ตะวันชายน้ำ บทที่ 1 : เมื่อต้องกลับ…บ้าน
โดย : วสุทิยา
ตะวันชายน้ำ นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ ๒ โดย วสุทิยา ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้ดื่มด่ำไปกับเรื่องราวของ ทวิชา ผู้ซึ่งมีบาดแผลในใจที่เกินกว่าจะเยียวยา แต่เมื่อได้เห็นภาพ ตะวันชายน้ำ ภาพเขียนสุดท้ายของพ่อกับเด็กหญิงวันใหม่ ย่าอะเคื้อและภาสุ ความคิดของทวิชาอาจเปลี่ยนไปกับแง่มุมที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยรับรู้มาก่อน
ทวิชาสะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นจากความฝัน เมื่อสัมผัสได้ว่าเครื่องบินเริ่มลดระดับลงพลางซับเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นตรงไรผม ก่อนก้มตัวปรับพนักเก้าอี้ให้ตั้งตรงแล้วค่อยมาดึงหน้าต่างขึ้นเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณเตือนจากพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน
หล่อนขยับตัวเล็กน้อยด้วยความรู้สึกตื่นเต้นปนความประหม่า เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นแสงสีทองระเรื่อจากดวงตะวันยามเช้าสาดแสงไปทั่วท้องน้ำจนเกิดประกายระยิบระยับ ก่อนที่อึดใจต่อมาภาพเบื้องล่างจะถูกแทนที่ด้วยอาคารบ้านเรือนซึ่งผุดขึ้นอย่างหนาแน่น
หญิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงความชื้นตรงฝ่ามือ หล่อนพยายามข่มความรู้สึกระทึกกับความหวาดกลัวไว้ภายใต้ท่าทีสุขุม เหลียวมองรอบกายอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง ความโกลาหลย่อมๆ จากลูกเรือหลายคนทั้งชายและหญิงที่กำลังกุลีกุจอตรวจเช็กผู้โดยสารจัดการรัดเข็มขัดให้เรียบร้อยเตรียมพร้อมสำหรับการลงจอดในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้พลอยทำให้หัวใจของหล่อนกลับมาเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ อีกครั้งอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
“เป็นอะไร…ตื่นเต้นหรือคะ” สตรีในวัยราวห้าสิบเศษหันมาถาม ใบหน้าที่ยังเค้าความงามแม้จะผ่านกาลเวลามานั้นแย้มยิ้มอย่างจริงใจให้กับเพื่อนร่วมเดินทางซึ่งนั่งข้างกันมานับสิบชั่วโมง
“นิดหน่อยค่ะ…ไม่ได้กลับมา ‘ที่นี่’ เสียหลายปี ทุกอย่างเลยดูแปลกตาไปหมด”
“ป้าก็เพิ่งไปส่งลูกสาวเรียนต่อมหา’ลัยที่อังกฤษ เขาไปเรียนต่อโทกฎหมายที่นั่น ความจริงป้าก็ไม่อยากให้เขาไปหรอก อยู่ต่างบ้านต่างเมืองไม่รู้จะกินจะอยู่ยังไง คนเป็นแม่มันก็อดไม่ได้หรอกที่จะเป็นห่วงลูกอยู่เรื่อย ไม่ว่าลูกจะโตแล้วแค่ไหนก็ตาม”
ทวิชายิ้มเซียวๆ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ดีไปกว่านี้ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายยังอยากชวนคุยต่อจึงถามเปรยๆ ขึ้นว่า
“แล้วนี่หนูกลับเมืองไทยทำไมล่ะ มาเยี่ยมญาติ ทำงานหรือจะมาอยู่เลยจ๊ะ”
“มีธุระที่ต้องกลับมาจัดการนิดหน่อยค่ะ” หล่อนพูดเสียงเรียบพลางเอื้อมมือไปหยิบแว่นตาดำที่สอดไว้ในพนักด้านหน้าขึ้นมาสวมเมื่อแสงแดดด้านนอกเริ่มแรงจัด
จากนั้นเมื่อเครื่องบินลำใหญ่เริ่มกางล้อ ผู้โดยสารรวมทั้งลูกเรือทุกคนต่างกลับไปนั่งประจำที่รัดเข็มขัดแน่น ความเงียบจึงปกคลุมรอบตัวหล่อนอีกครั้ง
หญิงสาวในชุดสูทสีดำซึ่งตัดเย็บอย่างประณีตนั่งหลังตรง หล่อนไม่ได้หันลงไปมองด้านนอกอีก ได้แต่กำมือที่เปียกชุ่มด้วยเหงื่อแน่นพร้อมกับหลับตาลง พยายามหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ…น่าแปลกที่โชคชะตาพัดพาหล่อนกับแม่ให้ต้องระหกระเหินเร่ร่อนข้ามน้ำข้ามทะเลไปใช้ชีวิตไกลถึงอังกฤษเกือบยี่สิบปีเพราะต้องการฝังกลบภาพความทรงจำบางอย่างเอาไว้ที่นี่ แต่ใครจะเชื่อว่าสุดท้ายแล้วสายน้ำแห่งชีวิต จะนำพาหล่อนหวนคืนสู่เส้นทางเดิมอีกครั้ง ทั้งที่หล่อนไม่ปรารถนาเลยสักนิด!
ทันทีที่ล้อเครื่องสัมผัสพื้นสนามบิน ความคิดทุกอย่างก็หยุดลงแค่นั้น ทวิชาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางเลื่อนแว่นกันแดดที่เลื่อนลงให้เข้าที่ ไม่นานนักหล่อนก็เดินตามหลังคุณป้าคนนั้นปะปนมากับผู้โดยสารคนอื่นจากตัวเครื่องเข้าสู่อาคารผู้โดยสาร
หญิงสาวเดินเป็นจังหวะสม่ำเสมอ สูทสีดำกับกางเกงยีนส์สีเข้มเข้ารูปยิ่งทำให้เรือนร่างของหล่อนสูงระหงจนชายหนุ่มหลายคนในละแวกนั้นต่างเมียงมองมาด้วยความสนใจ ติดก็แต่ใบหน้างดงามนั้นเรียบเฉย นิ่งสนิทราวกับน้ำในบึงใหญ่ซึ่งไม่อาจคาดเดาความลึกได้ ริมฝีปากบางนั้นเหยียดตึง รวมทั้งนัยน์ตาโศกที่แม้จะถูกซุกซ่อนไว้ภายใต้แว่นกันแดดอันใหญ่แต่ก็แผ่พลังงานบางอย่างที่ทำให้ทุกคนไม่กล้าเข้ามาทำความรู้จัก
ทวิชามิได้สนใจสายตาเหล่านั้น ทันทีที่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองพร้อมกับรับกระเป๋าสัมภาระซึ่งมีเพียงใบเดียวเสร็จเรียบร้อย หล่อนก็เดินตรงมาที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อเรียกรถแท็กซี่ของสนามบินพร้อมกับเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์ชั่วคราวเพื่อความสะดวก จากนั้นจึงค้นหานามบัตรของใครคนหนึ่งในกระเป๋าสะพาย เมื่อพบก็กดหมายเลขทั้งสิบตัว รออยู่ชั่วอึดใจปลายสายจึงกดรับ
“สวัสดีค่ะ…ดิฉัน…ทวิชานะคะ” หล่อนแนะนำ พอได้ยินคนปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเสนอตัวขับรถมารับที่สนามบินก็รีบปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณไม่ต้องมารับหรอก ฉันไปเองได้ นี่ก็เรียกรถแท็กซี่ที่สนามบินแล้ว” หล่อนบอกปัดทันทีแทบไม่ต้องเสียเวลาคิด ความที่ทำอะไรด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็กทำให้เคยชินกับการทำอะไรด้วยตัวเองมากกว่าร้องขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อคนปลายสายยังยืนกรานจะมารับให้ได้ หญิงสาวจึงตัดสินใจบอกวัตถุประสงค์ที่แท้จริง
“ฉันอยากจะไปหา ‘เขา’ ก่อนที่จะเข้าไปดูบ้านน่ะค่ะ ถ้าคุณจะไปรับก็ไปเจอกันที่โรงพยาบาลเลยแล้วกัน”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายตอบตกลงทวิชาจึงกดตัดสาย ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ของตัวเองไว้ในกระเป๋าสะพายโดยไม่ได้บันทึกหมายเลขโทรศัพท์นั้นไว้ เพราะคิดว่าคงอยู่ที่ประเทศไทยได้ไม่นาน พอสะสางธุระทางนี้เสร็จก็จะรีบบินกลับลอนดอนทันที ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องสร้างความทรงจำหรือรู้จักใครที่นี่
หญิงสาวยืนรออยู่ตรงนั้นราวสิบนาที ก่อนที่ชายหนุ่มวัยกลางคนหน้าตาเกลี้ยงเกลาสะอาดสะอ้านคนหนึ่งจะเดินเข้ามาแนะนำตัวพร้อมกับช่วยลากกระเป๋าเดินทางของหล่อน
“คุณมีกระเป๋าเดินทางแค่ใบเดียวเองหรือครับ”
“ค่ะ…คงอยู่ไม่นานก็เลยไม่ได้เอาอะไรมามาก”
“รถจอดอยู่ด้านหน้าประตูครับ ช่วงนี้อากาศเมืองไทยร้อนมาก” เขาชวนคุยพร้อมกับเน้นเสียงสูงคำว่า ‘ร้อน’ ซึ่งมันก็ร้อนอย่างที่เขาบอกจริงๆ เพราะทันทีที่เดินพ้นประตูอาคารผู้โดยสารมาได้ ไอความร้อนผะผ่าวก็พัดเข้ามาปะทะทักทายเป็นอย่างแรก จนหญิงสาวที่ไม่ชินกับอากาศร้อนเช่นนี้มาหลายปีต้องหลบเข้าไปนั่งในรถเมื่อพลขับหนุ่มจัดการเปิดกระโปรงท้ายแล้วใส่กระเป๋าเดินทางของหล่อนลงไป พอกลับเข้ามานั่งประจำที่เขาก็หันมาถามย้ำอีกครั้งด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“คุณจะไปโรงพยาบาลก่อนใช่มั้ยครับ” เขาเอ่ยชื่อโรงพยาบาลรัฐชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเดิมของหล่อนมากนัก
ทวิชาพยักหน้ายืนยัน
“ปกติผมไม่เคยเห็นใครไปที่โรงพยาบาลเลยหลังจากลงเครื่องมา ไปเยี่ยมคนรู้จักหรือครับ”
คำถามที่ได้ยินทำให้หญิงสาวซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังรู้สึกตื้อในอกอย่างบอกไม่ถูก ทันทีที่ตัวรถค่อยๆ เคลื่อนออกจากสนามบินฝ่าการจราจรคับคั่งไปเรื่อยๆ ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในช่วยบรรเทาความร้อนลงไปได้บ้าง หล่อนจึงเอนหลังพิงเบาะแล้วถอดแว่นกันแดด ก่อนจะหันหน้าออกไปด้านนอกมองผ่านกระจกใสๆ ของรถที่กำลังวิ่งไปด้วยความเร็วคงที่
ภาพบ้านเรือนและตึกสูงหลายหลังขึ้นเรียงรายอยู่ริมถนน แสงแดดยามสายทอแสงส่องกระทบกับกระจกของตัวอาคาร เกิดเป็นประกายวิบวับแสบตา พอละสายตามองฝั่งตรงข้ามก็เห็นรถราวิ่งสวนกันขวักไขว่…แล้วตอนนั้นเองที่หญิงสาวแน่ใจแล้วว่าตัวเองได้เดินทางกลับมาสู่แผ่นดินอันเป็นบ้านเกิดอีกครั้งหลังจากไม่ได้กลับมาเลยเกือบยี่สิบปี หลังจากตัดสินใจเลือกที่จะลืม ‘เหตุการณ์ในวันนั้น’ แล้วฝังกลบให้อยู่ลึกที่สุดในความทรงจำ ทั้งที่แม่และตัวหล่อนเองนั้นกลับไม่สามารถลืมมันได้เลยสักวัน!
ทวิชาจมจ่ออยู่กับความคิดของตัวเอง มือทั้งข้างประสานกันแน่นเมื่อทุกการเคลื่อนไหวยามรถพุ่งไปข้างหน้า หัวใจที่เคยหนักแน่นมั่นคงของหล่อนก็เริ่มสั่นคลอนขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งใกล้จุดหมายมากขึ้นเท่าไรทวิชาก็รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินทางไปสู่เงื้อมมือของพญามัจจุราชที่มิอาจหลีกเลี่ยง ท้ายที่สุดใช้เวลาเพียงประมาณชั่วโมงเศษๆ พลขับหนุ่มใหญ่ก็พาหล่อนมาถึงปลายทาง
“ให้ผมเข้าไปจอดตรงไหนดีครับ โรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลใหญ่ คนพลุกพล่าน คุณไม่เคยมาคงหลงแน่ๆ ว่าแต่คนที่คุณจะมาเยี่ยมเขาอยู่ตึกไหนหรือครับ เดี๋ยวผมจะถามให้” ชายหนุ่มขันอาสาด้วยความกระตือรือร้น หากเป็นเวลาปกติทวิชาคงรู้สึกดีกว่านี้ที่ได้รับน้ำใจจากคนแปลกหน้าอย่างที่ไม่ค่อยจะได้รับมากนักยามต้องชีวิตอยู่ต่างแดน แต่เป็นเพราะจิตใจกังวลกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น หล่อนจึงไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรนอกจากพูดขอบคุณเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“ขอบคุณนะคะ จอดตรงนี้ก็ได้เดี๋ยวฉันเดินเข้าไปเอง”
“เอางั้นหรือครับ”
“ค่ะ” ทวิชายืนยัน ก่อนที่เขาจะนำรถจอดเทียบตรงทางเท้าด้านหน้าโรงพยาบาลที่คลาคล่ำด้วยผู้คนจำนวนมากหลากหลายวัยเดินเข้าออกขวักไขว่
หญิงสาวเปิดประตูด้วยมือที่กำลังสั่นเทาพลางก้าวลงมายืนรอรับกระเป๋าเดินทางใบย่อมที่สารถีหนุ่มเดินอ้อมไปเปิดกระโปรงด้านหลังรถแล้วลากมาส่ง ใบหน้าของเขาค่อนข้างคล้ำเผยให้เห็นรอยยิ้มกระจ่างอีกครั้ง พร้อมกับอวยพรหล่อนว่า
“ขอให้คนที่คุณมาเยี่ยมหายไวๆ นะครับ หมอที่โรงพยาบาลนี้เก่งที่สุดในประเทศแล้ว ยังไงก็ต้องรักษาหายแน่นอน”
เขาโค้งศีรษะให้หล่อนอีกครั้งหนึ่งเป็นการอำลาก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถแล้วจากไป หญิงสาวยืนอยู่ตรงนั้นมองจนรถที่นำหล่อนมาที่นี่ลับตาไปจึงหยิบแว่นกันแดดสวมอีกครั้ง ซุกซ่อนน้ำตาที่กำลังหยดอยู่รอมร่อ
ทวิชายืนนิ่งราวกับเป็นรูปปั้นอยู่ตรงนั้นนานเกือบสิบนาที ท่ามกลางสายตาสงสัยของผู้คนที่เดินผ่านไปมา ก่อนจะกลั้นใจสูดหายใจเข้าลึกๆ มือข้างหนึ่งกระชับกระเป๋าสะพายส่วนอีกข้างกำกระเป๋าเดินทางแน่น ก่อนจะเดินเข้าไปติดต่อที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาลในที่สุด
เมื่อบอกเหตุผลของการมาครั้งนี้ เจ้าหน้าที่สาวผู้นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ก็ยื่นมือมารับหนังสือเดินทางของหล่อนอย่างงงๆ ด้วยความที่เอกสารทุกอย่างบ่งชี้ว่าหญิงสาวที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าตอนนี้เป็นคนอังกฤษ แต่กลับมีเค้าโครงหน้าตาแถมยังพูดภาษาไทยได้ชัดเจนทุกถ้อยคำ
“คุณเป็นคนไทยหรือเปล่าคะ ทำไมถึงพูดไทยชัดจังเลย”
“ค่ะ” ทวิชาตอบเสียงเรียบ ไม่ได้แสดงความรู้สึกใด จนผู้ถามได้แต่ทำหน้าแหยๆ พร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาตรงหน้า
“ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยกรอกใบคำร้องให้หน่อยนะคะ หากคนมารับถือสัญชาติอื่นที่ไม่ใช่คนไทยอาจจะต้องให้คุณหมอที่รับไว้เซ็นชื่อด้วย เดี๋ยวดิฉันจะโทรแจ้งคุณหมอให้วันนี้ น่าจะลงเวรพอดี”
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวกรอกรายละเอียดลงไปเป็นภาษาไทยอย่างคล่องแคล่วแม้จะไม่ได้เขียนมานานหลายปี ก่อนจะมานั่งรอที่เก้าอี้บริเวณนั้นอยู่ครู่ใหญ่ เจ้าหน้าที่สาวคนเดิมก็เดินออกมาบอกว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว
ทวิชาใจหาย ลมหายใจเริ่มติดขัด แต่ก็กลั้นใจยืนขึ้น สลัดศีรษะเบาๆ ฝากระเป๋าเดินทางไว้ ก่อนจะเดินตามบุรุษพยาบาลคนหนึ่งออกจากตัวตึกซึ่งเป็นอาคารสูงทรงทันสมัยลัดเลาะทางด้านข้างอ้อมไปทางด้านหลัง กระทั่งมาถึงตัวอาคารเล็กๆ ชั้นเดียวซึ่งตั้งเป็นเอกเทศอยู่ท่ามกลางอาคารสูง ผู้คนก็เริ่มบางตาลงเรื่อยๆ จนท้ายสุดหล่อนแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย นอกจากเสียงของบุรุษพยาบาลตรงหน้า
“คุณหมอรออยู่ข้างในแล้วครับ คุณเข้าไปได้เลย ถ้าเรียบร้อยแล้วกลับไปรอผมที่ตึกใหญ่ก็ได้นะครับ แล้วที่เหลือเดี๋ยวผมช่วยจัดการต่อให้”
ทวิชากุมมือที่เย็นเฉียบของตัวเองไว้แน่น ก่อนจะหันหน้าเข้าตัวอาคารสีขาวหม่นที่บางส่วนเริ่มลอกเป็นแผ่นๆ ก่อนจะปลิวว่อนยามต้องกระแสลม
บรรยากาศรอบกายเงียบกริบผสมกับกลิ่นสารเคมีบางอย่างที่คละคลุ้งชวนให้รู้สึกหดหู่อย่างประหลาด หล่อนกวาดสายตามองรอบๆ ห้องโถงนั้นก่อนที่นาทีต่อมาคุณหมอหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งผิวขาวคนหนึ่งจะเดินตรงเข้ามาคล้ายว่าเขากำลังรอหล่อนอยู่ก่อนแล้ว
“คุณทวิชานะครับ”
“ค่ะ…ดิฉันเอง”
“ผมเป็นหมอที่รับผิดชอบเคสนี้ครับ เจ้าหน้าที่น่าจะแจ้งขั้นตอนคุณแล้ว เดี๋ยวเดินตามหมอมานะ หมอจะพาไป”
ทวิชาเหลือบมองป้ายชื่อที่ติดตรงหน้าอก จึงทำให้รู้ว่าคุณหมอหนุ่มคนนี้ชื่อ ‘ตรังค์’ ก่อนที่เขาจะหันหลังกลับแล้วเดินนำหล่อนเข้าไปทางเดินแคบๆ คล้ายอุโมงค์ที่มีเพียงไฟสีขาวแค่ไม่กี่ดวงคอยให้ความสว่าง ทอดยาวไปสู่ประตูไม้บานใหญ่ที่ตั้งทะมึนรออยู่เบื้องหน้า
นายแพทย์หนุ่มหยุดยืนอยู่ตรงนั้น รอจนหญิงสาวตามมาทันจึงหันกลับมาส่งยิ้มให้นิดหนึ่งพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนคล้ายปลอบประโลมอยู่ในที
“คุณ…พร้อมนะครับ” เมื่อเห็นหญิงสาวพยักหน้าเล็กน้อย ชายหนุ่มจึงหันกลับไปผลักประตูไม้บานนั้นออกอย่างช้าๆ
เสียงบานพับที่เสียดสีกันนั้นเสียดลึกเข้าไปในหัวใจหล่อนราวกับมีมีดนับร้อยนับพันเล่มทิ่มแทง ความรู้สึกบางอย่างซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อยี่สิบปีก่อนหวนกลับมาอีกครั้ง และยิ่งรุนแรงมากกว่าเดิมจนหล่อนแทบทรงตัวไม่อยู่!
ทวิชารีบเช็ดน้ำตาทันทีก่อนที่มันจะไหลออกมาเมื่อภาพที่ปรากฏตรงหน้าค่อยๆ ชัดขึ้นเรื่อยๆ หล่อนสูดลมหายใจลึกๆ หลับตาลงพยายามข่มความรู้สึกหวาดกลัวและเจ็บปวดนั้นไว้สุดกำลัง
ก่อนที่เสี้ยววินาทีต่อมาเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ความรู้สึกเหล่านั้นจะปลาสนาการหายไปสิ้น พร้อมกับความมึนชาเข้ามาแทนที่ หญิงสาวรู้สึกราวกับถูกขุมพลังอะไรบางอย่างยกให้ลอยขึ้นเหนือพื้นแล้วปล่อยลงสู่ก้นเหวลึกที่ไม่อาจคาดเดา ในวินาทีที่เห็นร่างซึ่งนอนแน่นิ่งไร้ลมหายใจร่างหนึ่งถูกคลุมด้วยผ้าของโรงพยาบาลอย่างมิดชิดตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า…ร่างอันไร้วิญญาณของ…พ่อ!