เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 5 : ความจริงของหญิงสาว

เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 5 : ความจริงของหญิงสาว

โดย : จันทร์จร

Loading

เหลี่ยมเล่ห์เรไร นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 โดย จันทร์จร…เมื่อความจริงถูกปกปิดไว้ด้วยอำนาจมืด และการหลบเลี่ยงความผิดของคนกลุ่มหนึ่ง เรไรจึงต้องออกมากระชากหน้ากากและเปิดโปงความฉ้อฉลนั้นด้วยตัวเอง เพื่อมอบความเป็นธรรมให้กับเหยื่อทุกคน ที่ยังรอให้ใครสักคนทำหน้าที่ลงโทษคนพวกนั้น นวนิยายสนุกๆ อีกหนึ่งเรื่องที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านที่ anowl.co

เรไรยืนอยู่ท่ามกลางเสียงแสดงความเสียใจ และในขณะร่างของทวิชกลายเป็นเถ้าถ่านและควันจาง สายตาของหญิงสาวก็แลเห็นร่างหนึ่งแยกตัวออกจากฝูงชน ดวงตาของเขาจับจ้องมายังเธอที่ยืนอยู่ที่เดิม เธอไม่แปลกใจที่เห็นเขาที่นี่ ว่ากันตามจริงมันอาจเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว เพียงแต่…ที่ประหลาดใจก็คือความตกใจระคนสงสัยในสีหน้าของเขาต่างหาก

“อะไรจะอยากรู้อยากเห็นขนาดนั้น” เรไรรำพึงกับตัวเอง สิ่งที่แสดงออกมาทางสายตาของเขานั้นเดาได้ไม่ยากเลย มันคือความกระหายรู้กับความหวาดหวั่นผสมปนเปกัน อาจเพราะการแสดงออกของเธอเมื่อเห็นเขาอีกครั้ง ไม่ได้มีร่องรอยของความตกใจอยู่เลยก็เป็นได้

“คุณครับ” ชายหนุ่มพูดเบาเหมือนเสียงกระซิบ น้ำเสียงที่ไม่มั่นใจเจือความไม่เชื่อเอาไว้ ราวกับว่าหากการทักทายของเขานั้นมันดังเกินไป ก็อาจไปทำลายความสงบในงานได้

“สวัสดีค่ะ คุณนั่นเอง” ริมฝีปากของเธอยกมุมส่งยิ้มบางๆ ให้กับเขา แน่นอนว่าเธอจำเขาได้ ทว่าก็ยังคงสงวนไว้ด้วยท่าทางที่สงบและเยือกเย็น

“ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอคุณที่นี่” ดวงตาของเขามองใบหน้าที่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม เหมือนกำลังจะหาคำตอบและเบาะแสจากสายตาเฉียบคมคู่นั้น

“ฉันก็กำลังจะพูดกับคุณแบบเดียวกันเลยค่ะ” เธอตอบเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง

พอได้ยินสิ่งที่เรไรตอบกลับมา พฤกษ์ก็รู้สึกว่าเขาต่างหากที่เป็นคนนอกของงานนี้ เธอมีความเกี่ยวข้องกับนางทับทิม จะใช่ลูกหรือไม่คงต้องตามดูกันต่อไป แต่ก็หมายความว่าหญิงสาวต้องมีส่วนที่ผูกพันกับทวิชด้วย นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้เธอยืนอยู่ในงานที่ตำแหน่งของเจ้าภาพได้ ในขณะที่เขานั้นต้องหาคำตอบให้ดีกับการมาของตัวเอง

“คือ…ผมพฤกษ์นะครับ เคยเจอคุณทวิชสองสามครั้ง” พฤกษ์เลือกจะโกหก ด้วยเวลาเท่านี้เขาไม่รู้จะคิดคำตอบใดออก “ต้องขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ ผมลืมไปว่าคุณเป็นลูกสาวของคุณทับทิม พี่สาวของคุณทวิช”

ชายหนุ่มบอกไปเช่นนั้นทั้งที่พอจะรู้แล้วว่าเธออาจไม่ใช่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องหาคำตอบสำหรับความเกี่ยวข้องของเธอ เพราะสาวสวยคนนี้อาจเป็นหนทางเดียว ที่จะทำให้เขาเข้าใกล้กับเครือข่ายของโมรี และข้อมูลการเงินต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทวิชด้วย

“ลูกสาวเหรอคะ” เรไรหัวใจเต้นรัวเมื่อได้ยินชื่อของคนที่เธอแสนเกลียด ข้อมูลที่ไม่จริงนั้นเพราะเขาอาจคาดเดาจากสิ่งที่ทำในการพบเจอกันครั้งแรก เพียงแต่ สำหรับตอนนี้แล้วมันก็อาจเป็นความเข้าใจผิดที่เธอสามารถใช้ประโยชน์ได้เช่นกัน

“ฉันทึ่งในความเข้าใจของคุณมากนะคะ” เรไรตอบอย่างมีเลศนัย เธอยิ้มออกมาน้อยๆ พลางพูดต่อ “เอาเป็นว่าฉันพอจะสนิทกับคุณทับทิม และคุณทวิชเหมือนครอบครัวค่ะ”

“สนิทกันเหมือนครอบครัวเหรอครับ” พฤกษ์สงสัย ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เขาลืมความเหมาะสม และลืมไปว่าเธออาจเป็นพวกเดียวกับคนเหล่านั้น ทว่าความคลุมเครือในถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากเธอ มันยิ่งกระตุ้นความสนใจของเขามากขึ้น

“ก็ทำนองนั้นค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ก่อนจะชำเลืองตาไปยังบรรดาแขกผู้ที่กำลังทยอยกลับเกือบหมดแล้ว “แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาสำหรับการพูดคุยเรื่องนี้ ใช่ไหมคะ”

ชายหนุ่มมองบรรยากาศรอบงาน แล้วก็รู้สึกว่าเขาออกจะละลาบละล้วงเธอมากเกินไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หญิงสาวอาจจะเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญของเรื่องที่เขากำลังตามอยู่ก็ได้

“ถูกของคุณ ผมไม่ควรมาถามอะไรคุณอย่างไม่ถูกกาลเทศะแบบนี้” เขาเลือกจะถอยหลังออกมาจากเธอหนึ่งก้าว และเคารพความสูญเสียของเธอแทนที่จะสนทนาเพิ่มเติม

ทว่าเรไรกลับสังเกตได้ถึงความเสียดาย กับคำถามที่ยังไม่ได้เอ่ยออกมา รวมถึงความรู้สึกผิดในน้ำเสียงของเขา อย่างที่ได้เห็นว่าเขาเป็นคนช่างสงสัย และมีความอยากรู้อยากเห็นอย่างไม่หยุดยั้ง นั่นทำให้เธอรู้สึกสนใจมากขึ้น

“คุณเป็นนักข่าวเหรอคะ” เธอเลือกที่จะทำลายความเงียบอีกครั้ง พร้อมกับริมฝีปากที่ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย

“ครับ…” เป็นอีกครั้งที่เขาเลือกจะตอบความจริงไม่หมด เพราะแท้จริงแล้วอาชีพนั้นเป็นเพียงอดีต และปัจจุบันเขาเป็นเพียงคนเขียนข่าวในแฟนเพจ ที่มีผู้ติดตามอยู่จำนวนหนึ่ง และเรื่องที่เขาสนใจจะทำก็คือเรื่องของธุรกิจที่มีความคล้ายคลึงกับแชร์ลูกโซ่ อย่างธุรกิจที่โมรีไปมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ตอนนี้

“น่าสนใจดีนะคะ” เธอกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่สนอกสนใจชายหนุ่มมากขึ้น และทอดสายตามองชายที่กล้าปรากฏตัวกลางงานของเช่นนี้ “เปิดโปงความจริง ส่งเสียงเรียกร้องแทนผู้ถูกกระทำที่ไร้ซึ่งเสียงที่มากพอ เติมเต็มความถูกต้องให้กับสังคม ดูแล้วยอดเยี่ยมจังเลยค่ะ”

“ครับ ก็ทำนองนั้น” พฤกษ์ยักไหล่

เรไรหันกลับมาหาเขา จ้องไปยังใบหน้าคมสันเขม็ง ขณะเดียวกันดวงตาของเธอก็ฉายแววขี้เล่นออกมา

“ฉันชื่นชมในอุดมการณ์อันสูงส่งของคุณมากเลยค่ะ แล้ว…คุณไปงานศพใครต่อใครเพื่อตามหาเบาะแสข่าวแบบนี้บ่อยไหมคะ”

ได้ยินสิ่งที่เธอล้อเขา พฤกษ์ก็ทำหน้าบึ้งตึงไปเล็กน้อย และรู้สึกไม่สบายใจกับสายตาหยอกล้อของเธอ

“ก็เฉพาะงานที่ผมสงสัยว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่มากกว่าที่ควรจะเป็นน่ะครับ”

“อย่างตอนนี้น่ะเหรอคะ” เรไรถามกลับ พลางหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี ริมฝีปากอิ่มของเธอโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอีกครั้ง

“บางทีก็อาจใช่…” เขายอมรับ น้ำเสียงยังคงความระแวดระวัง เขามองไปยังคนที่เริ่มออกจากงาน น่าเสียดายที่ไม่เห็นโมรีเพราะมัวแต่มาเสียเวลากับเธออยู่ตรงนี้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ว่าจะสูญเปล่าเสียทีเดียว “ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับนางทับทิมที่ตายไปแล้ว คุณทวิชที่เป็นน้องชาย รวมถึงลูกชายอย่างคุณภมร ดูเป็นเรื่องที่น่าสนใจดีนะครับ”

แต่แทนที่หญิงสาวจะแสดงความขุ่นเคือง เรไรกลับหัวเราะ เป็นเสียงอันแสนไพเราะท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมระหว่างคนทั้งสอง

“คุณเนี่ย…ช่างไม่รู้อะไรเลยจริงๆ” เธอปาดน้ำตาจากการหัวเราะเมื่อครู่ แล้วเปลี่ยนมาส่งยิ้มจางๆ ให้กับเขา “แต่ก็…น่าสนใจจริงๆ ด้วย”

เธอพูดลอยๆ ออกมาอย่างไม่เจาะจงว่าหมายถึงอะไร แล้วมองไปยังรอบๆ งานที่แทบไม่เหลือใครแล้ว

“ฉันชื่อเรไรนะคะ เรียกฉันว่าเรย์ก็ได้ หวังว่าการเจอกันครั้งหน้าคุณคงจะเตรียมพร้อมกว่านี้”

รอยยิ้มที่สื่อถึงความนัยบางอย่างฉายออกมาจากใบหน้าสวย แล้วเธอก็เดินจากไปทิ้งให้ชายหนุ่มยืนงุนงง ท่ามกลางความเงียบกับภายในที่เต็มไปด้วยคำถาม

เมื่อจากออกมาแล้ว เรไรก็ฉีกยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ เธอรู้ว่าการปรากฏตัวในงานนี้ของพฤกษ์ จะต้องจุดประกายความสงสัยให้เขาอย่างมากมายแน่ ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะบอกลาเขา ด้วยการใบ้ถึงความเป็นไปได้ที่อาจต้องเจอกันในอนาคต

 

เช้าวันต่อมา หลังจากประกอบพิธีเก็บอัฐิเรียบร้อยแล้ว เรไรก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในเรือใจกลางแม่น้ำ โดยมีทิพย์เป็นคนขับเรือออกจากฝั่ง นี่อาจเป็นหน้าที่สุดท้ายของเธอสองคน ในการตอบแทนการเลี้ยงดูของทวิชในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

โกศใบเล็กอันวิจิตรงดงามจะเป็นที่อยู่แห่งสุดท้ายของทวิช ขณะที่เถ้าถ่านนั้นอยู่ในห่อผ้าสีขาวโรยไว้ด้วยกลีบดอกไม้ เรไรสวมชุดสีขาวเรียบง่าย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสงบและการเริ่มต้นใหม่ของเธอ ขณะที่อากาศในช่วงสายของวันเป็นสีเทาอึมครึม แต่ก็ไม่มีเค้าลางของฝนหรือพายุ ซึ่งนับเป็นเรื่องดีเพราะนอกจากนั้นแล้วยังทำให้แดดไม่แรงเกินไปอีกด้วย

ขณะที่เรือแล่นไปในใจกลางของปากแม่น้ำ หญิงสาวทั้งสองรู้สึกถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ต้องบรรยาย ไม่ใช่แค่ความผูกพันระหว่างเธอทั้งสองที่เปรียบดั่งพี่น้อง แต่รวมถึงเรื่องราวของพวกเธอกับทวิชด้วย เรือโยกคลอนเบาๆ ตามจังหวะของสายน้ำ เป็นการกล่อมปลอบโยนในช่วงเวลาของการจากลา สายลมกระซิบผ่านความเย็นที่อยู่รายรอบ ดูเหมือนจะถ่ายทอดความอาลัยจากหญิงสาวที่ยังคงหลงเหลือ แม้จะเพียงเศษเสี้ยวก็ตาม

เรไรเปิดผ้าขาวออกอย่างเชื่องช้า แล้วหย่อนลงไปยังผิวน้ำ เถ้าสีเทาปนขาวละเอียดเริ่มกระจายไปกับความเย็นของสายธารา ดวงตาเรียบเฉยมองตามเถ้าถ่านขณะที่ค่อยๆ ไหลตามกระแส แล้วกลายเป็นหนึ่งเดียวกับแม่น้ำในที่สุด

“นี่จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เรย์จะทำให้กับคุณอา ถือเป็นค่าตอบแทนที่คุณอาเลี้ยงดูเรย์มานะคะ” น้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของเธอ แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ยังยิ้มอย่างสงบ มันเป็นคำอำลาถึงแม้ว่าเธอจะแค้นเคืองกับความลับที่เขาปกปิดเธอไว้มากแค่ไหน แต่ก็ถือว่าเขาก็เคยดูแลและเป็นผู้ปกครองคนเดียวในชีวิต

เสียงไหลผ่านของน้ำเหมือนกับเสียงตอบรับเมื่อเรไรทำภารกิจเสร็จ เธอรู้สึกถึงความสงบ มันเหมือนกับว่าสายน้ำได้โอบอุ้มความบอบช้ำเอาไว้แล้ว ซึ่งเธอสัญญาว่าต่อจากนี้จะเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที

เมื่อเรือแล่นกลับเข้าฝั่ง ทิพย์ก็ชี้ให้เรไรเห็นใครบางคนที่ยืนรออยู่แล้ว นั่นคือมธุกรที่มาพร้อมกับภมรและคนสนิทของตัวเอง

“จะให้ฉันอยู่ด้วยไหม” ทิพย์เอ่ยถาม

“ไปรอที่รถเถอะทิพย์ เรย์ไม่เป็นไร” เรไรหันไปบอกกับทิพย์ และตัดสินใจเผชิญหน้ากับมธุกรด้วยตัวเอง เธอสังเกตเห็นแววตาที่อยากรู้ของคนที่รออยู่ พอขึ้นฝั่งมาได้เธอก็ตรงเข้าไปหาทั้งสามคนทันที

 

ระหว่างนั้นมธุกรได้มองสายน้ำที่พัดพาเถ้าธุลีของทวิชไป นั่นคือเครื่องพิสูจน์ถึงชีวิตครั้งหนึ่งที่เคยมีและดับสูญ หญิงสูงวัยรับรู้ถึงความเงียบสงัดที่มาพร้อมกับความเศร้าโศก แต่ไม่อาจบอกใครให้รู้ถึงความอาลัยได้ ว่าแท้จริงแล้วเธอนั้นเสียใจแค่ไหนกับการจากไปของน้องชายคนเดียว

“เรไรมาแล้วครับแม่…” ภมรบอกกับมธุกรเมื่อเห็นเรือแล่นเข้ามาเทียบฝั่ง แต่ก็เงียบไปอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นสายตาดุดันที่ตอบกลับมา “…ครับคุณมธุกร”

เขาเปลี่ยนสรรพนามให้เหมือนกับที่คนทั่วไปเรียกขานเธอ

“ระวังคำพูดของตัวเองให้ดีนะภีม” น้ำเสียงของมธุกรต่ำและหนักแน่น “ตอนนี้วิชไม่อยู่กับเราแล้ว จะหลุดปากเรียกกันอย่างเมื่อกี้ไม่ได้อีก”

“ผมจะจำไว้ครับ” ภมรหลุบสายตาต่ำลง ขณะที่ยังมองร่างระหงของเรไรที่เดินใกล้เข้ามา

“จำไว้ถึงบทบาทของเราให้ดี เรียกฉันว่าคุณมธุกร เหมือนที่ทุกคนทำ”

มธุกรเตือนชายหนุ่มให้ระวัง ความลับที่น้อยคนนักที่รู้ยังต้องเป็นเช่นเดิมต่อไป และยิ่งในเวลาที่ทวิชจากไปแล้ว เธอต้องระมัดระวังตัวมากกว่าที่เคย โดยเฉพาะกับเรไร ซึ่งเป็นหนึ่งในเด็กที่ทวิชเลี้ยงเอาไว้ จากบรรดาเด็กหลายคนที่ตอนนี้ต่างไปมีชีวิตของตัวเอง ยิ่งทำให้เธอสงสัยว่าเหตุใดเรไรถึงได้มีความสำคัญต่อทวิชมากนัก

“สวัสดีค่ะคุณมธุกร ต้องขอโทษด้วยนะคะที่เรย์ไม่รู้ว่าคุณกับคุณภีมจะมา ไม่อย่างนั้นเรย์จะออกเรือให้ช้ากว่านี้ เผื่อคุณมธุกรอยากไปลอยอังคารของอาวิชด้วยกัน” หญิงสาวทักทายอย่างนอบน้อม ด้วยท่าทางอันสงบไม่ต่างอะไรจากผิวน้ำในเวลานี้

“ฉันแค่อยากเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี”

น้ำเสียงของมธุกรยังคงความทะนงตัวเอาไว้ ขณะที่ภมรเหลือบตามองเรไรอย่างสนอกสนใจ แต่เหมือนเธอจะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น และจับจ้องไปที่สายน้ำที่กระเพื่อมขึ้นลงแทน

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะ พูดถึงอาวิชเรย์ก็นึกขึ้นได้” เรไรเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ ขณะที่เธอเช็ดขี้เถ้าออกจากมือ “เรย์อยากเสนอตัวทำงานแทนอาวิชที่มูลนิธิค่ะ”

มธุกรมองไปยังเรไร ดวงตาคมกล้าของเธอหรี่ลงเล็กน้อย คล้ายกำลังอ่านใจหญิงสาว

“เห็นว่าเธอทำงานบริษัทเอกชนมาก่อนไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงอยากมาทำงานที่มูลนิธิเล็กๆ ล่ะ”

หญิงสาวในชุดสีขาวนิ่งไป แผนการของเธอกำลังจะหยั่งราก เธอต้องการตำแหน่งที่จะเข้าถึงเบื้องหลังของมธุกรให้ได้มากที่สุด และที่ผ่านมาคนคนเดียวที่สามารถเปิดเผยความลับทุกอย่างได้ นั่นก็คือทวิชนั่นเอง

“เพราะเรย์รู้ทุกอย่างค่ะ คุณมธุกร” เรไรตอบอย่างใจเย็น สายตาจับจ้องไปยังคู่สนทนาซึ่งสะท้อนถึงการต่อสู้กันด้วยไหวพริบ ที่คนหนึ่งกำลังเดินโซเซอยู่บนเส้นของความหวาดระแวง

“ที่พูดมาหมายความว่าอย่างไร” น้ำเสียงของหญิงสูงวัยยังคงความระแวดระวัง เวลาเดียวกันกับที่ดลพร คนสนิทของเธอที่ยืนอยู่ข้างหลังเริ่มสะกิด

“ทุกสิ่งที่คุณไม่อยากให้ใครรู้ค่ะ อาวิชมีความลับ แต่เขาก็ต้องการใครสักคนที่จะไว้ใจได้ คนที่สามารถเล่าเรื่องราวทุกอย่าง และเรย์คือคนนั้นค่ะ”

สายตาของมธุกรเบิกกว้าง และดูจะตกตะลึงกับการเปิดเผยของเรไรพอสมควร ความสงบที่ฉาบใบหน้าไว้กำลังจะแตกสลาย ทว่าก็ยังคงสามารถสงวนท่าทีของตนเอาไว้ได้

“รู้ก็บอกว่ารู้ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ จึงจะเป็นคนฉลาดนะ เธอว่าอย่างนั้นไหม” น้ำเสียงของมธุกรกลับมานิ่งสงบ ถึงผู้หญิงคนนี้จะคาดเดายาก แต่หากเธอเป็นคนเก็บความลับที่ทวิชไว้ใจอย่างที่ว่าจริง ก็น่าจะพยายามอย่างหนักเพื่อปกปิดมากกว่าเปิดตัว นั่นทำให้เธอรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังแสร้งทำเป็นรู้เสียมากกว่า

“คำชี้แนะของคุณมธุกรถูกต้องทุกอย่างค่ะ ต่อไปนี้เรย์จะปิดปากตัวเองให้สนิท และเก็บความลับของคุณเอาไว้ ขอให้คุณเชื่อเถอะค่ะว่าเรย์เป็นคนเดียวที่คุณจะไว้ใจได้ เช่นเดียวกับอาวิช” เธอยืนยันด้วยรอยยิ้มและความนอบน้อม รวมถึงพยายามแสดงท่าทางจริงใจที่สุด

มธุกรไม่ตอบ ใบหน้าของหญิงสูงวัยไม่อาจอ่านออกได้ว่ากำลังคิดอะไร แต่กลับภมรนั้น แววตาของเขาสว่างขึ้นมาทันทีที่เธอเอ่ยว่ารู้ทุกอย่าง และมองเรไรด้วยความชื่นชมอย่างไม่ปกปิด

“งั้นก็เยี่ยมไปเลย ผมดีใจนะที่จะได้ร่วมงานกับเรย์”

ภมรทำท่ากระตือรือร้น และความดีใจอย่างออกนอกหน้านั้น ได้ทำลายความเงียบระหว่างผู้หญิงทั้งสองคนไป

“ต่อจากนี้ เราคงมีเรื่องมูลนิธิที่ต้องคุยกันอีกมากเลยใช่ไหมครับ คุณมธุกร”

คนที่ถูกถามทำได้แต่เพียงพยักหน้า ดวงตาจับจ้องไปที่เรไรไม่วาง มธุกรรู้สึกถึงแรงจูงใจที่ปกคลุมไปด้วยความมืดของหญิงสาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำสัญญาของเธอที่จะช่วยรักษาความลับนั้น มันยิ่งทำให้รู้สึกถึงบางอย่างเกิดขึ้นในใจ และมันทำให้รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย

 

เรไรกลับไปที่บ้านที่เธอเรียกว่าบ้านของตัวเองได้อย่างเต็มปาก เพราะถึงแม้ที่นี่จะเคยเป็นบ้านของทวิชผู้ล่วงลับ ทว่าเธอนั้นได้รับมรดกเป็นทรัพย์สินทั้งหมดของเขาแต่เพียงผู้เดียวโดยชอบธรรม ทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อยก่อนที่เขาจะเสียชีวิต อย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่เอกสารกล่าวไว้

เพราะหากจะถามถึงความจริงแล้ว ก็ต้องบอกว่าเธอได้ปลอมแปลงมันขึ้นมาอย่างไร้ที่ติ โดยได้รับความช่วยเหลือจากทนายความส่วนตัวของทวิช ที่ตอบรับคำขอของเธอด้วยสินน้ำใจก้อนใหญ่ เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครมาค้านความเป็นเจ้าของในทรัพย์สินของเขา หรือหากอยากจะค้านก็ไม่อาจต่อสู้กับเอกสารที่เธอมีอยู่ได้

บ้านทรงไทยประยุกต์หลังใหญ่โอบล้อมด้วยกลิ่นดอกมะลิ มีการแกะสลักไม้ประดับประดาตามชายคา เสียงกระดิ่งต้องลมดังเบาๆ ไปทั่วโถง และร่มเงาของต้นไม้ขนาดใหญ่ที่แยกความสงบของบ้าน ออกจากความวุ่นวายภายนอก หญิงสาวก้าวขาผ่านประตูบ้านเข้ามา ผ่านโถงโอ่อ่าและห้องต่างๆ เสียงฝีเท้าของเธอสะท้อนเบาๆ บนพื้นไม้ขัดเงา และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงพลังของอำนาจที่ทวิชเคยมี เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องทำงานที่เธอแสนจะคุ้นเคย และเริ่มเปลี่ยนมันเป็นห้องสำหรับวางแผนการของตัวเอง

เธอเดินวนรอบโต๊ะทำงานไม้สักทอง กรีดนิ้วเรียวยาวไปตามขอบโต๊ะ ลากไปจนถึงกึ่งกลางที่มีรูปถ่ายของชายคนหนึ่งวางไว้ นั่นคือชายที่เธอเพิ่งเจออีกครั้งเมื่อวานนี้ ‘พฤกษ์’ ชายหนุ่มผู้มีประวัติอันน่าสนใจ จากการที่เธอให้คนสนิทช่วยสืบหาให้ ใบหน้าของเขาช่างไร้เดียงสาและไม่ได้รู้เลยว่ากำลังจะกลายเป็นเบี้ยตัวน้อยในแผนการของเธอ

เรไรหยิบรูปของเขาขึ้นมาและอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้ ก่อนจะปักรูปของพฤกษ์ไปบนบอร์ดที่ติดไว้กับผนัง ท่ามกลางแผนที่ความคิดอันซับซ้อน และการปรากฏตัวของพฤกษ์ก็เปรียบเสมือนจิกซอว์ชิ้นสุดท้ายที่เข้ามาเติมเต็มแผนการของเธออย่างพอดี ถ้าเขาคือพันธมิตรที่อาจช่วยเธอได้นะ

หญิงสาวถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว กอดอกมองแผนของตัวเองอย่างพึงพอใจ

“งั้นก็…เริ่มกันได้เลย” ริมฝีปากอิ่มฉีกยิ้มให้กับตัวเอง ระหว่างสายตากำลังศึกษาแผนผังข้อมูลที่ตัวเองรวบรวมได้ และบังเกิดความตื่นเต้นภายในใจขึ้นมา “เอาละ ฉันควรจะเริ่มจากใครก่อนดีนะ”

ขณะที่เธอดื่มด่ำกับบรรยากาศของการเตรียมความพร้อม ความทรงจำเกี่ยวกับทวิชก็หลั่งไหลเข้ามาในความคิดของเรไร เธอจำได้ว่าเขาปิดบังซ่อนความจริงและโกหกเธอนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งปลูกฝังความกลัวในอิทธิพล การเชื่อฟังคำสั่ง การกระทำของทวิชมักถูกปกคลุมด้วยม่านที่ไม่มีใครแตะต้องได้ อำนาจของเขาไม่เคยถูกสงสัย แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว แล้วเธอเข้าใจถึงที่มาของอำนาจและเหตุผลที่เขาใช้มันเพื่อควบคุมชีวิตของเธอ

ภาพเหตุการณ์ย้อนหลังทำให้เรไรนึกถึงสิ่งที่เธอถูกปิดตาไว้มากว่าสิบห้าปี ความจริงที่แม่ของเธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจ แต่เธอกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ตอนนี้ผ้าผูกตานั้นได้หลุดหายไปแล้ว และถึงเวลาที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเสียที

ดวงตาแหลมคมตวัดมองไปยังภาพของทวิช ที่ยังปรากฏรอยยิ้มอย่างเย่อหยิ่งออกมาเหมือนจะเยาะเย้ยเธอจากอดีต ซึ่งต่างจากช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตอย่างสิ้นเชิง หญิงสาวยกมุมปากแสยะยิ้มกว้างขึ้น ไม่ใช่ความดีใจ แต่เป็นเสียงสะท้อนของความเยือกเย็น ที่เกิดจากความกระหายจะลงโทษคนผิดของเธอ

“คุณอาคิดว่าชีวิตของอาจะอยู่ยงคงกระพัน และอาจะเอาชนะทุกอย่างได้ขอแค่มีเงินและอำนาจใช่ไหมคะ เราจะสั่งกำจัดใครทิ้งหรือทำลายชีวิตใครก็ได้ โดยไม่ต้องกังวลถึงผลที่ตามมา คุณอาทำให้เรย์เข้าใจอย่างนี้มาตลอด เรย์ถึงได้แกล้งปิดตาตัวเองมาสิบห้าปี”

เธอหยิบรูปของเขาขึ้นมา เล็บยาวแหลมเคลือบเงากรีดไปตามเค้าโครงหน้าของทวิชในภาพ นิ้วเรียวสั่นเทาด้วยความโกรธที่แทบจะระงับไม่อยู่

“จำคำที่อาเคยบอกได้ไหมคะ ‘เป็นเด็กดี เรย์ของอาจงเป็นเด็กดี แล้วจะไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับหนู’ แล้วดูเรย์ตอนนี้สิคะ”

เรไรระเบิดหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็นและรุนแรง จนได้ยินเสียงสะท้อนของตัวเองดังรอบห้อง

“ไม่มีอีกแล้วค่ะอา ต่อไปนี้เรย์จะไม่กลัวใครหรืออะไรทั้งนั้น”

ร่างระหงเดินออกไปหยิบโกศทองเหลืองของแม่เธอออกมา แล้วลูบเบาๆ ด้วยมือที่สั่นเทา เธอประคองโกศใกล้กับหัวใจ ประหนึ่งว่ากำลังมอบความอบอุ่นผ่อนคลายให้กับแม่

“เรย์สัญญานะคะแม่” เธอกระซิบกระซาบกับโกศ ด้วยเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน “พวกมันจะได้ลิ้มรสความหวาดกลัว และความสิ้นหวังเหมือนอย่างที่มันเคยกลืนกินหนูกับแม่มาก่อน”

เรไรเลือกที่วางโกศของแม่ไว้บนโต๊ะทำงานอย่างเบามือ แล้วหันหน้าเข้าไปหาบอร์ดซึ่งเปรียบเสมือนแผนผังการล้างแค้นที่กำลังจะเกิดขึ้น ดวงตาวาวโรจน์สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอันน่าสะพรึงกลัว

“ถึงเวลาที่ความสนุกที่แท้จริงจะเริ่มขึ้นแล้ว” น้ำเสียงหนักแน่นกล่าวออกมาทั้งที่ดวงตายังจ้องเขม็งไปที่รูปของมธุกร คำพูดของหญิงสาวสะท้อนถึงความสนุกที่กำลังจะเริ่มขึ้น และเรไรก็พร้อมแล้วกับการเต้นรำไปพร้อมกับบทบรรเลงเพลงแห่งไฟแค้นของเธอเอง

และด้วยเหตุนี้ การเดินทางบนเส้นทางแห่งการเอาคืนจึงได้เริ่มต้น สำหรับเรไรนี่ไม่ใช่แค่คำสัญญา แต่เป็นปณิธานที่เกิดขึ้นจากความเจ็บปวดและสิ้นหวัง ตอนนี้เธอพร้อมแล้วและจะไม่หยุดจนกว่าพวกที่เกี่ยวกับการตายของแม่ จะดำดิ่งลงเหวไปพร้อมกับเธอ



Don`t copy text!