Run Away หัวใจไกลรัก 2 บทที่ 3 : ไข่เบเนดิกต์

Run Away หัวใจไกลรัก 2 บทที่ 3 : ไข่เบเนดิกต์

โดย : ภัสรสา

Loading

Run Away หัวใจไกลรัก 2 นิยายออนไลน์ โดย ภัสรสา ที่ อ่านเอา อยากให้คุณอ่านออนไลน์ เรื่องราวย้อนไปในสิบปีก่อนเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้อาศิรากับดารัณมีพันธะผูกพันต่อกันตามกฎหมาย ก่อนหญิงสาวจากไปอยู่ต่างแดนไม่เคยหวนกลับมา สิบปีผ่านไป ดารัณกลับมาอีกครั้งพร้อมความจริงอันน่าตกใจ และครั้งนี้ดารัณคนเดิมเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน

****************************

– 3 –

 

เสียงบางอย่างปลุกเธอให้ตื่นจากการหลับใหล… ดารัณลืมตา ฟังอยู่พักก็แน่ใจว่าเป็นเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ หญิงสาวตัดสินใจก้าวลงจากเตียงทั้งที่ตายังลืมไม่ขึ้น เดินสะโหลสะเหลไปเปิดประตูห้อง ฝากน้ำหนักไว้กับประตูขณะโผล่หน้าไปมองต้นเสียง

ศีลทักขึ้นก่อนเป็นคนแรก “อ้าว ทำไมตื่นแต่มืด พ่อหัวเราะเสียงดังไปเรอะ”

ดารัณส่งยิ้มสะลึมสะลือให้ศีล หันไปมองอาศิราที่อุ้มลูก เด็กน้อยตื่นเต็มตาแล้วดูจากการยิ้มร่ายามปู่เกาพุงให้นั่น เดินลากตัวไปตามผนังออกไปรวมกลุ่ม เอ่ยถาม “กี่โมงแล้ว”

อาศิราเป็นคนตอบ “ตีสี่”

ดารัณถึงกับหน้านิ่ว “โห ตีสี่… ทำไมตื่นกันเช้าจัง”

ศีลหัวเราะ รับศตายุมาจากอาศิรา “เปล่า ปกติพ่อก็ตื่นหกโมงโน่นแหละ แต่วันนี้ได้ยินเสียงสิงห์ร้อง เลยออกมาดู”

อาศิราจึงพูดกับพ่อตน “ไม่อยากให้รันตื่น เลยรีบพาอุ้มออกมาข้างนอก เลยกลายเป็นปลุกพ่อเลย”

ศีลโบกมือไปมา หน้าตายิ้มแย้ม “ดีออก ได้เล่นกับสิงห์แต่เช้าเลย ศิราไปทำงานเถอะลูก เดี๋ยวพ่อดูให้ กินนมอิ่มแล้วแบบนี้ กล่อมอีกแป๊บก็น่าจะหลับต่อ”

คนพ่อเลยได้มองหน้าคนปู่เพื่อถามความแน่ใจอีกที จนคนปู่โบกมือไล่อีกรอบนั่นแหละจึงผละไป ส่วนดารัณก็ได้แต่งง เธอนึกว่างานที่อาศิราจะไปทำคืองานเอกสารหรืออะไรอื่นๆ ไม่ใช่การเดินออกไปนอกบ้านอย่างนั้น

“พี่ศิราทำงานอะไรตอนตีสี่เหรอพ่อ”

“ไปซื้อพวกของสด”

ดารัณยิ่งงงไปกันใหญ่ “ตลาดเปิดตั้งแต่ตีสี่เลยเหรอพ่อ”

ศีลส่ายหน้า อธิบายให้ละเอียดขึ้น “ไม่ พี่เขาไม่ได้ไปซื้อที่ตลาด ไปซื้อที่แหล่งโดยตรงเลย ตั้งแต่พี่เขากลับมาใหม่ๆ ก็เช็กว่าคนที่เช่าที่เราอยู่ทำอะไรบ้าง ลิสต์เอาบรรดาชาวนาชาวไร่ชาวสวนแล้วก็คนที่ทำปศุสัตว์ออกมา”

แค่นั้นดารัณก็คิดว่าพอเดาได้แล้วว่าอาศิราจะทำอะไร หัวใจสำคัญสำหรับเชฟคือวัตถุดิบอยู่แล้ว

“พี่เขาติดต่อกูรูเรื่องเกษตรอินทรีย์มาอบรมคนที่สนใจเข้าร่วมให้ หาตลาด จัดระบบสหกรณ์ให้กลุ่มเกษตรกรเรียบร้อย สร้างหน้าร้านตรงที่ติดถนนให้เกษตรกรเอาของไปวางขายฟรีอีก ทั้งหมดนี่ทำเพื่อให้ตัวเองมีผักกับเนื้อมาทำกับข้าวให้ลูกค้ากิน แม่เขายังแซวว่าพี่ศิราชอบขี่ช้าง”

ดารัณคิดว่าพอจำได้แล้วจากประโยคนั้น หญิงสาวยิ้มขำ ขณะศีลหัวเราะร่วน

ใช่ อรจิราแซวลูกเรื่อยว่าสิ่งที่ลูกทำคือการขี่ช้างจับตั๊กแตน แต่ถึงจะแซวอย่างนั้นก็เป็นอรจิรานี่แหละที่เป็นคนไปกับลูก ไปออกหน้าคุยกับเกษตรกรเพราะรู้ตัวว่าสื่อสารกับคนเก่งกว่าลูกชายไม่ต้องพูดถึงเรื่องการโน้มน้าว พอประกอบกับเป็นดาราดังในยุคเดียวกับเกษตรกรส่วนใหญ่ คำพูดของอรจิราก็ยิ่งน่าฟัง อาศิรากับอรจิราทุ่มเททำงานกับเกษตรกรอยู่หลายเดือนกว่าระบบจะลงตัว ตามสำรวจอยู่อีกเกือบปีกว่าจะแน่ใจว่าที่ไหนหันมาทำเกษตรอินทรีย์จริงๆ แล้วเลือกซื้อของจากที่นั่น อันที่จริงเจ้าของเรือกสวนไร่นาฟาร์มปศุสัตว์ทั้งหลายจะไม่คิดเงินอาศิราด้วยซ้ำ แต่ไม่ต้องถึงลูก เพราะอรจิราเองก็ไม่ยอม มาตกลงกันได้ที่จะขายราคาส่งให้แม้อาศิราจะซื้อจำนวนไม่มากต่อครั้ง

“ไปนอนต่อเถอะไป๊ ตายังโรยอยู่เลย”

ดารัณพยักหน้า อดเอื้อมมือไปเขี่ยมือเล็กๆ ของศตายุไม่ได้ ก่อนเอ่ยถาม “กินข้าวเช้ากันกี่โมงนะคะ”

“เจ็ด แต่ไม่ต้องซีเรียส นอนให้พอดีกว่า ตื่นมาค่อยกิน”

ดารัณเลิกคิ้ว จากแค่เขี่ยก็กลายเป็นกำข้อมือของศตายุ เขย่าเบาๆ จนเจ้าของมือหัวเราะ พลางถามศีลอย่างไม่แน่ใจ “จะไม่มีคนไปลากรัณจากเตียงแน่นะ”

ศีลเลยได้หัวเราะอีก “วันนี้คงไม่ เดี๋ยวพ่อช่วยพูด แต่วันต่อๆ ไปถ้ารัณปรับเวลาได้แล้วพ่อก็… ไม่แน่ใจ”

ใช่ เพราะอรจิราอีกเช่นกันที่แซวลูกชายตัวเองให้ดารัณฟังว่าเป็นผู้คุมกฎประจำบ้าน ทุกคนต้องกินข้าวพร้อมกันตรงเวลา ซึ่งทั้งหมดก็เพราะศีลกับศราวินเป็นโรคกระเพาะและอาศิราไม่ต้องการให้อาการกำเริบ

ดารัณได้ยินเสียงศีลถอนใจยืดยาว พอสังเกตดีๆ ก็เห็นว่าอารมณ์ดีๆ ของผู้สูงวัยสลายหายไปหมด แววตาปรากฏรอยอาวรณ์ซึ่งเธอรู้ว่าทำไม แค่คุยกันไม่กี่นาทีศีลก็พูดถึงอรจิราไปรอบ ตอนนี้ก็คงคิดถึงอยู่ ดารัณปล่อยมือจากศตายุ กอดอกตอนเอ่ยถาม “พ่อคิดถึงแม่เหรอ”

ศีลพยักหน้ายอมรับ น้ำตารื้นให้เห็นชั่วแวบแล้วพยายามเก็บสะกดมันไว้ หันมาฝืนส่งยิ้มให้ดารัณ “โทษทีนะ รัณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

ดารัณยิ้ม บีบนวดแขนให้ศีลอย่างจะเอาใจ “ไม่เห็นต้องขอโทษเลย เราก็คิดถึงแม่ด้วยกันทั้งนั้นแหละพ่อ”

รอยยิ้มบนใบหน้าศีลดูดีขึ้นอีกนิด ยกมือขึ้นจับศีรษะดารัณจับหมุนให้หันไปทางห้องตน ออกปากไล่ “ไปเถอะ ไปนอน พ่อจะได้กล่อมสิงห์ เผื่อพากันนอนต่อได้อีกนิด”

นั่นทำให้ดารัณไม่ยื้อเวลาอีก เดินกลับเข้าห้องตนแต่โดยดี อย่างไรตอนนี้ศีลก็มีเด็กน้อยอยู่เป็นเพื่อน คงไม่ถูกความเหงาทำร้ายมากนัก ดารัณกลับเข้าห้องและหลับต่อได้ในเวลาอันรวดเร็ว ตื่นมาอีกทีตอนหกโมงเช้า สำรวจตัวเองว่ายังเหนื่อยยังเพลียหรือไม่ พอคำตอบคือไม่จึงตัดสินใจลุกจากเตียง เดินออกจากห้อง พอเห็นว่าชั้นบนเงียบเชียบจึงเดินไปข้างล่าง ได้ยินเสียงมาจากทางครัวจึงเดินไปทางนั้น เห็นศีลอยู่หน้าตู้เย็นโดยมีมิรันตาอุ้มศตายุยืนอยู่ข้างๆ

“ทำข้าวเช้าเหรอพ่อ”

ศีลหันมองดารัณ ทำหน้านิ่ว ถามย้อนไปแทนคำตอบ “ทำไมตื่นอีกแล้วล่ะ”

ดารัณหัวเราะ “เอะอะจะไล่ไปนอนอย่างเดียวเลย รัณตาสว่างแล้ว ไม่เหนื่อยไม่เพลีย”

ตอบเสร็จก็ใช้นิ้วเขี่ยแก้มศตายุหนึ่งที ถามย้ำในสิ่งที่ยังไม่ได้คำตอบ “ทำข้าวเช้าเหรอ”

“ใช่ พี่ศิราโทรมาบอกว่าจะกลับช้าหน่อย มีชาวบ้านจะทำโรงเห็ดเพิ่มพี่เขาว่าจะช่วยดู พ่อเลยว่าจะทำให้ จะรอพี่เขาก็กลัวหนูรันกับเจ้าสิงห์หิวด้วย”

ดารัณพยักหน้ารับ ก่อนเสนอตัว “รัณทำให้ไหม”

ศีลผละออกมาจากตู้เย็น เอ่ยถาม “พี่ศิราเตรียมของทำไข่เบเนดิกต์ไว้ รัณทำได้ไหม”

“ทำได้อยู่”

“งั้นรัณทำไข่เบเนดิกต์ให้พวกเรานะ ไอ้ตัวแป้งอิงลิชมัฟฟินพี่ศิราทำไว้ตั้งแต่เมื่อคืน พ่อเอาออกมาพักจนฟูได้ที่แล้ววางอยู่บนโต๊ะโน่น รัณเอาจี่กระทะได้เลย ฟากละเจ็ดนาทีนะ”

ดารัณหันไปมองก็เห็นถาดสเตนเลสวางอยู่ เห็นแป้งสี่ก้อนพอดีกับจำนวนคนวางบนนั้น ก็เดาได้ว่าคงเป็นแป้งอิงลิชมัฟฟินที่ว่า มุมปากสองข้างกดลงอย่างทึ่งๆ เพราะปกติตัวอิงลิชมัฟฟินเธอก็ซื้อสำเร็จเอา ไม่เคยนวดแป้งเองแบบนี้ แต่นะ ว่าไม่ได้ ตอนนี้เธออยู่ในบ้านเชฟใหญ่ระดับมหึมา ถ้าเขาซื้อของสำเร็จมากินสิเธอคงแปลกใจน่าดู ว่าแต่… “แล้วสิงห์กินอะไรได้บ้างล่ะพ่อ”

“สามเดือนเอง กินนมได้อย่างเดียว” บอกแล้วก็เตรียมจะชิ่งหนีออกจากครัว แต่นึกบางอย่างได้จึงส่งเสียงเรียก “รัณ”

แต่ปรากฏว่าคนที่ตอบรับมีสองคนจนเกิดความเงียบอยู่พักตามมาด้วยเสียงหัวเราะ ก่อนศีลจะบอก “ฝากสองคนเลยก็ได้ ช่วยกันดูนะ ไข่อย่าสุกเกิน ซอสอย่าแตก”

ดารัณบอกอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องห่วงพ่อ รัณทำบ่อย”

“โอเค พ่อขอออกไปดูต้นไม้หน่อย”

สองสาวตอบรับพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ศีลจึงโบกมือแล้วเดินออกไป ส่วนมิรันตาก็หันมาหาดารัณ

“รันทำครัวไม่เป็น แต่ถ้ามีอะไรให้รันช่วยบอกเลยนะ”

ดารัณมองมิรันตา เห็นอยู่ว่าอุ้มศตายุซึ่งเธอคิดว่าเป็นงานหนักพอแล้ว จึงเอ่ยถาม “จำได้ไหมว่าอะไรอยู่ตรงไหน”

มิรันตาจำไม่ได้หรอก แต่ช่วงนี้เธอช่วยศีลกับศิราในครัวบ่อย “จำได้”

“งั้นช่วยหาของก็พอ”

มิรันตายิ้มกว้างอย่างยินดี ชี้จุดอุปกรณ์ที่ดารัณถามถึงให้ เห็นความแตกต่างระหว่างดารัณกับอาศิราชัดเจน อาศิราตอนทำอาหารเขามีสมาธิมาก แทบไม่ยุ่งกับลูกเลย ถ้าได้ยินเสียงร้องก็เพียงหันมามองให้แน่ใจว่ามีคนดูอยู่ เขี่ยแก้มสองสามทีแล้วกลับไปทำอาหารต่อ แต่ดารัณไม่ เจ้าหล่อนทำไปหันมาเล่นกับศตายุไปจนเสียงหัวเราะของเด็กน้อยดังลั่นครัว ดารัณมานิ่งลงก็ตอนใครบางคนเดินเข้าครัวมา… อาศิรา

แต่ศตายุไม่ได้นิ่งด้วย สองมือเล็กๆ ยังไขว่คว้าดารัณส่งเสียงอ้อแอ้เอิ๊กอ๊ากเหมือนจะบอกให้อีกฝ่ายหันมา ‘จ๊ะเอ๋’ กับ ‘จุ๊บเหม่ง’ กันอีก มาหยุดก็ตอนมีคนจับแขนไว้ หันไปมองเห็นเป็นพ่อตนก็ยิ้มปากบาน โผไปหาพ่อแทน

อาศิราจับลูกแล้วยกออกจากเป้อุ้มเอามาเข้าสะเอวตนไว้ เดินไปดูซอสฮอลันเดสที่อยู่บนเตาแล้วพูดได้เพียง “โอะ…”

ดารัณหันขวับมองหน้าคนส่งเสียงประหลาด เห็นหน้านิ่งสนิทของเขาแล้วเดาไม่ได้ว่าไอ้ ‘โอะ’ นั่นมันดีหรือร้าย ส่งเสียงถาม “หมายความว่าไง”

อาศิราเหลือบมองดารัณ “ซอสแตก”

ดารัณหันขวับมองซอส ใช่ เธอรู้ๆ เห็นปุ๊บก็รู้ว่าซอสมันไม่โอเคอย่างที่เขาว่านั่นแหละ มันไม่เนียน ไขมันเนยก็แตกตัวลอยอยู่ด้านหน้า ให้ตายสิ ตอนเธอทำกินเองมันยังไม่แย่ขนาดนี้เลย ความผิดศตายุเต็มๆ

แต่อาศิรายังไม่จบเท่านั้น เพราะเขาหันไป ‘ตรวจการบ้าน’ ที่วางอยู่ต่อ พอเขาแตะมัฟฟินปุ๊บ ดารัณก็บอกทันที

“อย่านะ ทอดข้างละเจ็ดนาทีเป๊ะ เซ็ตไทเมอร์ไว้แล้ว”

อาศิราคล้ายจะขำ แต่ก็ไม่ บอกเพียง “สีสวย” จากนั้นก็ดูไข่ต่อ แค่มองก็คิดว่าไข่แดงไม่มีทางเป็นลาวาแน่ แต่เพื่อความแน่ใจจึงลองจิ้มดู สัมผัสที่ได้บอกให้รู้ว่าคิดถูก หันไปถามดารัณ “ชอบกินไข่สุกเหรอ”

ดารัณไม่ตอบ ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นโยนความผิดให้ศตายุ… ก็เธอเล่นกับศตายุเพลิน รู้ตัวอีกทีก็เลยสองนาทีไปโข ไข่ที่ควรจะเป็นไข่ลวกเลยกลายเป็นไข่ต้มไปโดยปริยาย

มิรันตาเห็นท่าไม่ค่อยดีจึงช่วยพูด “สิงห์กวนอารัณเยอะอยู่ค่ะ ชวนเล่นตลอดเลย”

ดารัณชี้นิ้วโป้งไปทางมิรันตาทันที ทำหน้ายืนยันหนักแน่นว่าที่มิรันตาพูดน่ะ จริง!

อาศิราพยักหน้าช้าๆ มองมิรันตา ยิ้มให้แล้วพูดเสียงเรียบ “ความผิดของเด็กสามเดือนใช่ไหม”

มิรันตายิ้มแหย ส่วนดารัณก็เสนอทางเลือกให้ “ไม่พอใจก็ทำใหม่เองแล้วกัน”

“ถ้าต้องใช้เสิร์ฟลูกค้าได้ทำใหม่แน่ แต่นี่กินกันเองในบ้าน ทำแบบไหนก็กินแบบนั้น” บอกแล้วเอื้อมไปหยิบช้อนมาตักซอสชิม หันไปมองหน้าดารัณ ซึ่งอีกฝ่ายบอกทันที

“ยังไม่ได้ปรุง ไม่ได้ลืม”

แปลว่าลืมแน่นอน อาศิราพยักพเยิดไปทางชั้นเครื่องปรุง “ใส่เกลือ”

ดารัณเกี่ยงทันที “ปรุงเองสิ”

ทว่าอีกฝ่ายสวนกลับทันควัน “รับผิดชอบสิ”

มองหน้าวัดใจกันอยู่พัก ดารัณก็ขยับไปหยิบขวดเกลือมาหมุน และหยุดเมื่อ…

“พอแล้ว พริกไทยด้วย”

ดารัณคว้าขวดพริกไทยดำมาหมุนจนอาศิราบอกพอจึงหยุด หันไปบอกมิรันตา “ไม่อร่อยโทษคนนี้”

‘คนนี้’ ส่ายหน้า บอกอย่างพยายามไม่สนใจการโยนความผิดนั่น หันไปทางมิรันตา ส่งศตายุไปให้พลางเอ่ยขอ “รันออกไปตามพ่อให้หน่อย เดี๋ยวพี่จัดโต๊ะ”

มิรันตาเดินออกไปแล้ว จึงหันมาทางดารัณที่ยืนนิ่งอยู่ “ไปอาบน้ำไหม”

ดารัณเพิ่งนึกได้เหมือนกันว่าเธอออกมาจากห้องโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันด้วยซ้ำ ยังใส่ปาจามาลายทางสีเทาอยู่เลย ทว่า… “ไม่ กินข้าวก่อนค่อยอาบทีเดียว”

อาศิราไม่ว่าอะไร เอ่ยคล้ายจะชวน “งั้นก็ช่วยกันจัดโต๊ะ”

“เดี๋ยวไม่ถูกใจอีก”

อาศิราอยากจะถอนใจใส่ ทว่าที่ทำก็เพียง “งั้นยืนเฉยๆ” แล้วหันไปเตรียมจานอาหาร ครู่เดียวมุมปากก็กระตุกคล้ายจะยิ้มเมื่อดารัณเริ่มประกอบไข่เบเนดิกต์ลงจานแล้วนำไปวางบนโต๊ะ ไม่ได้ยืนเฉยๆ แบบที่เขาบอก

“มีเบคอนไหม อยากได้เบคอนด้วย”

อาศิราจึงเดินไปยังตู้เย็นหยิบกล่องเก็บเบคอนออกมาส่งให้ดารัณ หยิบมะเขือเทศ ผักสลัด แตงกวาออกมาเตรียมเพราะรู้ว่าพ่อชอบใส่ผักประหนึ่งไข่เบเนดิกต์เป็นแฮมเบอร์เกอร์ชนิดหนึ่ง อย่าว่าแต่พ่อ เขาก็ชอบกินแบบนั้นจนหลายๆ ครั้งก็นึกสงสัยว่าวิธีการกินอาหารน่าจะถ่ายทอดผ่านทางดีเอ็นเอได้ด้วย หันไปมองดารัณเมื่ออีกฝ่ายถาม

“เอาเบคอนด้วยไหม”

อาศิรานิ่งคิดอยู่ครู่ก็หันไปตอบ “เผื่อทุกคนเลยแล้วกัน”

“ต้องทอดยังไงถึงจะถูกใจคุณเชฟ”

อาศิราจ้องตากับมะเขือเทศในมือซึ่งไม่มีตาอยู่ครู่เหมือนอยากใช้มันสงบสติอารมณ์ พอสงบได้แล้วจึงหันไปถาม “ไม่ประชดได้ไหม”

ดารัณยกสองมือขึ้นทำหน้าซื่อใสแทนการบอกว่าไม่ได้คิดร้ายแต่อย่างใด รีบบอก “เปล่า ไม่ได้ประชด อันนี้อยากรู้จริงๆ”

“อยากรู้ก็ถามดีๆ ถามวิธีทอดเบคอนที่ดี ไม่ใช่เบคอนที่ถูกใจพี่”

“อ้าว ก็พี่ศิราเป็นเชฟ ถ้าถูกใจเชฟก็ต้องเป็นเบคอนที่ดีสิ”

“พี่อาจจะชอบเบคอนไหม้ก็ได้”

ดารัณเถียงไม่ออก… ครู่หนึ่งก็พยักหน้าแล้วถามใหม่ “โอเค ทอดยังไงให้อร่อย”

“เบคอนอร่อยอยู่แล้ว” แล้วพอเห็นหน้าดารัณเปลี่ยนโหมด ปากเป็นเส้นตรง ดวงตาวาววับก็รีบยกมือห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูด เขาไม่ได้มีเจตนากวนประสาทแต่พูดตามความเคยชินที่อยากบอกข้อเท็จจริงของอาหาร พอดารัณยอมยืนเงียบก็บอกจนจบ “แค่ทอดให้กรอบพอดี พี่ใช้วิธีเดียวกับที่เราเจียวกากหมู ใส่น้ำลงไปในกระทะตอนทอด”

ดารัณค้อนอีกฝ่ายแต่ยอมทำตามนั้น ยังไม่วายมีคำถาม “ใส่น้ำเยอะไหม”

“แค่พอให้เคลือบก้นกระทะทั่วๆ”

“โอเค”

อาศิราอธิบายไปพลางหั่นผักไปพลาง “ทอดแบบนี้เบคอนไม่เสียทรง กรอบ มันหมูไม่กระเด็นด้วย”

ดารัณส่งเสียงในลำคอตอบรับ นิ่งไปอีกเมื่ออาศิรายิงคำถามมา

“เห็นว่าจะอยู่นาน ทิ้งงานได้เหรอ”

น้ำเสียงเป็นห่วงจริงใจของเขาทำให้ดารัณไม่ ‘ประชด’ ไปอีกว่าที่ถามเพราะไม่อยากให้อยู่หรือเปล่า ตอบไปตามตรง “ก็มีพี่วินช่วยดู จริงๆ ตั้งแต่พี่วินไปอยู่รัณก็โยนหน้าที่ประสานงานอื่นๆ ให้พี่วินไปหมดแล้ว รัณออกแบบกับสอนเด็กอย่างเดียว”

“อ้อ” อาศิราส่งเสียงตอบรับเพียงเท่านั้น เขารู้ว่าดารัณไปเรียนมัธยมปลายที่อังกฤษ จบแล้วดารัณก็เรียนด้านออกแบบอยู่ไม่กี่เดือนแล้วตัดสินใจย้ายไปเรียนต่อแฟชั่นดีไซน์โดยตรงที่มิลานจนจบปริญญาโท ตอนนี้มีแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเองซึ่งทำร่วมกับศราวิน

การที่ศราวินไปอยู่กับดารัณ ทำให้อาศิรายิ่งรู้รายละเอียดงานมากขึ้น จากที่คิดว่าดารัณเป็นดีไซเนอร์ก็คงแค่ออกแบบชุด กลายเป็นว่าดารัณทำทุกอย่าง ขายงาน ถ่ายภาพโฆษณา ติดต่อห้างสรรพสินค้าเรื่องพื้นที่ขาย ประสานกับผู้จัดตอนมีงานแฟชั่นโชว์ นอกเหนือจากนั้นยังมีงานออกแบบให้ลูกค้าแบบรายบุคคลด้วย

ศราวินไปอยู่กับดารัณจึงได้รู้ว่าดารัณมีแผนจะสร้างแบรนด์ของตัวเองแทนการทำงานให้แบรนด์อื่นไปเรื่อยๆ ศราวินจึงเรียนภาษาอิตาลีไปพร้อมกับเรียนด้านแฟชั่นมาร์เก็ตติ้งซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบด้วย สองปีผ่านไปศราวินเรียนจบ ใช้ภาษาอิตาลีได้ดีอาจด้อยกว่าคนอิตาลีไม่กี่ระดับ ดารัณก็พร้อมสร้างแบรนด์ ทั้งสองคนจึงทำงานด้วยกันนับแต่นั้น ตอนแม่บอกว่าดารัณกลายเป็นผู้หญิงเก่งทำงานคล่องแคล่วเขายังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรเพราะภาพจำของดารัณตอนเป็นสาวน้อยยังติดตา คิดว่าแม่รักและเอ็นดูดารัณก็คงมีลำเอียงบ้าง แต่พอศราวินบอกว่าทำงานกับดารัณเหนื่อยมากแต่ก็สนุก เพราะดารัณเป็นคนคิดเร็ว พูดเร็ว ทำงานด้วยต้องตามให้ทัน คิดให้ทัน อาศิราก็เริ่มคิดอีกที เพราะสำหรับเขาศราวินถือเป็นคนที่คล่องแคล่วและทำงานเก่งคนหนึ่ง น้องเป็นคนทำให้กิจการรีสอร์ตเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ถ้าทำศราวินเหนื่อยได้ ดารัณก็คงไม่ธรรมดา

จนสองปีหลังมานี้ เขาประจักษ์ด้วยตาตัวเองในหลายๆ สื่อที่แม่เอามาให้อ่าน ผลงานของดารัณดีเด่นเข้าตาขนาดได้ลงนิตยสารแฟชั่นระดับโลกอยู่เรื่อยๆ ถ้าเป็นหัวข้อที่เกี่ยวกับแบรนด์ใหม่หรือดีไซเนอร์รุ่นใหม่ที่น่าจับตามองเมื่อไรเป็นต้องมีแบรนด์ดารัณของดารัณอยู่ในเนื้อหาเสมอ หรือถ้าเป็นนิตยสารที่นำเสนอผู้บริหารรุ่นใหม่ก็ต้องมีศราวิน แม่หน้าบานเป็นจานเชิง ขอให้ดารัณกับศราวินส่งเล่มนิตยสารมาให้ ถ้าเป็นสื่อออนไลน์ก็จะสั่งพิมพ์แล้วเก็บเข้าแฟ้มอย่างดี โดยเฉพาะในการสัมภาษณ์ที่มีทั้งดารัณและศราวินลงคู่กัน แม่จะใส่กรอบติดผนังห้องไว้ ซึ่งก็เหมือนข่าวของเขานั่นแหละ

“ไม่อยากให้อยู่เหรอ” ในที่สุดดารัณก็ตัดสินใจถาม ด้วยความอยากรู้จริงๆ ไม่ใช่ประชด แต่ไม่ได้รับคำตอบ เพราะอาศิราไม่ตอบ พอจะถามซ้ำมิรันตากับศีลก็กลับเข้ามารวมกลุ่มเสียก่อน แล้วเขาก็แยกไปจัดผักที่ง่วนหั่นอยู่เมื่อกี้ลงจานนำไปวางบนโต๊ะ แล้วเธอจะทำอะไรได้ ก็ต้องทอดเบคอนต่อจนเสร็จ ตักใส่จานแล้วนำไปวางบนโต๊ะเช่นกัน และถึงแม้ดารัณจะหัวเราะเฮฮาตอนศีลเอ่ยแซวเรื่องไข่และซอสที่ห่างไกลจากไข่เบเนดิกต์มาก ทว่าเธอก็ยังอยากได้คำตอบอยู่ เธออยากรู้ว่าอาศิรารู้สึกอย่างไรกับการกลับมาแบบยังไม่มีกำหนดกลับครั้งนี้ของเธอ

“แต่ก็รสชาติดีนะ ใช้ได้ๆ” ศีลเอ่ยชมตบท้าย ซึ่งดารัณก็ไม่กล้าเก็บความดีความชอบไว้คนเดียว จึงบุ้ยหน้าไปทางอาศิรา “เชฟใหญ่คุมตอนปรุง”

ศีลเลยหยอกกลับ “ถึงว่า…”

ดารัณทำหน้าบู้ให้ทุกคนหัวเราะได้ ก่อนประกาศกร้าว “ไม่รู้แหละ พรุ่งนี้รัณจะทำเมนูนี้อีกรอบ แต่ห้ามให้สิงห์อยู่ในครัวกับรัณนะ ปกติตอนรัณทำกินเองไม่เคยเละเทะขนาดนี้เลย”

“ก็ยังเป็นความผิดของเด็กสามเดือนอยู่” อาศิราพูดเสียงเบา หน้ายิ้มๆ และดารัณก็หมั่นไส้เต็มทีจึงตอบชัดเจน “ใช่ ความผิดสิงห์”

ศีลหัวเราะ หันไปมองหลานตนที่ดูดนมจ๊วบๆ ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวแล้วยิ่งขำ ก่อนเสนอ “เออ พรุ่งนี้ลูกไม่ต้องทำงานแต่เช้ามืดใช่ไหม สอนเจ้ารัณสิ”

ดารัณปฏิเสธทันที “ไม่ต้องสอน รัณทำเป็นอยู่แล้ว”

อาศิราเอ่ยถามด้วยตัวเอง “ทำอิงลิชมัฟฟินเป็นด้วยหรือเปล่า”

“ไม่ ปกติซื้อเอา”

“ที่นี่ไม่ซื้อ กินข้าวเย็นเสร็จเจอกันที่ครัว”

เดี๋ยว… เธอไม่ได้อยากให้สอน ทว่าทำอะไรไม่ทัน เพราะมิรันตาถามขึ้นก่อน

“รันเรียนด้วยได้ไหมคะ”

อาศิราหันไปยิ้มให้มิรันตาแทนคำตอบตกลง ก่อนหันมามองหน้าดารัณ ทำเหมือนพูดกับว่าที่ลูกศิษย์ทั้งสองคนแต่ดารัณรู้ว่าเขาตั้งใจพูดกับเธอโดยตรง

“ข้อแม้คือตอนเรียนห้ามพูดห้ามถามถ้าพี่ไม่อนุญาต ตกลงไหม”

ใครจะไปตกลง…

“ตกลงค่ะ”

มิรันตาตอบน้ำเสียงร่าเริง ส่วนดารัณก็ก้มหน้าก้มตากินมื้อเช้าของตนตาขุ่น แหม ห้ามพูดห้ามถามถ้าพี่ไม่อนุญาต คงกลัวสินะว่าเธอจะถามคำถามนั้นอีก มันยากนักหรือไงกับแค่ตอบว่าอยากหรือไม่อยากให้เธออยู่ ดารัณไม่ได้หวังให้เขาดีใจหรอกที่เธอมาอยู่ตรงนี้ รู้ว่าอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ เขาไม่มีทางดีใจ แต่อย่างน้อยก็ไม่อยากให้เขาไม่ชอบใจหรือ… รังเกียจ

หญิงสาวลอบถอนใจยืดยาว ขณะมองดูมิรันตากับอาศิราช่วยกันดูแลศตายุ อรจิราไม่เคยพูดถึงมิรันตาเลย ย่อมแปลว่าหญิงสาวเข้ามาในชีวิตของอาศิราไม่เกินสามเดือนแน่ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่อาศิราจะคบหากับใครแล้วไม่บอกแม่ แต่เท่าที่ดูตอนนี้ เธอชอบมิรันตามากกว่าปริยฉัตร ดูแล้วมีความเป็นไปได้ว่ามิรันตาจะทำให้อาศิรามีครอบครัวที่ดี ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นอาศิราอาจไม่น่าเป็นห่วงเท่าที่อรจิราคิด และถ้าอาศิรามีความสุข ดารัณคิดว่าศีลก็ต้องมีความสุขไปด้วย ความเศร้าโศกจากการสูญเสียจะถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นในครอบครัวในที่สุด

เธออาจได้กลับมิลานเร็วกว่าที่คิดไว้ และดารัณตั้งใจ… ถ้ากลับมิลานเมื่อไร เธอจะไม่กลับมาที่นี่อีกเลย

อาศิรามีความเป็นครูอยู่มากจริงๆ มากกว่าเธอหลายเท่า ตอนเธอไปสอนรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยตามคำเชิญของอาจารย์ เธอไม่ได้เตรียมอะไรไปมากกว่าเตรียมเนื้อหาที่จะพูดซึ่งก็เป็นการเตรียมอยู่ในหัว ไม่มีการเตรียมเอกสารใดๆ ทั้งสิ้น แต่อาศิราใช้แค่ช่วงสิบห้านาทีหลังกินข้าวเสร็จเตรียมการ พอเธอลงมาในครัวก็เห็นว่าอุปกรณ์และวัตถุดิบทุกอย่างพร้อมสรรพรวมไปถึงเอกสารลำดับวิธีทำ ไม่ใช่ชุดเดียวด้วย มีสองชุดตามจำนวนผู้เรียน

“จำด้วยนะ ครั้งหน้าจะให้เตรียมของเอง”

ดารัณหันไปมองครูผู้สอน สบตากับมิรันตาแล้วทำหน้ากึ่งล้อกึ่งแซวความ ‘โหด’ ของเขา หันไปมองศีลที่บอกมา

“มีสอบด้วยนะ เคยหลวมตัวให้สอนทำซูวี เข้าใจเลยว่าทำไมเด็กๆ ถึงกลัวกัน”

ดารัณขำ กับพ่อเขาก็ไม่เว้น แล้วพอมองหน้าเด็กน้อยที่นั่งตักศีลอยู่ดารัณก็อดใจไม่ไหว วิ่งเข้าไปเอาสองมือที่เปื้อนแป้งของตนนวดแก้มยุ้ยอย่างมันเขี้ยว คนโดนแกล้งกลับไม่หงุดหงิดสักนิด ส่งเสียงหัวเราะอย่างชอบใจ กระทั่ง…

“เดี๋ยวให้รัณอาบน้ำสิงห์นะพ่อ”

ดารัณหรือจะกลัว “ไม่กลัวรัณทำลูกหลุดมือหัวแตกก็เอาเลย”

“ถ้ารู้ว่ารับผิดชอบไม่ได้ก็ไม่ควรทำลูกคนอื่นเปื้อนแต่แรก”

ดารัณเงียบกริบ สบตาขบขันของศีลแล้วได้แต่คิดในใจ นี่เห็นว่าทำให้ศีลมีความสุขหรอกนะ จะยอมลงให้ก็ได้ และอาจเพราะเธอเงียบไปอาศิราจึงได้ใจ เขาพูดมาอีก

“เดี๋ยวทำโดไม่ได้ก็กลายเป็นความผิดเด็กสามเดือนไปอีก”

ดารัณเลยเบ้ปากใส่ศตายุก่อนจะกลับไปทำแป้งอิงลิชมัฟฟินต่อ ไม่นานคนที่อาสาเรียนแต่แรกอย่างมิรันตาก็บ่น

“ยากเหมือนกันนะคะ อะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมดเลย ยีสต์ก็ต้องแช่น้ำอุ่น เนยก็ต้องละลายก่อน”

ศีลที่นั่งดูอยู่ไม่ห่างหัวเราะ ก่อนบอก “พวกเบเกอรี่พ่อว่าง่ายแล้วนะรัน ให้พ่อไปทำของคาวนี่ พ่อไม่สู้จริงๆ”

มิรันตาหัวเราะกับศีล แล้วหันไปถามอาศิรา “นี่ง่ายแล้วเหรอคะ”

อาศิราพยักหน้า “ง่ายแล้ว ขนมอบที่สำคัญที่สุดคือสูตร แค่จำส่วนผสมกับสัดส่วนได้ เข้าใจธรรมชาติของมัน รู้ว่าต้องใส่อะไรก่อนหลัง รู้ข้อห้ามที่ต้องรู้ อย่างยีสต์นี่เขาจะโตดีที่อุณหภูมิอุ่นๆ หน่อย เพราะฉะนั้นเราถึงไม่ใช้เนยเย็นๆ เดี๋ยวพอเราทำโดเสร็จเราเอาเข้าตู้เย็นก็จริง แต่เราให้เวลาเขาทั้งคืน พอจะเอาออกมาใช้เราก็ต้องทิ้งเขาในอุณหภูมิห้องก่อนอีกรอบด้วย”

มิรันตาทำหน้าทึ่ง ขณะดารัณบอกหน้าตาเฉย

“ซื้อกินก็จบแล้ว”

ศีลหัวเราะอีก รู้ว่าดารัณต้องการป่วนอาศิรา แล้วพอสบตากับลูกชายก็ต้องขำเพราะลูกเองก็รู้เลยทำหน้าเหนื่อยให้เขาเห็น ก่อนตอบโต้ดารัณด้วยการ

“จะซื้อกินก็บอก จะแนะนำร้านให้ มีร้านในเมืองที่ทำอร่อย ใช้ของมีคุณภาพอยู่ร้าน”

“ร้านเดียวเองเหรอ”

ยังไม่จบ อาศิรามองดารัณ อยากจะบอกออกไปว่าถ้าเจอร้านที่ดีที่สุดแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีร้านที่สอง แต่สายตาพลันเห็นมือที่กำลังขยำแป้งโดอยู่ จึงเอ่ยถาม “อ่านวิธีทำที่ให้ไปหรือยัง”

ดารัณตอบทันทีอย่างไม่สนใจ “แล้ว”

อาศิราเลยไม่พูดอะไรอีก เดินไปคว้ามือดารัณจับมันหงายขึ้น กดลงไปตรงอุ้งมือ “นี่อุ้งมือ นวดแป้งโดยใช้อุ้งมือ ไม่ใช่ใช้ปลายนิ้วขยำ”

ดารัณยืนก้มหน้านิ่ง รอจนมือเธอเป็นอิสระจากอีกฝ่ายแล้วจึงหันไปนวดแป้งโดยใช้ ‘อุ้งมือ’ ขณะพยายามสงบสติอารมณ์ ให้ตายสิ เธอจับมือ กอด โอบไหล่ สัมผัสกับผู้ชายทั้งชายจริงชายแท้มานับไม่ถ้วน แต่ไม่มีคนไหนทำให้เธอใจเต้นแรงได้อย่างอาศิรา ใช้เวลาไม่นานแป้งที่นวดก็ได้ที่ ถึงขั้นตอนเติมน้ำมันมะกอกลงไปผสมในแป้ง ตอนนี้อาศิราสอนให้ใช้วิธีฟาดแป้งแทนการนวด เพราะจะทำให้น้ำมันคลุกเคล้ากับแป้งได้ดีขึ้น และแป้งก็ได้สัมผัสอากาศมากขึ้นด้วย

ในที่สุดทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย อาศิราตรวจแป้งที่ดารัณกับมิรันตาทำ เห็นว่าใช้ได้จึงเอามารวมกันแล้วนวดจนแป้งได้ที่อีกที เรียบร้อยแล้วเอาลงโถ ปิดปากโถด้วยพลาสติกห่ออาหารแล้วเอาเข้าตู้เย็น

มิรันตาเอ่ยถามอย่างสงสัย “เราต้องนวดแป้งทิ้งข้ามคืนแบบนี้ตลอดเลยเหรอคะ”

ดารัณเลยได้ที “บอกแล้วว่าซื้อกินง่ายกว่า”

มิรันตาอดขำไม่ได้ แต่พอสบตาอาศิราแล้วก็ต้องรีบหุบยิ้ม ฟังเขาอธิบายอย่างสงบ

“ไม่ต้องก็ได้ เราทิ้งแป้งไว้ที่อุณหภูมิห้องสักชั่วโมงสองชั่วโมงก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่ถ้าทิ้งข้ามคืนเราจะได้แป้งที่รสชาติดีกว่า แล้วแป้งจะเปลี่ยนจากไฮจีไอเป็นโลว์จีไอ”

“ไฮจีไอ… โลว์จีไอ…” มิรันตาทวนอย่างสงสัย ขณะดารัณถามทันที “คล้ายๆ จี.ไอ. โจ อะไรแบบนั้นไหม”

มิรันตายังงง แต่ศีลกับอาศิราหัวเราะไปแล้วกับการพูดถึงชื่อภาพยนตร์ของดารัณซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับอาหารเลย ผิดกันแค่ศีลหัวเราะร่วนแต่อาศิราหัวเราะหึ หันไปอธิบายให้มิรันตาฟัง

“จีไอคือไกลซีมิกอินเด็กซ์ เป็นดัชนีวัดค่าความเร็วในการดูดซึมน้ำตาลกับแป้งเข้ากระแสเลือด ค่ายิ่งน้อยยิ่งดี” แล้วมองหน้านักเรียนทั้งสองเป็นเชิงถามว่ามีอะไรสงสัยอีกไหม เห็นมิรันตายิ้มแล้วส่ายหน้า แน่นอน ดารัณคงไม่เรียบง่ายแบบนั้น เจ้าหล่อนเล่นบอกหน้าตาเฉย “ไม่ถามหรอก เดี๋ยวไม่ได้นอน”

อาศิราส่ายหน้า แต่ยิ้มได้เพราะพ่อหัวเราะไม่หยุด ทั้งหมดพากันเคลื่อนตัวขึ้นชั้นบน พอถึงหน้าห้องนอนของพ่อ อาศิราก็รับลูกคืนมา เอ่ยถามพ่อตน “ง่วงหรือยังพ่อ ให้ลูกอยู่เป็นเพื่อนก่อนไหม”

ศีลยิ้มแป้น โบกมือปฏิเสธ “ไปนอนกันเถอะ พ่อขำจนเหนื่อย จะอาบน้ำนอนแล้ว”

“มา กอดที” ดารัณว่าแล้วโผเข้าไปกอดศีลแน่นๆ รอจนผู้อาวุโสเข้าห้องก็เดินตามอาศิรากับมิรันตาไปหน้าห้อง บอกก่อนอาศิราจะปิดประตู “ถามหน่อย”

อาศิราจึงหยุด ส่งลูกให้มิรันตาที่ยื่นมือมารับ

“รันจะเอาลูกไปอาบน้ำนอนก่อนค่ะ พี่ศิราคุยกับรัณไปนะ”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับ หันหน้ามาทางดารัณ “ว่าไง”

“ที่บังคับให้เรียนนวดแป้งนั่นน่ะ แค่อยากให้พ่อมีอะไรทำให้แฮปปี้ใช่ไหม”

อาศิรานิ่งไปพัก ตาเหลือบไปมองทางประตูห้องพ่อ ก่อนตอบตามตรง “ใช่”

“ทำไมไม่ทำเหมือนเดิม เล่นดนตรี ร้องเพลง”

“ก็มันไม่เหมือนเดิม” พอตอบไปแล้วเห็นคนฟังทำหน้าไม่เข้าใจ ก็อธิบายเพิ่มตรงประเด็น “พ่อยังไม่ยอมร้องเพลงเลยตั้งแต่แม่เสีย คงคิดถึงแม่”

อาศิราเห็นความสงสารในแววตาของดารัณ ตัดสินใจว่าสิ่งที่หญิงสาวทำให้ก็ควรบอกให้รู้ว่าเขาเห็นและซาบซึ้ง “ขอบคุณที่ทำให้พ่อหัวเราะได้”

ดารัณยิ้ม ถือโอกาสบอก “อื้อ… ปกติรัณไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก”

อาศิราหัวเราะหึ!



Don`t copy text!