าป่านนี้แม่เป็นยังไงบ้าง คงต้องรีบไปซื้อยาให้แม่ก่อนกลับบ้าน..
ระหว่างเดินไปยังอาคารเรียน เด็กหญิงกลับเจอกับเด็กชาย 2-3 คน เข้ามากลั่นแกล้ง และพยายามจะยื้อแย่งเงินจากเธอ เธอสู้ยิบตา…รู้แค่ว่าจะต้องเอาเงินนี้กลับไปต่อทุนให้แม่ขายของวันพรุ่งนี้ และที่สำคัญเอาไปซื้อยาให้แม่ด้วย
ดารินทร์ยังจำเหตุการณ์ครั้งนั้นได้อย่างแม่นยำ ขณะที่เธอกำลังวิ่งหนีกลุ่มเด็กผู้ชายเหล่านั้น มีรุ่นพี่คนหนึ่งเข้ามาช่วยเธอไว้และขับไล่กลุ่มเด็กชายที่กลั่นแกล้งเธอไปได้
‘เป็นยังไงบ้างน้อง’ รุ่นพี่คนนั้นตัวสูงกว่าเธอมาก ผิวสีแทน ใส่แว่นตาใสกรอบทอง ท่าทางใจดี เขาน่าจะเป็นรุ่นพี่มัธยมปีที่สาม ซึ่งในเวลานั้นดารินทร์เรียนอยู่ชั้นประถมปีที่สี่
‘ไม่เป็นไรแล้วค่ะ ขอบคุณพี่มากนะคะที่ช่วยหนู’ ดารินทร์กล่าวพร้อมประนมมือไหว้อย่างอ่อนช้อย
‘พี่เดินไปส่งที่ห้องเรียนดีกว่า แล้วจะไปเรียนคุณครูของน้องให้ทราบด้วย เผื่อว่าไอ้เด็กกลุ่มนั้นมันจะกลับมากวนน้องอีก’ ดารินทร์ไม่ปฏิเสธข้อเสนอนั้น ลึกๆ ก็กังวลอยู่เหมือนกันว่าอันธพาลเด็กกลุ่มนั้นจะย้อนกลับมา
‘พี่ชื่ออะไรคะ หนูจะจำไว้’
‘พี่ชื่อที แล้วน้องล่ะ’
‘หนูชื่อดาวค่ะ’ เด็กหญิงดารินทร์ยิ้มกว้างให้รุ่นพี่คนนั้น…
‘พี่ที’ ผู้ชายคนแรกที่เธอประทับใจ ชื่นชม ภาพในวันนั้นยังคงติดตราตรึงอยู่ในหัวใจจนถึงทุกวันนี้
หลังจากวันนั้นเธอเคยเห็นเขาไกลๆ ขณะกำลังเตะฟุตบอลกับเพื่อน แต่ก็ได้เพียงแอบมองเขาอย่างปลาบปลื้ม ไม่เคยมีโอกาสได้พูดคุยกับ ‘ฮีโร่’ ของเธออีกเลย
ต่อมาไม่นานก็ได้ข่าวว่าเขาสอบชิงทุนไปเรียนระดับมัธยมปลายที่โรงเรียนใหญ่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ทุกวันนี้เธอก็ยังเฝ้าหวังว่าคงมีสักวันเธอคงได้เจอกับ ‘พี่ที’ อีกครั้ง…
…แปลกจัง…ไม่รู้อะไรดลใจให้เราหวนนึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น คิดถึงรุ่นพี่คนนั้น..‘พี่ที’…ชายหนุ่มที่เธออยากแอบเรียกว่าเป็นรักแรกของเธอ….
‘เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว ควรนอนได้แล้ว นอนๆๆ…’ หญิงสาวอมยิ้มกับตัวเองในความมืด
ดารินทร์พยายามสลัดความกังวลเรื่องมารดาออกไปจากจิตใจ รวมทั้งเรื่องของ ‘พี่ที’ ด้วย แต่แล้วเธอก็พลันหวนคิดถึงหน้าหล่อเหลาของดอกเตอร์หนุ่มที่ยังคงประทับอยู่ในใจตั้งแต่เมื่อกลางวัน
แม้ว่าชายหนุ่มแสนสมาร์ทคนนั้นจะดูเหมือนอยู่สูงสุดเอื้อม…และคงไม่มีทางชายตาแลมองเธอ ส่วนเธอเองก็คงไม่สามารถรักกับเขาได้ เพราะมารดาคงไม่ยินยอม…แต่ดารินทร์ก็ยังอยากอ้อนวอนขอพรพระจันทร์ที่สาดแสงนวลละมุนผ่านช่องหน้าต่างห้องนอนเข้ามาในคืนนี้….
…โปรดเถอะนะดวงจันทร์…คืนนี้…ขอให้เธอฝันถึงเขา…เพียงแค่ได้พบเจอเขาในความฝัน…เท่านั้น…ก็เพียงพอแล้ว
ในที่สุดดารินทร์ก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย โดยมีรอยยิ้มเปี่ยมสุขประทับอยู่บนใบหน้าหวานที่หลับตาพริ้ม…อย่างฝันดี