Run Away หัวใจไกลรัก 2 บทที่ 1 : พินัยกรรมของแม่
โดย : ภัสรสา
Run Away หัวใจไกลรัก 2 นิยายออนไลน์ โดย ภัสรสา ที่ อ่านเอา อยากให้คุณอ่านออนไลน์ เรื่องราวย้อนไปในสิบปีก่อนเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้อาศิรากับดารัณมีพันธะผูกพันต่อกันตามกฎหมาย ก่อนหญิงสาวจากไปอยู่ต่างแดนไม่เคยหวนกลับมา สิบปีผ่านไป ดารัณกลับมาอีกครั้งพร้อมความจริงอันน่าตกใจ และครั้งนี้ดารัณคนเดิมเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
****************************
– 1 –
ศราวินอาสาเป็นคนไปรับดารัณกับจอร์จิโอที่สนามบินเพื่อให้อาศิรากับพ่อควบคุมการเตรียมงานสวดพระอภิธรรมศพของแม่ที่จัดขึ้นที่บ้าน ปกติแล้วเมื่อศราวินอยู่กับดารัณจะมีเสียงหัวเราะกรีดกราดโวยวายดังอยู่เสมอ ทว่าไม่ใช่คราวนี้ ทั้งคู่ถูกปกคลุมด้วยความเงียบอันแสนโศกศัลย์ ดวงตากับปลายจมูกแดงก่ำ บางครั้งบางคราวน้ำตาก็หยดไหล จนจอร์จิโอที่นั่งคู่คนขับต้องคอยเช็ดน้ำตาและส่งเสียงปลอบคนรักของตนตลอดเวลา ดารัณเองก็เอ่ยถาม
“ไหวไหมพี่วิน รัณขับรถให้ก็ได้”
ศราวินส่ายหน้า ตอบกลับเสียงเครือ “ไม่เป็นไร พี่ขับได้ รัณนั่งเครื่องมาเหนื่อยๆ พักไปเถอะ”
ดารัณไม่คัดค้าน ได้แต่เอื้อมมือไปลูบไหล่รุ่นพี่ อยากใช้สัมผัสนั้นปลอบใจทั้งศราวินและตัวเอง กระทั่งรถจอดสนิทและถึงบ้าน ดารัณก้าวลงจากรถพร้อมรับรู้ว่าหัวใจเธอเต้นแรงเหลือเกิน สิบปีแล้วที่เธอไม่ได้กลับเมืองไทย ไม่ได้เจอหน้าใครที่เมืองไทยเลยยกเว้นศีลกับอรจิรา พ่อแม่ของอาศิรากับศราวินที่คุยกับเธอผ่านทางการโทรแบบวิดีโอแทบทุกวัน
อรจิราจากเธอไปแล้ว… ทั้งๆ ที่เธอตั้งใจอยากกลับมาให้ทันอยู่กับคนที่เธอรักไม่ต่างจากแม่ในนาทีสุดท้ายของชีวิต ทว่าก็กะเวลาพลาดไป ไฟลต์บินเพื่อกลับมาพูดคุยกับอรจิราเป็นครั้งสุดท้ายจึงกลายเป็นมาร่วมงานศพ โดยมีจอร์จิโอ คนรักของศราวินบินด่วนมาพร้อมกันด้วย
ดารัณมองไปรอบๆ บ้านหลังใหญ่ของศีลกับอรจิรา มันยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงจากสิบปีก่อนและไม่ได้ดูเก่าลงเลย มันเป็นบ้านสองชั้นที่มีพื้นที่ด้านหน้ากว้างมาก ด้านหน้าชั้นล่างเป็นลานโล่งๆ ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้ มีชุดเก้าอี้ไว้สำหรับนั่งเล่น มีบันไดสำหรับขึ้นชั้นสองโดยตรงโดยไม่ต้องเข้าไปในตัวบ้าน ซึ่งพอขึ้นไปแล้วจะเจอกับระเบียงที่กว้างเท่าลานด้านล่าง มันกว้างพอจะทำเป็นเวทีแสดงดนตรีสดและมีปาร์ตี้บาร์บีคิวไปพร้อมกัน
เมื่อเปิดประตูเข้าไปในตัวบ้านชั้นล่างจะเป็นห้องโถงไว้สำหรับรับแขก เดินลึกเข้าไปจะแบ่งเป็นห้องซ้ายขวา ด้านซ้ายเป็นห้องกระจกซึ่งเป็นห้องกินข้าว ด้านขวาเป็นห้องเอนกประสงค์ ด้านหลังทั้งหมดเป็นครัวขนาดใหญ่ หลังห้องโถงก่อนถึงห้องกินข้าวจะมีบันไดเดินขึ้นชั้นสอง ขึ้นไปจะเจอห้องนอนทั้งหมดหกห้อง ต้องเดินไปซ้ายมือสุดอีกราวยี่สิบเมตรจึงจะถึงประตูที่เชื่อมกับระเบียงด้านหน้า
ดารัณจำผังบ้านได้ขึ้นใจเพราะเป็นบ้านหลังที่เธอเคยอยากมาอยู่สุดหัวใจแต่ไม่เคยได้อย่างที่อยาก กลับต้องจากมันไปไกลครึ่งโลกด้วยซ้ำ หญิงสาวมองไปรอบๆ แล้วเห็นการประดับประดาด้วยดอกไม้หลากสีสันให้ความรู้สึกสดชื่นชนิดถ้าคนไม่รู้คงคิดว่ามีงานมงคลมากกว่างานศพ แต่ไม่แปลกใจเลย รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นความต้องการของอรจิรา ผู้หญิงที่สร้างความสุขสดชื่นให้ทุกคนไม่ต่างจากดอกไม้เหล่านี้ ดารัณเดินตามหลังศราวินกับจอร์จิโอขึ้นบันได เมื่อถึงลานระเบียงกว้างขวางก็เห็นว่ามีโต๊ะกลมตั้งวางอยู่ราวห้าโต๊ะ แขกมากหน้าหลายตานั่งอยู่เต็มไปหมด ทั้งสามคนเดินผ่านแขกไปยังประตูเพื่อเข้าไปภายในบ้าน เห็นศีลกับอาศิรานั่งอยู่ด้านข้างของโลงศพรู้ว่าเพื่อจัดธูปกับดอกไม้ไหว้ศพให้แขก หัวใจที่เต้นปกติแล้วของดารัณกลับมาสะดุดเล็กน้อยเมื่อได้สบตากับอาศิรา
ดารัณเข้าไปหาศีลกับอาศิรา ยกมือไหว้ทั้งคู่ รอจนศีลทักทายจอร์จิโอเรียบร้อย ออกปากให้ศราวินพาจอร์จิโอไปไหว้แม่แล้ว จึงค่อยเขยิบเข้าไปหา สบตากันอยู่พักก็เห็นว่าท่านน้ำตาคลอ ดารัณรู้ว่าทำไมเพราะเธอเองก็น้ำตารื้นเช่นกัน ความทรงจำระหว่างเธอ ศีล และอรจิรามีมากมาย เพราะทุกครั้งที่อรจิราคุยกับเธอศีลอยู่ด้วยเสมอ ดารัณขยับเข้าไปใกล้ศีลอีกเมื่อท่านยกมือลูบผมเธอ หญิงสาวตัดสินใจโอบกอดผู้อาวุโสเอาไว้ เห็นน้ำตาท่านหยดลงบนแขนเธอยิ่งสะเทือนใจ ครู่ใหญ่กระดาษเช็ดหน้าที่พับเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเรียบร้อยก็ถูกยื่นมาตรงหน้า ดารัณเงยหน้ามองเห็นว่าเป็นอาศิรา สบตากันอยู่ครู่อีกฝ่ายก็บอก
“เช็ดน้ำตาแล้วไปไหว้แม่ก่อน”
ดารัณจึงผละออกจากศีล เห็นอาศิราส่งกระดาษเช็ดหน้าให้พ่อตนเช่นกัน ขยับห่างไปเมื่อศีลบอก
“ไป ไปไหว้แม่เถอะ”
ดารัณเข้าไปไหว้อรจิรา นั่งมองรูปหน้าโลงศพซึ่งเป็นรูปท่านสมัยสาวๆ หน้าตาสวยสดสมกับตำแหน่งนางเอกตลอดกาลอยู่ครู่ รู้ว่ามีแขกคนอื่นมาจึงขยับไปอยู่กับศราวินที่นั่งหลบมุมโดยมีจอร์จิโอคอยโอบปลอบใจอยู่ เอ่ยถาม
“สิงห์กับแม่เขาไปไหน ไม่เห็นเลย”
ศราวินเบ้ปากหนึ่งทีก่อนตอบ “สิงห์อยู่ในห้อง พี่ศิราไม่อยากให้ออกมาเจอควันธูปควันเทียนเลยให้ป้าผิวดู ส่วนแม่นายสิงห์… หายต๋อมไปตั้งแต่เบ่งลูกออกมาใหม่ๆ นั่นแหละ”
ดารัณพูดอะไรไม่ออกไปเป็นครู่ ไม่คิดว่าปริยฉัตรจะทิ้งลูกได้ลงคอ แต่ตัดสินใจไม่พูดในประเด็นนั้น เลี่ยงไปถามอีกทาง “แล้วมีใครส่งข่าวเขาเรื่องแม่หรือยัง”
“พี่ศิราโทรบอกแล้ว ทำเป็นถามว่าพี่ยังอยู่ไหม ถ้าพี่ยังอยู่ก็ไม่อยากกลับ อยากให้พี่สบายใจ” แล้วศราวินก็พูดอีก ทว่าคราวนี้แบบไม่มีเสียง ซึ่งดารัณอ่านปากได้ว่า ‘ตอแหล’ ดารัณไม่อยากให้พี่รู้สึกไม่ดีมากขึ้นในงานนี้ จึงลูบหน้าขาพี่หนักๆ แล้วไม่พูดถึงปริยฉัตรอีก ชักชวนไปนั่งรวมกับศีลและอาศิรา รวมกลุ่มกันได้ไม่นานศราวินก็พูดกับพ่อและพี่ชายตน
“วินน่าจะกลับมาอยู่กับแม่ตั้งแต่แม่ตรวจเจอมะเร็ง”
อาศิรามองหน้าคนพูด เห็นความเสียใจ เสียดาย และละอายใจกระจายเต็มใบหน้า จึงส่งยิ้มให้แล้วปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน “แม่เป็นคนบอกวินเองว่าไม่ต้องกลับมา”
“แต่… วินน่าจะได้อยู่กับแม่ตั้งแต่ตอนนั้น มันสองปีเชียวนะพี่ศิรา”
ศีลเอื้อมมือไปโอบไหล่ลูกชายคนเล็ก “แม่คงไม่อยากให้วินทิ้งชีวิตตัวเองนานตั้งสองปีหรอก วินก็รู้ว่าแม่อยากให้วินมีความสุข แล้วสามเดือนที่วินกลับมาอยู่กับแม่ วินดูแลแม่ ทำให้แม่มีความสุขมาก พ่อยืนยัน วินไม่มีอะไรต้องเสียใจ”
ศราวินพยักหน้า ซบลงกับอกพ่อแล้วร้องไห้ รู้ว่าคนรักของตนวางมือลงกลางหลังแล้วลูบแผ่วเบา พี่ชายก็จับแขนอย่างต้องการให้กำลังใจ ดารัณก็ยังอุตส่าห์หาช่องวางมือลงบนเข่าเขาได้ ศราวินรู้ว่าเขาควรรีบดึงตัวเองออกจากความเสียใจในสิ่งที่แก้ไขไม่ได้นี้ เมื่อคนที่รักและรักเขาทั้งหมดไม่ได้กล่าวโทษแล้วยังให้กำลังใจ เขาเองก็ควรตอบแทนด้วยการเลิกคิดวกวนเสียที
กลุ่มก้อนผู้คนที่ปลอบใจศราวินอยู่กระจายตัวออกเมื่อพระสงฆ์เดินเข้ามาและเริ่มประกอบพิธี หลังทุกอย่างเสร็จสิ้น แขกเหรื่อกลับบ้านจนหมดบ้านทั้งบ้านก็เหลือเพียงความเงียบงัน
ศีลหันไปถามดารัณกับจอร์จิโอ “เข้าห้องพักผ่อนเลยดีไหม นั่งเครื่องมาตั้งหลายชั่วโมงแล้ว”
“ค่ะ เดี๋ยวรัณไปเอากระเป๋าที่รถก่อน” ว่าแล้วหันไปชวนจอร์จิโอด้วย แน่นอนว่าศราวินตามลงไปด้วยกันเพื่อบอกว่ามีลิฟต์ ทั้งคู่จะได้ไม่ต้องแบกกระเป๋าใบโตขึ้นบันได แต่เป็นเพราะลิฟต์ตัวเล็กรับน้ำหนักได้จำกัด ดารัณจึงอาสาขึ้นไปกับกระเป๋าของตัวเองและจอร์จิโอ ส่วนอีกสองคนจะเดินขึ้นบันไดไปรอหน้าลิฟต์
ดารัณชะงักไปเล็กน้อยเพราะพอลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นสองเธอก็เห็นอาศิรายืนรออยู่ ประตูลิฟต์เปิดเธอก็ยังยืนนิ่งก่อนได้สติตอนอาศิราก้าวมาลากกระเป๋าออกจากลิฟต์ให้ จึงรีบก้าวเดินออกมาด้วย ยืนทำหน้าไม่ถูกใส่เขาอยู่พักจอร์จิโอกับศราวินจึงตามมา
“จอร์จิโอนอนห้องวินใช่ไหม” อาศิราเอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้จอร์จิโอเข้าใจด้วย หลังศราวินตอบรับ ก็หันมาราตรีสวัสดิ์กับดารัณแล้วพากันเดินหายเข้าห้องไป อาศิราจึงหันมามอง พยักพเยิดไปอีกทาง “เรานอนห้องรับแขก”
ดารัณลากกระเป๋าของตนเดินดุ่มไปยังห้องรับแขกทันที ไม่อยากเผชิญหน้ากับอาศิรานานไปกว่านี้ ไม่อยากสะกดจิตตัวเองให้ยิ่งสะเทือนหัวจิตหัวใจมากขึ้น… เขามีเจ้าของแล้ว เขาไม่ใช่ของเธอ
แม่ยกทุกอย่างให้ดารัณ… อาศิราตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกไปเป็นนาที มาได้สติอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงปริยฉัตรที่กลับมาหลังจากเขาโทรบอกว่าจะมีการเปิดพินัยกรรม
“ปลอม พินัยกรรมนี่ปลอมแน่ๆ” พูดจบปริยฉัตรก็ชี้หน้าดารัณ “เธอร่วมมือกับทนายโกงสมบัติแม่ใช่ไหม”
อาศิราหันมองดารัณ เห็นเจ้าหล่อนเพียงมองปริยฉัตรนิ่ง คนที่พูดกลับเป็นอีกคนที่ปริยฉัตรกล่าวหา ทนายวิโรจน์
“ระวังคำพูดนะครับคุณฉัตร ผมเป็นทนายนะ”
ปริยฉัตรยังไม่ทันได้โวยวายสิ่งใดต่อ ก็เป็นศีลที่พูดขึ้นอย่างไม่อยากให้ยืดเยื้อ “ไม่ปลอม พ่อรู้เรื่องนี้ แม่คุยกับพ่อแล้ว”
“อ้าว! แต่แม่เคยบอก…” ปริยฉัตรพูดเพียงแค่นั้นแล้วนิ่งเงียบไป นึกขึ้นได้ว่าสิ่งที่อรจิราเคยบอกนั้นก็เพื่อล่อลวงให้เธอตกหลุมพราง เธอให้คนอื่นรู้ว่าเธอโง่ไม่ได้ ดังนั้นปริยฉัตรจึงพูดอีกประโยคแทน คนที่น่าจะคัดค้านเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นนี้ “แล้วทำไมพ่อยอมล่ะคะ!”
อาศิราจับแขนปริยฉัตรทันทีที่หญิงสาวคล้ายจะขึ้นเสียงใส่พ่อ แต่ไม่ว่าอะไรเพราะรู้ว่าภรรยาตกใจที่จู่ๆ แม่ยกสมบัติในส่วนของตัวเองทั้งหมดให้ดารัณ เด็กที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเลย เป็นแค่ลูกของเพื่อนสนิทที่แม่รักมากเท่านั้น แถมหลังจากดารัณไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่อายุสิบหก สิบปีผ่านไปเจ้าหล่อนไม่เคยกลับมาเมืองไทย แม้รู้ว่าเจ้าหล่อนติดต่อแม่อยู่เรื่อยๆ แต่มันทำให้แม่รักดารัณขนาดยกทุกอย่างให้เชียวหรือ… รักมากกว่าลูกชายแท้ๆ อย่างเขากับน้องอีกอย่างนั้นหรือ
ศีลถอนใจยาว บอกอย่างใจเย็น “มันเป็นของของแม่ ถ้าแม่จะยกให้ใครพ่อก็ห้ามไม่ได้”
“แต่เท่าที่รู้ทุกอย่างเป็นชื่อแม่หมดเลยไม่ใช่เหรอคะ” พอศีลพยักหน้า ปริยฉัตรก็พูดต่อ “มันไม่แฟร์เลย เด็กนั่นเป็นใครทำไมแม่ไปยกสมบัติทั้งหมดให้มัน ลูกเหรอก็ไม่ใช่ มันเคยเกือบทำลายชีวิตศิรากับฉัตรด้วยซ้ำ”
“ขนาดนั้นเลย”
เสียงเรียบเฉยของดารัณทำให้อาศิราหันไปมอง แม้อยู่ด้วยกันมาหลายวันแล้วแต่ก็แทบไม่ได้พูดจาปราศรัยกันเท่าไรนัก หนักไปทางสบตาแล้วมองผ่านกันไปเสียมากกว่า และประโยคนั้นมันทำให้อาศิราตระหนักขึ้นเป็นครั้งแรกว่าดารัณไม่ใช่เด็กสาวตัวน้อยเรียบร้อยขี้กลัวอย่างในวันวานอีกแล้ว
ปริยฉัตรหันขวับไปมองดารัณ แต่ยังไม่ทันได้แหวใส่อย่างที่อยาก ศราวินก็พูดขึ้น
“ใจเย็นค่ะคุณพี่สะใภ้ไร้ทะเบียน ลูกชายแท้ๆ ของแม่สองคนโวยวายไม่ทันแล้วค่ะ”
ทำไมปริยฉัตรจะไม่รู้ว่าศราวินกระทบกระเทียบเธอ ทั้งเรื่องเป็นภรรยาของอาศิราแต่ก็ไม่สามารถจดทะเบียนสมรสได้ แล้วยังโวยเรื่องสมบัติเสียยกใหญ่ทั้งที่คนที่ควรจะโวยอย่างอาศิราและศราวินยังนิ่งเงียบ อาศิราเองก็รู้จึงส่งเสียงเรียกน้องเบาๆ เป็นเชิงขอร้อง
“วิน”
ศราวินเบ้ปากใส่ปริยฉัตรแต่ก็ยอมเงียบ เป็นศีลที่ถามอย่างจะหาข้อสรุป
“พ่อไม่มีปัญหากับพินัยกรรมของแม่ ฉัตรไม่โอเคใช่ไหม แล้วศิรากับวินว่ายังไง ถ้าไม่โอเคก็ปรึกษาอาโรจน์ไปเลยว่าจะทำยังไงได้บ้าง”
ศราวินพูดก่อนเป็นคนแรก “วินไม่มีปัญหาพ่อ เคารพการตัดสินใจของแม่ แม่คงคิดมาดีแล้วว่าสมบัติของแม่อยู่กับรัณน่าจะดีกว่า”
ท้ายประโยคนั่นศราวินปรายสายตาไปทางปริยฉัตร เป็นการบอกให้รู้เลยว่าตัวเปรียบเทียบของดารัณคือใคร ปริยฉัตรมองศราวิน แล้วหันไปทำน้ำตาคลอให้อาศิราเห็น ก่อนมันจะหยดไหลขณะบอกเสียงเครือ
“ฉัตรแค่สงสารศิรากับวิน สมบัติไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกค่ะ แต่นี่มันเหมือนกับแม่ไม่รักศิรากับวินเลย”
“อย่าปากพล่อยค่ะคุณพี่” ศราวินซัดกลับอีก และคราวนี้เป็นศีลที่ออกปากห้ามลูกเพราะเห็นว่าใช้คำแรงไป “วิน ไม่เอาลูก”
เป็นอีกครั้งที่ศราวินเบ้ปากแล้วเงียบไป ศีลรอจนอารมณ์อันคุกรุ่นทั้งของลูกชายและลูกสะใภ้สงบลงแล้วจึงหันไปถามอาศิราโดยตรง “ศิราว่าไง”
อาศิรารู้สึกว่ามือของปริยฉัตรที่จับแขนเขาอยู่บีบแน่นขึ้น รู้ว่าภรรยาคงไม่อยากให้เขายอม ทว่าเขารักแม่เกินกว่าจะขัดความต้องการสุดท้ายของคนที่ตามใจเขามาตลอด “ไม่มีปัญหาพ่อ”
ปริยฉัตรชักมือออกจากแขนเขาทันที แต่ดีที่ไม่พูดอะไรอีก อาศิรามองหน้าภรรยา ส่งยิ้มให้อย่างจะปลอบใจ แล้วหันไปทางพ่อเมื่อท่านพูดขึ้น
“ถ้างั้นโรจน์ก็ต้องนัดกับเจ้ารัณใช่ไหม จะได้ทำอะไรให้เสร็จเรียบร้อยก่อนรัณกลับ”
วิโรจน์พยักหน้ารับ หันไปทางดารัณ “ขอเวลาทำเอกสารสักอาทิตย์นะ เดี๋ยวอานัดอีกที”
ทว่าดารัณส่ายหน้า บอกกำหนดการของตัวเอง “อีกสามวันรัณต้องกลับแล้วค่ะ มีงานด่วนรออยู่”
“อ้าว ยังไงดีล่ะแบบนี้ เท่ากับทุกอย่างจะถูกฟรีซไว้เลยสิ”
ดารัณมองหน้าศีล ตัดสินใจบอก “ให้พ่อดูแลทุกอย่างไปก่อนจนกว่ารันจะกลับมาอีกทีดีไหมคะ น่าจะไม่เกินเดือนหน้าค่ะ”
“แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน อาจะได้เช็กทุกอย่างให้ละเอียดหน่อย แล้วรัณวางแผนมาด้วยนะว่าจะจัดการทรัพย์สินยังไง เพราะถ้ารัณไม่อยู่ไทย หลายอย่างจะจัดการยากมาก”
ดารัณพยักหน้า “ค่ะ เดี๋ยวรัณจะลองคิดดู”
เสียงแหลมร้องดังตามมาด้วยเสียงร้องไห้จ้าของศตายุทำให้อาศิรากับศีลที่อยู่ด้วยกันในครัวรีบวิ่งไปทางต้นเสียง ภาพที่เห็นคือศราวินพยายามจะเข้าไปหาศตายุที่ร้องดิ้นไปดิ้นมาอยู่บนพื้นโดยมีปริยฉัตรกรีดร้องและปัดป้องทั้งๆ ที่ตัวเองก็ยังนั่งอยู่บนพื้น
ศตายุรีบเข้าไปอุ้มลูกมาสำรวจเนื้อตัวว่ามีบาดแผลใดหรือไม่ เห็นรอยแดงปรากฏบนหน้าผากข้างขวาจึงลูบตรงนั้นแผ่วเบา พอแน่ใจว่าไม่มีแผลที่อื่นก็กอดแน่นอย่างจะปลอบใจ ศีลเอ่ยถาม พร้อมกับที่ดารัณออกจากอีกห้องมาสมทบด้วย
“เกิดอะไรขึ้น”
ปริยฉัตรตอบได้ก่อน “วินผลักฉัตรค่ะ ผลักจนตาสิงห์หล่นกระแทกพื้น ไม่รู้วินจะทำอะไรสิงห์อีกฉัตรเลยไม่ยอมให้เข้าใกล้”
ดารัณลอบสบตากับศราวิน ซึ่งก็พยักพเยิดให้เป็นอันรู้กัน แต่แน่นอนว่าศราวินเบื่อจะอธิบายความจริงแล้วเพราะถ้าอธิบายได้เขาคงไม่ต้องออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น จึงบอกทุกคน
“วินไม่ได้ตั้งใจ อยู่ๆ คุณพี่สะใภ้โผล่เข้ามาข้างหลังเลยตกใจ ที่จะเข้าไปหาสิงห์แค่จะเข้าไปอุ้ม เห็นคุณพี่สะใภ้ยังไม่ลุกไปหาลูก”
แล้วทุกคนก็ต้องชะงัก เพราะประตูห้องน้ำห้องของศราวินเปิดออก จอร์จิโอโผล่มาหน้าตาตื่นส่งเสียงถามว่าเกิดอะไรขึ้น หากศราวินบอกให้เบาใจว่าไม่มีอะไร อีกฝ่ายจึงผลุบเข้าไปจัดการตัวเองต่อ ศราวินหันไปพูดกับพ่อตน
“ไหนๆ พ่อก็มาแล้ว ถามพี่สะใภ้ให้วินหน่อยแล้วกันว่ามีอะไรถึงต้องมาหาถึงห้อง”
ดารัณมองหน้าปริยฉัตร แวบหนึ่งเธอเห็นสีหน้าตกใจคาดไม่ถึง ซึ่งเดาได้เลยว่าคงไม่คิดว่าตนต้องมาตอบในหัวข้อนี้ คิดว่าทุกคนคงเทความสนใจไปที่ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ปริยฉัตรไม่คิดเลยหรือว่าศราวินจะรับมือลูกไม้เดิมๆ เก่งขึ้น ศราวินพัฒนาแล้วปริยฉัตรก็ควรพัฒนาบ้าง
“ฉัตรจะมาถามว่ากลับวันไหนน่ะค่ะ จะได้ช่วยศิราเตรียมพวกของแห้งให้”
ศราวินยกมุมปากขึ้นเป็นยิ้มเยาะ หันไปบอกพี่ชายตน “ไม่ต้องเตรียม เดี๋ยวนี้ทุกอย่างหาซื้อได้หมด ไม่ลำบากแล้ว” แล้วหันไปทางพ่อตน “พ่อ วินกลับพร้อมรัณนะ”
ศีลใจหาย… มองหน้าศราวินแล้วหันไปมองอาศิรา ซึ่งก็เอ่ยถามน้องชาย
“ไหนว่าจะกลับเดือนหน้า”
ศราวินปรายตามองปริยฉัตร แต่เกรงใจพ่อกับพี่ชายจึงโกหก… โกหกทั้งๆ ที่พ่อกับพี่ก็คงรู้ว่าความจริงคือเขาไม่อยากเห็นหน้าปริยฉัตร “มีงานด่วน”
พอเห็นว่าทุกคนยังยืนกันนิ่งๆ ศราวินจึงตัดสินใจหันไปพูดกับปริยฉัตร “ขอโทษทีที่ตกใจแรงไปหน่อย มีอะไรอีกไหม”
ปริยฉัตรเดินออกไปก่อนเป็นคนแรก ตามด้วยศีลที่ลูบไหล่ลูกชายคนเล็กของตนหนักๆ จนเหลือแต่อาศิราที่อุ้มศตายุซึ่งยังร้องไห้ไม่หยุดอยู่
“กระแทกแรงนะพี่ศิรา เรียกอาหมอมาดูหน่อยก็ดี”
อาศิราพยักหน้า ใจอยากพูดอะไรกับน้องชายทว่าพอเห็นหน้าน้องยังดูอารมณ์ไม่ดีจึงต้องผละห่างไป พอเหลือกันสองคนแล้วศราวินก็ดึงดารัณเข้าห้อง ปิดประตู เล่าอย่างออกรส
“อีบ้าาาา มันบ้ามากเลยรัณ มันเข้ามาหาเรื่องพี่หาว่าพี่ตกลงกับรัณไว้ มันว่าเราหลอกให้แม่โอนทุกอย่างให้รัณ จริงๆ จะเอาไปแบ่งกันสองคน ดูมันสิ สมบัติตัวเองก็ไม่ใช่แต่หวงจนน่าเกลียด”
ดารัณหัวเราะหึ เธอเคยปะทะกับปริยฉัตรเพียงครั้งเดียว เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตเธอ แต่ประเด็นของปริยฉัตรในครั้งนั้นก็กล่าวหาว่าเธออยากได้สมบัติจนตัวสั่น ที่ศราวินเล่าให้ฟังจึงไม่แปลกใจนัก และด้วยนิสัยของศราวินที่ไม่ใช่คนชอบใช้กำลัง ทำให้ข้อกล่าวหาที่ว่าผลักปริยฉัตรนั้นฟังไม่ขึ้นเลย “แล้วยังไง เขาแกล้งล้มเองเหรอ”
“พี่แค่แหวกเขาออกเพราะขวางประตู พี่จะออกไปช่วยพ่อกับพี่ศิราเตรียมข้าวเช้า สาบานว่าแทบไม่ได้ออกแรงเลย แม่คุณเล่นใหญ่มาก ถลาเก่งอย่างกับโกลฟุตบอล ที่เหี้ยมคือลูกตัวเองยังทิ้งลงพื้นหน้าตาเฉย ขนาดไม่ได้รักไม่ได้เอ็นดูสิงห์พี่ยังเกือบช็อก”
ดารัณต้องแปลกใจไหม เธอเคยโดนปริยฉัตรตบตีแบบนับจำนวนครั้งไม่ทันมาแล้ว แต่ครั้งนั้นมีเหตุผลที่ทุกคนอภัยได้ กระทั่งเธอผู้ถูกกระทำก็ยอมอภัย… เพราะอาจถือได้ว่าเธอเป็นฝ่ายกระทำก่อน ไม่ใช่การทำร้ายร่างกายแต่ก็เป็นการทำร้ายจิตใจ
“เดี๋ยวรัณส่งข้อมูลไฟลต์ทั้งหมดมาให้พี่ด้วยนะ พี่จะได้จองตาม”
ดารัณโบกมือ แล้วเสนอตัว “เดี๋ยวรัณจัดการให้”
ศราวินเอ่ยขอบใจ ผละไปหยิบบัตรเครดิตตนส่งให้ดารัณซึ่งก็รับแล้วออกจากห้องเพื่อจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบิน
วันเดินทาง ศีลเป็นคนไปส่งทุกคนที่สนามบินแทนอาศิรา เพราะศีลอยากไปส่งลูก ปริยฉัตรก็แสดงเจตจำนงว่าต้องการไปกับอาศิรา นั่นทำให้ต้องเอารถไปสองคัน หมายความว่าขากลับเท่ากับพ่อต้องขับรถคนเดียว จนที่สุดศราวินก็ต้องบอกพี่ชายว่าไม่ต้องไปส่ง
เมื่อถึงสนามบิน จากที่คิดว่าจะไม่ร้องแต่ศีลก็ห้ามตัวเองไม่ได้ ศราวินพอเห็นพ่อร้องก็พลอยร้องไปด้วย สองพ่อลูกกอดกันแน่น ก่อนคนพ่อจะเอ่ยขอ
“ต่อไปกลับบ้านให้บ่อยหน่อยได้ไหมวิน ปีละสองครั้งได้ไหม”
ศราวินลังเล บอกพ่อไปตามตรง “วินไม่อยากเป็นคนทำให้บรรยากาศในบ้านไม่ดี”
ศีลถอนใจยาว โบกมือไปมา “ไม่หรอก ต่อไปพอวินมา พ่อจะขอให้ฉัตรไปอยู่ที่อื่นก่อน เหมือนช่วงก่อนหน้าไง ช่วงนั้นบ้านเราบรรยากาศดีเลย”
ศราวินหัวเราะ รู้เลยว่าพ่อก็ชอบตอนปริยฉัตรไม่อยู่บ้าน ตัดสินใจรับปาก “ได้ ต่อไปวินจะกลับบ้านปีละสองครั้ง… พ่อดูพี่ศิราด้วยนะ”
ศีลพยักหน้า กอดลูกชายอีกทีแล้วหันไปทางดารัณ เอ่ยถาม “รัณล่ะ กลับพร้อมพี่วินทุกรอบเลยนะ”
ดารัณส่ายหน้าปฏิเสธ เล่นเอาศีลหน้าเสีย เตรียมจะเกลี้ยกล่อม ทว่าเมื่อดารัณบอกอีกประโยคกลับทำให้ศีลตกตะลึงไปในแวบแรก… และยิ้มกว้างในวินาทีต่อมา
“เธอจะอยู่เฉยๆ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้นะศิรา”
อาศิราลอบปล่อยลมหายใจยืดยาว กระชับลูกที่อยู่ในเป้อุ้ม ก้มลงไปตั้งใจอธิบายแบบร่างรอยสลักฟักทองของตนกับเด็กอีกสองคนที่รอฟังอยู่ จนเด็กรับปากว่าเข้าใจแจ่มแจ้งจึงเดินออกจากห้อง จับจูงปริยฉัตรมาด้วยกัน ลับตาคนแล้วจึงถามกึ่งเตือนอยู่ในที “เราไม่คุยเรื่องนี้ต่อหน้าคนอื่นได้ไหม”
“แล้วจะให้คุยตอนไหน สามทุ่มเธอก็นอน ตีสี่เธอตื่น ฉัตรแทบไม่เห็นเธอในห้องเลย”
“คุยก่อนสามทุ่มสิ”
เธอดูละครอยู่! ปริยฉัตรอยากตะโกนใส่หน้าอาศิราอย่างนั้น แต่รู้ว่าไม่มีประโยชน์ จึงรีบพูดสิ่งที่ตนต้องการพูด “เธอได้คุยกับอาโรจน์หรือยังเรื่องพินัยกรรมแม่เธอ”
อาศิรานิ่วหน้าเล็กน้อย ตอบกลับเหมือนไม่รู้ว่าเรื่องที่เขาคุยกับเรื่องที่ปริยฉัตรอยากให้คุยนั้นเป็นคนละเรื่องกันแน่ “คุยแล้ว”
“แล้วไง ยกเลิกพินัยกรรมได้ไหม”
“อาโรจน์เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว รอแค่รัณกลับมาเซ็น”
“แล้วไง! แล้วมรดกทั้งหมดก็เป็นของมันเหรอ!”
อาศิราปลอบใจลูกที่สะดุ้งโหยงตามด้วยการร้องไห้จ้าอย่างตกใจ ปรามคนเป็นแม่เสียงเบา ทว่าเด็ดขาด “เบาเสียงหน่อย… ผมพูดชัดเจนแต่แรกแล้วนะฉัตร แม่ทำพินัยกรรมยังไงผมก็จะให้มันเป็นแบบนั้น”
ปริยฉัตรหน้านิ่ว น้ำตาคลอ พูดเสียงสั่น “แต่เธอจะไม่ได้อะไรเลยนะ”
“ไม่ได้ก็ไม่ได้”
เท่านั้นน้ำตาที่คละคลอก็หยดแหมะ “อย่าพูดง่ายๆ นะศิรา ถ้าเธอไม่ได้ก็แปลว่าลูกไม่ได้ คิดถึงลูกบ้างสิ”
อาศิราถอนใจยาว ปลอบลูกไปด้วยบอกภรรยาไปด้วย “ลูกผมก็รับมรดกจากผม”
ปริยฉัตรส่ายหน้า พูดด้วยน้ำเสียงสิ้นหวังจนน่าสงสาร “มรดกเธอมีอะไร ที่ดิน บ้าน ทุกอย่างเป็นชื่อแม่เธอ เธอน่ะทำงานเช้าชามเย็นชามรับลูกค้าอาทิตย์ละไม่กี่ครั้งแล้วยังไม่ฉลาดทำทีแทบไม่เหลือกำไร แถมมีพวกเด็กฝึกงานมาให้สอนฟรีๆ คิดเงินก็ไม่คิดแถมต้องจ่ายมันอีก แล้วเธอจะไปมีมรดกอะไรส่งต่อให้ลูก แค่ฉัตรขอเงินหนึ่งล้านตอนนี้เธอยังไม่มีปัญญาหาให้ฉัตรเลย ขอพ่อก็คงไม่ได้แล้วด้วยเพราะพ่อเธอก็ไม่เหลืออะไรเหมือนกัน เป็นของนังเด็กนั่นหมดเลย”
แปลกดีที่ปริยฉัตรรู้เรื่องเขาน้อยราวกับเป็นคนไกลตัว อาจเป็นเพราะเขาไม่ช่างพูด ปริยฉัตรเองก็ไม่ได้สนใจงานเขานักจึงไม่เคยถาม ภรรยาเขาจึงไม่รู้ขอบเขตงานของเขาทั้งหมดว่าทำอะไร มีรายได้ทางไหนบ้าง ทำให้ปริยฉัตรไม่รู้สถานะการเงินเขาชัดเจน ถ้าถามถึงเงินหนึ่งล้านแน่นอนว่าเขามีให้โดยไม่ต้องขอพ่อ และให้แน่ถ้าเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็น อย่างไรปริยฉัตรก็เป็นแม่ของลูก ที่เห็นฟูมฟายนี่ก็คงเพราะ… เป็นห่วงลูก อาศิราบอกตัวเองอย่างนั้น
“ถ้าเธอไม่หาทางยกเลิกพินัยกรรมแม่เธอภายในอาทิตย์นี้ เธอจะไม่ได้เห็นหน้าฉัตรอีกเลย”
“ไม่เอาน่าฉัตร จะหนีไปไหนก็คิดถึงลูกบ้าง”
“ก็ถ้าเธอไม่คิดถึงทำไมฉัตรต้องคิดถึง”
“ไม่งั้นก็ลองคิดดูหน่อยว่าตั้งแต่คลอดฉัตรอยู่กับลูกมากแค่ไหน ฉัตรอยู่กับลูกสามวัน เพิ่งจะกลับมารอบนี้อีกสามวัน ลูกจะสองเดือนแล้วฉัตรยังอยู่กับลูกไม่ถึงสิบวันนะ”
“นั่นฉัตรก็ทำเพื่อเธอไง เมียกับน้องทะเลาะกันตลอดเวลาเธอมีความสุขเหรอ”
อาศิรานิ่งเงียบ ถอนใจยาว ไม่พูดอะไรอีก พยายามไม่คิดถึงประโยคประชดประชันของศราวินตอนรู้ว่าปริยฉัตรขอกลับบ้านโดยอ้างชื่อน้อง ไม่อยากทะเลาะกับน้อง ไม่อยากทำให้เขาลำบากใจ
‘แหม แต่ก็ทนทะเลาะกับวินมาได้ตั้งสองเดือน พอคลอดเสร็จก็ไปทันที เป็นคนดีเนอะ’
มันมีบ้างบางทีเหมือนกันที่เขาคิดว่าปริยฉัตรแค่ต้องการคนคอยดูแลเอาใจระหว่างที่ตัวเองครรภ์แก่ใกล้คลอด แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ การดูแลปริยฉัตรก็เป็นหน้าที่เขาอยู่ดีอาศิราจึงไม่คิดมากเรื่องนี้
“ที่ผ่านมาฉัตรไม่ได้ทำเพื่อเธอมาตลอดเหรอ เธอไปเรียนเมืองนอกเป็นปีๆ เธอคิดว่าถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นจะยอมไหม ฉัตรไม่ได้แค่ยอมเฉยๆ แต่ยังช่วยหาคอร์สให้เธอ ฉัตรสนับสนุนให้เธอได้ทำในสิ่งที่เธอรัก กับเรื่องแค่นี้เธอทำให้ฉัตรไม่ได้เหรอ”
“มันไม่ใช่เรื่องแค่นี้สำหรับผม มันคือการตัดสินใจของแม่ ผมต้องเคารพ”
ปริยฉัตรนิ่งเงียบ มองหน้าอาศิราแล้วยื่นคำขาดสุดท้าย “จำไว้นะศิรา ฉัตรไม่ได้ขู่ ฉัตรทำจริงแน่ ทะเบียนสมรสเธอก็ให้ฉัตรไม่ได้ ถ้าเธอทำเรื่องนี้ให้ฉัตรไม่ได้เธอก็ไม่มีอะไรเหลือให้ฉัตรแล้ว ก็จบกันแค่นี้แหละ”
อาศิรานิ่งเงียบ เรื่องทะเบียนสมรสไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา… มันขึ้นอยู่กับดารัณ ส่วนเรื่องพินัยกรรมเขาไม่ยกเลิกพินัยกรรมของแม่แน่ ได้แต่หวังว่าปริยฉัตรจะทำใจได้และเปลี่ยนใจไม่ทำตามคำขู่ ที่ผ่านมาปริยฉัตรทำบ่อย ทะเลาะกันแล้วเขาไม่ตามใจก็จะหนีไปอยู่ที่อื่น เขาจะรอให้เวลาผ่านไปสักสามวัน รอให้หญิงสาวใจเย็นลงแล้วค่อยโทรไปบอกให้กลับบ้าน บางครั้งปริยฉัตรก็กลับเลย บางครั้งก็ทิ้งช่วงอีกสองสามวัน ไม่ก็อาทิตย์ หรืออาจจะเป็นเดือนแล้วค่อยกลับ แต่เพื่อความยุติธรรม อาศิราจึงบอกปริยฉัตรเสียหน่อย “ผมจะไม่ยกเลิกพินัยกรรมแม่ แล้วถ้าฉัตรไป รอบนี้ผมจะไม่ตาม”
ปริยฉัตรจ้องหน้าอาศิราอย่างตัดพ้อ ปล่อยน้ำตาตัวเองให้หยดไหล พูดเสียงเบา “พอได้เห็นเด็กนั่นเธอก็ไม่แคร์ฉัตรขึ้นมาทันทีเลยนะ”
อาศิราส่ายหน้า บอกเสียงเรียบ “ไม่เกี่ยวกับรัณ”
“แน่ใจเหรอ สาบานไหมว่าตอนฉัตรไม่อยู่ช่วงงานศพแม่ไม่มีอะไรเกินเลย ของมันเคยๆ กันอยู่”
อาศิราไม่พูดอะไร ถ้าปริยฉัตรอยู่กับเขาจะรู้ว่าช่วงงานศพแม่เขาสนใจแต่พ่อ กับดารัณแทบไม่ได้พูดคุย การกล่าวหาว่าเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับดารัณเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบใจ มันเป็นข้อกล่าวหาที่หลู่เกียรติทั้งเขาทั้งดารัณ เขาเชื่อใจและไว้ใจปริยฉัตรย่อมหวังว่าจะได้รับสิ่งนั้นตอบแทน ชายหนุ่มมองหน้าปริยฉัตรนิ่งจนอีกฝ่ายหมุนตัวเดินหายไป กลับมาปลอบใจศตายุที่ยังสะอื้นฮัก ถอนใจยืดยาวระงับความหมองขุ่นในใจ ส่งยิ้มให้ป้าผิวที่เข้ามาถามอย่างหวังดี
“ป้าช่วยดูตาหนูให้ไหมคุณศิรา”
อาศิราส่ายหน้า ปฏิเสธอย่างสุภาพ “ไม่เป็นไรครับ”
พอรู้ว่าปริยฉัตรกำลังจะไปอยู่ที่อื่นอาศิราก็อยากให้ลูกอยู่ด้วยตลอด ถ้าปริยฉัตรไปคนเดียวเขาใจแข็งไม่ตามได้แน่ ในสองสามครั้งแรกที่หญิงสาวออกจากบ้านไปไม่บอกไม่กล่าวเขาค่อนข้างร้อนใจ อาจร้อนใจไปถึงครั้งที่ห้า หก หรือเจ็ดเพียงแต่ความร้อนใจก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ แต่พอเกิดขึ้นนับสิบครั้งอาศิรายอมรับว่ามันกลายเป็นความเคยชิน อยากไปก็ไปเขาไม่ห้าม จะกลับเมื่อไรก็กลับเขาไม่ห้ามอีกเช่นกัน แม้แน่ใจว่าปริยฉัตรไม่น่าพาลูกไปด้วยแต่ก็อยากกันไว้ก่อน เพราะเกิดปริยฉัตรคิดจะพาลูกไปด้วยขึ้นมา… เขาไม่ยอมแน่
อาศิรากลับบ้านมาช่วงพักกลางวันแล้วค่อนข้างแปลกใจ หน้าบ้านเขามีรถกระบะหลังคาสูงซึ่งด้านข้างตัวถังปะยี่ห้อเฟอร์นิเจอร์ยี่ห้อดัง พอเดินเข้าบ้านไม่เห็นพ่ออยู่ตรงห้องโถงก็เดินขึ้นชั้นบน จึงเห็นกลุ่มช่างกำลังสาละวนทำงานโดยมีพ่อเขายืนคุมใกล้ชิด พอเดินเข้าไปใกล้ท่านก็หันมามอง
“ศิรา มาพอดีเลย จะได้มาช่วยพ่อตรวจงานหน่อย”
ตรวจงาน… คงหมายถึงช่างต่อเฟอร์นิเจอร์ได้เรียบร้อยแค่ไหน อาศิราพยักหน้ารับคำบอกของพ่อ ก่อนเอ่ยถาม “พ่อกินข้าวกลางวันหรือยัง”
“ยัง รอลูกมาทำไง”
อาศิรายิ้มขำ เอ่ยถาม “กินอะไรดี”
“ผัดกะเพรา ช่างอยากกินพ่อฟังแล้วเลยอยากกินไปด้วย พ่อให้ตาหวังไปเก็บกะเพรามาแล้ว”
อาศิราตอบรับ รู้โดยอัตโนมัติว่าตนต้องทำผัดกะเพราเผื่อช่างด้วย ซึ่งก็เดาได้ตั้งแต่ขึ้นบ้านมาแล้วเห็นช่างแล้ว ใครก็ตามที่มาบ้านเขาช่วงมื้ออาหารมื้อใดก็แล้วแต่ พ่อเขาชวนกินข้าวด้วยตลอด อาศิรานับช่างได้สี่คน สอบถามระดับความเผ็ดที่แต่ละคนรับได้ ปรากฏว่าชอบกินเผ็ดมากกันทุกคน ไม่ลืมถามความสุกของไข่ดาวที่แต่ละคนชอบ ส่งลูกชายให้พ่อตนอุ้มไว้แล้วเดินลงไปที่ครัวซึ่งอยู่ชั้นล่าง เห็นสมหวังกับผิวสองสามีภรรยาเด็ดกะเพรากันอยู่จึงเอ่ยถาม “เผื่อตัวเองหรือยัง”
สมหวังยิ้มแป้นก่อนตอบ “เผื่อเรียบร้อย คุณศิราลองดูหมูสับสิ พอไหม ไม่พอจะได้ให้นังผิวมันเอาออกมาสับอีก”
อาศิราเดินไปดูหมูสับในกะละมัง นับจำนวนหัวแล้วคิดว่าได้คนละจานพูนๆ สบายๆ จึงเริ่มเตรียมเครื่องผัด เริ่มจากกระเทียมไทย พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า ลูกกระวาน พริกไทย กะปิอีกนิดหน่อยเพราะไม่แน่ใจว่าบรรดาช่างด้านนอกชอบกลิ่นกะปิไหม ไม่ลืมบอกสมหวัง “ลุงหวังเก็บใบยี่หร่ามาด้วยไหม”
“เก็บ เห็นผัดกะเพราทีไรคุณศิราก็ถามหาใบยี่หร่าทุกที ลุงไม่พลาดหรอก”
อาศิราหัวเราะได้ พอตำเครื่องผัดเรียบร้อยแล้วจึงเริ่มลงมือทำผัดกะเพรา นำกระทะเหล็กใส่น้ำมันพอประมาณ หมูที่เขาเลือกใช้ทำหมูสับจะเป็นหมูที่มีมันผสมอยู่ด้วยกะสัดส่วนแล้วไม่ให้เกินสามสิบเปอร์เซ็นต์เพื่อความนุ่มของเนื้อสัมผัส เมื่อผัดไปน้ำมันจากหมูจะออกมาเพิ่มอีก รอจนน้ำมันร้อนจึงเทเครื่องผัดลงไปผัดจนหอม ตามด้วยหมูสับ ปรุงรสด้วยน้ำปลาดีกับน้ำตาลมะพร้าว ใส่ใบกะเพราทั้งหมดลงไป ตามด้วยใบยี่หร่าอีกนิดหน่อยเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม ผัดจนผักสลดแล้วเอาฝาครอบปิดกระทะไว้อีกราวสองอึดใจเพื่อให้ผักสุกทั่วจนแน่ใจว่าผักจะสีสวย ไม่ดำ ไม่เหม็นเขียว จึงตักลงจานใหญ่ส่งต่อให้สมหวังกับผิวนำไปแบ่งราดใส่จานข้าวที่ตักรอไว้ อาศิราขยับตัวไปล้างกระทะ นำมาตั้งไฟจนแห้งสนิท เทน้ำมันลงไปเพื่อทอดไข่ดาวต่อจนครบจำนวนคน ส่งต่อให้สมหวังกับผิวกระจายไข่ดาวใส่จานต่อ ปกติหากทำกินเองหรือเป็นช่วงที่อาศิราต้องการความง่ายความไว เขาจะทอดไข่ดาวก่อนผัดกะเพราจะได้ไม่ต้องล้างกระทะ แต่พอต้องทอดหลายฟอง กินกันหลายคน อาศิราจะทอดไข่ดาวทีหลังเพื่อให้ไข่ดาวร้อนที่สุดตอนกินเพื่อให้อร่อยที่สุดนั่นเอง
สองสามีภรรยาช่วยกันวางข้าวราดผัดกะเพราไข่ดาวบนโต๊ะกินอาหาร เตรียมแก้วเตรียมน้ำเย็นให้ก่อนขอตัวแยกไปโดยไม่ลืมอาหารส่วนของตน อาศิราเดินขึ้นชั้นบนไปหาพ่อเพื่อส่งข่าว
“ข้าวเสร็จแล้วพ่อ”
ศีลพยักหน้ารับลูก ก่อนหันไปชักชวนช่างประกอบเฟอร์นิเจอร์ทั้งสี่คน “ไป กินข้าวกันก่อน อิ่มแล้วค่อยมาทำต่อ”
อาศิราเอ่ยถามพ่อ “เห็นฉัตรไหมพ่อ”
“ตอนพ่อจะออกไปรับช่างเห็นเหมือนกำลังจะออกไปนอกบ้านนะ แต่ไม่รู้ยังไง”
อาศิราพยักหน้ารับ แยกตัวไปทางห้องตนขณะคนอื่นเคลื่อนขบวนไปยังโต๊ะอาหาร ดูจนแน่ใจว่าปริยฉัตรไม่อยู่ในห้องแน่จึงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าของหญิงสาวออกดู เห็นชัดว่าเสื้อผ้าข้าวของหายไปเกือบหมด ที่ทิ้งไว้ก็เพียงเสื้อยืดกับขาสั้นไม่กี่ชุด… ปริยฉัตรหนีไปอีกแล้ว
อาศิราถอนใจยาวแล้วเดินไปรวมกลุ่มกินข้าวกับทุกคน กินกันไปศีลก็ยิ้มแป้นไปเพราะบรรดาช่างชมเป็นเสียงเดียวกันว่าผัดกะเพราอร่อย รสชาติจัดจ้านถึงใจแล้วยังหอมกว่าผัดกะเพราทั่วไปที่เคยกิน พอมีคนถามวิธีทำอาศิราก็บอกสูตรอย่างไม่หวง ไม่ลืมบอกว่าถ้าชอบกินแบบน้ำเยอะก็สามารถเติมน้ำซุปหรือน้ำสะอาดลงไปได้ แค่ต้องระวังรสชาติที่อาจจะเพี้ยนไปเท่านั้น
หลังกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว บรรดาช่างก็ไปทำงานของตนต่อ อาศิรามีโอกาสได้เข้าไปดูเฟอร์นิเจอร์ที่ต่อเสร็จเรียบร้อยแล้วในห้องรับแขก เห็นว่าเป็นตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ ตรวจดูรอยต่อต่างๆ เห็นว่าเรียบร้อยแน่นหนาดี ชิ้นงานไม่มีรอยแตกหักก็ยืนยันกับพ่อว่าใช้ได้ เอ่ยถามสิ่งที่ตนสงสัยมาตั้งแต่เห็นช่าง ไม่ใช่ช่างชุดนี้ด้วย เป็นช่างชุดที่มาติดวอลเปเปอร์ใหม่เมื่อวันก่อน
“ทำไมอยู่ๆ พ่อจัดห้องนี้ใหม่”
“สวยใช่ไหมล่ะ ได้โปรโมชั่นด้วยนะ ซื้อสามชิ้นแถมหนึ่งชิ้น มีครบเลย โต๊ะเครื่องแป้ง ตู้เสื้อผ้า เตียงนอน แถมชั้นวางของด้วยนะ พ่อซื้อโต๊ะทำงานเพิ่มก็ได้แถมเก้าอี้ด้วย คุ้มมาก”
อาศิราพยักหน้า ถามคำถามเดิมของตนออกไป “ทำไมพ่อจัดห้องนี้ใหม่”
“ลูกอยากได้ใหม่ไหม โปรโมชั่นมันยังมีอยู่นะ”
“ห้องลูกเป็นบิลต์อิน” บอกไปแล้วก็เห็นพ่อทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้ และถึงตรงนี้อาศิราก็เพิ่งสะกิดใจว่าพ่อกำลังเลี่ยงไปเลี่ยงมาเหมือนไม่อยากบอกเขาอยู่ “พ่อ… อะไร”
ศีลหันมองไปรอบๆ บอกเสียงเบาอย่างไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน “ไม่อยากให้หนูฉัตรรู้”
อาศิราหน้านิ่ว “เรื่องอะไรพ่อ”
“เจ้ารัณกำลังจะกลับมา”
อาศิราก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี “กลับก็กลับสิพ่อ มาเซ็นเอกสารด้วยใช่ไหม อยู่นานหรือเปล่า”
“มาเซ็นเอกสาร และอยู่นาน… แบบไม่มีกำหนดกลับ”
อาศิรานิ่งไปด้วยกำลังช็อกอยู่ ประโยคของพ่อฟังเหมือนดารัณจะกลับมาอยู่เมืองไทยถาวร…
“ยังไงก็หาทางบอกหนูฉัตรดีๆ แล้วกันนะ บอกหนูฉัตรว่าพ่อเป็นคนชวนให้เจ้ารัณมาอยู่บ้านนี้เอง”
อาศิราถอนใจยาว “บ้านหลังนี้ชื่อแม่”
นั่นเท่ากับมันจะกลายเป็นของดารัณไปด้วย ต่อให้พ่อไม่ชวนดารัณก็มีสิทธิ์
“บอกตรงๆ แบบนั้นหนูฉัตรจะยิ่งคิดมาก”
อาศิราส่ายหน้า บอกพ่อเสียงเบา “ฉัตรหนีไปแล้ว”
ศีลเลิกคิ้ว กลอกตาไปมา สุดท้ายก็พูดเสียงอ่อนใจ “อีกแล้วเหรอ”
ก็บอกแล้ว อะไรที่เกิดขึ้นเป็นสิบครั้งมันก็ทำให้ชาชิน เฉียดๆ จะเป็นความเบื่อหน่ายไปแล้วด้วยซ้ำ…