รสอมฤต บทที่ 4 : ลองใจ
โดย : กฤษณา อโศกสิน
รสอมฤต นวนิยายเรื่องล่าสุดที่ร้อยเรียงเรื่องราวและทุกตัวอักษร โดย กฤษณา อโศกสิน ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี พ.ศ. 2531 นักเขียนอาชีพผู้สร้างคุณูปการมากมายให้กับวงการวรรณกรรมและประเทศไทยมานานกว่า 50 ปี นวนิยายออนไลน์ทรงคุณค่าที่ อ่านเอา อยากให้ผู้รักการอ่าน ได้อ่านออนไลน์
*******************************
ห้องโถงกว้างติดกับเคาน์เตอร์ลงทะเบียนยังคงมีชากาแฟ อาหารว่างวางเตรียมให้ผู้มาพักรับประทานอย่างไม่ขาดตกบกพร่องทั้งกลางวันกลางคืนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เก้าอี้หลายต่อหลายหมู่ตั้งอยู่ท่ามกลางความสว่างระเรื่อเจือสายฝนพรำ เนื่องด้วยเหนือขึ้นไปคือหลังคากระจกโปร่งโล่ง แลทะลุขึ้นไปถึงฟากฟ้า มองเห็นหน้าต่างห้องพักรายรอบหลังคาใส สลับสล้างด้วยลวดลายสมัยโบราณ
ครั้นนั่งลงแล้ว ร้อยรัดจึงเชิญชวนเขาให้เดินไปรินชากาแฟในเหยือกไฟฟ้าที่เสียบปลั๊กอุ่นไว้โดยตลอด ขณะที่ลุกไปบอกผู้ช่วยผู้จัดการที่พักผู้มักเดินไปเดินมาเพื่อตรวจตราความเรียบร้อยในห้องกว้าง
“ฉันมีแขกมาสองคน เป็นคนไทยเหมือนฉัน พาเขามาแนะนำที่พักที่นี่ เผื่อเขามาคราวหน้าอาจสนใจ แต่วันนี้ฉันขอให้คิดเงินค่าชากาแฟอาหารว่างด้วย”
แต่ผู้ช่วยกลับตอบว่า
“ไม่เป็นไรเลย ตามสบาย เท่ากับให้เขาได้ทดลองฟรีว่าเราต้อนรับดี…คราวหน้าเขาจะได้อยากมา”
ร้อยรัดก็เลยขอบคุณเจ้าของสถานที่ผู้มีอัชฌาสัย กลับมานั่งจิบชามาริยาสหอมกรุ่นกับชายแปลกหน้าผู้ยังคงความแปลกให้ค้นหาจนถึงนาทีนี้
ในที่สุด โจมก็เอ่ยขึ้นด้วยทีท่าเอนอิงพิงพนัก เหลือบนัยน์ตาขึ้นมองสายฝนที่บัดนี้ตกหนักจนแลเห็นเป็นเส้นหนาอยู่เหนือหลังคากระจกโค้งเบื้องบน
“คุณสามคนรู้ไหมว่า ถึงชั่วโมงนี้ผมก็ยังติดใจพระวอจนถึงกับกำลังฝันเลยละฮะว่า…ถ้าผมได้เป็นเจ้าของคงมีความสุขที่สุด”
ทันใดนั้น ยิ้มจางๆก็ผุดขึ้นบนริมฝีปากชายนั่งข้าง
“หวังว่าพรุ่งนี้คุณคงไม่กลับไปทุบกระจกแล้วฉวยเอาพระวอออกมาหรอกนะคะ” ร้อยรัดคลี่ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อออกยิ้มอย่างขำขัน
หากก็เข้าใจความหลงรักโบราณวัตถุของผู้ที่ชื่นชอบของเก่าเป็นอย่างดี
อันได้แก่ครอบครัวและตัวหล่อนเองนี่อย่างไร
“แหม…คุณ” โจมยิ้มเจื่อนๆหน่อยหนึ่งจึงเอ่ย “คุณร้อยนึกได้ไงว่าผมจะอยากได้ขนาดนั้น”
“นั่นต้องเรียกว่า ‘โจร’ แล้วละครับ” ปูนปั้นแซงขึ้นเรียบๆหากก็ลงน้ำหนักเสียงคล้ายยั่วเย้าหน่อยๆ
แต่แท้จริง ก็หามีสิ่งใดชวนหัวเราะหัวใคร่เหมือน ‘เรื่องจริงไม่อิงนิยาย’ ในสมองของเขาไม่
“ก็น่าแปลกนะคะคุณปั้น…ไม่ว่าไปพระราชวังไหนที่เขาโชว์ของล้ำค่า…ประมาณว่าค่าควรเมืองหรืออะไรคล้ายๆนั้น ฉันกลับรู้สึกว่าดีแล้วเหมาะแล้วที่เพชรพลอยอัญมณีที่เป็นของสูงระดับบิ๊กได้อยู่ในที่ที่ควรอยู่” หญิงสาวพูดเรื่อยๆฆ่าเวลา
แต่จะว่า…กำลัง ‘ลองใจ’ ใครบางคนหรือทั้งสองคนก็ไม่ผิด
“ไม่เคยอยากได้เป็นเจ้าของเลยแม้แต่นิดเดียว”
“แต่ผมอยาก” โจมยังคงยืนยัน เสียงดังฟังชัด “บางอย่างอยากได้จนถึงกับตัวสั่นใจสั่นเลยละฮะ”
ขณะที่ปูนปั้นเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรกนับแต่เมื่อเช้าจนถึงชั่วโมงนี้
เพราะเท่าที่ผ่านมาส่วนใหญ่มักนิ่งฟัง
ปล่อยให้ ‘เครื่อง’ ในที่กำบัง ‘ทำงาน’
“ฉันเข้าใจอาการนี้ของคุณโจมมากเลย…เข้าใจมากเป็นพิเศษเพราะฉันเองก็รักของเก่าเหมือนคุณ” ร้อยรัดเอ่ยต่อขณะที่สองชายยังคงมองหน้าสองสาว…ต่างฝ่ายต่างก็กำลังอยากคุยเพื่อรู้จักกันและกันให้มากกว่าหลายชั่วโมงที่ผ่านไป “ว่าแต่ว่าคุณปั้นตั้งใจมาทำธุระอะไรที่นี่หรือเปล่าคะ…ท่าทางเหมือนมาธุระ”
แต่ผู้ฟังยังคงยิ้มๆขณะตอบเรื่อยเรียบ แม้กำลังนึกในใจ
‘ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่เล่น’
“อาจจะเรียกว่ามา ‘ดูงาน’ เกี่ยวกับประติมากรรมตามพระราชวังมีชื่อเสียงของฝรั่งเศสก็ได้ละมังครับ” ปูนปั้นมีคำตอบเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน…แต่ใครจะเชื่อหรือไม่นั้น คงไม่นำมาเป็นกังวล “คือผมเรียนจบจิตรกรรมประติมากรรมจากมหาวิทยาลัยศิลปากรไงฮะ…พ่อแม่ผมอยู่ศรีสัชนาลัย เป็นคนท้องถิ่นนั้น พอดีครอบครัวเรามีโรงหล่อเล็กๆครับ…แค่เล็กๆ…พอได้โอกาสนิดหน่อย เลยลองมา…เพราะรู้ว่ายุโรปคือแหล่งที่เราสามารถจะพบของดีของแปลกได้มาก…แต่…”
ชายหนุ่มชะงักนิดหนึ่ง โจมจึงถาม
“แต่อะไรคุณ”
“แต่การที่เรารักชอบของเก่า หาซื้อแต่ของเก่าอย่างคุณโจมกับคุณร้อยนี่ก็มีโทษกับวงการโบราณคดีเหมือนกันนะครับ”
ผิวหน้าโจมเจื่อนไปอีกครั้ง หากก็ยังนิ่ง
แต่ร้อยรัดก็ถาม
“มีโทษยังไงหรือคะ”
“ก็ทำให้เพิ่มผู้ร้ายอาชีพขุดเจาะตัด ขโมยของเก่าตามวัดตามโบราณสถานส่งออกนอกประเทศไงฮะ…มันทำกันเป็นทีมจนบางทีตำรวจก็ตามไม่ทัน” ชายหนุ่มลงเสียงทีเดียวเมื่อถึงตรงนี้
“ตามไม่ทันก็ยังไม่ร้ายเท่ากับตำรวจเป็นหัวหน้าแก๊งเสียเองนะคะ” ร้อยรัดยิ้มๆอย่างทันเกมทันการ
ขณะที่ชากาแฟพร่องจากถ้วยของแต่ละคนจนโจมทำท่าดูนาฬิกาพลางพยักหน้ากับปูนปั้น
“เรากลับกันได้แล้วมั้ง คุณสองคนจะได้พักผ่อน…แต่เราก็น่าจะนัดกันก่อนนะฮะว่า…พรุ่งนี้จะออกจากนี่สักกี่โมงดี…คุณร้อยไม่ต้องเช่ารถก็ได้ ไปด้วยกันดีกว่า…อย่าลืมว่ามะรืนนี้เราก็กลับกรุงเทพฯกันแล้ว อยากเที่ยวไหน ซื้ออะไร ทานอะไรก็ทิ้งทวนส่งท้ายให้อิ่ม…แต่แวร์ซายส์ปิด ลูฟร์เท่านั้นที่เปิด คุณว่าคุณเคยเข้าไปแล้วใช่ไหมฮะ ถ้าเคยแล้วก็ไปเตร็ดเตร่ที่อื่น…ว่าแต่ว่าลืมถามว่าคุณมาสายการบินอะไร…อีกอย่าง เบอร์โทร.ก็ยังไม่ได้แลกกัน อย่างน้อยคงต้อง ‘ขอใจเธอแลกเบอร์โทร.’ สักนิดก็ยังดีนะฮะ”
ผิวแก้มของร้อยรัดก็เลยแดงระเรื่อจนรู้สึกได้
ปูนปั้นเห็นแล้วได้แต่ไม่พอใจนิดหนึ่ง
หมอนี่เข้าขั้นหมื่นทะลึ่งเหมือนกัน
“พรุ่งนี้ค่อยบอกดีไหมคะ” วันทาจึงตัดบท
โจมก็เลยทำนัยน์ตาวิบวับ พลางตอบสนุกๆ
“คุณเข้าใจผัดนะ..ก็ได้…พรุ่งนี้ผมจะรอทำไลน์…ทำแค่ไลน์น่ะนะฮะ…ไม่ใช่ทำลาย”
ชายสองคนพ้นไปแล้ว ร้อยรัดก็เลยถอนหายใจ
“ขอบใจวันนะที่หัวไว ยังไม่ให้เบอร์เขา”
“ก็รู้หรือยังว่าเขาหรือ ‘มัน’ คือใคร” ถึงคราวของอีกฝ่ายเกิดอาการระวังระไวขึ้นมา “ตอนเดินไปด้วยกันที่ชาโตยังนึกขันเลยว่า เอ๊ะ นี่มันใครกัน มาเดินคุยตีไหล่กับเรายังกะสนิทกันมาสักชาติงั้นละ”
ร้อยรัดได้แต่พยักหน้าขณะกดลิฟต์ขึ้นไปยังห้องพักชั้นสี่ เมื่อแง้มม่านดู ก็เห็นว่าฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย จึงนั่งลงบนเก้าอี้ข้างหน้าต่าง
“เธอไปอาบน้ำก่อนไป๊…ปลอดภัยแล้วก็สบายใจละ…เฮ้อ…เกือบไปใช่ไหมล่ะ…เกือบพลาดท่าเสียที”
วันทาก็เลยหัวเราะกิ๊กขณะถอดเสื้อคลุมตัวนอก หันไปหยิบชุดนอนกับถุงเท้าในตู้เสื้อผ้าออกมาพาดแขน เตรียมอาบน้ำ
“สองคนนี่ ถ้ามาจีบเธอ เธอเลือกคนไหน”
ร้อยรัดก็เลยคลายอาการหวั่นเกรงลงไปกลายเป็นคิกคักครึกครื้น
“เธอก็ลองทายดูดีกว่า…ฉันเริ่มขี้เกียจแล้วเหมือนกัน…เรื่องนี้…เออ…ที่จริงมันก็ไม่ง่ายเลยนา เธอว่ามั้ย…ไม่ง่ายที่จะรู้ล่วงหน้าว่าใครสักคนที่เราเลือกแล้ว จะใช่คนเดียวกับคนที่ใช่ คนเดียวกับคนที่ควรเลือกหรือเปล่า” ร้อยรัดพึมพำพลางส่ายหน้า
“เราเหมือนกัน”
“เหมือนยังไง” อีกฝ่ายถามไล่หลัง
วันทากำลังเปิดประตูห้องน้ำ ก็เลยตอบ
“เหมือนตรงที่ยังเลือกใครไม่ได้…คือเราเลือกเขา เขาก็อาจไม่เลือกเรา เขาเลือกเรา เราก็ส่ายหน้าซะนี่”
พลางเสียงประตูก็ปิดตามเจ้าตัวไป
ปล่อยให้ร้อยรัดนึกลำดับภาพชายทั้งคู่ที่บังเอิญพบวันนี้
คนหนึ่งมีอากัปกิริยาหลายอย่างที่บ่งบอกว่าเป็นชายรักสนุก แต่พิสมัยวัตถุโบราณ ส่วนอีกคนท่าทางราวบ้านที่มีทางเข้าออกซับซ้อน ชวนให้สงสัยว่าภายในคือที่ซ่อนของสำคัญหรืออย่างไร
เหตุไฉนหล่อนจึงนึกเลยไปถึงขนาดนั้นก็ตอบไม่ถูก
แต่ผู้ที่เป็นต้นเหตุให้พาดพิงต่างก็เข้าห้องปิดประตู โดยทั้งคู่พร้อมใจกันราวกับนัด คือรีบดึงมือถือขึ้นมาจัดการส่งเสียงไปถึงปลายสายที่มีใครบางคนรอรับ
คนแรกคือปูนปั้นผู้เอ่ยขึ้นว่า
“ผมนะครับ พี่…ทุกอย่างที่นึกว่าง่ายก็ไม่ง่ายเหมือนที่คิดหรอกนะฮะ…คือมันตีเนียนเก่งมากครับ เรียกว่ายืนหนึ่งตัวพ่อเลยละฮะ”