พรายผูกรัก บทที่ 3 : ทาสรัก ทาสลวง

พรายผูกรัก บทที่ 3 : ทาสรัก ทาสลวง

โดย : กมลภัทร

Loading

พรายผูกรัก โดย กมลภัทร นวนิยายออนไลน์ ที่เรื่องเล่าถึง ‘ปริตา’ หญิงสาวที่ถูกวิญญาณเมื่อครั้งอดีตติดตามเธอไปทุกที่โดยไม่รู้ว่าวิญญาณตนนั้นมาดีหรือร้าย แถมยังพาเธอให้พบกับชายหนุ่มผู้ทำให้หัวใจของเธอหวั่นไหว นิยายสนุกๆ น่าติดตามเรื่องนี้ มีให้อ่านที่อ่านเอาที่เดียว

****************************

– 3 –

 

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

ผู้ชมในโรงภาพยนตร์มัลติเพล็กซ์ทยอยลุกขึ้นจากที่นั่งเมื่อเครดิตท้ายภาพยนตร์ปรากฏบนหน้าจอ ปริตามองซ้ายมองขวาเมื่อเห็นคนเริ่มทยอยเดินออกไปทางประตูทางออกก็รีบลุกขึ้นเดินตามกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ ยกข้อมือซ้ายขึ้นมองหน้าปัดนาฬิกา ตัวเลขบอกเวลาใกล้เที่ยงคืน

หญิงสาวรีบออกจากห้องชุดมาพร้อมกับนาถนรีที่เดินทางไปกองถ่ายเมื่อช่วงเย็น เพราะแม้ว่าตลอดวันที่ผ่านมาเธอจะไม่ได้ ‘ตาฝาด’ อีกเลย แต่ปริตาก็ไม่นึกอยากอยู่คนเดียว เธอจึงออกมาเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ที่พัก หากเดินได้ไม่นานก็เบื่อเพราะไม่ได้มีแผนที่จะซื้ออะไรเป็นพิเศษ การตีตั๋วดูภาพยนตร์สักเรื่องดูจะเป็นทางเลือกที่ดี ที่จะทำให้ไม่ต้องรีบกลับไปอยู่คนเดียว อย่างน้อยก็ขอให้ง่วงถึงขีดสุดเสียก่อน เอาแบบกลับห้องไปหัวถึงหมอนก็ไปเข้าเฝ้าพระอินทร์ได้เลย

ตอนแรกมันก็ดูเป็นความคิดที่ดีอยู่ไม่น้อยแต่มานึกได้ตอนนี้ว่าไม่ควรจะกลับดึกนัก เพราะยิ่งดึกก็ยิ่ง…

“คุณเพ็ญ”

เสียงเรียกชื่อดังจากด้านหลังขณะที่ปริตาเดินออกมาจากโรงภาพยนตร์มุ่งสู่บริเวณโถงลิฟต์ทำเอาคนที่กำลังนึกหวั่นอะไรอยู่ในใจสะดุ้งเฮือก รีบหลับตากลั้นลมหายใจ คิดอยู่ว่าจะหันกลับไปมองดีหรือไม่ หากยังไม่ทันจะทำอะไร เสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกพร้อมกับความรู้สึกคล้ายกับมีใครเดินผ่าน

“ไม่เจอกันนานเลยนะคะคุณเพ็ญ นี่เห็นหลังไวๆ ตอนออกจากโรงหนังมา ไม่คิดว่าจะใช่คุณเพ็ญจริงๆ นี่ดูเรื่องเดียวกันรอบเดียวกันเลยนะคะเนี่ย แปลกจังไม่เจอกันก่อนจะเข้าไปในโรง”

เมื่อลืมตาขึ้นสิ่งที่เห็นก็คือสตรีวัยราวสามสิบปลายสองคนยืนคุยกันอยู่ตรงหน้าอย่างออกอรรถรส

ปริตาถอนใจยาวก้าวตามกลุ่มคนเข้าไปในลิฟต์เมื่อบานเหล็กเปิดออก ภาวนาในใจว่าขอให้มีคนจอดรถอยู่ชั้นเดียวกันและบริเวณใกล้กัน เพราะตอนนี้แค่นึกภาพลานจอดรถเวลาเที่ยงคืนแบบนี้ก็ทำเอาหายใจหายคอไม่สะดวกเสียแล้ว

 

ดูเหมือนสิ่งที่ปริตาจะภาวนาไว้จะเป็นผลแค่ครึ่งเดียว เพราะมีคนส่วนหนึ่งที่เดินออกมาจากลิฟต์พร้อมกับเธอ หากเมื่อเดินเข้าสู่คนกลุ่มหนึ่งก็เดินขึ้นบันไดบ้างลงบันไดบ้างไปสู่ชั้นจอดรถที่อยู่กึ่งกลางระหว่างชั้นของตัวห้างสรรพสินค้า อีกส่วนก็จอดรถใกล้ทางเข้ามากกว่าและพากันเดินไปที่รถกันหมด ทิ้งให้หญิงสาวต้องเดินอยู่คนเดียว และเมื่อประเมินด้วยสายตาแล้วมีเพียงพาหนะคู่ใจของเธอคันเดียวเท่านั้นที่จอดห่างออกไปมากที่สุด

น่าจะหาชั้นที่จอดใกล้ทางเข้าห้างได้มากกว่านี้หน่อย เลดี้โซนเขาก็จัดไว้ตอนมาก็ดันลืมนึกถึง…ยายปลาหนอยายปลา ไม่น่าประมาทเลย ความประมาทเป็นหนทางแห่งความวังเวงแท้ๆ

แม้จะนึกกลัวมากแค่ไหนแต่ก็ไม่อาจจะหยุดฝีเท้าได้ อย่างน้อยรีบกลับขึ้นรถ ขับออกจากลานจอดได้ก็น่าจะรู้สึกอุ่นใจขึ้นมากแล้วเพราะถนนสายที่มุ่งตรงไปสู่คอนโดมิเนียมนั้นคงยังมีรถราวิ่งอยู่พอควร อีกเพียงไม่กี่ก้าวก็จะถึงรถแล้วทว่ากลับมีสิ่งที่ทำให้ขาที่กำลังก้าวฉับอยู่นั้นต้องชะงักนิ่งอยู่กับที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า

 

ลำพังแค่เห็นภาพของร่างโปร่งมองทะลุได้ของนางทาสที่เคย ‘ตาฝาด’ เห็นมาแล้วหลายครั้งก็เรื่องหนึ่ง แต่อากัปกิริยาของทาสสาวก็อีกเรื่อง มือนั้นยกขึ้นมาพร้อมกับเท้า…เท้าที่ปริตาเพิ่งจะสังเกตอย่างถี่ถ้วนในครั้งนี้ว่า ไม่ได้สัมผัสกับพื้นดูเหมือนขยับก้าวมาหาเหมือนกับจะห้าม แววตานั้นดูกังวล ห่วงใย ครั้งนี้ปากที่ขยับเหมือนจะเปล่งเสียงออกมาให้ได้ยิน

“คุณเพ็ญเจ้าขา ระวังเจ้าค่ะ”

ระวัง…ระวังอะไรกัน

เจ้าของดวงหน้าเล็กเรียวรูปไข่เหลียวซ้ายแลขวาทันทีแม้จะไม่รู้ว่าได้รับการเตือนให้ระวังเรื่องใด แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันการณ์ ชายร่างสูงใหญ่ที่ปรี่เข้ามาหาปริตาสวมเสื้อยืดสีดำทับด้วยแจ็กเก็ตยีนและกางเกงยีนส์สีเข้มเข้าชุดกัน พรางใบหน้าด้วยแว่นตากันแดดและคาดบังใบหน้าด้วยหน้ากากอนามัย คว้าตัวหญิงสาวได้ก็รีบดึงเข้าไปที่ข้างเสา มือขวาโอบรัดร่างส่วนมือซ้ายปิดปากไม่ให้ส่งเสียง

หญิงสาวผู้ตกเป็นเหยื่อรู้สึกถึงเลือดที่สูบฉีดแรงไปทั่วร่าง พลังอันไร้ที่มากระตุ้นให้ร่างซึ่งเล็กบางกว่าผู้คุกคามอยู่มากดิ้นไปมาอย่างแรง มือไม้ป่ายปะไปทั่วหวังให้ตนหลุดพ้นจากสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ สายตาสอดส่ายหวังให้ใครสักคนมาช่วย

‘ใคร’ คนที่ว่าดูเหมือนจะปรี่เข้ามาให้ความช่วยเหลือ แต่ดูเหมือนว่าทาสสาวจะไม่สามารถสัมผัสสิ่งใดได้ ปริตาเห็นอาการพยายามที่จะแกะแขนแกร่งนั้น แต่ทุกครั้งที่มือนั้นยื่นมามันกลับทะลุผ่านร่างกายของชายผู้ประสงค์ร้าย

“คุณเพ็ญ”

สีหน้าแววตานั้นดูระคนทั้งร้อนรนอยากช่วยเหลือและสิ้นหวังเพราะจนหนทางที่จะทำอะไรได้ ปริตาเองก็แทบจะหมดแรงจะต่อสู้ กระทั่งได้ยินเสียงรถยนต์คันหนึ่งแล่นมาจากด้านที่อยู่ใกล้กับตัวอาคารของห้างฯ หญิงสาวจึงพอจะมองเห็นทางรอดอีกทาง แม้จะไม่สามารถดิ้นให้หลุดจากการกอดรัดนี้ได้ แต่หากดิ้นไปอยู่ในระยะสายตาของคนที่จะขับรถผ่าน อย่างน้อยผู้ประสงค์ร้ายก็น่าจะเลือกที่จะหนีเมื่อมีผู้เข้ามาเห็นเหตุการณ์

ดูเหมือนไม่ใช่แค่ปริตาที่คิดอย่างนั้น คนร้ายเองก็ดูจะคาดเดาความคิดนั้นได้เช่นกัน จึงพยายามดึงร่างของหญิงสาวเข้าไปหลบที่หลังเสา สองคนยื้อยุดกันไปมาแต่หญิงสาวร่างเล็กดูจะสู้แรงผู้ชายตัวใหญ่ไม่ไหวและกำลังจะเพลี่ยงพล้ำ

ทาสสาวร่างโปร่งเหมือนจะถอดใจเพราะจากที่พยายามจะช่วยอยู่นานแต่ก็ไม่สามารถสัมผัสตัวคนร้ายได้ หันหลังเดินแบบเท้าไม่สัมผัสพื้นไปอีกทาง

เดี๋ยวสิ ช่วยด้วย อย่าเพิ่งไป…ช่วยด้วย

ปริตารู้สึกถึงน้ำอุ่นที่เอ่อขึ้นมาคลอที่ริมขอบตาขณะที่มองร่างที่หันหลังให้กับตนเอง หวั่นกลัวถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป

นางทาสหันมามองเธออีกครั้งเมื่อไปหยุดยืนขวางอยู่กลางลานจอดรถ จากนั้นจึงหันไปทางที่รถกำลังจะวิ่งผ่านมา พยายามขึงตาให้ดูดุดันที่สุด

ถ้าคนที่ขับผ่านมาเห็นเธอก็อาจจะหยุดรถ เธอตั้งใจจะช่วยฉันใช่ไหม

ความหวังของปริตาเหมือนไม้ขีดที่ถูกจุดสว่างขึ้น หากเพียงชั่ววินาทีถัดมา ก้านไม้ขีดก็มอดไหม้ แสงไฟนั้นก็ดับวูบลงไปด้วย รถยนต์คันนั้นแล่นผ่านร่างโปร่งของทาสสาว ไม่มีวี่แววจะหยุดแต่อย่างใด ปริตาพยายามรวบรวมกำลังอีกเฮือกดิ้นรนเพราะรู้ว่าจะต้องมีรถยนต์คันอื่นอีก

เสียงเครื่องยนต์แล่นใกล้เข้ามา นางทาสยังคงยืนอยู่จุดเดิม และครั้งนี้ดูเหมือนความพยายามช่วยเหลือจะได้ผล

เอี๊ยด!

ห้ามล้อรถยนต์ส่งเสียงดังพอควร และทำให้ชายร่างใหญ่ชะงักคลายมือที่ปิดปากปริตาเอาไว้ หญิงสาวได้โอกาสจึงขบฟันลงไปอย่างแรง

“โอ๊ย!”

ปริตาเหวี่ยงแขนขาเต็มที่หวังว่าคนที่หยุดรถอยู่ตอนนี้จะมองเห็นความผิดปกติ และเสียงที่ตามมาหลังจากนั้นไม่นานก็ทำให้เธอใจชื้นขึ้น เสียงเปิดปิดประตูรถดังขึ้นตามมาด้วยเสียงตะโกนดุดันของชายคนหนึ่ง

“เฮ้ย…นั่นทำอะไร”

หญิงสาวหวีดร้องเมื่อรู้สึกได้ว่าตนถูกเหวี่ยงให้พ้นทางเมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งปรี่เข้ามาให้ความช่วยเหลือ ใบหน้าของเธอปะทะเข้ากับบริเวณแผงอกแกร่งของเขาขณะที่ท่อนแขนก็โอบอย่างหวังให้เขาเป็นที่พึ่ง แรงกระแทกนั้นพอที่จะทำให้เซไปด้วยกันทั้งคู่ ดีที่มีพาหนะคู่ใจของเธอกั้นเอาไว้ไม่อย่างนั้นคงจะล้มลงไปกับพื้นคนร้ายอาศัยจังหวะนั้นวิ่งหนีลงบันไดเชื่อมระหว่างชั้นจอดรถอย่างรวดเร็ว

“หยุดนะ”

คนที่เข้ามาช่วยรีบดันปริตาออกแล้ววิ่งตามลงไป ปริตาขยับจะห้ามก็ไปทันเสียแล้ว หญิงสาวมองไปทางลานจอดรถด้านที่ติดกับตัวห้างฯ นึกกลัวว่ารถที่เขาจอดขวางไว้จะขวางทางคันอื่น แต่ก็ไม่มีใครขับรถผ่านมาอีก เธอจึงมองหา ‘ผู้ช่วยเหลือ’ อีกคนหรือจะถ้าจะใช้ลักษณนามให้ถูกควรเรียกเป็น ‘ตน’ มากกว่า

ร่างของนางทาสผู้นั้นหายไปจากลานจอดรถเสียแล้ว

ราวสามชั่วโมงหลังจากนั้น ปริตาก็ขับรถกลับถึงที่พักโดยมีรถยุโรปรุ่นเก่าอายุหลายสิบปีหากยังได้รับการดูแลให้อยู่ในสภาพดีแล่นตามมาไม่ห่าง เมื่อถึงทางเข้าที่จอดรถของคอนโดมิเนียมที่ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกขับเข้าไปหญิงสาวก็หยุดรถ เปิดประตูก้าวไปหยุดยืนอยู่ข้างรถยนต์คันที่ตามมา กระจกรถด้านคนขับค่อยลดลงเผยให้เห็นใบหน้าของชายผิวเข้มผู้มีดวงตาดำสนิท คิ้วเข้ม จมูกโด่ง

“ขอบคุณนะคะที่ช่วยจับตามคนร้ายให้ แล้วยังตามไปให้ปากคำที่โรงพักอีก” เธอนึกถึงเหตุการณ์ตอนพากันไปให้ปากคำกับตำรวจ เขาชื่อ…“คุณวรเวช…ใช่ไหมคะ”

“เรียกผมว่าเวชก็ได้ครับ คุณปริตา”

“ปลาค่ะ”

“คุณนี่โชคดีมากเลยนะครับคุณปลา…นี่ถ้าผมไม่เกิดตาฝาดเห็นอะไรแปลกๆ คงขับรถผ่านไปแล้วละครับ เหยียบเบรกปุ๊บหันไปหันมามองหาอีกทีก็เห็นคุณกำลังโดนคนร้ายจับอยู่”

วรเวชดูยิ้มแย้มอยู่ตลอด แม้แต่ตอนที่ยกมือขึ้นลูบบริเวณที่เขียวช้ำบนโหนกแก้มซึ่งเกิดจากการต่อสู้ ก่อนที่พนักงานรักษาความปลอดภัยของห้างฯ จะเข้ามาช่วยจับตัวคนร้าย

“ฉันได้ยินตำรวจเขาคุยกันตอนอยู่ที่โรงพัก ว่านายคนนี้ก่อเหตุดักปล้นจี้ในพื้นที่มาหลายครั้ง ดีนะคะที่คุณตามไปจับตัวไว้ได้”

“ตีสามกว่าแล้ว ผมว่าคุณปลาคงจะง่วงแล้ว ขึ้นไปอาบน้ำนอนพักเถอะครับ”

“ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่ช่วยฉันไว้”

ปริตาเอ่ยขอบคุณแล้วหมุนตัวตั้งใจจะเดินกลับไปที่รถ

“คุณปลาครับ”

เสียงเรียกนั้นทำให้เธอต้องหันกลับไปเอ่ยรับคำ “คะ”

“ถ้าผมจะขออะไรคุณปลาเป็นการตอบแทนสักอย่างจะได้ไหมครับ”

วรเวชเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มีแววยั่วล้ออยู่ในที สายตานั้นสื่อถึงนัยบางอย่างที่ทำให้ปริตาต้องยืดตัวขึ้นอย่างระแวดระวัง และอาการนั้นดูเหมือนจะทำให้ชายหนุ่มหลุดขำออกมา

“ผมแค่จะขอเลี้ยงคุณปลาสักมื้อน่ะครับ”

“เลี้ยงฉัน” หญิงสาวทวนคำ “คุณเป็นฝ่ายช่วยฉันไว้ ฉันต้องตอบแทนคุณถึงจะถูก”

“ผมถือว่าการที่คุณยอมไปกินข้าวกับผมสักมื้อเป็นการตอบแทนแล้ว” เขาพูดแล้วยกโทรศัพท์มือถือขึ้นส่ายไปมา “รอรับโทรศัพท์นะครับ เดี๋ยวผมโทรมานัด”

วรเวชลดกระจกลงทันที หญิงสาวส่งยิ้มให้ขณะที่เขาถอยรถออกไปแต่แล้วก็นึกอะไรขึ้นได้

เดี๋ยวสิ…ยังไม่ได้ให้เบอร์เลย แล้วจะโทรมาได้ยังไงล่ะ

ปริตานึกได้เมื่อสายเพราะเขาขับรถออกไปแล้ว หญิงสาวจึงได้แค่ถอนใจแล้วเดินกลับไปที่รถ และทันทีที่เปิดประตูด้านคนขับ เสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเธอก็กำลังดัง หมายเลขที่แสดงบนหน้าจอนั้นไม่ได้ถูกบันทึกเอาไว้ เธอกดรับผ่านลำโพงขณะที่ขับรถเข้าสู่ลานจอด

“นี่เบอร์คุณปลาใช่ไหมครับ”

“คะ…”

เธอจำเสียงเขาได้แม้เมื่อฟังผ่านลำโพงเครื่องมือสื่อสารแล้วมันจะผิดหูไปเล็กน้อย หากสงสัยที่เขารู้หมายเลขโทรศัพท์ของตน แทนที่จะตอบรับคำเรียกด้วยคำว่า ‘ค่ะ’ จึงกลายเป็นทวนคำอย่างไม่เชื่อหูแทน ปลายสายหัวเราะเหมือนจับน้ำเสียงแปลกใจของปริตาได้

“ผมแอบจำเบอร์เอาไว้ตอนที่คุณเขียนลงในบันทึกประจำวัน”

“ฉันก็ยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อยนี่คะ” หญิงสาวโต้แก้เก้อ

“ผมตั้งให้เพิ่มเพื่อนแชตได้ผ่านเบอร์โทรศัพท์ ถ้าคุณไม่มีอะไรจะทำ แอดผมแล้วทักมาก็ได้นะครับ ช่วงนี้ผมว่าง” เขาทิ้งช่วงเหมือนจะรอฟังอะไรบางอย่าง และเมื่อปริตาไม่ตอบอะไรก็รีบต่อทันที “หรือถ้าคุณคิดว่าเป็นผู้หญิงแอดผู้ชายมาก่อนไม่เหมาะ คุณเปิดให้แอดเพื่อนผ่านเบอร์โทรไว้นะครับเดี๋ยวผมแอดไป ผมขอขับรถก่อนนะครับคุณปลา เดี๋ยวเราค่อยแชตกันผ่านแอป”

แปลกคน…พูดเอง เออเอง ถามกันก่อนไหมว่าอยากจะคุยแชตด้วยรึเปล่า

 

กว่าปริตาใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนเสื้อกางเกงแพรเวลาก็ใกล้ตีห้า หญิงสาวไม่มีความรู้สึกง่วงนอนเลยแม้แต่น้อยแถมกระเพาะยังจะส่งน้ำย่อยออกมากระตุ้นให้เดินออกจากห้องนอนใหญ่ เดินเข้าครัวเปิดตู้เย็นสำรวจดูของที่พอจะทำอะไรรับประทานรองท้อง ได้ขนมปัง ไส้กรอกโบโลญญา และแซนด์วิชสเปรดมาวางบนจานกระเบื้อง กัดแซนด์วิชทำเองง่ายๆ ไปได้เพียงไม่กี่คำ ประตูห้องชุดก็เปิดออก นาถนรีเห็นเพื่อนนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารก็เดินโซซัดโซเซเข้ามานั่งแปะตัวลงบนเก้าอี้ด้านตรงข้าม

“ทำเผื่อได้ไหม เหนื่อย…หิวด้วย”

คนที่สวมชุดนอนยื่นแซนด์วิชที่กัดไปแล้วให้ตั้งใจจะยั่วแต่ปรากฏว่าคนโดนแกล้งคว้าไปกัดคำใหญ่ เคี้ยวตุ้ยเต็มปาก

“เฮ้ย…ล้อเล่น เดี๋ยวทำให้ใหม่”

“อั้นอินอ่อแออ้าย ไอ้อังเอียด” พูดทั้งที่ยังมีแซนด์วิชอยู่เต็มปาก เคี้ยวต่อไปอีกไม่กี่คำก็ทำท่าคล้ายสำลัก ยกมือขึ้นตบอกตัวเองรัว “อ๊าม…อ๋ออ๊าม”

ปริตารีบลุกไปหยิบเอาขวดน้ำในตู้เย็นมารินใส่แก้วส่งให้นาถนรีทันที รายนั้นหลังจากได้น้ำดื่มและเคี้ยวกลืนแซนด์วิชหมดคำก็มองอย่างสงสัย

“แล้วนี่ทำอะไร ทำไมยังไม่นอน”

“ก็…” ขยับจะเอ่ยปากเล่าแต่แล้วกลับเปลี่ยนใจ “แก…ฉันมีเรื่องจะถาม ฉันอยากรู้ว่าเมื่อวันก่อนในกองถ่ายที่เรือนไทยมีใครเจออะไรแปลกๆ บ้างหรือเปล่า”

“ไม่นี่…ก็ปกติ ไม่เห็นมีใครพูดถึงเรื่องแปลกๆ อะไรกันสักคน ก็อยากที่บอกนั่นแหละ ทีมตัดต่อ ลงเสียงคงต้องทำงานกันหนักเลยให้มันออกมาน่ากลัว” ปากก็พูดมือจัดแจงทำขนมปังแซนด์วิชคู่ใหม่ไปด้วย “อย่าบอกนะว่าแกยังนึกถึงเรื่องผีสางอะไรนั่นอยู่”

“เปล่า”

“งั้นตกลงแกเป็นอะไรทำไมยังไม่นอน”

“เรื่องมันก็…”

การเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในลานจอดรถห้างสรรพสินค้าดำเนินไปพร้อมกับปาร์ตี้แซนด์วิชโบโลญญา ปริตาเลี่ยงที่จะเล่าถึงสาเหตุที่ทำให้วรเวชหยุดรถ เล่าเพียงแค่ว่าเขาคงจะหันมามองเห็นเข้าพอดีจึงหยุดรถแล้วลงมาให้ความช่วยเหลือ

“บังเอิญจังนะ เจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยเจ้าหญิง แล้วนี่แกแอดเขาเป็นเพื่อนหรือยัง”

“แกจะบ้าเหรอ จะให้ฉันแอดเขาไปก่อนเนี่ยนะ น่าเกลียด…แล้วเขาก็บอกไว้ว่าจะเลี้ยงข้าว ถ้าขืนแอดไปก่อนก็เหมือนฉันอยากกินฟรีน่ะสิ”

“แล้วเปิดให้แอดผ่านเบอร์หรือยังล่ะ เผื่อเขาแอดมา”

“แกนี่เซ้าซี้จัง ฉันอิ่มละ ไปนอนดีกว่า ล้างจานด้วยล่ะ”

ปริตารุดกลับเข้าห้องนอนใหญ่ ยังรู้สึกผะผ่าวที่พวงแก้ม เมื่อหย่อนตัวลงนั่งบนฟูก คว้าเอาโทรศัพท์มากดเปิดแอปพลิเคชันแชตยอดนิยม ไม่มีข้อความหรือการแจ้งเตือนใดแม้ว่าจะเปิดการเพิ่มเพื่อนจากหมายเลขโทรศัพท์เอาไว้แล้ว

ยายปลาเอ๊ย…จะเชื่ออะไรมากกับคำพูดผู้ชายที่เพิ่งจะเจอกัน เขาก็คงจะพูดไปอย่างนั้นแหละ

 



Don`t copy text!