ชายได้โชคอย่างลึกลับ เพราะเป็นแฟนคลับนิยายผี บทที่ 13 : ฟังถ้อย น้อยฤๅความลับสับสน (1)

ชายได้โชคอย่างลึกลับ เพราะเป็นแฟนคลับนิยายผี บทที่ 13 : ฟังถ้อย น้อยฤๅความลับสับสน (1)

โดย : วันชนะ

Loading

เว็บไซต์อ่านเอา ภูมิใจเสนอ “ชายได้โชคอย่างลึกลับ เพราะเป็นแฟนคลับนิยายผี” นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 5 ผลงานโดย วันชนะ ทองคำเภา กับเรื่องราวของความตายที่มีเบื้องหลังลึกลับซับซ้อน และวรรณกรรมผีของเหม เวชกร เรื่องรวทั้งหมดสัมพันธ์กันได้อย่างไร พบคำตอบได้ในนวนิยายเรื่องนี้

ย้อนกลับไปในวันอันมืดมนที่สุดของครอบครัวโชคโคจร ตอนเช้าตรู่ คุณเฟื่องฟ้านั่งคู่กับเด็กหญิงทอฟ้าบนโซฟา แม่ของเด็กหญิงกำลังสอนเธอถักเปียอย่างขะมักเขม้น เสียงเพลงสวรรค์มืดดังคลอ ตาของคุณเฟื่องฟ้าเหลือบมองไปที่ประตูห้องนอนใหญ่เป็นระยะๆ

คุณทศพลเดินถือกระเป๋าออกมาจากห้องนอนแล้วปิดประตูค่อนข้างแรง ทำให้สองแม่ลูกสะดุ้ง คุณเฟื่องฟ้าผละมือจากตุ๊กตา ส่งให้เด็กหญิงทอฟ้าฝึกถักต่อ แล้วรีบเดินกึ่งวิ่งไปช่วยคุณทศพลขยับเนกไทให้เรียบร้อย พลางถามว่า “เดี๋ยววันนี้ตกลงพี่จะนั่งรถไปต่อเรือด้วยใช่มั้ยคะ”

“ใช่ จริงๆ มันก็ไปทางรถยนต์ได้ถึงที่จะไปเลยนั่นแหละ แต่ว่า ‘เขา’ บอกว่าอยากจะนั่งเรือเพื่อจะได้เห็นที่ทางรอบๆ ตอนเดินทางไปด้วย ก็เลยต้องทำตามที่ใจเขาอยาก อย่างเราๆ น่ะ แตะต้องเขาได้ที่ไหนล่ะ” คุณทศพลพูดเสียงเข้มขึ้นมาเล็กน้อย

คุณเฟื่องฟ้าใช้สายตานำให้คุณทศพลมองไปที่เด็กหญิงทอฟ้าที่นั่งอยู่ พลางจุปากไม่ให้คุณทศพลพูดต่อ พอดีกับที่คุณลัดดาเปิดประตูออกมาในชุดเดรสสีเทาพอดีตัว มีหมวกเข้าชุดกันดูหรูหรา แต่ผู้สวมใส่มีใบหน้าเศร้าและตาแดงๆ คุณทศพลมองภรรยาด้วยหางตา แล้วรีบเดินลงบันไดบ้านไป คุณเฟื่องฟ้าส่ายหน้า เดินไปกระซิบกระซาบกับคุณลัดดาก่อนจะรีบเดินตามสามีไป

เมื่อเดินผ่านโซฟาที่เด็กหญิงทอฟ้านั่งอยู่ คุณลัดดาก็เดินมาจับแก้ม ถามเบาๆ ว่าทำอะไร เด็กหญิงทอฟ้ายกตุ๊กตาที่ตนกำลังถักเปียอยู่ หันผลงานให้คุณแม่ลัดดาของเธอดู แม่ลัดดาดึงตุ๊กตาออกจากมือเด็กหญิงอย่างเบามือแล้วนั่งลง รื้อเส้นผมตุ๊กตาที่ถักไว้ออกมาสองสามขด แล้วค่อยๆ แบ่งเส้นผมตุ๊กตาที่คลี่ออกมาเป็นส่วนๆ ใหม่ ดึงเส้นด้ายให้ตึง แล้วถักให้เด็กหญิงดู พลางพูด

“ผู้หญิงเราน่ะ เวลาทำอะไรต้องทำให้ได้ ทำให้ดีเกินดี เพราะว่าคนเขาจะคอยมองหาข้อติของเราอยู่ตลอด แม้ว่าจะเป็นคนที่เราเลือกแล้วว่ารักว่าเอ็นดูเราก็ตามแต่” เธอผละไปลูบผมเด็กหญิงเบาๆ แล้วหันมาถักต่อ “สุดท้ายแล้ว เราไม่มีทางบริสุทธิ์ผุดผ่องในสายตาใครไปได้หรอกลูก ต่อให้ทำยังไงๆ เราก็จะมีมลทินเสมอ”

พอคุณลัดดาพูดได้ถึงตอนนี้ ก็ได้ยินเสียงกระแทกกระเป๋าปึงปังจากด้านล่าง เสียงคุณทศพลดุคนขับรถโหวกเหวก “จะได้ไปกันกี่โมงกี่ยามกันล่ะเว้ย!” คุณลัดดาหน้าเสีย ก้มลงหอมแก้มเด็กหญิง ส่งตุ๊กตาคืน แล้วรีบเดินลงบันไดไป

และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เด็กหญิงทอฟ้าได้คุยกับคุณแม่ลัดดาของเธอ…

หากไม่นับความโศกเศร้าที่ใช้เวลานานจึงจะทำใจได้แล้ว เด็กหญิงทอฟ้าก็เติบโตขึ้นมาด้วยความรักความอบอุ่นพอสมควร เนื้อแท้ของคุณพ่อทศพลไม่ใช่คนดุหรือช่างประชดประชัน เมื่อสิ้นคุณแม่ลัดดาไป ครอบครัวโชคโคจรก็ใช้ชีวิตอย่างปกติสุข แม้ว่าจะมีช่วงที่ท่านโศกเศร้าและเงียบขรึมลงไป แต่คนในครอบครัวที่มีบาดแผลในเรื่องเดียวกันต่างก็เข้าใจและไม่รู้สึกผิดแปลกใดๆ

 

เด็กหญิงทอฟ้าจึงไม่เคยเข้าใจเลยจนกระทั่งเธอโตขึ้นมา ว่าถ้อยคำสุดท้ายของคุณแม่ลัดดา ประกอบกับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับเธอนั้น ได้ฝากแผลที่จะแสดงออกมาตอนที่เธอมีความรัก และต้องสร้างครอบครัวของตัวเองในภายหลัง

 

หลังจากเรียนจบครุศาสตร์จากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในประเทศ นางสาวทอฟ้าไม่ได้เป็นครู แต่ก็ได้ใช้ทักษะการเรียนการสอน การถ่ายทอดเรื่องราวให้เข้าใจง่าย และจิตวิทยาการสื่อสารกับผู้คนให้เป็นประโยชน์ในการทำธุรกิจ จนกระทั่งเธอไปเรียนต่อปริญญาโทด้านบริหารการศึกษากลับมาจากประเทศออสเตรเลีย เธอก็กลับมาพร้อมกับเอกอมร คนรักที่เธอจะได้ใช้ชีวิตร่วมกันอีกหลายปี

บรรยากาศการเรียนต่อในประเทศที่สวยงามนั้นน่าประทับใจ เพราะว่าเป็นประเทศที่อนุรักษ์ธรรมชาติ มีสังคมหลากหลายเชื้อชาติ ผู้คนค่อนข้างเป็นมิตร แม้จะมีการเหยียดผิวและความรุนแรงเกิดขึ้นบ้าง แต่ก็มักจะเป็นในแถบชนบทห่างไกล ไม่ใช่ในเมืองมหาวิทยาลัยอันคึกคักและสะดวกสบายที่ทอฟ้าไปอยู่

แต่การใช้ชีวิตในต่างประเทศที่ตนไม่ได้โตขึ้นมานั้น ความเหงาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในช่วงเดือนแรกๆ ที่ไปเรียนนั้น ทอฟ้ามักใช้เวลานั่งรถรางที่เรียกว่าแทรมคนเดียวนานๆ ชมวิวและวิถีชีวิตตามสถานที่ต่างๆ ในเมือง หรือไม่ก็ใช้เวลาแชเชือนอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ต ดูอาหาร เครื่องดื่ม และวัตถุดิบแปลกๆ ที่มีขาย บางทีก็ไปขลุกอยู่ในร้านเอเชีย เพื่อตามหาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสที่เธอชอบ

ทั้งหมดนี้ก็เพราะว่า เมื่อเธอกลับถึงบ้านเช่าที่นักเรียนจากต่างประเทศมาอยู่รวมกันแล้วนั้น เธอมักจะได้ทักทายกับเพื่อนร่วมบ้านสองสามคำ ก่อนจะแยกกันเข้าห้อง นักเรียนที่มาเรียนต่อในระดับปริญญาโทและเอกจากชาติต่างๆ นั้นค่อนข้างยากที่จะผูกมิตรเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนตอนเด็ก เพราะทุกคนมีภาระ ทั้งจากการเรียนที่หนัก การทำงานเสริมหารายได้ และบางคนก็มีครอบครัว

 

ในที่สุด ทอฟ้าก็ตัดสินใจไปร่วมงานสังสรรค์ของนักเรียนไทยที่มาเรียนในเมืองเดียวกัน ตามป้ายบนบอร์ดประกาศข่าวสารในมหาวิทยาลัยที่เชิญชวนให้ไปทำกิจกรรม potluck หรือการทำอาหารคนละอย่างมากินด้วยกัน เหล่านักเรียนไทยทำความรู้จักกันอย่างยินดี พากันเล่นเกม ร้องเพลง และทดลองกินของแปลกๆ อย่างบาร์บีคิวเนื้อจิงโจ้อย่างเฮฮา ซึ่งช่วยให้กลุ่มนักเรียนไทยสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว ทุกคนปรับทุกข์กันเรื่องการเรียนและความเป็นอยู่อย่างเปิดเผย

เมื่อทอฟ้ารู้ตัวอีกที จากปาร์ตี้บาร์บีคิวที่เวียนไปตามสวนสาธารณะที่มีมากกว่าสิบแห่งในเมือง ก็กลายเป็นกลุ่มเพื่อนที่คุยภาษาไทยกันโหวกเหวกบนรถไฟ รถแทรม และรถบัส และจากที่ไปกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ ก็กลายเป็นเหลือกลุ่มเล็ก สามคน และสองคนในที่สุด

ภาพความทรงจำช่วงสามสี่เดือนสุดท้าย ทั้งการนั่งอ่านหนังสือสอบในห้องสมุดที่มหาวิทยาลัย การนั่งกินโกโก้รสเข้มข้นในร้านที่เปิดจนดึก หรือแม้แต่การขับรถไปท่องเที่ยวที่หน้าผาริมทะเลเพื่อชมก้อนหินใหญ่โตรูปร่างประหลาดอัศจรรย์ ก็มีเพียงภาพของเอกอมร เด็กหนุ่มวัยเดียวกันกับทอฟ้าที่ดูขี้อายแต่เป็นมิตร ที่ไปตามสถานที่ต่างๆ ด้วยกันอย่างสนิทสนม

สำหรับทอฟ้าแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างที่เป็นความอ่อนโยน ความนุ่มนวล และความไม่มั่นใจในตนเองของเด็กหนุ่ม ที่ดึงดูดหญิงสาวให้รู้สึกเอ็นดูและสบายใจที่ได้อยู่ด้วยกัน ส่วนเอกอมรซึ่งขี้อายและเงียบขรึม ก็ดูมีความสุขที่สาวสวยในกลุ่มนักเรียนไทยนั้นดูสนอกสนใจและเต็มใจที่จะไปไหนมาไหนกับเขาสองต่อสอง

ส่วนใหญ่แล้ว ทอฟ้าจะเป็นคน “บริหารจัดการ” การใช้ชีวิตและท่องเที่ยวที่ต่างๆ ของเขาสองคน ทั้งการเลือกสถานที่ นัดแนะเวลา จองตั๋ว ไปจนถึงวางแผนว่าจะสวมใส่เสื้อผ้าแบบไหนให้เหมาะกับอากาศในแต่ละวัน ความตั้งอกตั้งใจและจริงจังกับการทำให้ทุกทริปที่ไปด้วยกันนั้นดีที่สุด เป็นเหมือนกับภาษารักของทอฟ้าที่เอกอมรสัมผัสได้

จนเมื่อกลับมาที่ประเทศไทย ฐานะอันเพียงพอจะอยู่ได้สบายๆ ของทั้งสองครอบครัว รวมทั้งความผูกพันของหนุ่มสาวที่อยู่ด้วยกันมา ก็ทำให้ทั้งสองลงเอยแต่งงานสร้างครอบครัวด้วยกันได้ไม่ยาก และไม่ผิดคาด ดังคำหยอกล้อของบรรดาเพื่อนนักเรียนไทยที่ไปเรียนออสเตรเลียมาพร้อมๆ กัน

 



Don`t copy text!