ศรีนาง ตอนที่ 2 : ต้องสู้จึงจะชนะ
โดย : เมษาริน
ศรีนาง โดย เมษาริน นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับชะตาชีวิตของ ศรีนาง สาวชาวบ้านผู้อาภัพเพราะบิดามารดาจากไปด้วยโรคร้าย และนั่นเป็นแรงผลักดันให้เธออยากเป็นหมอ แต่เธอขาดก็คือโอกาสดีๆ นั้น กระทั่งโชคชะตาชักนำให้เธอช่วยชีวิตนายทหารหนุ่มชาวกรุง ผู้ทำให้ชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ช่วงสาย เทียนจ๋ายจอดรถสองแถวหน้าร้านขายของชำเล็กๆ ริมถนนสายหลัก จากตรงนี้เห็นภูเขากับแนวไม้อุดมสมบูรณ์อยู่ด้านหลัง
“นุ้ยพักที่นี่”
“คะ?” ศรีนางไม่เข้าใจ “นุ้ยคิดว่าเราต้องขึ้นไปอีก เขาสร้างเขื่อนข้างในนั้นไม่ใช่เหรอเจก”
“บนนั้นมีแต่แคมป์คนงาน ข้างล่างสะดวกกว่า ให้นุ้ยอยู่กับคนที่เจกไว้ใจ เจกจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
“เจกพูดเหมือนจะไปไหน”
“ก็ไปซื้อของมาขายไง” เทียนจ๋ายหัวเราะจนตาหยี “ที่ไปรับนุ้ยจากบ้านแม่เฒ่าก็อยากให้นุ้ยเป็นคนกลาง ลูกค้าอยากได้อะไรก็จดไว้”
“อ๋อ เข้าใจแล้วค่ะ” ทว่าวินาทีถัดมา สีหน้าสาวน้อยก็กังวลจนอดถามไม่ได้ “แล้วเจกให้นุ้ยอยู่กับใครคะ เพื่อนเจกเหรอ”
“นั่นไง เขาออกมารับนุ้ยแล้ว”
คนที่เดินออกมาจากร้านชำเป็นหญิงสาวรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น แต่งกายด้วยเสื้อแขนล้ำสีสดใสกับกระโปรงยาวสีน้ำเงิน ผมดัดหยิกเป็นลอนมีผ้าคาดผมอวดรูปหน้าสวยคม ผิวกายเป็นสีน้ำผึ้งเรียบเนียนน่ามอง
“พี่กิ่ง” ศรีนางรีบร้อนลงจากรถ ทำความเคารพหญิงสาวที่เรียกว่าพี่แต่มีศักดิ์เป็นอดีตอาสะใภ้ ใช่แล้ว! กิ่งกาญจน์เป็นอดีตภรรยาของเทียนจ๋าย แต่เลิกรากันหลังแต่งเข้าบ้านฝ่ายชายได้ไม่นาน กิ่งกาญจน์ทนเป็นสะใภ้จีนได้เพียงสิบเอ็ดเดือนก็ขอเป็นโสดอีกครั้ง
ศรีนางไม่รู้ปัญหาของผู้ใหญ่แต่ความสัมพันธ์ของคู่นี้ค่อนข้างแปลกคือ เลิกกันแล้วแต่ยังไปมาหาสู่เป็นประจำ
“นุ้ยเหรอเนี่ย โตเป็นสาวแล้ว” กิ่งกาญจน์พิจารณามองหลานสาวอดีตสามีอย่างพอใจ ก่อนขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าเด็กสาวสวมเสื้อผ้าทั้งเก่าทั้งเชย ทั้งๆ ที่หน้าตาสวยแปลกตาชวนมอง
“จบมอหกแล้วค่ะพี่กิ่ง”
“เสียใจด้วยนะเรื่องแม่ พี่กิ่งเพิ่งรู้จากโกจ๋าย”
“ไม่เป็นไรค่ะ แม่…ไปสบายแล้ว” น้ำเสียงศรีนางสั่นและเบาเมื่อพูดถึงแม่ที่จากไป
กิ่งกาญจน์เพิ่งรู้ตัวว่าไม่ควรพูดเรื่องนี้ เผลอสบตากับอดีตสามี อีกฝ่ายมองด้วยสายตาตำหนิ เธอจึงรีบปรับสีหน้า เปลี่ยนเรื่องคุย “นี่ร้านพี่เอง ได้โกช่วยแนะนำให้คำปรึกษาจนเป็นรูปเป็นร่าง”
“พี่กิ่งไม่ทำร้านเสริมสวยแล้วเหรอคะ” ก่อนแม่จะพาเธอย้ายออกจากบ้านก๊งกับอาม่า ศรีนางได้เจอกิ่งกาญจน์ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ประทับใจความสวย ความมั่นใจ และความใจดีของอีกฝ่าย ตอนนั้นกิ่งกาญจน์ทำงานเป็นผู้ช่วยในร้านเสริมสวยบริเวณตลาดเกษตร
“ตอนแรกตั้งใจจะมาเปิดร้านเสริมสวยที่นี่…” กิ่งกาญจน์เอี้ยวตัวมองด้านหลัง ซึ่งข้างในนั้นกำลังสร้างเขื่อนและโรงงานไฟฟ้า “แต่โกจ๋ายแนะนำให้ขายของชำ อย่างที่นุ้ยเห็น ขายดีจริงๆ เอาอะไรมาก็ขายเกลี้ยงทุกอย่าง โดยเฉพาะบุหรี่ เหล้า น้ำแข็ง น้ำอัดลม”
“โกฝากนุ้ยด้วยนะกิ่ง” เทียนจ๋ายบอกทั้งสองสาว
“อ้าว เจกจะไปไหนคะ”
“เอาของไปส่งนายช่าง” ชายหนุ่มผิวขาวตาตี่ยิ้มจนตาหยีพลางชี้ให้สองสาวเห็นกล่องลังหลังรถ “เสร็จแล้วเจกจะเข้าเมืองสักสองสามวัน ช่วงนี้ที่บ้าน…เอ่อ…”
“โกจะไปไหนก็ไปเถอะ” กิ่งกาญจน์โบกมือไล่ ไม่อยากรับรู้เรื่องปวดหัวในบ้านของอดีตสามี อันที่จริงเธอยังรักเทียนจ๋ายและอีกฝ่ายก็มีเยื่อใย แต่ในความสัมพันธ์ของสามีภรรยาไม่ได้มีแค่สองคน หลังพ่อของศรีนางจากไป เทียนจ๋ายกลายเป็นกำลังหลักของครอบครัว กิ่งกาญจน์กลายเป็นคนที่สำคัญน้อยลง ปัญหาสะสมทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจแยกทาง แต่ยังเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน “นุ้ยอยู่กับกิ่ง โกจ๋ายไม่ต้องเป็นห่วง”
“โกไม่ห่วงหรอก เก่งทั้งคู่” ก่อนออกไปส่งของ เทียนจ๋ายยื่นธนบัตรจำนวนหนึ่งให้หลานสาว “เจกให้นุ้ยไว้ใช้ อยากได้อะไรก็ซื้อ ถ้าไม่พอก็ยืมกิ่ง เดี๋ยวเจกคืนเอง”
“นี่ก็เยอะแล้วค่ะเจก นุ้ยคงไม่ได้ใช้อะไร”
“ใช้เถอะ” กิ่งกาญจน์ยืนกอดอกมองเด็กสาวพลางส่ายหน้า “พี่จะพาไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ ครีมทาหน้า น้ำมันทาผิว ผมนุ้ยสวยอยู่แล้วไม่ต้องทำอะไร แต่พี่จะจับแต่งหน้าทาหลูด (1) อยู่กับพี่…โหรกไม่ด้าย” ประโยคสุดท้ายกิ่งกาญจน์พูดใต้กับศรีนางหมายถึงจะปล่อยให้ขี้เหร่ไม่ได้
ศรีนางหัวเราะคิก เด็กสาวไม่คิดว่าตัวเองจะสวยอย่างที่กิ่งกาญจน์พูด เมื่อไม่เคยดูแลตัวเองเพราะความอัตคัด ขาดแคลนเงินทอง ทุกอย่างที่กิ่งกาญจน์พูดถึง นับว่าฟุ่มเฟือยเมื่อเทียบกับฐานะ ศรีนางมีแค่แป้งเด็กกระป๋องเล็กไว้ทาหน้ากับสีผึ้งไว้ทาปากเท่านั้น
“เข้าบ้านก่อน ที่ร้านจะยุ่งช่วงเที่ยงกับเย็น” กิ่งกาญจน์เดินนำศรีนางพลางอธิบายร้านค้าของตัวเอง “พี่เอาเงินเก็บมาสร้างห้องเล็กๆ คูหาเดียว ตั้งใจจะเปิดร้านเสริมสวย ตอนนั้นเข้าในเมืองจะไปซื้ออุปกรณ์ แต่บังเอิญเจอโกจ๋ายที่ร้านเกี๊ยว โกบอกว่าขายของดีกว่า ตอนนี้ก็อย่างที่นุ้ยเห็น…ขายดี”
จากนั้นเจ้าของร้านก็พาศรีนางเดินอ้อมไปทางด้านหลัง ซึ่งเป็นถนนสายเล็ก สุดทางเป็นบ้านสองชั้นหลังคามุงกระเบื้องว่าวโบราณ ชั้นล่างปรับปรุงใหม่คือก่ออิฐโบกปูน ส่วนชั้นบนยังคงไว้เช่นเดิมคือฝาบ้านเป็นไม้กระดาน ส่วนรอบๆ ปลูกผลไม้นานาชนิด เพราะอยู่ใกล้ภูเขาลมที่พัดผ่านผิวกายให้ความรู้สึกเย็นสบาย
“ช่วงนี้พี่อยู่คนเดียว แม่กับพี่สาวไปบ้านยายที่ทุ่งสง แต่ไม่ต้องกลัวนะ บ้านข้างๆ นี่ก็ญาติๆ กันทั้งนั้น”
“ไม่กลัวหรอกค่ะ ตอนอยู่บ้านแม่เฒ่า นุ้ยแยกไปอยู่เรือนข้าวคนเดียว”
“ฮะ! อยู่คนเดียว?”
“ค่ะ พี่กิ่ง” ศรีนางตอบตาใส ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ “อยู่คนเดียวมาเกือบปีตั้งแต่แม่ตาย”
“ทำไมล่ะ ได้ยินว่าบ้านแม่เฒ่านุ้ยหลังใหญ่โต”
“แม่เป็นวัณโรค…” จากก้มหน้าศรีนางแหงนมองฟ้าอย่างไร้จุดหมาย “เป็นโรคติดต่อน่ะค่ะ ไม่มีใครอยากยุ่งสุงสิงด้วย เราก็เลยแยกไปอยู่เรือนข้าวกันสองคน”
“แล้วนุ้ยไม่กลัวติดเหรอ” กิ่งกาญจน์ถอนหายใจ ตอนที่ช้องนางออกจากบ้านแม่สามี สุขภาพก็ไม่ค่อยดี แต่เธอไม่รู้ว่าเป็นวัณโรค
ศรีนางส่ายหน้า “ถ้านุ้ยกลัวก็ไม่มีใครดูแลแม่”
“แล้วทำไมแม่เฒ่ายังให้นุ้ยอยู่ที่เรือนข้าวต่อล่ะ” เรื่องนี้กิ่งกาญจน์ไม่เข้าใจ
“ป้ากับลุงกลัวนุ้ยติดโรคจากแม่ก็เลยไม่ยอมให้อยู่บนเรือน” ศรีนางแค่นยิ้ม ทำเสียงบางอย่างในลำคอ “คิดๆ แล้วก็แปลกนะคะพี่กิ่ง…ปากบอกว่ากลัวนุ้ย แต่ให้นุ้ยไปหุงข้าว ทำกับข้าว ทำงานบ้าน ช่วยแม่เฒ่าทำงานทุกวัน”
“คิดว่าบ้านโกจ๋ายผีเปรตอยู่บ้านเดียว ญาติๆ นุ้ยก็เปรตพอกัน” กิ่งกาญจน์ด่าหยาบคายอีกหลายคำ
“ชินแล้วค่ะพี่กิ่ง สบายใจดี อย่างน้อยที่เรือนข้าวก็ไม่ได้ยินเสียงแม่เฒ่าบ่น”
“โธ่ โกตงกับพี่นางคงเสียใจมากถ้ารู้ว่าลูกสาวคนเดียวลำบากขนาดนี้” ขอบตากิ่งกาญจน์แดงก่ำ นับถือความอดทนของศรีนางและสงสารในชะตากรรมราวนรกชังสวรรค์แกล้ง
“ป๊ากับแม่ไม่รับรู้อะไรแล้วค่ะ” กลายเป็นศรีนางที่ส่งยิ้มปลอบใจกิ่งกาญจน์
“ทนได้ยังไง หืม ยายนุ้ย”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะพี่กิ่ง วันไหนแย่ นุ้ยก็นึกถึงคำที่ป๊าสอน” ศรีนางพลิกลิ้นเปลี่ยนภาษา “อ้ายเปี่ยเจียเอ่เอี๋ย…”
“คุ้นๆ นะ”
“ป้ายภาษาจีนที่บ้านก๊งกับอาม่าไงคะ คำขวัญประจำตระกูล”
“อ๋อ…ป้ายภาษาจีนที่เขียนกับพู่กันนั่นนะเหรอ” กิ่งกาญจน์ทำเสียงหมิ่นแคลนคนบ้านนั้น สมาชิกในบ้านอดีตสามีนับเป็นฝันร้ายของเธอ แค่พูดถึงก็อยากจะล้วงคอล้างปาก “แปลว่าอะไร”
“ต้องสู้จึงจะชนะ”
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผิวกายขาวสะอาด ตัดผมสั้นเกรียน สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงดำ ในมือมีนิตยสารออกใหม่สองเล่มยืนรอรถเมล์สายหนึ่งอย่างใจเย็น ครู่ใหญ่รถโดยสารสาธารณะก็จอดสนิทริมทางเท้า ผู้คนกรูขึ้นรถ ชายหนุ่มหลีกทางให้เด็กนักเรียนหญิงสองสามคนก่อนจะช่วยพยุงร่างเล็กๆ ของเด็กชายวัยกำลังซนซึ่งมากับแม่ท้องแก่อย่างคนจิตใจดี
เพราะมัวแต่ช่วยเหลือเพื่อนร่วมทาง จึงไม่เหลือเก้าอี้ว่าง แต่ชายหนุ่มไม่ได้กังวล วันนี้เขาอารมณ์ดีจนอะไรก็ดีไปหมด กระทั่งรถเมล์พาผู้โดยสารถึงปลายทางที่ท่าเตียน ตอนก้าวลงจากรถก็เห็นว่าใครคนหนึ่งโบกมือให้จากฝั่งตรงข้าม
สารินข้ามถนนไปหาคนที่ยืนกอดอกพิงรถเก๋งคันโต อีกฝ่ายสูบบุหรี่ระหว่างรอ ก่อนจะทิ้งก้นกรองเมื่อดูดหมดมวนพอดี
“สวัสดีครับคุณชาย ผมไม่ทราบว่าคุณชายมารอรับ ความจริงผม…”
“เฮ้ๆๆ” คนอายุมากกว่ารีบยกมือปรามชายหนุ่มที่มีศักดิ์เป็นหลาน สารินควรเรียกเขาว่าน้าฉัตร แต่ไอ้เด็กนี่โตมากับกฎระเบียบและถูกปลูกฝังให้เรียกขานด้วยฐานันดรที่มีติดตัวตั้งแต่กำเนิด “นายยังไม่ลืมใช่ไหมว่าฉันเป็นน้องชายแม่นาย”
“โธ่ ทราบสิครับ”
หม่อมราชวงศ์ฉัตรชลธรส่ายหน้าระอา แต่ตอนนี้เขาไม่อยากยืนเถียงกับหลานริมถนนจึงพยักพเยิดให้อีกฝ่ายขึ้นรถ
“กว่าจะเจอตัว ฉันว่าจะร่างหนังสือราชการถึงพ่อนาย” คุณชายฉัตรเป็นชายหนุ่มที่เพียบพร้อมทุกด้านทั้งเชื้อสาย การศึกษา รูปร่างหน้าตาและฐานะทางสังคม ความเป็นกันเองและเข้าถึงง่ายทำให้เขาเป็นหนุ่มเนื้อหอมที่รุ่มรวยด้วยเสน่ห์แห่งบุรุษ “เรียน…ท่านเสนาธิการ กระผมนายฉัตรชลธร ตามสายเลือดนั้นมีศักดิ์เป็นน้าของนายสาริน กระผมใคร่ขอความอนุเคราะห์ ‘ยืมตัว’ บุตรชายของท่าน เพื่อช่วยราชการงานด่วน จึงเรียนมาเพื่อทราบ…”
สารินยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหัวเราะทันทีที่ฟังน้าชายพูดจบ คุณชายฉัตรเป็นคนอย่างนี้ คือมีอารมณ์ขัน บางครั้งก็ยกเรื่องตลกร้ายมาพูดเล่นให้พอแสบๆ คันๆ ส่วนเรื่องที่ทำให้ชายผู้เต็มไปด้วยเสน่ห์หัวเสียทุกครั้งคือ…ครอบครัวใหม่ของสาริน
“คุณพ่อทำงานเยอะครับ ช่วงนี้ได้ยินว่า อ่า…จะยุบสภา”
“ร้อยตรีสารินจึงต้องช่วยบิดา…” ม.ร.ว.ฉัตรชลธรเดาะลิ้นกับกระพุ้งแก้มเป็นกิริยาที่ชอบทำเมื่ออยู่กับคนใกล้ชิด “ไม่ใช่สิ ต้องช่วยให้คุณนายได้เป็นคุณหญิงเร็วๆ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ” สารินปฏิเสธได้ไม่เต็มปาก เพราะเป็นอันรู้กันว่าภรรยาใหม่ของพ่อกระเหี้ยนกระหือรืออยากเป็น ‘คุณหญิง’ ทุกลมหายใจเข้าออก
“งั้นเรื่องที่ดอดไปหาท่านนายพลถึงบ้านก็ไม่จริงละสิ”
“นายพล? ท่านไหนครับคุณชาย”
“คนที่ลูกสาวสวยๆ น่ะ ได้ยินว่าเพิ่งจบอักษร พ่อเขากำลังรุ่ง เป็นคนสนิทของ…” ฉัตรชลธรเอ่ยชื่อผู้นำประเทศในช่วงเวลานั้น “ถ้าได้ดองกัน พ่อนาย แม่เลี้ยงนายก็…”
สารินเงียบไปครู่หนึ่ง ทำไมจะไม่รู้ว่าแม่เลี้ยงทำได้ทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์
ความเงียบของสารินทำให้คนใจร้อนอย่างคุณชายฉัตรอดรนทนไม่ไหว “นี่ ชีวิตนายเคยได้เลือกอะไรตามใจตัวเองบ้างหรือเปล่า ที่อยู่ ที่เรียน อาชีพ แม้กระทั่งเมีย…ริน ชีวิตเป็นของเรา อย่าให้ใครมากำหนด”
ชีวิตเป็นของเรา สารินทวนประโยคนั้นซ้ำๆ ในหัว น่าแปลกที่จู่ๆ เขาก็เกิดการรับรู้โดยสัญชาตญาณ ชีวิตนี้ไม่ใช่ของเขา มันเป็นของใครบางคนต่างหาก
“ท่านพ่อเป็นห่วงนาย” คนเป็นน้าหมายถึงท่านตาของสาริน ซึ่งสิ้นชีพิตักษัยเมื่อปีกลาย
“ทราบครับคุณชาย”
ฉัตรชลธรถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนขับเบนซ์ไปตามถนนสาธารณะสายหนึ่งชื่อเดียวกับนามสกุลแล้วเบี่ยงรถชิดแนวรั้วเหล็กสีขาว มีสัญลักษณ์ประจำตระกูล บ้านหรือที่ใครๆ เรียกขานว่า ‘วังปรียาธร’ ซ่อนตัวอยู่หลังต้นก้ามปูใหญ่เพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้อาศัยที่เคหะสถานตั้งอยู่ริมถนนสายหลัก
“ว่าที่เมียนายสวยเลยละริน ฉันเจอตอนงานบอล” ฉัตรชลธรหมายถึงงานฟุตบอลประเพณีระหว่างสองมหาวิทยาลัย “ได้ยินว่าคนตามจีบเยอะ แต่เข้าไม่ถึงสักคน อย่างว่า…ลูกสาวคนเดียวของนายพล”
“คุณชายอย่าพูดแบบนั้นสิครับ ใครได้ยินเข้าผู้หญิงจะเสียหาย ตอนนี้เราไม่ได้เป็นอะไรกัน ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน” ไม่บ่อยนักที่สารินจะเอ่ยตำหนิคนที่เขานับถือเยี่ยงญาติผู้ใหญ่ทั้งที่อายุต่างกันไม่ถึงสิบปี
“ใครจะได้ยิน หือ ริน ตรงนี้มีแค่เราสองคน” ชายเจ้าของบ้านรอกระทั่งเด็กในบ้านเปิดรั้ว ขณะที่รถยุโรปคันโตค่อยๆ เคลื่อนตัว ฉัตรชลธรก็อดวิจารณ์ชีวิตหลานชายไม่ได้ “น่าเสียดายที่นายไม่ได้เรียนมหา’ลัย ว่าแต่โรงเรียนนายร้อยเขาสอนอะไรบ้าง”
สารินเพียงยิ้ม เลือกที่จะไม่ตอบ
“เล่ามาเถอะน่า ฉันแค่อยากรู้ ที่ถามเพราะเห็นว่านายไม่ได้เลือกอะไรเองสักอย่าง พ่อนายวางแผนไว้หมดแล้ว…ประถม มัธยม เข้าเตรียมทหาร จบโรงเรียนนายร้อย ต่อด้วยรับราชการ…สมมตินะริน ถ้าแม่นายยังอยู่…นายอยากเป็นอะไร”
สารินยังเงียบ ชายหนุ่มค่อยๆ เบือนหน้ามองสระขนาดใหญ่รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ในนั้นมีบัวหลวงกำลังชูช่อออกดอกเต็มสระ บัว…แม่ของเขาชื่อบัว หม่อมราชวงศ์ช่อนลินี ปรียาธร
นั่นสินะ…ถ้าแม่ยังอยู่ สารินจะมีชีวิตแบบไหน อยู่ภายใต้กฎระเบียบ ปฏิบัติตามความต้องการของพ่ออย่างเคร่งครัด หรือมีอิสระใช้ชีวิตเต็มที่เหมือนน้าชาย
“ความเห็นส่วนตัวนะริน ฉันว่านายเหมาะกับมหา’ลัย นายไม่ใช่คนทะเยอทะยาน ติดจะรักสงบ เป็นลักษณะของนักวิชาการ ฉันก็เลย…” คุณชายฉัตรจอดรถ ดับเครื่องยนต์ มองหน้าคนที่มีศักดิ์เป็นหลานครู่หนึ่ง “ขอยืมตัวนาย”
“ยังไงครับ ผมไม่เข้าใจ” สารินตามไม่ทัน
“เข้าไปคุยกันข้างใน ยังจำบ้านแม่ได้หรือเปล่าริน นายไม่มาเหยียบที่นี่ตั้งแต่สิ้นท่านพ่อ”
สารินไม่ถือคำพูดประชดประชันของอีกฝ่าย ชายหนุ่มแหงนหน้ามองสิ่งปลูกสร้างที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นคุ้นเคย ตัวตึกเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนทรงโคโลเนียลสีไข่ไก่ ส่วนประตูหน้าต่างเป็นสีเขียว สารินเดินผ่านระเบียงซึ่งเหนือศีรษะเป็นฝ้าโค้ง กระเบื้องปูพื้นเป็นลวดลายที่กำลังได้รับความนิยม เครื่องเรือนหลายชิ้นเป็นแนวอาร์ตนูโวผสมผสานกับเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่เอี่ยม การตกแต่งจัดวางทำได้ลงตัว ไม่ขัดหูขัดตากับความเก่าและใหม่
บ้านเป็นตัวแทนของผู้อาศัย สารินคิดอย่างนั้น เพราะบ้านปรียาธรก็เหมือนฉัตรชลธรคือมีความร่วมสมัย ก้าวไปข้างหน้า แต่ไม่ลืมว่าเป็นใครมาจากไหน
สารินเดินตามเจ้าของบ้านผ่านโถงต้อนรับ จนถึงกลางบ้านที่โปร่งโล่งด้วยเพดานสูง ปรากฏชุดรับแขกไม้สักทองแกะสลักเป็นลวดลายอ่อนช้อย สารินจำได้ว่าท่านตามักนั่งอ่านหนังสือพลางจิบชายามบ่ายตรงนี้ ตอนที่ทรุดนั่งบนเก้าอี้ชายหนุ่มก็คิดถึงเจ้าของบ้านคนก่อน
“คุณหนึ่งไม่อยู่หรือครับ บ้านเงียบ” สารินหมายถึงหม่อมหลวงหนึ่งนริศ บุตรชายของชาญชลธี พี่ชายแม่ ซึ่งปัจจุบันทำงานที่ประเทศเพื่อนบ้าน มีเพียงหนึ่งนริศที่อาศัยกับคุณชายฉัตรชลธรเพราะกำลังเรียนในระดับอุดมศึกษา
“หนึ่งไปออกค่ายกับมหา’ลัย”
“ครับ”
ฉัตรชลธรไม่อ้อมค้อม เขาหยิบกระดาษออกจากซองเอกสารแล้วยื่นให้สาริน ความเป็นบุตรคนเล็กของหม่อมเจ้าชโนดม ปรียาธรทำให้ชายหนุ่มมีนิสัยติดจะเอาแต่ใจ โดยเฉพาะกับหลานชายที่มีนิสัยสุภาพเรียบร้อยไม่หือไม่อือ
“เพื่อนฉันเป็นนักศึกษา เรียน ป.เอกที่เคมบริดจ์ กำลังทำวิจัยเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม มันอยากได้ล่าม”
สารินอ่านเอกสารในมือช้าๆ เดิมคิดว่าฉัตรชลธรพูดเล่นเรื่องหนังสือขอความอนุเคราะห์ ทว่าตัวอักษรจากแป้นพิมพ์ดีดในมือ บอกว่าน้าชายพูดจริง ทำจริง เพียงแค่คนอนุญาตเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของเขา แต่ก็นั่นแหละ หน่วยนี้ขึ้นตรงกับเสนาธิการ เท่ากับนายของสาริน เป็นลูกน้องของบิดา
“เสธ.เกรงใจฉันก็เลยยอมให้ยืมตัวเป็นกรณีพิเศษ แม่เลี้ยงนายก็…หว่านพืชหวังผล”
สารินไม่สงสัยเรื่องนั้น เขารู้ดีกว่าคุณนายลออ ภรรยาใหม่ของพ่อเป็นคนยังไง ชายหนุ่มระงับอาการตื่นเต้นเมื่ออ่านรายละเอียดจนจบ
“กรมป่าไม้ส่งคนไปตั้งแต่ปีที่แล้ว อีกไม่กี่วันการไฟฟ้าจะปิดอุโมงค์น้ำ ช่วงหน้าฝนระดับน้ำจะเริ่มสูง” ฉัตรชลธรอธิบายคร่าวๆ “เบนจามิน…เพื่อนฉันบินมาที่นี่เพื่อเก็บข้อมูลทำวิจัยเกี่ยวกับ Ecological Effects of Dams”
“อ๋อ น่าสนใจมากครับ แล้วผมต้องทำอะไรบ้าง” แววตาสารินเป็นประกาย ตื่นเต้นกับบทบาทใหม่ของชีวิต
“ก็เป็นล่ามให้เบน เป็นผู้ช่วยมันนั่นแหละ งานหนักเลยแหละเพราะไอ้นี่คึก บ้างาน คงเก็บข้อมูลทั้งวันทั้งคืน ถ้าถามว่าทำไมงานนี้ต้องเป็นนาย เพราะฉันรู้ว่านายถูกฝึกให้อดทนทั้งร่างกายและจิตใจ”
“ครับคุณชาย”
“ถือว่าไปทำใจ เพราะตอนนายกลับมา ทางนี้คงเตรียมงานหมั้นไว้แล้ว”
“ผม…” สารินก้มหน้า ซ่อนแววตาบางอย่างไม่ให้น้าเห็น ฉัตรชลธรพูดถูก ตั้งแต่จำความได้เขาไม่เคยมีสิทธิ์เลือก
“ถ้านายสนุกกับงานทางโน้นฉันจะช่วยถ่วงเวลาให้” คนเป็นน้าเข้าใจ รู้ว่าดีว่าหลานโตมาอย่างไร บนบ่านายร้อยหนุ่มแบกความคาดหวังของคนอื่นไว้หนักอึ้ง
“ครับ” เป็นอีกครั้งที่สารินไม่มีโอกาสได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกกระตือรือร้น
“ได้ยินว่าสาวใต้สวยคม…” ฉัตรชลธรอมยิ้มกรุ้มกริ่ม เผยแง่มุมหนุ่มเจ้าสำราญเป็นที่เลื่ยงลือเรื่องหญิงสาวข้างกาย “นายยังหนุ่มยังแน่น ระวังจะ ฟอล อิน เลิฟ”
สารินหัวเราะ ‘ตกหลุมรัก’ อย่างนั้นหรือ…เป็นไปไม่ได้หรอก
ทว่า บางครั้งโชคชะตาก็เล่นตลกอย่างร้ายกาจ ลงใต้ครั้งนี้…ชีวิตของสารินไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เชิงอรรถ :
(1) ลิปสติก