ศรีนาง ตอนที่ 4 : สระแก้ว

ศรีนาง ตอนที่ 4 : สระแก้ว

โดย : เมษาริน

Loading

ศรีนาง โดย เมษาริน นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับชะตาชีวิตของ ศรีนาง สาวชาวบ้านผู้อาภัพเพราะบิดามารดาจากไปด้วยโรคร้าย และนั่นเป็นแรงผลักดันให้เธออยากเป็นหมอ แต่เธอขาดก็คือโอกาสดีๆ นั้น กระทั่งโชคชะตาชักนำให้เธอช่วยชีวิตนายทหารหนุ่มชาวกรุง ผู้ทำให้ชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

 

‘พี่พรานจ๋า เอาปีกเอาหางให้น้อง พี่พรานเดินก่อน น้องร่อนตามหลัง’

‘นายพรานเอาปีกให้นางโนราห์ม่ายแม่’ ศรีนางถามระหว่างที่มารดาเล่านิทานให้ฟังอย่างออกรส

‘แม่เล่าให้นุ้ยฟังไม่รู้กี่รอบ นุ้ยจำได้หมดแล้ว’

‘แม่เล่าสนุกมาก นุ้ยชอบ นุ้ยอยากฟังทุกคืนเลย’ ช้องนางเล่านิทานเรื่องพระสุธน มโนราห์สนุกอย่างที่ศรีนางพูด ไม่เพียงเล่ายังร้องบทกลอนสลับกัน ส่วนฉากที่เธอชอบที่สุดคือตอนพรานป่ายึดปีกยึดหางของนางมโนราห์ ‘น่าสงสารนางโนราห์นะแม่ โดนนายพรานจับตัวไป ไม่ได้อยู่กับพี่กับน้อง’

‘คุณทวดของนุ้ยเล่าให้แม่ฟัง…นางโนราห์เกือบได้ปีกได้หางคืนจากนายพราน’

‘จริงหรือแม่’

‘อือ คุณทวดเล่าว่านายพรานแอบปีกกับหางไว้ใต้ที่นอนของนางโนราห์ เพราะไม่คิดว่าของมีค่าอยู่ใกล้ตัวก็เลยไม่รู้’

‘แต่สุดท้ายก็กลายเป็นเมียพระสุธน’ ศรีนางเสริม หัวเราะคิกคักตามประสาเด็ก

‘แม่ก็เก็บของมีค่าในที่ที่ไม่มีใครนึกถึงเหมือนกันนะลูก’

ความเยาว์วัยทำให้ศรีนางไม่ทันคิดว่าแม่หมายถึงอะไร จนกระทั่งอีกฝ่ายจากไปด้วยโรคร้าย ทิ้งนิทานที่ประกอบด้วยเรื่องเล่าและบทกลอนไว้ช่วยขับกล่อมยามที่ศรีนางเหนื่อยล้าในโลกของความจริง

เด็กสาวสะดุ้งตื่นจากฝันเมื่อโดนศอกแหลมๆ ของป้ารุ่งกระทุ้งที่สีข้าง ศรีนางเผลอหลับเพราะเมื่อคืนเธอเข้านอนเกือบเช้าหลังอ่านฤทธิ์มีดสั้นเล่มหนึ่งจบ เพื่อพบว่าไม่ได้อ่านเล่มสอง และไม่มีโอกาสแม้กระทั่งส่งหนังสือคืนเจ้าของด้วยตัวเอง

รถสองแถวประจำทางสิ้นสุดบริเวณตลาดย่านชุมชน สามสาวสามวัยลงจากรถเป็นกลุ่มสุดท้าย จากตรงนี้ไปบ้านของยายจันทร์ต้องเดินผ่านตลาดสดและร้านค้า

สองเท้าศรีนางหนักอึ้ง เธอนึกสังหรณ์ใจอย่างไรพิกลเมื่อจู่ๆ เช้าวันนี้พบว่ายายจันทร์กับป้ารุ่งมาปรากฏตัวหน้าร้านกิ่งกาญจน์ โดยให้เหตุผลว่ามารับตัวศรีนางกลับไปช่วยทำงาน ระหว่างเดินลากขากลับบ้าน ต้องเดินผ่านสระน้ำใสแจ๋วราวกระจก ชาวบ้านจึงเรียกที่นี่ว่า ‘สระแก้ว’ ซึ่งเกิดจากตาน้ำผุดขึ้นมาตามธรรมชาติ เชื่อว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ บริเวณขอบสระมีต้นโพใหญ่ผูกผ้าหลากสีตำนานเล่าว่ามี ‘ตาผ้าขาว’ คอยคุ้มครองดูแลลูกหลาน

จู่ๆ ก็คิดถึงนางกินรีมาเล่นน้ำในสระโบกขรณี ศรีนางเข้าใจนางมโนราห์ แม้แต่ไม่ได้ถูกริบปีกยึดหาง ทว่าภาพที่ยายจันทร์กับรุ่งเดินประกบหน้าหลัง ราวกับว่าโดนบ่วงบาศของพรานบุญพันธนาการ สิ้นไร้ทางหนี

ขณะเดินผ่านสระ ศรีนางพนมมือพลางอธิษฐานจิต…

ขอให้แคล้วคลาด

หญิงสาวเดินช้าลงเมื่อใกล้ถึงบ้าน ถัดจากสระแก้วเพียงชั่วอึดใจจะเจอสะพานไม้ใช้ข้ามคลองอิปัน ระดับน้ำก่อนถึงฤดูฝนตื้นจนมองเห็นสันดอนทรายโผล่กลางคลอง ริมตลิ่งมีคนตกเบ็ด ยกยอ บ้างก็วางไซ นับเป็นสายน้ำที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของชาวบ้านละแวกนี้

ศรีนางถอนหายใจขณะที่เดินตามยายกับป้าข้ามสะพานไม้ บ้านใหญ่ของท่านขุนนาติดริมแม่น้ำ เพียงข้ามสะพานก็มองเห็นหลังคาบ้านท่ามกลางต้นหมากและต้นมะพร้าวสูงชะลูด สาวน้อยไม่ได้รู้สึกดีใจเลยสักนิดที่ได้กลับมาที่นี่ เธอโหยหาอะไรบางอย่างข้างนอกนั่น

“แขบๆ เดินเข้าตะ อย่าให้เขามาท่า” ป้ารุ่งหมายถึงให้ศรีนางรีบเดิน อย่าให้คนอื่นรอ

“ใครท่า” ศรีนางถาม สีหน้าไม่ค่อยดี รู้สึกใจหวิวๆ

“รุ่ง อย่าแหลงมาก” ยายจันทร์ดุลูกสาวคนโตที่พูดมากเกินความจำเป็น ก่อนหันไปสั่งหลานสาว “นุ้ย แขบหิด”

ทั้งๆ ที่ได้รับคำสั่งให้รีบ แต่ศรีนางยังเดินด้วยความเร็วเท่าเดิม กระทั่งข้ามสะพานมาถึงอีกฝั่ง จากริมถนนต้องเดินเข้าไปอีกหน่อย ผ่านแนวต้นไม้สูงทั้งหมาก มะพร้าว ทุเรียนบ้าน ละมุด และมะปริง เพราะบ้านติดริมคลอง เดินทางได้ทั้งทางถนนและทางน้ำ ศรีนางจึงไม่เห็นว่า ‘แขก’ พายเรือมารออยู่ก่อนแล้ว กระทั่งเห็นรองเท้าที่ตีนบันไดหลายคู่ ศรีนางยังมองโลกในแง่ดี อาจจะเป็นแขกของตาสายก็ได้

“มาแล้วๆ” ทันทีที่เห็นคณะที่กลับจากเขื่อน ใครบางคนก็ร้องทักจากบนเรือนน้ำเสียงตื่นเต้นเกินจำเป็น

เมื่อเห็นว่าคนที่นั่งหน้าสลอนเต็มเรือนเป็นใคร ใบหน้าศรีนางซีดเผือด อยากหนีไปจากตรงนั้น แต่เพราะเป็นคนมีปัญญาจึงตั้งสติ เตือนตัวเองว่าทุกปัญหาล้วนมีทางออก

“มากันนานแล้วยัง” ยายจันทร์ทักทายแขกด้วยสีหน้าแช่มชื่น เลือกที่นั่งข้างๆ ตาสาย ส่วนเก้าอี้ไม้อีกสามตัวเป็นกำนันเกษมกับภรรยาและป้าอุไร ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่าแกเป็นแม่สื่อ ส่วนบนพื้นไม้กระดานขัดถูสะอาดสะอ้านคือคมสันต์ลูกชายคนเดียวของกำนันเกษมนั่งขัดสมาธิยิ้มอวดฟันขาวตัดกับผิวสีเข้ม

“พวกเราพอมาถึงนิน้าจันทร์” ป้าอุไรหมายถึงเพิ่งมาไม่นาน “พร้อมหน้าพร้อมตา อย่าให้เสียเวลา ดีม่ายพี่กำนัน”

“เอาเลยอุไร” กำนันเกษมบอกแม่สื่อ

“วันนี้วันดี อุไรพาพี่กำนันกับพี่พะยอมมา…”

“เข็ด (1) ตีน” ศรีนางทะลุกลางปล้อง ขยับตัวยุกยิกไปมา “สงสัยคริวกินขา”

“นุ้ย!” ยายจันทร์ส่งสายตาพิฆาตใส่หลานสาวตัวดี

“น้องนุ้ยยืดขามาทางพี่ได้” คมสันต์ยิ้มหวานให้ศรีนาง ในสายตาของชายหนุ่ม หลานสาวยายจันทร์ทำอะไรก็น่าเอ็นดูทุกอย่าง เขาแอบชอบแอบรักศรีนางมานาน รอให้อีกฝ่ายเรียนจบมัธยม จึงรบเร้าให้พ่อมาสู่ขอจับจองไว้ก่อน

“พี่สันต์มาทำไหร” ศรีนางถามตัวต้นเหตุตรงๆ แม่สื่อถึงกับอ้ำอึ้งพูดไม่ออก “มาขอนุ้ย?”

“นุ้ย!” ยายจันทร์กำราบหลานสาวเสียงต่ำ

ศรีนางแสร้งทำหูทวนลม ไม่สนอาการร้อนรนของคนเป็นยาย “ว่าพรือ พี่สันต์มาทำไหร มาขอนุ้ยใช่ม่าย”

“ครับ พี่ให้พ่อมาแหลง (2) น้องนุ้ย”

“ถามนุ้ยสักคำแล้วยังว่าอยากแต่งงานม่าย” ศรีนางมองหน้าสบตาคมสันต์ ฝ่ายลูกชายกำนันเกษมหน้าเสียกับคำพูดตรงไปตรงมา “นุ้ยเพิ่งสิบแปด”

“อีอ้อยลูกอีอรแม่ค้าขายเคย (3) มีผัวมีลูกตั้งแต่สิบห้า” ป้ารุ่งเอ่ยแทรก หมั่นไส้หลานสาวตัวดีเต็มที เกลียดสีหน้าผยองจองหองทำราวกับว่าการได้เรียนถึง ม.6 นั้นสูงส่งกว่าใคร

“นุ้ยไม่เหมือนอ้อย อย่าเอาไปเทียบกัน นุ้ยไม่พร้อมออกเรือนแต่งงานเป็นเมียใคร แล้วนุ้ยก็เด็กเกินกว่าจะมีลูกค่ะ”

“ออกไปก่อน ให้คนใหญ่ๆ เขาแหลงกันเอง” กำนันเกษมพูดช้าแต่ชัด ส่งสายตาดุให้ศรีนาง

“ไม่ไปค่ะ เรื่องของนุ้ย นุ้ยจะฟัง”

กำนันเกษมตบเก้าอี้ไม้ข้างตัวดังปังทำคนที่อยู่ตรงนั้นสะดุ้ง ยกเว้นศรีนาง ถึงตอนนี้เธอไม่กลัวอะไรทั้งนั้น

“ให้หมั้นกันก่อน ดีม่ายกำนัน” ยายจันทร์พูดเสียงอ่อน ตวัดสายตามองหลานสาว ก่อนจะทำท่าพินอบพิเทากับกำนันและภรรยา

“สันต์อายุเท่าไหร่แล้ว” ตาสายเพิ่งมีโอกาสพูดเป็นครั้งแรก ชายชราเอ่ยถามด้วยสำเนียงภาษาเฉพาะตัว

“ยี่สิบเอ็ดแล้วครับ”

“บวชแล้วหรือยัง”

เมื่อโดนทัก ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจ “เคยบวชเณรครับตาสาย”

“ขอตาดูมือ” อย่างเดียวที่ตาสายช่วยหลานสาวได้คือถ่วงเวลา ปกติหมองูไม่ดูดวงให้ใครหากเจ้าตัวไม่อนุญาต แต่นี่เป็นกรณีพิเศษ ส่วนหนึ่งเพราะตาสายสัมผัสได้ถึงพลังงานลึกลับบางอย่างที่กำลังคุกคามคมสันต์ ชายหนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดอยู่ในคราวเคราะห์ ตาสายไม่ได้พูดทุกอย่างที่เห็น ทว่าจู่ๆ บรรยากาศแจ่มใสแดดจ้าฟ้าเปิดพลันอึมครึม ครึ้มฟ้าครึ้มฝน เสียงลมพัดผ่านหวีดหวิวชวนให้วังเวง

“พันพรือมั้งหมอสา” พะยอมถามเสียงเบา ความเป็นแม่ของคมสันต์ทำให้นางรับรู้ด้วยสังหรณ์บางอย่าง อันที่จริงพะยอมฝันร้ายหลายคืนแล้ว ตั้งใจจะพาลูกไปให้หลวงตาที่วัดรดน้ำมนต์เพื่อความสบายใจ

“ให้บวช…อย่างน้อยสักพรรษา”

“แต่…” คมสันต์ไม่เห็นด้วย เขาอยากมีเมียใจจะขาด

“แม่ก็ว่าดี”

“แต่ว่าน้องนุ้ย…” คมสันต์รู้ว่าวันหนึ่งต้องบวชเรียนทดแทนบุญคุณพ่อแม่ แต่ก่อนบวชอยากจัดการเรื่องศรีนางให้เรียบร้อย เขากลัวว่าน้องนุ้ยจะตกเป็นของคนอื่น จึงให้พ่อกับแม่มาพูดคุยทาบทามไว้ก่อน

“หมั้นกันก่อนก็ได้” ยายจันทร์ยังอยากให้หมั้นหมายไว้ก่อน อย่างน้อยเงินทองของหมั้นต้องมี “บวชปีนี้ ปีหน้าแต่ง ตอนนั้นนุ้ยใหญ่พอดี” คนพูดหมายถึงศรีนางโตพอจะออกเรือนได้แล้ว

“แต่ว่านุ้ย…” ศรีนางทำท่าจะค้าน

“นุ้ย…” ตาสายเรียกชื่อหลานเสียงเบา ส่งสัญญาณบางอย่างที่รู้กันสองคน ศรีนางจึงเก็บปากเก็บคำนั่งนิ่งอย่างสงบเสงี่ยม

“หมั้นก่อนก็ได้ครับ” คมสันต์สรุปรวบรัดไม่รอแม่สื่อ ไม่อยากได้ยินหญิงสาวที่หมายปองเอ่ยปฏิเสธ “ต่อเช้า ต่อรือ (4) เลยได้ม่าย”

“ต้องผูกดวงก่อน” ตาสายบอกเสียงเรียบ

ศรีนางใจชื้น อย่างน้อยเธอก็มั่นใจว่าตาสายจะช่วยถ่วงเวลา

“คุณพะยอม” ตาสายหันไปพูดกับแม่ของคมสันต์ตรงๆ “บวชเร็วเท่าไหร่ก็ดีเท่านั้น”

 

ในมือสารินเป็นน้ำอัดลมขวดแก้ว ชายหนุ่มดื่มได้เพียงครึ่งก็หมดความอยากเมื่อค่ำวันเดียวกันกิ่งกาญจน์บอกว่าศรีนางกลับบ้านไปแล้ว

“นุ้ยฝากหนังสือมาคืนคุณริน” สาวเจ้าของร้านชำบิดริมฝีปาก ทำเสียงบางอย่างในคอ “สงสารนุ้ย ยังไม่อยากกลับ แต่แม่เฒ่ามารับถึงเรือน”

“ยังไม่ทันได้ร่ำลาเลยครับ” สารินใจหาย เขารู้จักศรีนางไม่กี่วันก็จริง แต่รู้สึกถูกชะตาและเอ็นดูสาวน้อยตากลมคนนั้น “ผมคิดว่านุ้ยจะอยู่ต่อ น้องยังขอให้ผมช่วยสอนภาษาอังกฤษ”

“พี่กิ่งก็งงค่ะคุณริน ยายกับป้าของนุ้ยรีบมารับ นี่โกจ๋ายก็ยังไม่รู้ แต่ทำไงได้ นุ้ยเป็นลูกหลานเขา”

“แต่นุ้ยก็เป็นหลานเจกจ๋ายเหมือนกันนี่ครับ” สารินเรียกเทียนจ๋ายว่าเจกตามศรีนาง พ่อค้าเชื้อสายจีนคนนั้นเป็นคนน่าคบหา ไม่ได้หน้าเลือดเอาเปรียบทั้งกับเขาที่เป็นคนต่างถิ่นและกับชายชาวต่างชาติอย่างเบนจามิน

“ก๊งกับม่าของนุ้ยไม่ค่อย…เอ่อ…สนใจเท่าไหร่ ตั้งแต่ลูกชายเขาตายก็ไม่ดูดำดูดีพี่นางกับนุ้ยค่ะ โดยเฉพาะลูกสะใภ้คนไทยกับหลานสาว ถ้าเป็นหลานชายก็ว่าไปอย่าง”

สารินพยักหน้า พอจะเข้าใจค่านิยมบางอย่างของคนไทยเชื้อสายจีน

“ขนาดพี่ยังทนอยู่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับแม่ของนุ้ย” กิ่งกาญจน์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงเรื่องในบ้านของอดีตสามี “พี่นางทนอยู่บ้านแม่ผัวได้ไม่นาน พอเริ่มป่วยเขาก็รังเกียจ โดนคนในบ้านดูถูกดูแคลนสารพัด พี่นางน่ะทนได้ แต่พอยายนุ้ยเริ่มโต…แถมเป็นเด็กฉลาด ด่าเป็นภาษาจีนนุ้ยก็ฟังรู้เรื่อง พี่นางเลยพาลูกกลับไปอยู่บ้าน”

“แล้วบ้านนุ้ยอยู่แถวไหนครับ นุ้ยบอกว่าริมคลองอิปัน ผมพอรู้มาว่าคลองสายนี้ค่อนข้างยาว” สารินถามด้วยความสนใจ

“พี่กิ่งยังไม่เคยไปหรอกค่ะ แต่โกจ๋ายเคยบอกว่าอยู่ใกล้ๆ สระแก้ว…เป็นสระเล็กๆ ที่มีตาน้ำผุดขึ้นมา”

“ริน” ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูง สวมแว่นสายตาขับรถของกรมป่าไม้มาจอดหน้าร้านชำแล้วยื่นซองจดหมายให้ชายหนุ่ม “ผมแวะไปค่าย มีจดหมายฝากมาให้คุณ”

“ขอบคุณครับ”

สารินคุยกับอีกฝ่ายสองสามคำ ก่อนพลิกซองจดหมาย ลายมือหนักๆ เขียนด้วยปากกาหมึกซึมทำให้ชายหนุ่มรู้ทันทีว่าใครส่งมา เขาเปิดซอง เนื้อความด้านในมีไม่กี่บรรทัด อันที่จริงค่อนข้างรวบรัด ไม่มีสักประโยคถามไถ่ว่าสะดวกสบายดีหรือเปล่า คำสั่งอย่างไม่เป็นทางการ ทำให้สารินนึกสงสัยว่าเขาอยู่ในฐานะอะไร…ลูกหรือลูกน้อง

โทรศัพท์กลับมาด่วน

ไม่กี่นาทีต่อมาสารินก็ขับรถกระบะออกจากร้านชำของกิ่งกาญจน์ ก่อนจอดนิ่งหน้าตู้โทรศัพท์สาธารณะช่วงหัวค่ำ

กลางฝ่ามือชายหนุ่มเป็นเหรียญมูลค่าหลายสิบบาท สารินยกหู รอเสียงสัญญาณ แล้วกดหมายเลขโทรศัพท์บ้าน…

“สวัสดีค่า บ้านเสธ.เดี่ยว” คนรับโทรศัพท์เป็นแม่บ้านช่างพูด เป็นคนสนิทของคุณนายลออ ภรรยาใหม่บิดา

“ขอเรียนสายคุณพ่อครับป้าแอ๊ด”

“อ้าว คุณรินเองเหรอคะ สักครู่ค่ะ”

“ใครโทรมาตอนนี้” เสียงเข้มงวดคุ้นหูลอยมาจากปลายสาย

“คุณรินโทรมาค่ะคุณนาย”

“ฉันคุยเอง” ลออกรอกเสียงไม่พอใจผ่านสายสัญญาณ “มีอะไรหรือเปล่าริน คุณพ่อมีแขก”

“สวัสดีครับคุณน้า”

“ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญ ค่อยโทรเข้าห้องทำงานคุณเดี่ยวพรุ่งนี้เช้าก็แล้วกัน”

“แต่…” สารินทำท่าจะรายงานว่าบิดาสั่งให้เขาโทร.หาด่วน

“เรื่องด่วนหรือเปล่า ฝากน้าไปเรียนคุณพ่อก็ได้ ตอนนี้กำลังคุยกับท่านนายพล อีกนานกว่าจะเสร็จ”

สารินนิ่งไปหนึ่งอึดใจ พลิกข้อมือดูเวลา…ยี่สิบนาฬิกาเศษ ก่อนวางสาย ชายหนุ่มบอกแม่เลี้ยงว่าจะโทร.มาใหม่ในหนึ่งชั่วโมง

“เดี๋ยวผมไปส่งคุณเบนกลับที่พักก่อน” สารินออกจากตู้โทรศัพท์ บอกชายหัวแดงที่รออยู่ในรถด้วยสีหน้าติดจะเป็นกังวล

“ม่าย เปน ราย” เบนจามินพูดภาษาไทยด้วยสำเนียงแปลกแปร่ง “Don’t worry”

“พ่อผมติดธุระ ต้องรออีกหนึ่งชั่วโมง”

สารินไม่ใช่คนช่างพูด แต่เบนจามินเดาสีหน้าคนที่เด็กกว่าได้ ด้วยอุปนิสัยของชาวตะวันตกไม่นิยมถามเรื่องส่วนตัว ชายชาวอังกฤษเพียงยื่นบุหรี่หนึ่งมวนให้สาริน

“ผมไม่สูบครับ”

“ไม่อยากสูบหรือสูบไม่เป็น” เบนจามินถาม หรี่ตามองนายทหารหนุ่มที่มาเป็นผู้ช่วยของเขาตลอดระยะเวลาเกือบสิบวันด้วยสายตาเข้าอกเข้าใจ

“เคยสูบครับคุณเบน”

“ถ้าชาร์ลส์ไม่บอกว่านายเป็นทหารฉันคงไม่เชื่อ” เบนจามินเรียกคุณชายฉัตรว่าชาร์ลส์ “แต่ฉันก็เข้าใจความเป็นเอเชียนแพเรนต์นะ”

ตอนแรกสารินปฏิเสธมวนกลมเรียวอัดแน่นด้วยสารนิโคติน แต่ความเครียดสะสมทั้งเรื่องครอบครัวและความกังวลใจลึกๆ ถึงเด็กสาวผู้มีดวงตากลมโต ในที่สุดร้อยตรีหนุ่มก็หยิบบุหรี่หนึ่งมวนที่เบนจามินยื่นให้เป็นครั้งที่สองมาจุดสูบ นักวิจัยชาวอังกฤษยังอยู่ในรถ แต่เปิดกระจกโผล่ใบหน้ามาเล็กน้อย ส่วนสารินยืนพิงข้างกระบะ ปล่อยความกังวลไปกับควันบางๆ ที่ให้กลิ่นฉุนเฉพาะตัว

“เห็นแบบนี้แล้ว…นายดูเป็นคนธรรมดาขึ้นมาเลย” เบนจามินวิจารณ์อย่างขบขัน

“ยังไงครับ”

“ปกตินายจริงจัง วางตัวอย่างกับเป็นบุตรพระผู้เป็นเจ้า”

สารินขำพรืด ความกังวลลดลงเล็กน้อย

“ออกนอกกรอบบ้างก็ได้นะริน” เบนจามินให้คำแนะนำในฐานะที่มีประสบการณ์ชีวิตมากกว่า “This is your life”

เนิ่นนานที่สารินคิดทบทวนคำพูดของเบนจามิน กระทั่งครบหนึ่งชั่วโมงพอดี ชายหนุ่มจึงเข้าไปในตู้โทรศัพท์สาธารณะ สารินเตรียมคำพูดในใจถ้าหากแม่เลี้ยงรับสาย ทว่าเพียงสัญญาณดังขึ้นครั้งเดียว ปลายทางก็รับทันทีเหมือนรออยู่แล้ว

“ริน?”

“ครับคุณพ่อ”

“รออยู่พอดี” พันเอกดนูรอรับโทรศัพท์จากบุตรชายคนโต “พ่อมีงานสำคัญให้รินทำ”

“คุณพ่อจะให้ผมกลับเลยหรือครับ”

“ยังไม่ต้องกลับมา งานที่ว่าอยู่ในพื้นที่ รินอยู่ถูกที่ถูกจังหวะพอดี” เสนาธิการดนูหรือที่ใครๆ เรียกสั้นๆ ว่าเสธ.เดี่ยวมั่นใจในภารกิจครั้งนี้ เมื่อคนทำงานคือลูกชายที่ไว้ใจได้

“งานคุณเบนยังไม่เสร็จครับ” ชายหนุ่มรายงานบิดา เขาไม่อยากผิดคำพูดที่ให้ไว้กับฉัตรชลธร อีกอย่างคือสารินพอใจที่ได้ช่วยเบนจามินทำงาน

“อีกสองสามวันจะมีคนของพ่อไปหาริน เสร็จงานของเพื่อนคุณชายแล้ว รินก็ออกเดินทางได้เลย งานไม่เร่งก็จริง แต่เราก็ช้าไม่ได้”

สารินสงสัยแต่ไม่ถาม เขารู้ว่าบิดาเป็นคนอย่างไร ระมัดระวังตัวแค่ไหน ไม่อย่างนั้นคงไม่ขึ้นมาถึงจุดนี้ทั้งที่อายุยังไม่มาก เรียกว่าก้าวหน้ากว่าเพื่อนร่วมรุ่นหลายขั้น

“เมื่อกี้ท่านนายพลมาหาพ่อถึงบ้าน” น้ำเสียงดนูมีแววภูมิใจที่ได้เปิดบ้านต้อนรับคนสนิทของผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ทั้งยังเป็นอดีตผู้บังคับบัญชา ก่อนที่อีกฝ่ายจะลงเล่นการเมือง

“นายพล? ท่านไหนหรือครับ” สารินถามด้วยสังหรณ์บางอย่าง ภาวนาอย่าให้เป็นเรื่องจริง

“ท่านสัญญายังไงริน จำได้หรือเปล่า”

สารินหลับตา เขาได้ยินชื่อนี้จากคุณชายฉัตรชลธรก่อนลงใต้ ชายหนุ่มแค่ระแคะระคาย แต่ยังไม่เคยได้ยินจากปากบิดา คิดหวังให้เป็นเพียงข่าวลือ

“หนูรัญ…เพิ่งจบอักษร ได้ยินว่าท่านมีลูกสาวคนเดียว หน้าตาสะสวย ความรู้ความสามารถก็ไม่ด้อยกว่าใคร พ่อคิดดีแล้ว หนูรัญเหมาะสมกับรินที่สุด” ดนูเงียบไปอึดใจหนึ่ง ดื่มด่ำกับเส้นทางข้างหน้า ใครๆ ก็อยากดองเป็นทองแผ่นเดียวกับผู้มีอำนาจบารมี อีกอย่างลูกชายคนโตของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าใคร สารินมีดีทั้งรูปร่างหน้าตา สติปัญญาและพื้นฐานครอบครัว “ท่านเมตตาเรามากนะริน…กลับมาคราวนี้ รินกับหนูรัญต้องทำความรู้จักกันไว้ ถ้าเป็นไปได้พ่ออยากให้แต่งก่อนท่านนายพลจะหมดวาระ”

คนฟังไม่ได้ตอบรับ ปลายสาวเงียบไปนานจนดนูคิดว่าสายหลุด

“ริน ได้ยินที่พ่อพูดหรือเปล่า”

“ได้ยินครับคุณพ่อ”

“ความจริงพ่อไม่อยากพูดเรื่องสำคัญทางโทรศัพท์ แต่พ่อตื่นเต้นไปหน่อย” คนเป็นพ่อได้ยินแค่เสียง ดนูไม่เห็นใบหน้าลูกชาย จึงไม่รู้ว่าสารินมีสีหน้าอย่างไรกับการคำสั่งที่ไม่เคยถามความสมัครใจ “รีบทำงานให้เสร็จ กลับมาแล้วเราค่อยคุยรายละเอียดกันอีกที”

“ครับ”

“ริน” ดนูทอดเสียงเรียกลูกชาย เว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนพูดอีกหนึ่งเรื่องสำคัญ “แหวนของคุณแม่ พ่อคิดว่าเหมาะจะเป็นแหวนหมั้น”

โชคดีที่สารินยังไม่ทันตอบรับ เหรียญสุดท้ายถูกกลืนลงตู้พร้อมสัญญาณดับลง ชายหนุ่มดึงสร้อยคอออกนอกเสื้อ นอกจากป้ายชื่อยังมีแหวนประจำตระกูลวงเล็กสำหรับผู้หญิง ตัวเรือนเป็นทองคำขาว หัวแหวนเคยมีเพชรเม็ดเล็กล้อมทับทิม แต่สารินให้ช่างเอาอัญมณีออกแล้วเก็บไว้ในที่ปลอดภัย ที่อยู่บนลำคอจึงมีเพียงเรือนแหวนที่ด้านในสลักชื่อเจ้าของเดิม

บัว ปรียาธร

 

เชิงอรรถ : 

(1) เมื่อย

(2) ทาบทาม

(3) กะปิ

(4) พรุ่งนี้ มะรืนนี้



Don`t copy text!