รสอมฤต บทที่ 2 : ดูคนยากกว่าดูของ
โดย : กฤษณา อโศกสิน
รสอมฤต นวนิยายเรื่องล่าสุดที่ร้อยเรียงเรื่องราวและทุกตัวอักษร โดย กฤษณา อโศกสิน ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี พ.ศ. 2531 นักเขียนอาชีพผู้สร้างคุณูปการมากมายให้กับวงการวรรณกรรมและประเทศไทยมานานกว่า 50 ปี นวนิยายออนไลน์ทรงคุณค่าที่ อ่านเอา อยากให้ผู้รักการอ่าน ได้อ่านออนไลน์
*******************************
จากห้องอาหารต้องเลี้ยวขวาไปตามถนนคอนกรีตยาว ท่ามกลางพื้นที่ว่างโล่งกลางแสงอาทิตย์จัดจ้า หากก็ดูเหมือนจะมิไกลสักเท่าไร เนื่องด้วยต่างก็เดินไปคุยไป ผู้ที่คุยมากถามมากคือชายผู้สวมหมวกสักหลาดสีโกโก้ ฝ่ายผู้เดินเยื้องไปด้านหลังมักจะเป็นผู้ฟังที่ดี จะโต้ตอบบ้างเพียงไม่กี่ประโยค เนื่องด้วยส่วนใหญ่วันทามักเป็นฝ่ายเล่าถึงอาชีพแอร์โฮสเตสที่ตนเองกำลังสองจิตสองใจว่าจะลาออกดีหรือไม่ หลังจากทำงานมาแล้วสี่ปี
“ผมว่าอย่าออกเลยครับ” ปูนปั้นมีความเห็น “ถ้าเงินดีมากแล้วเราก็ไม่ถึงกับเดือดร้อนเกินไป พอจะหาหมอได้ก็ทำต่อดีกว่า เพราะเงินทองช่วงนี้หายากนะฮะ ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเก่า ผมกลัวคุณจะตกงานมากกว่า ถ้าทำไปหางานไปพร้อมกัน ก็น่าจะปลอดภัยกว่าลาออกก่อนแล้วถึงจะหางานใหม่”
“อันที่จริงก็จริงของคุณนะคะ” วันทาคล้อยตาม “แต่เรื่องปวดหลังนี่ ถ้าใครไม่เป็นก็คงไม่รู้ว่าเวลาปวดมันก็ถึงกับไม่เป็นอันทำงาน”
“ผมรู้จักหมอนวดคนนึง” ชายหนุ่มก็เลยบอกกล่าว “แต่เขาอยู่ศรีสัชนาลัย คุณพอจะสนใจมั่งไหมฮะ”
“ศรีสัชนาลัย” วันทาร้องพร้อมหัวเราะ พลางหันไปบอกร้อยรัด “ร้อย…คิดดู…คุณนี่ บอกมีหมอนวดมือดีอยู่ศรีสัชนาลัย แล้วฉันจะไปยังไงได้ล่ะเนี่ย”
“ผมพาไป” ผู้แนะนำรับอาสา
“คุณพูดยังกะง่ายๆ”
“ผมขับรถไป…ไม่กี่ชั่วโมง…” แสงตาเย็นๆของชายหนุ่มขณะนี้ส่องแรง แจ้งกระจ่างแกม ‘บางอย่าง’ นิดหนึ่ง…นิดเดียว
หากไม่สังเกตก็แลไม่เห็น
“เอางี้” โจมรีบรับอาสาซ้อนเข้ามาทันใด “ผมขับไปเอง คุณปั้นกับคุณร้อยไปด้วย…เราไปกันสี่คน…นวดเสร็จค่อยออกไปเที่ยวกัน…มีของโบราณเยอะแยะให้เราดู…ผมรู้นะ…สองคนต้องชอบของเก่า ไม่งั้นไม่มาตลาดเมื่อเช้านี้แน่นอน”
แต่ร้อยรัดก็นิ่งฟังโดยไม่ผลีผลามตอบรับ
วันทาเหลือบสบตาเพื่อนแวบสั้นๆเชิงไม่ยอมตัดสินใจง่ายๆ แม้ใจจริงจะเริ่มเชื่อขึ้นมา…ก็ไม่มากถึงกับเรียกได้ว่าเชื่อสนิท แต่วาจาท่าทีของชายหนุ่มผู้ไม่มีกรุ้มกริ่มแกมกร่างเหมือนอีกคนช่วยให้หล่อนค่อยๆเบาใจว่า เขาคงมิใช่นักฉวยโอกาส
“เราชอบของเก่าหมดทุกคน” วันทาต่อคำ แต่ร้อยรัดยังคงเป็นผู้ฟังพร้อมทั้งจับสังเกตชายทั้งคู่ที่ดูเหมือนจับพลัดจับผลูอย่างไรมิรู้โชคชะตาก็พาเขาทั้งสองมาเดินเคียงท่ามกลางแดดเปรี้ยงแห่งปลายเดือนพฤษภาคม…ใกล้จะย่างเข้าฤดูร้อนของยุโรปรอมร่อ
“แน่นอนเลยฮะ” โจมส่งเสียงดังฟังชัด ขณะที่บานทวารา ‘ปราสาทชองบอด์’ ใกล้เข้ามา “ไม่งั้นคงไม่มาชมพวกปราสาทราชฐานอะไรแบบนี้”
หากก็หามีผู้ใดอ่อนระอากับความผะผ่าวในระยะทางค่อนข้างไกลที่ปราศจากร่มไม้ใบบังนี้ไม่ ยังคงมุ่งมั่นเดินตามนักท่องเที่ยวอื่นๆที่เมื่อครู่ยังอยู่ในห้องอาหารกรุกระจกด้วยกันอย่างสบายๆ
“คุณโจมไปกี่แห่งมาแล้วคะ ลืมถาม…คุณสองคนมาฝรั่งเศสตั้งแต่เมื่อไหร่ มาประเทศเดียวหรือยังไง”
“มาประเทศเดียวครับ” โจมตอบโดยพลัน “คือผมไปมาแล้วทั่วโลก…แต่ไปทีละประเทศ…ไปหาของเก่าโดยเฉพาะไงฮะ…ปีที่แล้วก็เพิ่งไปอังกฤษ…ปีหน้าว่าจะไปอิตาลี…แต่สเปนเอาไว้ไปปีโน้นเพราะสเปนผมไปบ่อยอยู่แล้ว…”
ชายที่มาด้วยยังคงนิ่งฟัง…เออ…ขอให้โม้มากๆละกัน…อยากรู้…อีกฝ่ายนึกในใจ
ก็หาใช่ปูนปั้นผู้เดียวไม่ที่ใคร่ให้โจมบรรยาย ร้อยรัดก็เช่นกัน
ผู้พูดมากคงไม่รู้ว่าหล่อนชอบดูคนพอๆกับดูของ แม้ว่าดูคนจะดูยากกว่า…ยากมหากาฬ…นั่นก็เนื่องด้วยการดูวัตถุโบราณ ดูพระเครื่องพระพุทธรูป แค่มีความรู้ทางโบราณคดีด้วยวิธีของนักศิลปะที่ไฝ่รู้ใฝ่ค้น ก็ดลให้รู้นั้นกว้างใหญ่ ครอบคลุมไปได้หลายแขนงวิชา เพียงพอแก่การเป็นผู้ค้าขายแลกเปลี่ยนโบราณวัตถุอันเป็นของแท้ของจริงอย่างยิ่งแล้ว
แม้จะใช้เครื่องมือคือแว่นขยายหลายระดับมาคอยกำกับความรู้ หากรู้นั้นแน่นพอ กำลังขยายให้แลเห็นรายละเอียดของเนื้อดินเนื้อโลหะเนื้อแร่ธาตุใดๆก็ย่อมกลายเป็นเรื่องไม่ยากของผู้รู้
แต่ดูคนนี่สิ ยากยิ่ง
โดยเฉพาะในแวดวงซื้อขายวัตถุโบราณ…ซึ่งพ่อแม่และร้อยรัดจะต้องระมัดระวังอยู่เสมอ ไม่เผลอไผลซื้อชิ้นงานมีปัญหาที่บางทีอาจต้องกลายเป็นจำเลยไปโดยมิได้ตั้งใจ
“แล้วนี่คุณสองคนไปเที่ยวที่ไหนมาบ้างแล้วครับ…ซื้อของได้มากไหม…” โจมยังคงไต่ถามขณะก้าวช้าลง เพื่อให้ร้อยรัดยังคงเคียงคู่ไปกับเขา มีวันทาขนาบข้าง
ปูนปั้น เดินช้าอย่างตั้งใจให้ช้า หากหูก็ฟังเสียงโจมคุยดัง
พลางพิจารณาด้านหลังชายผู้เพิ่งพบใหม่ที่เขาเองตั้งใจมาพบอย่างถี่ถ้วน
ด้วย ‘ข้อมูล’ ล้วนๆพร้อมพรัก
“ก็แล้วคุณล่ะคะ คุณมีร้านขายวัตถุโบราณ มาคราวนี้เจอของดีกี่ชิ้นแล้ว” เสียงร้อยรัดย้อนถาม
สตรีสาวสวยร่างระหงทรงสมัยด้วยเกลียวผมทอดยาวกรายลงมา หากก็รัดควบไว้ด้วยคลิปสีดำอันกว้าง รองเท้าหุ้มข้อพอดีกับความยาวของกางเกงขาลีบสีกากี เสื้อหนาวคอตั้งเนื้อบางสีดำพอเหมาะกับฤดูใบไม้ผลิ หมวกทรงกลมปีกแคบรับกันดีกับท่าทางที่ชายมองแล้วไม่มองผ่าน กระเป๋าหนังดำยาวคาดไว้กับเอวเพื่อความปลอดภัยที่เขาแลเห็นแว่บๆเมื่อครู่ ช่วยให้หล่อนดูสวยสมาร์ทอาจองกว่าเพื่อนสาวที่ว่าเป็นแอร์โฮสเตสเท่าตัว
“ยังเลยฮะ…ที่เจอแล้วซื้อแล้ว เตรียมขนส่งแล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นของธรรมดา แต่ก็อาจจะแปลกหน่อยสำหรับบางคน อย่างเช่นอานม้าแอนทีคที่เจ้าของเก็บรักษาไว้อย่างดีน่ะครับ…ของพวกนี้นานๆทีถึงจะเจอ” โจมเล่า…ดูเหมือนเขาจะกำลังเพลินกับเพื่อนใหม่ผู้เป็นสตรีที่เห็นได้ชัดว่ามีระดับ
หารู้ไม่ว่ามีผู้หนึ่งกำลังจับตามองอยู่ด้านหลัง
“อานม้า ใครจะซื้อล่ะคะ”
“มีครับ…พวกที่ซื้อเพราะรักของเก่า ใช้ไม่ได้ก็เอาไปตั้งโชว์ บางทีพวกนี้เขาก็เอาของหายากมาอวดกันไงฮะว่าใครจะหาของได้เก่งกว่ากัน”
วันทากำลังคันปากยุบยิบเอาทีเดียวที่เพื่อนไม่ยอมเลี้ยวเข้ามาเรื่องที่ตนมีความรู้อยู่เต็มกระเป๋า
หากก็พอดีถึงทางเข้าปราสาท
“เออ…ถึงซะที” โจมร้องเบาๆพลางบอก “คือเรื่องมีอยู่ว่า ผมไม่เคยเลยมาถึงชาโตนี้กับฟองเตนโบลเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่แวร์ซายส์กับลูฟร์ไปมาแล้ว แต่นี่ก็ได้ยินว่ามีสไตรค์อีกตามเคย รถไฟไม่ยอมวิ่ง แวร์ซายส์ไม่ยอมเปิด เปิดแต่ลูฟร์”
หากปลายเสียงพึมพำก็จบลงเมื่อก้าวเข้าสู่ชั้นหนึ่งของปราสาท แลเห็นขอบบนรอบเพดานที่ย่อมุมรูปสี่เหลี่ยมเรียงรายด้วยปูนปั้นรูปซาลาแมนเดอร์หรือกิ้งก่าไฟอันเป็นสัญลักษณ์ประจำพระองค์กษัตริย์ฟร็องซัวที่ 1 แห่งฝรั่งเศสผู้ทรงริเริ่มเนรมิตปราสาทยุคเรอเนซองส์แห่งนี้ไว้ ณ ริมแม่น้ำลัวร์ นับเป็นสถาปัตยกรรมอันได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะอิตาลีในช่วงศตวรรษที่ 15 ผสมผสานศิลปะของกรีกและโรมันเข้าไว้ด้วย เห็นได้จากเสาประตูโค้งกลม โดมและจิตรกรรมประติมากรรมอันหรูหราที่ปรากฏแก่สายตาแต่แรกที่ก้าวไปถึง บันไดเกลียวไขว้กัน มีทางขึ้นทางลงแยกกัน
“คุณร้อยรัดขึ้นไหวไหมครับ ในโบรชัวร์บอกว่ามีทั้งหมด 8 ชั้น ชั้นบนสุดเป็นพิพิธภัณฑ์”
“ไหวน่ะไหวค่ะ แต่อย่าลืมว่าเราจะต้องเลยไปฟองเตนโบลด้วยนะคุณ” พลางหล่อนก็เอี้ยวตัวมาทางชายผู้เดินตามมาเงียบๆ “คุณปั้นชอบของเก่ากับพิพิธภัณฑ์เหมือนคุณโจมไหมคะ”
“ชอบครับ” ชายหนุ่มลงเสียงหนักแน่น “เพียงแค่ชอบแต่ไม่ค่อยได้ซื้อ”
ครั้นแล้วร้อยรัดก็เพิ่งนึกออกว่าหล่อนยังไม่ได้ถามเลยว่าเขาทำอาชีพอะไร
แม้กระนั้นก็ยังไม่ถึงเวลาถาม เนื่องด้วยต่างก็ต้องเดินตามกันไป แหงนชมทั้งโค้งเพดานและห้องนอนของแขกพิเศษและสนมกำนัล
“ปราสาทหลังนี้ที่ว่ากษัตริย์ฟร็องซัวที่ 1 สร้างนี่นะคะ เคยอ่านตามบันทึกแล้ว เขาก็ว่าท่านเข้ามาอยู่แค่ 72 วันเอง” ร้อยรัดเอ่ยขึ้นขณะก้าวไปสู่ชั้นสาม “กษัตริย์องค์นี้ครองราชย์ 32 ปีนะคุณ แต่มาอยู่ที่นี่แป๊บเดียว แล้วประวัติศาสตร์ยังบอกว่า ก็สร้างเสร็จแค่ปีกตะวันตก ส่วนที่เหลือกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ก็อีกตั้งร้อยปี จนถึงสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โน่นเลย”
“อื้อฮือ” โจมอุทาน เขากำลังพลิกดูโบรชัวร์ในมือเพื่อดูรูปกษัตริย์ฟร็องซัวที่ 1 กำลังกอดประคองศีรษะเลโอนาร์โด ดา วินซี ศิลปินเอกของโลกขณะสิ้นลมหายใจ “เลโอนาร์โดนี่เป็นคนโปรดของคิงเลยนะฮะ”
นับเป็นภาพประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่อีกภาพหนึ่งที่ตรึงติดอยู่ในความทรงจำ
ปราสาทแต่ละชั้นล้วนตั้งแสดงให้ชนรุ่นหลังแลเห็นความเป็นอยู่ของกษัตริย์ในสมัยโบราณนานมา จึงมีทั้งชั้นที่เป็นห้องรับรองขนาดใหญ่ ห้องรับรองธรรมดา ห้องสวดมนต์ ห้องดนตรี ห้องบรรทมของกษัตริย์ฟร็องซัวที่ 1 ห้องบรรทมของพระราชินี รวมทั้งพิพิธภัณฑ์ ห้องเก็บราชรถและห้องครัว สมัยศตวรรษที่ 18
“สวยไหมคะ คุณโจม” วันทาถามเมื่อออกจากห้องครัวอันเป็นห้องสุดท้าย
“อิ่มตาอิ่มใจเชียวละฮะ…ว่าแต่ว่า…” เขาก้มลงดูนาฬิกา “คงต้องรีบแล้ว…ถ้าอยากแวะพระราชวังฟองเตนโบลละก็”
ดังนั้นจึงต่างก็รีบออกไปขึ้นรถ…ครู่ใหญ่ต่อมา รถเช่า 2 คันก็พาทั้งหมดมาถึงพระราชวังฟองเตนโบล (Fontainebleau)
“โอย…เส้นยาแดงผ่าสิบหกเลยนะนี่” วันทาส่งเสียงขณะที่ต่างก็ลงจากพาหนะ เดินเร็วๆไปยังทางเข้าที่มีเจ้าหน้าที่ขายบัตรกำลังเตรียมจะปิดการเข้าชมพระราชวัง
แต่ร้อยรัดอ้อนวอนเขา
“ขอชมแค่ห้อง China and Siam เท่านั้น”
ในที่สุดทั้งหมดก็ได้โอกาสครั้งสุดท้ายภายในครึ่งชั่วโมง เดินตามกันเข้าสู่ประตูแคบที่เพียงแต่ก้าวเข้าไปยืน แลเห็นตู้กระจกทั้งสองข้างท่ามกลางแสงไฟ
ต่างก็พร้อมใจกันพนมมือไหว้ ตัวเนื้อสั่นด้วยความปีติเกษมสุขหาใดเปรียบ
เว้นโจมผู้ออกอุทาน “สวยมาก อยากได้จังเลยฮะ”