ศรีนาง ตอนที่ 14 : 雷

ศรีนาง ตอนที่ 14 : 雷

โดย : เมษาริน

Loading

ศรีนาง โดย เมษาริน นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับชะตาชีวิตของ ศรีนาง สาวชาวบ้านผู้อาภัพเพราะบิดามารดาจากไปด้วยโรคร้าย และนั่นเป็นแรงผลักดันให้เธออยากเป็นหมอ แต่เธอขาดก็คือโอกาสดีๆ นั้น กระทั่งโชคชะตาชักนำให้เธอช่วยชีวิตนายทหารหนุ่มชาวกรุง ผู้ทำให้ชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เจ็ดนาฬิกาตรง หญิงสาวก็พร้อมที่โต๊ะอาหาร นอกจากชายเจ้าของบ้านกับแม่บ้านก็ไม่มีใครลงมา ศรีนางหายใจหายคอสะดวกเมื่อไม่มีคุณนายกับลูกๆ ของเธอจ้องจับผิด สาวน้อยจากชนบทผ่านค่ำคืนแรกในบ้านหลังใหญ่ในเมืองหลวงด้วยความอดทนอดกลั้น อย่างน้อยก็มีข้าวกินและมีที่ซุกหัวนอน

ศรีนางตื่นตีห้าเพื่อรอรับหนังสือพิมพ์ อ่านหัวข้อข่าวหน้าหนึ่ง หน้ารอง สกู๊ปพิเศษ ก่อนพิจารณาเลือกประเด็นที่น่าสนใจ เพื่อสรุปให้ท่านเสนาธิการฟัง ทำหน้าที่แทนสารินสุดความสามารถ

“…ปลุกกระแสชาตินิยม นักศึกษาจากสถาบันต่างๆ รวมตัวกันที่หน้าสถานทูตสหรัฐอเมริกาเพื่อประท้วงค่ะ ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายโรนัลด์ เรแกน ประธานาธิบดีสหรัฐ”

“ประท้วงเรื่อง?” ประมุขของบ้านตอกไข่ลวกใส่ชามข้าวต้ม ถามหญิงสาวซึ่งนั่งฝั่งตรงข้ามของโต๊ะรับประทานอาหารห่างออกไปหลายช่วงตัว ภายใต้ท่าทีสาละวนกับขวดพริกไทยและซอสปรุงรส เขากำลังฟังอย่างตั้งใจ

“สหรัฐออกกฎหมายฟาร์มแอ็กต์ค่ะ” ศรีนางเว้นจังหวะครู่หนึ่ง บิดาของสารินไม่ถามแต่รอให้เธออธิบายเพิ่มเติม หญิงสาวเชื่อว่านายพันเอกรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว เพียงแต่อยากรู้ว่าเธอสรุปข่าวได้กระชับรัดกุมหรือไม่ “ฟาร์มแอ็กต์เป็นกฎหมายใหม่ของสหรัฐอเมริกา…ประกาศใช้เพื่อป้องกันสินค้าเกษตรจากต่างประเทศทะลักเข้าประเทศค่ะ ตั้งเงื่อนไขเป็นกำแพงภาษี ถ้าภาษีไม่ได้ผลให้ใช้มาตรการตรวจสอบคุณภาพสินค้า”

“สินค้าอะไรบ้าง” ดนูถาม

“ข้าวค่ะ แล้วก็พืชผลเกษตรอีกหลายอย่าง”

“ข่าวอื่นล่ะ”

“โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงทางโทรทัศน์เมื่อสัปดาห์ก่อน…ประกาศยุบสภา” เรื่องนี้ศรีนางมั่นใจว่าใครๆ ก็รู้ โดยเฉพาะท่านเสนาธิการ เผลอๆ รู้ก่อนมีการประกาศกระมัง เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบ ตั้งหน้าตั้งตารับประทานอาหารเช้า ศรีนางที่เลือกข่าวมา ‘เล่า’ ให้พันเอกดนูฟัง ไม่มั่นใจว่าบิดาสารินพอใจหรือเปล่า แต่เธอตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุด “มีข่าวดังที่ยุโรปด้วยค่ะ สองสัปดาห์ที่แล้ว…เกิดระเบิดในโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลที่เมืองเคียฟ สหภาพโซเวียต”

ดนูเงยหน้าจากอาหารเช้า ส่งสัญญาณให้หญิงสาวพูดต่อ

“มีสารกัมมันตรังสีรั่วไหลออกมา เร่งอพยพชาวเมืองออกจากพื้นที่ คาดการณ์ผู้เสียชีวิต ความเสียหาย…”

“ฉบับไหนลงข่าวนี้” ดนูเลิกคิ้วถาม

“เป็นสกู๊ปข่าวสั้นๆ ฉบับภาษาอังกฤษค่ะ” ศรีนางรายงาน

“ไหนเธอบอกว่าไม่อ่าน ไม่เก่งภาษา”

“จริงๆ นุ้ยก็พออ่านได้ค่ะ ถ้าศัพท์ไม่ยากเกินไป ที่โรงเรียนไม่ค่อยมีหนังสือภาษาอังกฤษให้อ่านนอกเวลา ไม่มีดิกชันนารีเป็นของตัวเอง เวลาเรียนต้องขอยืมของอาจารย์ แต่นุ้ยเห็นดิกชันนารีเล่มใหญ่ในห้องพี่ริน เลยเลือกข่าวสั้นๆ มาสรุปให้คุณพ่อฟัง”

“ว้าย ยายนุ้ย ใครอนุญาตให้หล่อนมานั่งประจ๋อประแจ๋ที่นี่” คุณนายลออส่งเสียงเล็กแหลมอย่างไม่สบอารมณ์ ตอนเห็นเด็กสาวบ้านนอกร่วมโต๊ะกับสามีตั้งแต่เช้า “ไป ไป๊ หล่อนไปกินในครัวโน่น มาเสนอหน้าอะไรตรงนี้”

ศรีนางขยับริมฝีปาก ทำท่าจะพูด แต่ระลึกว่าไม่ควรต่อปากต่อคำกับคุณนายลออ เธอเลิกสรุปข่าวหลังรายงานเรื่องสำคัญไปหมดแล้ว เหลือเพียงข่าวสังคม ประเภทคนดังฟ้องร้องกัน และข่าวเศรฐกิจอย่างค่าเงินบาทอ่อนตัว อีกอย่าง ศรีนางไม่อยากร่วมโต๊ะกับสมาชิกบ้านนี้ ทั้งลออและบรรดาลูกหญิงชายที่ทยอยลงมาทีละคน…เริ่มจากลัดดาในชุดนักศึกษาใบหน้าบึ้งตึง เลิศพงศ์ในชุดนักเรียนโรงเรียนชายล้วนท่าทางเกียจคร้าน และลาวัลย์เด็กสาวหน้าตาสะสวยกับท่าทางเย่อหยิ่งถือตัว

ไม่น่าคบหาสักคน

          ศรีนางคิดในใจ

เมียกับลูกๆ ของพันเอกดนูทำบรรยากาศยามเช้าอึดอัด หายใจหายคอไม่สะดวก แม้ลออไม่เอ่ยปากไล่ ศรีนางก็ไม่อยู่ให้โดนมองด้วยสายตาดูถูกดูแคลน ทันทีที่ลุกออกไป น้องสาวคนโตของสารินก็วิพากษ์วิจารณ์พี่สะใภ้

“ไม่เข้าใจ ทำไมพี่รินเอายายนี่ทำเมีย” ลัดดาใช้สายตามองศรีนางตั้งแต่หัวจดเท้า บิดริมฝีปากเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสวมเสื้อผ้าทั้งเก่าทั้งเชย ไร้สง่าราศี ไม่มีรสนิยม

“เปลี่ยวไง” เลิศพงศ์กระซิบบอกพี่สาว ลดเสียงให้ได้ยินกันสองคน “ผู้ชายก็อยากเหมือนกันหมด พี่รินไม่ใช่พระสักหน่อย” คนพูดยิ้มเยาะพลางเดาะลิ้นกับกระพุ้งแก้ม ที่ผ่านมาเขาซึ่งเป็นน้องชายต่างแม่ใช้ชีวิตภายใต้ความกดดัน เพราะบิดาให้ยึดสารินเป็นแบบอย่าง เลิศพงศ์สะใจ เมื่อคนดีคนเก่งอย่างพี่ชายก็มีจุดด่างพร้อยเหมือนกัน

“ไม่เลือกสักหน่อยหรือ” ลัดดายังกระซิบเสียงเบา ไม่อยากให้บิดาได้ยิน อย่างไรสารินก็เป็นลูกรัก ถ้าพ่อรู้ว่าน้องๆ พูดถึงพี่ชายลับหลังจะโดนเอ็ดเอาได้

“อยากมากๆ ก็ไม่เลือกหรอก” เลิศพงศ์ในวัยย่างสิบแปดปี อ่อนเดือนกว่าศรีนางไม่เท่าไรวิจารณ์พี่ชายอย่างเผ็ดร้อนหยาบคายเหมือนไม่เคยได้รับการอบรม

“เข้าใจละ…เรื่องแบบนี้ไม่เข้าใครออกใครใช่มะ เด่น”

“พี่รินคงชอบเข้าๆ ออกๆ” เลิศพงศ์พูดเป็นปริศนา

ฝ่ายลัดดาใช้เวลาหลายอึดใจกว่าจะรู้ความหมายของน้องชาย พี่สาวจึงขึงตาใส่ “ทะลึ่ง อย่าให้คุณพ่อได้ยินล่ะ”

“มากินข้าวได้แล้ว สองคนนั่นซุบซิบอะไรกันนานสองนาน” ลออดุลูกชายหญิง

ส่วนลูกสาวคนเล็กในชุดนักเรียนคอนแวนต์ นั่งหลังตรง คางเชิด ใบหน้าเด็กสาวอายุสิบเจ็ดสวยสดใสสมวัย แต่แววตาแข็งกร้าวเย่อหยิ่งลดทอนความสวยลงกว่าครึ่ง

 

ล่วงเข้าวันที่สาม ศรีนางทำหน้าที่สรุปข่าวทุกเช้าอย่างแข็งขัน พันเอกดนูแค่รับฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย คนที่อยู่ในฐานะสะใภ้จึงไม่รู้ว่าบิดาสารินพอใจหรือไม่

“วันสองวันนี้ ข่าวหน้าหนึ่งมีแค่สองเรื่องค่ะ”

พันเอกดนูเพียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ศรีนางเริ่มคุ้นเคยกับภาษากายของนายทหารใหญ่ เธอมั่นใจว่าทำหน้าที่แทนสารินได้ดีพอสมควร ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงไม่ยอมให้สรุปข่าวทุกเช้า

“เรื่องน้ำท่วมกับยุบสภาค่ะ…คุณพ่ออยากฟังเรื่องอะไรก่อนคะ”

เป็นอีกครั้งที่ดนูประหลาดใจ เด็กคนนี้กล้ากว่าที่คิด “น้ำท่วม”

“หนังสือพิมพ์ใช้คำว่า ฝนตกเพียง ‘จั๊กเดียว’ กรุงเทพก็กลายเป็นคลอง กลายเป็นแม่น้ำแล้ว…นุ้ยว่าน่าสนุกนะคะ บ้านนุ้ยอยู่ริมคลอง หน้าฝนบางปี น้ำสูงถึงเข่าเลยค่ะ ดักไซ ยกยอ ได้กุ้งได้ปลาเยอะมาก” ศรีนางชะงักเมื่อเผลอพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับข่าว หญิงสาวกระแอมสองสามทีแล้วกลับมาพูดเรื่องน้ำท่วมต่อ “พายุดีเปรสชันทำถนนสุขุมวิทตลอดสายกลายเป็นคลอง โดยเฉพาะย่านคลองตัน-พระโขนง โทรศัพท์ก็ใช้การไม่ได้ห้าพันคู่สาย และตั้งแต่น้ำท่วมมีคนตายสามสิบกว่าคนแล้วค่ะ”

“อืม…แล้วอีกข่าวล่ะ”

“เป็นความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองต่างๆ หลังยุบสภา นักวิชาการบางท่านวิจารณ์ว่า…เมืองไทยยังไม่มีพรรคการเมืองที่แท้จริง มีแต่พรรคพวก”

“เธอคิดยังไง”

“คะ?”

“ฉันถามว่าเธอคิดยังไงกับข่าวนี้”

“หดหู่และน่าสิ้นหวัง” ศรีนางตอบตรงๆ อย่างที่รู้สึก

“อายุแค่นี้จะไปรู้อะไร” ดนูเอ่ยเสียงเรียบ คนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมากกว่า ผ่านมาหลายเหตุการณ์ หลายรัฐบาล คิดว่าการเมืองเป็นเรื่องไกลตัวเด็กผู้หญิงอายุสิบแปด

“อย่างน้อยก็รู้ว่าความเจริญมันกระจุก…ไม่กระจาย บ้านนุ้ยยังไม่มีไฟฟ้าเลยค่ะ ใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าด ใช้เตาอั้งโล่”

“ฉันต้องไปทำงานแล้ว” ดนูตัดบท ลุกออกจากโต๊ะรับประทานอาหาร มีศรีนางวิ่งตามมาถึงโรงจอดรถ

“คุณพ่อคะ…สามวันแล้วนะคะ พี่รินยัง…”

“ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอ” ท่านเสนาธิการเอ่ยเสียงเข้ม แล้วนั่งรถออกไปทำงานพร้อมพลขับส่วนตัว

ครู่ต่อมาคุณนายลออขับรถเก๋งอีกคันส่งลูกๆ ทั้งสามไปเรียน ส่วนศรีนางเดินคอตกเข้าบ้าน ระงับความคิดฟุ้งซ่านด้วยการใช้เวลาทั้งเช้าสำรวจชั้นหนังสือของสาริน

หญิงสาวกรีดนิ้วบนสันทีละเล่ม ชายหนุ่มสะสมหนังสือหลากหลายแนว ทั้งตำราเรียนตั้งแต่ชั้นประถม มัธยมต้น วิชาทหารในโรงเรียนนายร้อย นิยายจีนกำลังภายใน ปรัชญา ประวัติศาสตร์ หนังสือแปล กวีนิพนธ์และหนังสืออ่านนอกเวลาภาษาอังกฤษ

นอกจากเครื่องเขียน บนโต๊ะเขียนหนังสือยังมีดิกชันนารีสองเล่มใหญ่ซึ่งผ่านการใช้งานอย่างโชกโชน ศรีนางลูบคลำพจนานุกรมอังกฤษ-ไทย เรียบเรียงโดยสอ เสถบุตร ส่วนอีกเล่มเป็นดิกชันนารีอังกฤษ-อังกฤษ ฉบับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด

หญิงสาวเก็บตัวอยู่ในห้องตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง ป้าแอ๊ดมาเคาะประตูบอกว่ามีแขกมาหา ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน คนที่มาหาเป็นประจำทุกวันคือคุณชายฉัตรชลธร

คุณน้ายังหนุ่มมักมาเวลานี้ เพราะคุณนายลออกลับมาจากส่งลูกๆ ไปเรียน ส่วนแม่บ้านสาวใหญ่ก็ทำงานบ้านเสร็จแล้ว ทั้งคู่มีเวลาว่าง ‘แอบมอง’ คุณน้าสามีที่มาเยี่ยมหลานสะใภ้จากในบ้านได้อย่างเต็มที่

ทันทีที่ฉัตรชลธรเจอศรีนาง ราชนิกุลหนุ่มก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางวิพากษ์วิจารณ์อดีตพี่เขย…

“เสธ.ไม่ควรสั่งกักรินด้วยซ้ำ เมื่อเช้าฉันพยายามขอเยี่ยม…นุ้ยรู้ไหมว่าเกิดอะไร”

“คะ?”

“ห้ามเยี่ยมไง” ฉัตรชลธรทำหน้าไม่สบอารมณ์

“พี่ริน…ลำบากแย่” ศรีนางก้มหน้าซ่อนแววตาเสียใจระคนรู้สึกผิด

“แล้วนุ้ยเป็นยังไงบ้าง อยู่ได้ไหม” คนที่มีศักดิ์เป็นน้าถามอย่างห่วงใย “หลับสบายดีหรือเปล่า”

ศรีนางส่ายหน้า ในความสัมพันธ์ปลอมๆ ระหว่างเธอกับสาริน ไม่มีอะไรลึกซึ้งอย่างที่คนอื่นเข้าใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะนอนหลับสบาย ซุกกายบนฟูกอ่อนนุ่มใต้ผ้าห่มอุ่นๆ ในขณะที่เจ้าของห้องถูกจองจำอิสรภาพ

“นุ้ยเป็นห่วงพี่รินค่ะ”

“ทำได้แค่รอ ฉันพอรู้ว่าโทษกักตัวปกติไม่นานหรอก สามวัน ห้าวัน หรืออาจจะเจ็ดวัน” ฉัตรชลธรอธิบายเพิ่มเติมให้สาวน้อยฟัง “รินไม่ได้ถูกขังในคุกทหาร จริงๆ ต้องเรียกว่ากัก…ก็คือกักบริเวณให้อยู่ในห้อง ในอาคาร มีทหารยามเฝ้า เพียงแต่พ่อเขาสั่งห้ามเยี่ยม”

“เพราะพี่รินเลือกนุ้ย ปฏิเสธคู่หมาย” ศรีนางรู้ดีแก่ใจ สามวันในบ้านหลังใหญ่ เธอต้องทนฟังคุณนายลออพูดจากระแนะกระแหนกระทบกระเทียบทุกครั้งที่เห็นหน้า

“แต่ฉันดีใจนะ อย่างน้อยรินก็เลือกเมียให้ตัวเอง”

คำว่า ‘เมีย’ ทำแก้มสาวน้อยขึ้นสีระเรื่อ ศรีนางรู้สึกกระดากอายกับสถานะทางสังคม ระหว่างเธอกับสาริน

“แล้วเรื่องเรียนล่ะ คิดไว้บ้างหรือยัง”

“นุ้ยมีเวลาประมาณหนึ่งปีในการเตรียมตัวสอบค่ะ ระหว่างนี้ก็อ่านหนังสือ พี่รินบอกว่ามีโรงเรียนกวดวิชา…อย่างไรนุ้ยต้องรอพี่รินค่ะ ไม่มี…อ่า…ไม่มีเงิน ไม่รู้ถนนหนทาง”

ฉัตรชลธรมองหลานสะใภ้อย่างเอ็นดู เขาที่เติบโตมาพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ ไม่ติดขัดเรื่องการศึกษา บิดาสนับสนุนให้เล่าเรียนถึงระดับสูงสุด ทั้งยังเห็นความสำคัญของภาษาต่างประเทศ จ้างครูฝรั่งมาสอนลูกกับหลานถึงบ้าน

“ระหว่างรอรินก็ใช้เวลานี้เรียนรู้ ปรับตัว ความจริงฉันอยากพานุ้ยออกไปเปิดหูเปิดตา แต่ให้เป็นหน้าที่ของรินดีกว่า บ้านปรียาธรยินดีต้อนรับเสมอ”

“ขอบคุณคุณน้ามากๆ ค่ะ แค่แวะมาหานุ้ยทุกวันก็ดีที่สุดแล้วค่ะ อย่างน้อยก็มีคนให้พูดคุยด้วย”

“เมื่อเช้าฉันแวะทำธุระที่พาหุรัด ก็เลยซื้อขนมอินเดียมาฝาก” ฉัตรชลธรยื่นถุงกระดาษให้หลานสะใภ้

“โอ้โห ขนมสีสวยจัง น่ากินมาก” ศรีนางไม่สงวนท่าที ความเป็นเด็กทำให้เธอตื่นเต้น อยากรู้อยากลอง “ไม่เคยกินขนมอินเดียเลยค่ะ จริงๆ เพิ่งเคยเห็นครั้งแรก”

“อันนี้เรียกว่ากุหลาบจามุน” ฉัตรชลธรชี้ที่ก้อนกลมๆ สีน้ำตาล “ส่วนสีขาวคือรัสกุลลา…ร้านนี้อร่อยมาก คนทำขนมเป็นชาวปัญจาบี มาจากแคว้นปัญจาบ ตอนเหนือของประเทศอินเดีย” ตามประสาคนช่างพูด คุณน้าจึงถือวิสาสะเล่าประวัติความเป็นมาของขนมที่แวะซื้อมาฝากหลานสะใภ้ “พรุ่งนี้ฉันต้องไปเยาวราช อยากได้อะไรจีนๆ ไหม ขนม ผลไม้”

ศรีนางส่ายหน้า ส่งยิ้มให้คุณน้าใจดี “อย่าลำบากเลยค่ะ แค่แวะมานุ้ยก็เกรงใจจะแย่ อีกอย่าง…พ่อนุ้ยเป็นจีนฮกเกี้ยน ชื่อนามสกุลในบัตรประชาชนของนุ้ยคือ…นางสาวศรีนาง แซ่ลุ้ย”

ฉัตรชลธรขมวดคิ้ว เมียสารินมีอะไรให้ประหลาดใจได้ตลอดเวลา ชื่อจริงแสนจะไทยแท้ ส่วนนามสกุลก็บอกเทือกเถาเหล่ากอ หน้าตานั้นไซร้…ผสมผสานจนสวยแปลกตาน่ามอง เมื่อรู้จักมากขึ้น ฉัตรชลธรไม่แปลกใจ ทำไมสารินจึงกล้าขัดใจพ่อ

“แซ่ลุ้ย…ไม่เคยได้ยินเลยแฮะ”

“ลุ้ยแปลว่าสายฟ้าค่ะ” ศรีนางสะบัดนิ้วไปมาเพื่อเขียนคำว่า 雷 ในอากาศเป็นภาษาจีนอวดคุณน้า

“อ่าน เขียนภาษาจีนได้ด้วยหรือ” เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มประหลาดใจ

“ได้นิดหน่อยค่ะ ป๊าสอน แต่หลังป๊าเสียก็ไม่ได้เรียนภาษาจีนอีกเลย”

“อ่า…ขอโทษนะนุ้ย…พ่อเสียเพราะอะไร”

“ไปค้าขายแถวชายแดนค่ะ เป็นไข้มาลาเรีย”

“เสียใจด้วยนะ แล้วแม่ล่ะ” ฉัตรชลธรเพิ่งตระหนักว่าเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหลานสะใภ้เลย

“แม่…แม่ก็เสียแล้วเหมือนกันค่ะ…เป็นวัณโรค” น้ำเสียงศรีนางเบาราวกระซิบ

“เอ่อ…ฉันเสียใจด้วย” ฉัตรชลธรส่งยิ้มจางๆ ให้สาวน้อยชะตาอาภัพ นึกไม่ออกว่าเด็กคนหนึ่งแบกรับความสูญเสียได้อย่างไร เมื่ออายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้น

ทั้งคู่จมกับความคิดของตัวเอง ในความเงียบศรีนางแหงนหน้ามองท้องฟ้าผ่านแมกไม้ใต้ต้นตะแบกริมรั้ว ช่อดอกสีม่วงอวดกลีบอ่อนบางพลิ้วไหวยามสายลมพัดผ่าน เนิ่นนานกระทั่งหนึ่งเสียงคุ้นหูดังขึ้น

“น้องนุ้ยก็เลยอยากเป็นหมอ”

ทั้งศรีนางและฉัตรชลธรหันไปตามเสียง คนที่ปรากฏกายใต้ต้นตะแบกคือชายที่ถูกกักตัวนานถึงสามวัน สารินสวมเครื่องแบบชุดเดิม ผมสั้นเกรียน ขอบตาดำคล้ำ แนวกรามเขียวครึ้มด้วยไรหนวด และข้างแก้มยังปรากฏรอยนิ้วมือบนผิวขาวละเอียด

“พี่ริน…” ความดีใจทำให้ศรีนางลุกจากเก้าอี้เหล็กดัด วิ่งตัดสนามหญ้าแล้วทิ้งร่างกอดชายหนุ่มแน่น “ฮืออออ…พี่รินกลับมาแล้ว”

ทั้งที่เก้กังขัดเขิน แต่สารินยอมให้สาวน้อยกอดรัด โหนกแก้มซีดๆ เปลี่ยนเป็นสีเข้มตอนวางมือบนไหล่เล็กแล้วลูบเบาๆ เขาเสียใจที่ไม่ได้ดูแลเธอ ปล่อยให้ศรีนางเผชิญหน้ากับความแปลกที่ต่างถิ่นเพียงลำพัง แต่ดีใจที่ได้กลับมา และได้เห็นกับตาว่าเธอสบายดี

“อะแฮ่ม” ฉัตรชลธรกระแอมกระไอ สบตาสารินล้อๆ

สาวน้อยจากชนบทดีใจกว่าใคร สามวันที่ผ่านมา มีข้าวให้กิน มีที่ให้นอนก็จริง แต่ทุกอย่างไร้ความหมายเมื่อข้างกายไม่มีสาริน นอกจากกอดไม่ปล่อย มือเล็กยังยึดกำเครื่องแบบชายหนุ่มไว้แน่น

“น้องนุ้ยปล่อยพี่ก่อนครับ”

คราวนี้เป็นศรีนางที่เพิ่งรู้ตัว รีบปล่อยมือที่ขยุ้มเสื้อสารินจนยับยู่ ถอยหลังหนึ่งก้าวยาวๆ ก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาใคร โดยเฉพาะพยานเหตุการณ์อย่างฉัตรชลธร

“สวัสดีครับคุณชาย ขอบคุณ…”

“ดีใจที่นายกลับมา” คุณน้าไม่รอให้หลานพูดจบ สำรวจสารินคร่าวๆ ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อพบว่าหลานชายสบายดี มีเพียงรูปร่างที่ซูบผอมลง แต่แววตาเป็นประกายสดใส จนคนมองต้องลอบกลอกสายตาอย่างหมั่นไส้…

มีความรักสินะ

 

สารินพนมมือไหว้น้องชายแม่อีกครั้ง เมื่อทั้งหมดนั่งสนทนาเป็นกิจจะลักษณะใต้ร่มเงาต้นตะแบกที่ออกดอกสีม่วงอ่อน “ขอบคุณคุณชายอีกครั้งครับ ที่แวะมาหาน้องนุ้ยทุกวัน”

“เมื่อเช้าฉันไปหานายด้วย แต่ทหารยามบอกว่าห้ามเยี่ยม”

“ครับ คุณพ่อสั่ง”

“เมียนายเบื่อที่นี่จะแย่ พรุ่งนี้พาออกไปข้างนอกสิ แวะไปที่กินข้าวเย็นที่บ้านด้วยล่ะ ฉันจะบอกยายเอี่ยมเตรียมของโปรดนาย”

“น้องนุ้ยอยากไปหรือเปล่า” สารินถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบ

“อยากไปค่ะ อยากไปมากๆ” ศรีนางกระตือรือร้น สามวันที่นี่เธอไม่ได้ย่างกรายออกนอกรั้วสักครั้ง ขังตัวเองอยู่ในห้องแคบๆ มีหนังสือของสารินเป็นเพื่อนคลายเหงา

“งั้นพรุ่งนี้…เราสองคนรบกวนด้วยนะฮะ อีกอย่าง ผมมีเรื่องปรึกษาคุณชายครับ” สารินสบตาน้าชาย อีกฝ่ายเพียงพยักหน้า เมื่อรู้ว่าคุยที่นี่ตอนนี้ไม่ได้

“ฉันกลับก่อนดีกว่า ผัวเมียจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน”

พูดจบฉัตรชลธรก็เดินออกไป รวดเร็วเหมือนตอนเข้ามา ทิ้งบรรยากาศเก้อเขินของสองหนุ่มสาวไว้ข้างหลัง

“เอ่อ…สามวันที่ผ่านมาน้องเป็นยังไงบ้าง อยู่ได้ไหม กินอิ่ม นอนหลับหรือเปล่า ขอโทษที่ทิ้งให้น้องอยู่ที่นี่คนเดียวตั้งแต่วันแรกที่มาถึง พี่ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น” น้ำเสียงสารินเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

“กินอิ่มค่ะ แต่นอนไม่ค่อยหลับ” ศรีนางรายงานเสียงใส ความเยาว์วัยทำให้เธอจมกับความทุกข์ไม่นาน เพราะทุกข์กว่านี้ก็ผ่านมาแล้ว “พี่รินต่างหาก…ลำบากเพราะนุ้ย”

สารินส่ายหน้า เพียงเห็นสาวน้อยสบายดี เขาก็พอใจ

“ขอดูแผลพี่รินหน่อย” ศรีนางเปลี่ยนเรื่อง เมื่อบรรยากาศระหว่างกันอบอวลด้วยอารมณ์และความรู้สึกบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ

สารินเลิกขากางเกง ถอดรองเท้าถุงเท้าออก พรูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อหลังเท้าคลายอาการอึดอัด

ศรีนางย่อกายเพื่อกดนิ้วรอบๆ รอยแผลที่กำลังตกสะเก็ด ผิวบริเวณนั้นบวมแดงเล็กน้อย เธอคิดเร็วจี๋ สารินต้องกินยาแก้ปวด และนอนพักโดยยกเท้าสูง อาการบวมจะทุเลาลง

“เท้าบวม”

“ไม่เป็นไรครับ พี่คงยืนนานเกินไป”

“ยืน? โดนขังนี่นั่งไม่ได้เหรอ”

“ยืนสำนึกผิดกับคุณพ่อ” สารินอธิบายเสียงเบา

“พี่รินไม่ได้ทำผิดสักหน่อย”

“พี่ก็เลยไม่สำนึก” สารินหมายความอย่างนั้น ทั้งที่โดนกดดัน บิดาสั่งให้จัดการความสัมพันธ์ระหว่างเขากับศรีนางให้เด็ดขาด แต่ชายหนุ่มเลือกซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเอง

“คะ” ศรีนางไม่เข้าใจ

“พรุ่งนี้จะพาไปข้างนอก น้องอยากไปไหน” สารินไม่อธิบาย ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องสนทนา

“คุณน้าซื้อขนมอินเดียมาฝาก นุ้ยอยากไปพาหุรัดค่ะ”



Don`t copy text!