รสอมฤต บทที่ 3 : อาหารไทย ณ ชานปารีส
โดย : กฤษณา อโศกสิน
รสอมฤต นวนิยายเรื่องล่าสุดที่ร้อยเรียงเรื่องราวและทุกตัวอักษร โดย กฤษณา อโศกสิน ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี พ.ศ. 2531 นักเขียนอาชีพผู้สร้างคุณูปการมากมายให้กับวงการวรรณกรรมและประเทศไทยมานานกว่า 50 ปี นวนิยายออนไลน์ทรงคุณค่าที่ อ่านเอา อยากให้ผู้รักการอ่าน ได้อ่านออนไลน์
*******************************
ภาพที่แลเห็นตรงหน้าบรรจุอยู่ในตู้กระจกสูงกว้าง ข้างขวาประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรแก้วมรกตจำลองทรงเครื่อง 3 ฤดู ร้อน ฝน หนาว ต่ำลงมาคือ พระที่นั่งคานหามเครื่องสูงสำหรับประกอบพระราชอิสริยยศพระมหากษัตริย์สยาม ด้านซ้ายมือคือพระสีวิกากาญจน์หลังน้อยน่ารักเรือนรูปแบบอย่างศาลาไทย สร้างด้วยไม้มีหน้าต่าง ประกอบด้วยช่อฟ้าหางหงส์ทรงงามหยดย้อย ม่านพร้อยพรรณราย วางผึ่งผายโอ่อ่าอยู่บนคานหามอย่างสมพระเกียรติเครื่องราชบรรณาการ
ร้อยรัดน้ำตาคลอด้วยความตื้นตันอันเอ่อขึ้นเต็มหัวใจ
ต่างก็นิ่งงันกันไปทั้งหล่อนสองคนและเขาทั้งคู่ ขณะยืนอยู่อย่างเงียบหลังทำความเคารพ แม้แต่เสียงของโจมเมื่อครู่ก็ต้องจบลงไป ไม่มีถ้อยคำใดๆต่อตาม คล้ายเกิดความตระหนักบางอย่าง
ฝ่ายชายผู้เคียงข้างมา เป็นผู้ไม่พูดมากอยู่ก่อนแล้ว นอกจากยกมือถือถ่ายทุกอย่างที่ขวางหน้า จึงไม่ชวนให้แปลกใจ
โจมเงียบไปจริงๆ หลังจากก้าวลึกสู่ภายในแล้วถ่ายภาพ
ร้อยรัดเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เขาไม่ทำความเคารพสิ่งที่ควรเคารพ
ตรงข้ามกับปูนปั้น ชายผู้พนมมือน้อมศีรษะลงต่ำ ดูเหมือนจะพึมพำกับตนเองอีกต่างหาก
ต่อจากนั้นจึงผ่านทางแคบไปสู่ห้องกว้างที่มีตู้ไม้กรุกระจกสูงใหญ่อยู่ซ้ายมือ วางตั้งภาชนะหลากหลาย ตั้งแต่เครื่องถ้วยชามเบญจรงค์ ชามลายน้ำทอง ลายเขียนสี เหยือกทองใบสูงรวมทั้งภาชนะทองของพระเจ้าแผ่นดินและพระราชวงศ์สยามอีกจำนวนหนึ่ง เพียงแต่ชั้นบนเป็นภาชนะจากจีน เป็นต้นว่า โถเขียนสีมีฝาปิด จนกระทั่งเดินลึกเข้าไปภายในจึงมีแต่ของมีค่าที่ราชวงศ์จีนส่งมาแทบทั้งสิ้น หากแต่ละชิ้นก็น่าสนใจ ทั้งสี่คนต่างก็ถ่ายลงเครื่องมือสื่อสาร เก็บไว้เป็นที่ระลึก
“วังนี่สร้างในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 ต้นศตวรรษที่ 13 นะคะ” ร้อยรัดบอกกล่าว หลังจากอ่านโบรชัวร์ “นานมากเลย…นานกว่าชองบอด์ที่เราเพิ่งไปอีกค่ะ แต่เขาก็มาตกแต่งเพิ่มเติมครั้งใหญ่ในสมัยพระเจ้าฟร็องซัวที่ 1 ที่ท่านสร้างปราสาทชองบอด์นี่เอง…แต่เชื่อไหมคะว่า กษัตริย์ที่โปรดวังนี้ที่สุดคือนโปเลียน”
“ไม่ทราบเลยครับ” โจมบอกง่ายๆโดยมิได้ก้มลงอ่านแผ่นพับเล็กๆที่เจ้าหน้าที่มอบให้
เพราะใจเขานั้นกำลังล่องลอยไปไกล…ดวงตาในแว่นสีน้ำเงินดูเผลอๆ เหม่อมองผ่านๆไปตามตู้กระจกและวัตถุโบราณอันงดงามของราชวงศ์จีนภายในเนื้อที่ค่อนข้างกว้างของห้องข้างใน
จนกระทั่งพนักงานบอกกล่าวว่าเวลาหมดลง
จึงต่างก็เดินเลยไปสู่ทางออกอย่างเสียดาย
“เฮ้อ…ไปเที่ยวแล้วเวลาจำกัดนี่ไม่ดีเลยนะวัน” ร้อยรัดพึมพำขณะก้าวตามกันออกมาพบลานใหญ่อันมีสนามกว้าง…ข้างขวาถัดไปไม่ไกลคือบันไดโค้งรูปเกือกม้าที่ปรากฏเด่นเป็นประวัติศาสตร์สำคัญของฝรั่งเศส ดังนั้นวันทาจึงพยักหน้ากับเพื่อน
“มา…เรามาเซลฟี่กัน”
ชายทั้งคู่ต่างก็แลดูผู้หญิงสองคนด้วยอาการวางเฉย ไม่กระตือรือร้นเข้าร่วมด้วย ตรงกันข้าม เขาต่างก็เก็บภาพคนงาม ผู้งามคนละแบบโดยสิ้นเชิงบนบันไดแห่งกาลเวลาไว้ในมือถือของเขาราวกับนัดกัน…พร้อมภาพความทรงศักดิ์อัครฐานโดยรอบแห่งมหาปราสาทแห่งศตวรรษที่ 13 จนกระทั่งจุใจ
แสงอาทิตย์กำลังจางลงทุกขณะ
กว่าจะเดินกลับไปยังรถสองคันที่จอดรอก็อีกครู่
ต่อจากนั้น รถก็เริ่มเคลื่อนพาสองชายสองหญิงเข้าสู่ร้านอาหารไทยชานกรุงปารีสตามที่นัดกันไว้ โดยคนขับคันที่ร้อยรัดกับวันทานั่งบอกกล่าวขึ้นว่า กว่าจะถึงร้านก็อาจถึงทุ่มหรือทุ่มกว่า ถ้ารถติดมากเกินไป
“ที่ไหนๆก็มีแต่คำว่ารถติด” วันทาพึมพำ
“ดูต้นไม้ข้างทางไปพลางๆละกัน” ร้อยรัดก็เลยบอก “ต้นไม้ดอกไม้ของเขาสวยทุกเมืองอยู่แล้ว…ดูซะให้อิ่มก่อนถึงปารีสที่นับวันก็ยิ่งเน่า”
“ฮ่าฮ่า” อีกฝ่ายทำเสียง “แต่ถึงไงก็ต้องค้างปารีสวันยังค่ำ แล้วก็ยังต้องไปแวะตามที่ที่มีชื่อเสียงของเขา”
“ก็ยังโชคดีที่ไปแวร์ซายส์กับลูฟร์มาแล้ว” หญิงสาวส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย “บ้านเมืองที่มีแต่สไตรค์นี่บอกจริงๆว่าเบื่อมาก มันจะอะไรกันซะนักหนา”
“เขาจะไปรู้หรือว่าเสียเวลานักท่องเที่ยว” วันทาตอบยิ้มๆอย่างชินชา “ว่าแต่ว่าเมื่อไหร่เธอจะขยายความให้คุณนั่นรู้ว่าเธอเองก็เป็นเจ้าของร้านขายวัตถุโบราณเหมือนกัน”
“มันจำเป็นนักหรือไง” ร้อยรัดถามพลางนิ่งนึกถึงชายทั้งคู่…ดูเหมือนมีบางอย่างแปลกๆอยู่ในตัวเขา…มิใช่เพียงหนึ่งเดียว หากแต่ทั้งสองเลยเชียวละ
เพียงแต่ยังนึกไม่ออกเท่านั้นว่า คืออย่างไร
“เออ…จริง…ไม่จำเป็น”
“แล้วเราเองก็ยังไม่รู้เลยว่าอีกคนอาชีพอะไร เขามาทำอะไรที่นี่ จะว่ามาเที่ยวก็ไม่เชิงว่าใช่ จะว่ามาซื้อของเก่า นั่นยิ่งไม่แน่ใจเพราะเขาเองก็บอกแล้วว่า เขาชอบแต่ไม่ค่อยได้ซื้อ…ถ้างั้น…แล้วมันคืออะไร…”
วันทาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าจริง
ที่จริงยิ่งกว่าก็คือ เขามาตามลำพัง
หากก็บังเอิญมาพบโจม ณ ที่พักแห่งเดียวกัน
ท้ายที่สุด รถก็พามาจอดหน้าร้านอาหารไทยชานกรุงปารีสตอนหนึ่งทุ่มห้านาที
เป็นร้านอาหารมีชื่อเสียงที่ร้อยรัดนำเสนอสองหนุ่ม ครั้นแล้วเขาก็เห็นด้วย
‘หรือถ้าอยากทานอาหารจีนก็มีนะคะ…อยู่ถัดไปไม่ไกล’
แต่ทั้งคู่อยากรับประทานอาหารไทยมากกว่า
ดังนั้น ขณะนี้ ทั้งสี่จึงเดินตามกันเข้าไปในคูหาค่อนข้างแคบที่มีบางคนเพิ่งกินเสร็จ เจ้าของร้านจึงกุลีกุจอพาไปนั่งแทนที่โต๊ะมุมสุดห้อง
ต่างก็รู้สึกผ่อนคลายขณะเช็ดมือด้วยผ้าเย็นที่วางมาในถาดกระเบื้อง พร้อมกันนั้น ต่างก็เปิดดูเมนูที่มีรายชื่ออาหารหลากหลาย มีเจ้าของร้านมายืนคอยรับคำสั่งด้วยตนเอง
ร้อยรัดอดตวัดนัยน์ตามองหนึ่งในสองหนุ่มผู้กำลังอ่านเมนูอย่างขรึมๆมิได้
ด้วยว่านิสัยช่างสังเกตบุคลิกลักษณะและอิริยาบถของบุคคลอาจถ่ายทอดมาจากบิดามารดาและบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่นจนกระทั่งมาถึงตนเองก็เป็นได้
เมื่อประกอบด้วยสัมมาอาชีวะที่กำลังดำเนินไปในวิถีแห่งการชิงไหวชิงพริบ ก็อาจเน้นย้ำความจำเป็นอันรวมกันเป็นหลักวิชาให้ยิ่งต้องเข้มข้นค้นคว้าแกมค้นหาเพิ่มขึ้น
บวกกับธรรมชาติที่เป็นไปเองในตัวตน ก็อาจช่วยให้หล่อนชอบสืบค้นตัวตนของคนและของสรรพสิ่งที่ผ่านหน้าโดยมิยาก
ไม่เหมือนวันทาเพื่อนสนิทผู้มักไม่กล้าตัดสินใจ แม้อาชีพที่ทำจะเป็นอาชีพที่ใกล้ชิดคนแปลกหน้า หล่อนก็มักจะปล่อยให้ผู้อาวุโสแก้ปัญหา เพราะไม่ชอบเก็บมาเป็นภาระ คิดแต่เพียงว่า ขอให้ฉันมีเงินเลี้ยงพ่อแม่และจับจ่ายใช้สอยส่วนตัว มีชั่วโมงทำงานเพียงพอที่ซุปเปอร์ไวเซอร์หรือหัวหน้างานจะสามารถประเมินผลเป็นลำดับไปเพื่อเลื่อนตำแหน่งให้เรื่อยๆก็พอใจแล้ว เพราะตนเองก็มีจุดหมายไว้ว่าวันหนึ่งวันใดที่หางานดีๆใหม่ได้ ก็คงไม่แคล้วลาออก
‘ฉันถนัดแค่งานบริการ แต่เธอถนัดงานค้นคว้า’ วันทาเคยเปรยๆเมื่อปีที่แล้วที่ร้อยรัดได้เทวรูปหินพระอุมามาองค์หนึ่งจากร้านแอนทีคที่เชียงใหม่ ค่อนข้างเล็กก็จริง หากก็เต็มไปด้วย ‘สนิม’ อันเป็นภาษาของนักเลงพระเครื่องผู้ช่ำชองของวงการ ซึ่งร้อยรัดเองเมื่อได้เทวรูปมาแล้ว ก็หมกมุ่นครุ่นเคร่งอยู่กับการส่องแล้วส่องอีก สลับกับอ่านเอกสารจากหลายนักโบราณคดี
ในที่สุด ต่างก็สั่งอาหารจานเดียวมารับประทาน
มีเส้นหมี่ราดหน้าหมูสับใบกะเพรา ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ราดหน้าเนื้อ ข้าวราดหน้าเนื้อสับ เส้นใหญ่ผัดซีอิ้ว
“จานใหญ่ดีจัง” ปูนปั้นพึมพำ “คุณร้อยชอบที่ผมสั่งไหมฮะ ถ้าชอบก็แบ่งได้นะ เส้นใหญ่ราดหน้าเนื้อของเขาดูไม่เลว”
“ถ้างั้นคุณก็แบ่งข้าวราดหน้าไปด้วยละกัน” ร้อยรัดยิ้มๆด้วยแสงพริบพรายจากหน่วยตากลมสีสวยใส
“ก็แล้วผัดซีอิ๊วของฉันล่ะ มีใครอยากทานไหม” วันทาพลอยถาม
แต่โจมกำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่างที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเรื่องใด จึงไม่ปริปากถามไถ่ใครทั้งสิ้น ก้มหน้าก้มตาอยู่กับเส้นหมี่ราดหน้าหมูสับใบกะเพรา เพียงชั่วครู่ก็หมดจาน
“อือ…สงสัยคุณโจมคงหิวจัด” ปูนปั้นมองหน้าก็แลเห็นแววนัยน์ตาอีกฝ่ายเคร่งขรึมขณะตอบ
“ใช่ครับ หิวมาก”
“คงใช้แรงงานทุ่มลงไปกับพระวอ” อีกฝ่ายเย้านิดๆอย่างจงใจเหน็บหน่อยหนึ่ง
เป็นเหตุให้ผู้ฟังเงยหน้าเบิกตากว้าง
หากก็เพียงแวบสั้นๆ ครั้นแล้วจึงพยักหน้า
“คงใช่” โจมไม่ปฏิเสธ พลางดึงบัตรเครดิตออกมาจ่ายให้ทุกคน แม้ปูนปั้นจะขอแชร์ แต่ชายโก้เก๋ไม่ยินยอม โดยอ้างว่า “ผมชอบใช้เงิน”
“คุณโจมตั้งร้านขายวัตถุโบราณนานสักกี่ปีมาแล้วฮะ” ชายหนุ่มผู้พบกันเหมือนบังเอิญพบถามเรียบๆ “หวังว่ากลับไปนี่ผมคงได้รับเกียรติให้ไปเยี่ยมร้านคุณบ้างนะครับ”
แต่อีกฝ่ายก็ไม่ตอบ กลับหันไปทางหญิงสาว
“ว่าแต่ว่า…ออกจากนี่แล้วจะไปแวะที่ไหนอีกไหม คุณร้อย” โจมถามขณะเดินตามกันออกมาท่ามกลางความสว่างบางเบาที่กว่าจะมืดก็อีกครู่ “ถ้าไม่แวะ ผมก็จะขออนุญาตตามไปส่งคุณถึงที่พักเลยดีกว่า…ไปขอนั่งจิบกาแฟอีกหน่อยค่อยกลับโรงแรมนะคุณปั้น”
ดังนั้น ขากลับนี้ สองสาวจึงมีสองหนุ่มแปลกหน้านั่งรถตามมาติดๆท่ามกลางสายฝนที่เริ่มโปรยลงมา