ชายได้โชคอย่างลึกลับ เพราะเป็นแฟนคลับนิยายผี บทที่ 6 : เล่ห์ดั่งร้อยกรรมนำพา วนว่ายเวราหาพ้นภัย (1)

ชายได้โชคอย่างลึกลับ เพราะเป็นแฟนคลับนิยายผี บทที่ 6 : เล่ห์ดั่งร้อยกรรมนำพา วนว่ายเวราหาพ้นภัย (1)

โดย : วันชนะ

Loading

เว็บไซต์อ่านเอา ภูมิใจเสนอ “ชายได้โชคอย่างลึกลับ เพราะเป็นแฟนคลับนิยายผี” นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 5 ผลงานโดย วันชนะ ทองคำเภา กับเรื่องราวของความตายที่มีเบื้องหลังลึกลับซับซ้อน และวรรณกรรมผีของเหม เวชกร เรื่องรวทั้งหมดสัมพันธ์กันได้อย่างไร พบคำตอบได้ในนวนิยายเรื่องนี้

อัสดงไม่ได้เคยสังเกตมาก่อน ว่าห้องพักในมหาวิทยาลัยของเขาเล็กหรือใหญ่ แคบหรือกว้างอย่างไร เพราะว่าตัวตนของเขาเองก็ไม่เคยเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าสำหรับตัวของเขาเอง หรือว่าของใคร

เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของเขาตั้งแต่เป็นอาจารย์หนุ่มไปจนถึงปัจจุบันที่ต้องเติมคำว่า -ใหญ่ ไปข้างหลังคำว่าหนุ่ม เขามักจะใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ในหัว คิดเรื่องวรรณกรรม หนังสือวิชาการ หรือไม่ก็หนังสนุกๆ อยู่แทบจะตลอดเวลา

ถ้ายิ่งมีโอกาสได้อยู่คนเดียว ซึ่งเป็นโอกาสที่เขาพยายามมองหาอยู่ตลอด เขาก็จะจมลงไปในโลกอดีตของวรรณกรรม ยุคทองของนักเขียน จินตนาการเรื่องผี เรื่องตื่นเต้นผจญภัย และสำนวนภาษาโบร่ำโบราณ

คำว่า “เชย” สำหรับอาจารย์หนุ่มใหญ่นั้น แปลว่า บันเทิง สนุก และแปลว่าบรรยากาศดีๆ ที่คนเราควรได้สัมผัสในคืนวันศุกร์ (และเสาร์ อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส)

แต่หลังจากที่เขาได้พบความตื่นเต้นสำหรับโลกของชายเนิร์ด ทั้งเอกสารใหม่ๆ เกี่ยวกับเรื่องสั้นผีของเหม เวชกร ชีวิตโศกของคุณแม่ลัดดาและครอบครัว รวมทั้งหญิงลึกลับอย่างคุณทอฟ้า วันนี้อัสดงก็ตื่นเช้ามาพร้อมกับความรู้สึกว่าประสาทสัมผัสของเขามีปฏิกิริยาต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวมากกว่าปกติ

อาจารย์หนุ่มรู้สึกขึ้นมาเป็นครั้งแรกว่าห้องพักของเขาแคบ เครื่องปรับอากาศตัวเก่าที่เสียงดังหึ่งมีกลิ่นฝุ่นจางๆ แทรก ลมเย็นที่เป่าออกมาทั้งคืนทำให้อาจารย์หนุ่มใหญ่ขนลุกเล็กน้อย ผนังสีขาวที่เริ่มมัวทำให้ห้องสว่างจนแสบตา

อาจารย์หนุ่มใหญ่เดินไปที่กระจกเงาซึ่งมัวด้วยคราบหยดน้ำ มีแปรงสีฟัน ครีมทาหน้า มีดโกนหนวดวางระเกะระกะอยู่บนหิ้งด้านล่าง เขาสบตาตัวเองในกระจก และพินิจใบหน้าของตัวเองในเงาเบื้องหน้าอย่างตั้งใจ

เงาในกระจกเป็นชายวัยเกือบกลางคน (ที่อัสดงเชื่อว่ายังค่อนย้อนไปทางหนุ่ม) ใบหน้ามีรอยยับเล็กน้อยอย่างคนเพิ่งตื่นนอน ใต้ขอบตามีรอยคล้ำบ้าง รอบๆ โหนกแก้มที่ค่อนข้างผอมและเริ่มตอบเล็กน้อย มีรอยช้ำจากเครื่องช่วยหายใจสำหรับสวมใส่ตอนนอนเพื่อแก้ปัญหาการหยุดหายใจตอนหลับออกแดงๆ บนผิวขาวซีด ส่วนที่น่าจะพอทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้างก็คือ คิ้วหนาและดวงตาดำขลับที่เล็กแต่ก็กลมและยังสามารถจะเป็นประกายได้อยู่บ้าง

และเมื่อนึกถึงงานวิจัยที่เพิ่งเขียนเสร็จอีกหนึ่งเรื่องโดยใช้เวลาเพียงสองเดือน พร้อมส่งเล่มให้เจ้าของทุนไปแล้วเมื่ออาทิตย์ก่อน ตาของอาจารย์หนุ่มใหญ่ก็เป็นประกายขึ้นมาจริงๆ เขากำลังจะรายงานความสำเร็จนี้ไปยังคณะ พร้อมกับเงินทุนสนับสนุนการเรียนการสอนก้อนใหญ่ในนาม ‘คุณลัดดา คุณเฟื่องฟ้า และคุณทศพล โชคโคจร’

ลึกๆ ในใจของอัสดงยังคงเถียงกับตัวเองว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้องหรือเปล่า ที่โศกนาฏกรรมชีวิตของคนจริงๆ ที่มีเลือดเนื้อ จะถูกใช้เพื่อประโยชน์ของการเรียนการสอน ถึงแม้ว่าคุณทอฟ้าจะยืนกรานให้เขานำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้ตามที่ต้องการก็ตาม

พอนึกถึงตรงนี้ อาจารย์หนุ่มก็อดหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ เมื่อนึกถึงเสียงของสุภาพสตรีคนดังกล่าวที่บอกกับเขาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก่อนจากกันมาว่า “พี่ไว้ใจอาจารย์ค่ะ ว่าอาจารย์จะเขียนอะไรออกมาแบบเห็นใจและให้เกียรติครอบครัวพี่แน่ๆ”

 

เรื่องราวของครอบครัวโชคโคจร ยังวนเวียนอยู่ในหัวของอาจารย์หนุ่ม ทั้งในตอนที่เขาเหม่อลอย อาบน้ำแต่งตัว ขับรถออกจากหอพัก ไปจนถึงจอดรถที่ประจำด้านหลังคณะ ที่เขามักยอมจอดห่าง เดินไกล แต่ก็พอใจว่าเป็นเส้นทางที่เจอคนน้อย

แล้วอัสดงก็ได้พบกับใบหน้าที่คุ้นเคย เขายิ้มให้ใบหน้านั้นโดยอัตโนมัติ แม้ว่าสติของเขาจะยังล่องลอยวนเวียนอยู่ในโลกของตัวเอง

“สวัสดีครับ คุณสุขสันติ” อัสดงทัก

คุณสุขสันติไม่ยิ้ม ไม่ตอบ แต่ถามสวนกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อาจารย์ อาจารย์ไม่ได้ติดต่อผู้ทรงคุณวุฒิเองใช่ไหมครับ”

“ครับ เอ่อ…อะไรนะครับ” อาจารย์หนุ่มใหญ่มึนงง

“ผู้ทรงคุณวุฒิงานประชุมวิชาการน่ะครับอาจารย์ อาจารย์ให้คุณวารี นักศึกษาปริญญาเอกของอาจารย์เป็นคนติดตาม และติดต่อทางอีเมลของอาจารย์ไปทั้งหมดเลยใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มไม่รอให้อัสดงตอบ เขารีบพูดต่อ “คือมีผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านที่รู้จักกับอาจารย์อยู่ก่อน พอได้รับเมลก็เลยทักทายตอบกลับมาแบบคนรู้จักสนิทสนมกัน คุณวารีก็ตอบกลับไปด้วยภาษาและคำพูดแบบทางการและห่างเหิน หรือบางทีก็เลี่ยงไม่ตอบกลับเลยบ้าง หลายท่านเลยมาถามผม แล้วก็เลยรู้ว่าอาจารย์ใช้คนอื่นให้เขียนเมลแทนเหมือนเป็นตัวเอง” คุณสุขสันติยังคงอธิบายด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่เริ่มกระแทกกระทั้นบ้างตอนท้ายประโยค

“โธ่! ตายละ! ขออภัยจริงๆ ครับ แต่ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปจัดการแก้ปัญหาต่อเอง ขอบคุณนะครับที่มาบอก” อัสดงรีบขอโทษขอโพยด้วยน้ำเสียงรัวเร็ว

คุณสุขสันติถอนใจ แล้วนิ่งเหมือนสะกดกลั้นอารมณ์อยู่ชั่ววินาที แล้วก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเข้ม

“อาจารย์ครับ ผมถามจริงๆ เลยนะครับ อาจารย์คิดว่างานธุรการ งานเอกสารทั้งหลายแบบที่พวกผมทำอยู่ทุกวันเนี่ย มันไม่สำคัญสินะครับ”

“คุณสุขสันติอย่าพูดแบบนั้น ไม่ใช่หรอกครับ ผมแค่ไม่เชี่ยวชาญ ไม่ถนัด ก็เลยต้องมีเจ้าหน้าที่ที่คล่องๆ งานแบบนี้มาช่วยกันเท่านั้นเอง อย่าเพิ่งโกรธผมเลยนะครับ แหะๆ”

“อาจารย์…ผมเข้าใจนะ ว่าในมหาลัยเนี่ย คนที่เขารู้จักกันก็คือพวกอาจารย์ ส่วนเจ้าหน้าที่สนับสนุนก็มักจะถูกลืม พวกเราก็ไม่ได้คิดมาก แล้วก็พยายามให้เกียรติครูบาอาจารย์ทุกคนมาตลอด ท่านไหนปฏิบัติพูดจากับพวกผมยังไงก็ไม่เคยมีปัญหา” คราวนี้คุณสุขสันติเสียงเปลี่ยนเป็นหางเสียงเครือนิดๆ “…แต่อาจารย์รู้ไหมครับ อาจารย์ที่พูดจาไม่ดี หรือเกี่ยงงานมาเนี่ย อย่างน้อยพวกผมก็ยังรู้ว่าจะทำยังไงให้งานเดินต่อไปได้ แค่ทนกับการปฏิบัติแบบที่เจอจนชิน”

ความเย็นชาในเสียงของชายหนุ่มที่อัสดงได้ยินอยู่เป็นประจำหายไป กลายเป็นเสียงแหลมเล็กแบบที่อัสดงไม่เคยได้ยินจากคุณสุขสันติมาก่อน “แต่ว่าอาจารย์ที่บอกไม่ถนัด ไม่ชอบ ทั้งที่รับงานมาแล้ว แต่กลับทำลวกๆ ขอโทษขอโพย หัวเราะแหะๆ ทำเหมือนงานแบบนี้มันจู้จี้จุกจิก ไร้สาระเหลือเกินเนี่ย มันบั่นทอนกว่ามากเลยครับ และทำให้มีปัญหาเยอะ…เยอะมาก” คุณสุขสันติพูดรัวเร็วอย่างคนที่หยุดตัวเองไม่ได้อีกต่อไป เนื้อตัวของเขาเริ่มสั่นเล็กน้อย

อัสดงตัวชา เขาไม่ได้รู้สึกโกรธหรือโมโหที่คุณสุขสันติระเบิดอารมณ์รุนแรงออกมาในนาทีนั้น แต่ว่าเป็นความตกใจกับปฏิกิริยาที่คาดไม่ถึง

ตามปกติ แม้อาจารย์หนุ่มใหญ่จะเกรงใจเจ้าหน้าที่หนุ่มผู้คล่องแคล่วและเข้มงวด แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะถูกคุณสุขสันติต่อว่าอย่างตรงไปตรงมาและระบายความรู้สึกออกมาถึงขนาดนี้ ความรู้สึกที่กระแทกกระทั้นใส่เขามันจึงมีความรุนแรงที่ยิ่งกว่าการถูกด่าทอด้วยคำหยาบ หรือทำร้ายจิตใจแรงๆ แต่เป็นความรู้สึกผิดอันทรงพลังว่าความไม่ใส่ใจของเขา ทำให้เพื่อนร่วมงานต้องอัดอั้นมากถึงขนาดนี้

ถ้าหากกระจกที่เขาส่องก่อนจะออกจากบ้านมา ทำให้อัสดงมองเห็นตัวเองแบบที่ไม่เคยมองมาก่อน ณ ขณะนี้ คุณสุขสันติก็กำลังทำหน้าที่เป็นกระจกอีกบานหนึ่งที่ส่องให้เห็นใบหน้าของอัสดงในมุมที่เขาไม่เคยมองมาก่อน เป็นใบหน้าของคนหยิ่งยโสที่เขาไม่เคยคิดเคยเชื่อมาก่อนว่าตัวเองจะสามารถแสดงออกไปได้ถึงขนาดนั้น

อัสดงเดินเข้าไปใกล้คุณสุขสันติและเอื้อมมือจะไปตบบ่าเป็นเชิงปลอบ คุณสุขสันติมองตามมือของเขา เอี้ยวหลบ แล้วเดินเลี่ยงออกไปจากตรงนั้นทันที

จากมุมที่อาจารย์หนุ่มใหญ่มอง ร่างของคุณสุขสันติที่เคยเป็นเหมือนตัวแทนของงานเอกสารธุรการที่เดินได้ คอยมาตักเตือนและควบคุมให้เขาทำงานได้ถูกต้องเรียบร้อยตามกำหนด ตอนนี้กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มร่างเล็กที่ดูอ่อนวัย ผมสั้น ผิวขาวจัด ตัดกับเสื้อทำงานสีเลือดหมูเข้ม กางเกงขากระบอกพอดีตัวดูเรียบร้อยและจริงจัง เด็กหนุ่มคนนี้กำลังเผชิญกับภาระหน้าที่ในระบบงานที่ใหญ่กว่าตัวเขามาก โดยที่อัสดงคือภาระชิ้นหนึ่งที่ใหญ่โตจนร่างเล็กสั่นสะท้าน

ในนาทีนั้น เสียงในหัวของอัสดงกลับเป็นเสียงของคุณแม่ลัดดา (ที่จริงๆ แล้วเขาไม่เคยได้ยิน) กำลังอ่านบันทึกของเธอออกมาเสียงก้อง “นึกถึงเรื่องของตัวเองแล้วก็ไม่กล้าระบายให้คนนั้นคนนี้ฟัง”

 



Don`t copy text!