ดั่งมนต์สุคนธา : บทนำ

ดั่งมนต์สุคนธา : บทนำ

โดย : สิปัณฑ์

Loading

ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา

สายลมที่หนาวเย็นที่สุดของปีในคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่…ขณะที่ทุกคนต่างเฉลิมฉลองกับครอบครัวหรือกับเหล่าบรรดามิตรสหายนั้น ท่ามกลางผู้คนมากมายที่กำลังรอนับถอยหลังในคืนข้ามปีแต่ในทางกลับกันยังมีใครบางคนที่กำลังนั่งไม่ติดอยู่ที่บริเวณอาคารผู้ป่วยฉุกเฉินที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

หญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนที่บัดนี้กลับเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีแดงสด…บาดแผลที่บริเวณใบหน้าและตามเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยแผลเล็กแผลน้อยเต็มไปหมด ด้วยท่าทีกระวนกระวายนั้นเธอเดินวนไปวนมาบริเวณหน้าห้องฉุกเฉินอย่างร้อนใจด้วยในขณะนี้ผู้เป็นพ่อและแม่ของเธอกำลังเป็นตายเท่ากันอยู่ภายในห้องฉุกเฉิน

“ญาติคนไข้เชิญด้านนอกก่อนนะคะ…”

เสียงของพยาบาลชุดขาวที่ดังขึ้นพร้อมๆ กับม่านที่รูดปิด หญิงสาวที่ขณะนี้ร่างกายเต็มไปด้วยแผลที่เกิดจากสะเก็ดของกระจกรถยนต์กำลังเดินวนไปมาอย่างร้อนใจ ด้วยรู้แน่แล้วว่าอาการของพ่อแม่เธอไม่ดีเป็นแน่

“น้องๆ อันนี้กระเป๋าน้องใช่ไหม”

เสียงของเจ้าหน้าที่กู้ภัยรายหนึ่งเรียกเธอเสียงดังก่อนจะเดินเข้ามาพร้อมๆ กับกระเป๋าสะพายของใบเล็กๆ ใบหนึ่ง หญิงสาวที่พยายามรวบรวมสติรับมันมาถือเอาไว้ในมือที่กำลังสั่นเทาไปหมดก่อนจะค่อยๆ เปิดกระเป๋าเพื่อรับโทรศัพท์ที่กำลังดังอยู่ด้านใน

“แก้วใช่ไหม ถึงไหนกันแล้ว พี่ยังไม่ถึงกันเลยรถติดมาก…” ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงร้อนใจก่อนที่คนถือโทรศัพท์จะร้องไห้ออกมาในทันทีเมื่อยามได้ยินเสียงของผู้เป็นป้า

“ริ…ชาค่ะป้ารินทร์”

ทุกคำกล่าวออกมาจากริมฝีปากอย่างยากลำบากริชาร้องไห้สะอึกสะอื้นจนฟังไม่ได้ศัพท์ก่อนปลายสายจะรีบถามอย่างร้อนใจ

“ริชาเป็นอะไรลูก…แล้วนั้นอยู่ที่ไหน แม่แก้วกับพ่อล่ะ!”

คำถามอย่างร้อนใจจากผู้เป็นป้าก่อนริชาจะสูดหายใจเข้าเพื่อรวบรวมสติและพยายามที่จะไม่ร้องไห้

“อยู่โรงพยาบาลค่ะป้า พ่อกับแม่อยู่ข้างในกับคุณหมอ…”

เด็กสาวพูดออกมาอย่างยากลำบากก่อนจะพยายามกลั้นน้ำตาไว้อีกครั้งหากแต่ไม่เป็นผล ด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้นั้นจนต้องใช้ฝ่ามือของตนเช็ดปัดไปปัดมาบนใบหน้าอย่างน่าสงสาร

“ริชาใจเย็นๆ นะลูก ป้ากับลุงจะรีบไป ริชาถือสายไว้ห้ามวางนะลูก…ไปเร็วคุณกลับรถเลย เร็วๆ สิ!”

สาวน้อยที่พยักหน้างึกๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ นั่งนิ่งอยู่แบบนั้นสายตามองไปยังกระเป๋าของแม่ที่อยู่ในมือแต่ในหัวที่ตอนนี้กลับกำลังนึกถึงอุบัติเหตุที่อยู่ๆ ก็เกิดขึ้นจนทำให้รถยนต์ของเธอเสียหลัก

ท่ามกลางความมืดรอบด้านก็เต็มไปด้วยแสงไฟสีสันฉูดฉาดมากมายทำให้ริชาหมดสติไปจนหลับ แล้วมาได้สติอีกครั้งในตอนที่ถูกพาตัวถึงห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล

“ไม่ใช่พลุไฟแน่ๆ แล้วคืออะไร…”

ริชาคิดในใจวนไปวนมาแต่ก็ไม่สามารถหาคำมาอธิบายเหตุการณ์ที่เธอเห็นได้ จู่ๆ เธอก็ต้องสะดุ้งด้วยความตกใจเพราะสัมผัสของมือปริศนาที่วางลงบนไหล่ของเธอก่อนที่ริชาจะเงยหน้าขึ้นมอง

“แม่!” หญิงสาวตะโกนสุดเสียงด้วยความดีใจก่อนจะโผเข้ากอดผู้เป็นแม่อย่างโล่งอก

“ไม่ต้องร้องแล้วลูก…โตแล้วนะรู้ไหมริชา” เธอพูดด้วยความเอ็นดูก่อนจะกอดปลอบลูกสาวอยู่ครู่ใหญ่พลางใช้มือเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของลูกสาวที่ไม่ว่าจะโตขึ้นมากเท่าใดก็ยังเป็นเด็กเสมอในสายตาเธอ

“แม่คะ แล้วพ่อล่ะคะ…” ริชาถามขึ้นก่อนผู้เป็นแม่จะนิ่งไป หล่อนมองหน้าลูกสาวก่อนจะลูบผมเธออย่างเบามือ

“พ่ออยู่กับหมอด้านในลูก หนูรู้ไหมตั้งแต่มีหนู…ชีวิตพ่อกับแม่มีความสุขขนาดไหน” แก้วขวัญพูดพลางค่อยๆ ดึงริชาเข้าไปกอดอีกครั้ง

“ต่อไปนี้ถ้าแม่ไม่อยู่ หนูต้องอย่าดื้อกับพ่อนะลูก…” หล่อนพูดเสียงสั่นก่อนเสียงในทีวีของโรงพยาบาลจะดังขึ้นพร้อมๆ เสียงนับถอยหลังเป็นสัญญาณของการเริ่มศักราชใหม่

ริชาที่อยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่เมื่อรู้สึกได้ถึงบางอย่างจึงรีบผละออกจากแม่อย่างรวดเร็วก่อนจะพบว่าร่างของแม่เธอค่อยๆ โปร่งใสขึ้น ละอองระยิบระยับสีขาวราวหิ่งห้อยล่องลอยออกจากร่างของผู้เป็นแม่ที่อยู่ตรงหน้าริชา และร่างของแก้วขวัญก็เริ่มเลือนรางลงในทุกขณะ

น้ำตาที่เกาะพราวอยู่บนใบหน้าของผู้เป็นแม่นั้นค่อยๆ ไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างยามที่มันหยดลงบนแก้มนวลของแก้วขวัญนั้น แล้วจึงค่อยๆ สลายกลายเป็นละอองสีขาวสุขสกาวระยิบระยับ

“ไม่เอา หนูไม่ยอมเด็ดขาด…แม่จะไปไหน!” ริชาตะโกนก้องพลางรีบคว้าจะกอดแก้วขวัญอีกครั้งแต่กลับได้เพียงความว่างเปล่าของผู้เป็นแม่

แก้วขวัญมองลูกสาวอีกครั้งก่อนจะยิ้มออกมาทั้งน้ำตา แล้วหล่อนก็ค่อยๆ สลายเป็นละอองสีขาวพร้อมๆ กับที่เสียงพลุไฟมากมายดังสนั่นสาดแสงบนฟากฟ้ายามราตรี ริชาเห็นดังนั้นแต่กลับทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เธอทรุดตัวลงร้องไห้ลงไปที่พื้นที่แก้วขวัญเคยยืนอยู่

ร่างกายที่สั่นเทาไปด้วยความเสียใจนั้นจึงยันกายที่ปวดร้าวไปหมดให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะวิ่งออกไปจากบริเวณนั้นในทันทีด้วยนึกเพียงต้องการตามหาหิ่งห้อยที่สลายหายไปแล้วเท่านั้น

“ริชา นั่นหนูจะไปไหน!”

ป้ารินทร์และลุงเอกที่เพิ่งมาถึงจึงเห็นหลานสาวของตนที่กำลังร้องไห้วิ่งสวนออกไป แต่ยังไม่ทันจะได้จับตัวเธอไว้พยาบาลในห้องฉุกเฉินก็ออกมาเรียกหาญาติของคนไข้ที่ชื่อแก้วขวัญและวิษณุ ทำให้เขาทั้งสองคนต้องรีบเข้าไปด้านในทันที

เด็กสาวที่กำลังเศร้าโศกเสียใจจากการต้องสูญเสียผู้เป็นแม่ไปตลอดกาลนั้นวิ่งเตลิดออกมาที่สนามหญ้ากว้างด้านข้างโรงพยาบาล ท่ามกลางความว่างเปล่าและความเดียวดายในความมืดนั้นหญิงสาวค่อยๆทรุดตัวลงที่ลานกว้างก่อนจะมองขึ้นไปที่ฟากฟ้าที่เต็มไปด้วยพลุไฟหลากสีมากมายนั้น

“จุดบ้าอะไรวะ ฉลองอะไรกัน!” ริชาตะโกนทั้งน้ำตาก่อนจะทรุดตัวปิดหน้าร้องไห้เสียงดังสนั่นแข่งกับเสียงพลุที่ดังไปทั่ว

ความเจ็บปวดที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ เธอจึงทำได้เพียงร้องไห้ออกมาอย่างสุดเสียงเพื่อเป็นการระบายความเสียใจที่ปะทุออกมาราวกับว่าเมื่อทำเช่นนั้นความรู้สึกที่มีอาจจะพอบรรเทาเบาบางลงได้บ้าง

ดูเหมือนโชคชะตาจะยิ่งไม่เข้าข้างริชาเอาเสียเลยเมื่อลมที่พัดแรงนั้นยิ่งทำให้หนาวเย็นกว่าเดิม เมื่อรู้สึกเริ่มหมดเรี่ยวแรงริชากระชับกอดร่างของตัวเองไว้แน่น และมุดใบหน้าลงที่หัวเข่าร้องไห้อยู่แบบนั้น        เสียงสายลมที่พัดผ่านยังคงดังก้องย้ำเตือนความเดียวดายให้ดังขึ้นไปอีก…แต่แล้วจู่ๆ ลมหนาวที่เคยหนาวจับขั้วหัวใจนั้นกลับมีไออุ่นประหลาดเบาบางเข้ามาแทนที่ปกคลุมร่างกายราวผ้าเนื้อบางเบาจนริชาสามารถรู้สึกได้

ไออุ่นนั้นให้ความรู้สึกอบอุ่นเสียจนคนที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากหัวเข่าของตนเองด้วยความประหลาดใจ เมื่อตรงหน้าของเธอนั้นปรากฏร่างของผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ต่อหน้า

ริชามองเขาทั้งที่ดวงตายังเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาของความเสียใจ ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอจึงค่อยๆ ย่อตัวลง ทำให้ริชาสามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน

“ไม่ต้องกลัวแล้วนะ ปลอดภัยแล้ว…” เขาพูดออกมาอย่างแผ่วเบา แต่เมื่อได้ยินดังนั้นอยู่ๆ น้ำตาของริชาก็ไหลออกมาอีกครั้งอย่างไม่อาจควบคุม

ชายปริศนาเมื่อเห็นดังนั้นจึงค่อยๆ ใช้มือของเขาเช็ดน้ำตาที่แก้มให้เธอช้าๆ เขามองเธอด้วยสายตาเจ็บปวดก่อนจะพยายามกลั้นน้ำตาไว้จนดวงตาแดงก่ำ

เธอมองจ้องเขาด้วยความประหลาดใจ อาจเพราะคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เธอไม่เคยรู้จักมาก่อนหากแต่ให้รู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด เพราะแทนที่เธอจะลุกหนีเขาเธอกลับอยู่นิ่งจ้องมองเขาเสียอย่างนั้น

สมองที่กำลังสั่งให้เธอลุกขึ้นแล้วเดินหนีเขาไป แต่ในทางกลับกันนั้นร่างกายและความรู้สึกกลับไม่ตอบสนองต่อคำสั่งการใดของสมองแม้แต่น้อย ริชามองใบหน้านั้นก่อนน้ำตาจะยังคงไหลรินออกมาไม่หยุด

“คุณเป็นใครเหรอคะ…” ริชาถามเสียงเรียบมองเขานิ่ง

ไร้ซึ่งคำตอบจากคนตรงหน้าชายปริศนา ไม่เพียงแต่ไม่ตอบคำถามของเธอแต่กลับมองไปตามบาดแผลต่างๆ ด้วยแววตาเจ็บปวด เขาใช้ปลายนิ้วสัมผัสที่ปอยผมที่หล่นลงมาปกใบหน้าของริชาอย่างเบามือก่อนจะสัมผัสใบหน้าเธออย่างแผ่วเบาอีกครั้ง เช็ดน้ำตาที่ไหลซึมออกมาจึงยันตัวลุกขึ้นยื่นแล้วหันหลังให้กับเธอ

“คุณ คุณจะทำอะไร!”

น้ำเสียงตื่นตระหนกนั้นของริชาถามขึ้นก่อนจะสังเกตเห็นดวงไฟมากมายที่ลอยตรงเข้ามาที่เธอและเขาอย่างรวดเร็ว ร่างของชายปริศนาตรงหน้าของริชาจึงเรืองแสงสีแดงสว่างออกมาพร้อมๆ กับสติของริชาดับวูบลงไปในทันที

 



Don`t copy text!