ชายได้โชคอย่างลึกลับ เพราะเป็นแฟนคลับนิยายผี บทที่ 9 : ถึงครายกทัพจับศึก ครื้นครึกไปทั่วบุรีศรี (1)

ชายได้โชคอย่างลึกลับ เพราะเป็นแฟนคลับนิยายผี บทที่ 9 : ถึงครายกทัพจับศึก ครื้นครึกไปทั่วบุรีศรี (1)

โดย : วันชนะ

Loading

เว็บไซต์อ่านเอา ภูมิใจเสนอ “ชายได้โชคอย่างลึกลับ เพราะเป็นแฟนคลับนิยายผี” นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 5 ผลงานโดย วันชนะ ทองคำเภา กับเรื่องราวของความตายที่มีเบื้องหลังลึกลับซับซ้อน และวรรณกรรมผีของเหม เวชกร เรื่องรวทั้งหมดสัมพันธ์กันได้อย่างไร พบคำตอบได้ในนวนิยายเรื่องนี้

“ผมแปลกใจจริงๆ นะครับเนี่ย ที่พี่อัสยอมให้ผมสัมภาษณ์จนได้ เมื่อก่อนขอยังไงก็ไม่เอาท่าเดียว” เสียงกลั้วหัวเราะของนาที รุ่นน้องสมัยเรียนของอัสดง ดังแทรกเสียงกดชัตเตอร์และเสียงร้องสั่งของตากล้อง ที่พยายามบอกอย่างสุภาพให้อัสดงทำท่าทางและสีหน้าแบบที่เขาต้องการ

“ก็พี่มีเรื่องจำเป็นแบบที่เล่าให้เอ็งฟังไปน่ะสิ อะไรวะ คิดได้ไงที่จะเรียกร้องความยุติธรรมด้วยการใส่ร้ายนักเขียน แถมเป็นนักเขียนคนสำคัญของพี่ด้วย” อัสดงถอนใจขณะทุลักทุเลพยายามทำท่ากอดอกครุ่นคิดตามที่ตากล้องสั่ง

“วงการมายาก็ประมาณนี้แหละพี่ อย่าคิดมาก เอาจริงๆ ผมเข้าใจคุณทอผ้าแกนะ ยุคนี้อยากทำอะไรให้สำเร็จก็ต้องเล่นสื่อเป็นแบบนี้แหละ” นาทีว่า

“ทอฟ้า!” อัสดงแก้เสียงหลง “พี่ก็รู้ว่าแกเจออะไรมาเยอะแหละ แต่ก็ต้องตรงไปตรงมาหน่อยสิ จะแก้ปัญหาก็ต้องไม่ไปสร้างปัญหาเพิ่มป่าววะ” อัสดงโต้ พร้อมทั้งพยายามทำท่าล้วงกระเป๋าแบบไม่เกร็ง (ซึ่งยากเหลือเกิน!) ตามที่ตากล้องสั่งล่าสุดไปด้วย

“ก็จริงแหละพี่ แต่นักข่าวอย่างผมชอบนะ แหะๆ นี่ผมเตรียมคิดเฮดไลน์บทความกับคลิปสัมภาษณ์ไว้และ แบบนี้เป็นไงพี่ ‘เปลือยใจอาจารย์หนุ่มแห่งมหาวิทยาลัยปราชญาลัย: เรื่องผีของเหม เวชกร ไม่ได้กดทับผู้หญิง แต่ที่จริงคือการพูดเรื่องความรัก’ เท่มั้ยพี่” นาทีทำเสียงกวน

“ทุกอย่างได้หมด แต่ถ้าไม่เอาคำว่า ‘เปลือยใจ’ ออกไป พี่สาบานว่าจะไปเผาออฟฟิศเอ็งด้วยตัวเอง!” อัสดงพูดกัดฟัน

“แฮ่ๆ ผมก็ล้อเล่นแหละพี่ ยังไงก็ขอบคุณนะครับ เดี๋ยวผมเรียบเรียงบทสัมภาษณ์ จัดหน้าอะไรเสร็จแล้ว จะส่งมาให้พี่ดูอีกรอบนะพี่นะ ไม่ต้องห่วงพี่ พอผมแชร์บทความนี้ออกไป พี่ก็ให้นักศึกษาดู ช่วยกันเผยแพร่ คนจะได้เลิกเข้าใจพี่ผิด ว่าไปช่วยคุณทอ…ทอฟ้าเนอะ เขาใส่ร้ายเหม เวชกร อาจจะมีคอมเมนต์ดรามาหน่อยนะพี่ ให้ทำใจไว้เลย เรื่องแบบนี้มันคุมยาก แต่เราก็จะได้พูดเรื่องที่เราอยากพูดให้ชัดๆ ไปเลย” นาทีอธิบาย

“ได้ ไม่มีปัญหาเลยเว้ย ไม่กลัวดรามาหรอก ดรามายังไงพี่ก็ไม่ได้อ่าน เอ็งก็รู้ว่าพี่ไม่เล่นพวกโซเชียลอยู่แล้ว ขอบใจเอ็งมากๆ” อัสดงพูดเสียงผ่อนคลายลง หลังจากที่ตากล้องบอกว่า ได้รูปถ่ายของอัสดงเพียงพอที่เขาต้องการแล้ว

หลังจากใช้สื่อเป็นเครื่องมือหวังจะตอบโต้คุณทอฟ้าบ้าง อัสดงก็สบายใจขึ้น แม้เขาจะคิดว่า “ลัทธิผีแม่ม่าย” ของคุณทอฟ้าน่าจะไม่หยุดอยู่แค่เท่านี้ แต่ก็ถือเขาว่าได้ทำหน้าที่ปกป้องตัวเองและสังคมด้วยการใส่ความเห็นอีกฝั่งลงไปในสื่อแล้ว ที่เหลือก็รอแค่ตั้งรับในสิ่งที่ชาวผีแม่ม่ายจะทำต่อไป

แม้จะประกาศศึกตอบโต้ไปแล้ว แต่อัสดงก็รู้สึกว่า การที่ชาวผีแม่ม่ายต่อสู้อยู่ในโซเชียลมีเดีย ในขณะที่เขาเป็นคนที่ไม่นิยมใช้งานสิ่งเหล่านี้ น่าจะทำให้โลกส่วนตัวของเขาสงบปลอดภัยอยู่พอสมควร ไม่ว่าใครจะรบรากันในโลกไซเบอร์อย่างไรก็ตาม

แต่อีกไม่นาน เขาก็จะได้รู้ว่า โลกแห่งความเป็นจริงกับโลกออนไลน์ในปัจจุบันนี้ มันไม่ได้แยกจากกันเด็ดขาดอย่างที่เคยคิดเสียแล้ว

 

ชีวิตในสัปดาห์ต่อมาของอัสดงกลับเรียบง่ายกว่าที่คิด ทีแรก หนุ่มใหญ่คิดว่าตัวเองคงจะทำงานด้วยอารมณ์โกรธคุกรุ่น และคิดหาวิธีตอบโต้ ต่อต้าน “ลัทธิผีแม่ม่าย” ของคุณทอฟ้า อยู่ตลอดเวลา แต่ศัตรูที่ใหญ่กว่าอย่างแท้จริงอาจจะเป็นงานที่เขาทำอยู่ทุกวันๆ ที่ยุ่งยากและยิ่งใหญ่เสียจนเขาไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นมากนัก โดยเฉพาะการประชุมวิชาการที่กำลังจะมาถึง

ในภาพที่ทุกคนมอง การประชุมวิชาการระดับชาติที่จัดในมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ น่าจะเป็นงานสำคัญที่เหล่านักวิชาการผู้เฉลียวฉลาดจะมาแลกเปลี่ยนการค้นพบใหม่ๆ หรือทำความรู้จักกับคนที่มีความสนใจคล้ายกันตามโรงแรมหรูหรา ซึ่งจะช่วยพัฒนาวงการและสร้างคนรุ่นใหม่ๆ ซึ่งฟังดูเท่มากๆ สำหรับคนที่สนใจแวดวงวิชาการ

คนที่คิดแบบนั้น อย่างน้อยก็คือพ่อแม่ของอัสดง ซึ่งปลอบใจเขาเวลาบ่นไปทางโทรศัพท์ว่าเขาน่าจะยินดีที่ได้มีบทบาทสำคัญ

“แม่ว่าเท่ออกนะอัส คนอื่นน่ะเค้าคงอยากมาทำอย่างเราบ้าง เป็นอาจารย์มหาลัย แต่งตัวภูมิฐาน ทำหน้าที่ประธานจัดการประชุมสัมมนาอยู่ในโรงแรมหรู ในงานมีแต่คนฉลาดๆ มายืนถือแก้วไวน์พูดคุยกัน ผลัดกันขึ้นไปนำเสนองานวิจัย ไม่เห็นน่าเครียดขนาดนั้นเลยลูก”

“ถ้าในหนัง หรือสมัยแม่ยังไม่เกษียณ มันอาจจะใช่แหละครับแม่ ที่คนจะมารวมตัวกันตามความสนใจที่มีร่วมกัน แล้วผลัดกันเสนองานที่เป็นเรื่องใหม่น่าตื่นเต้น แต่สมัยนี้เขาบังคับให้อาจารย์ทุกคนต้องเสนองาน แบบนับเป็นตัวเลขไปเลยว่าปีละกี่ครั้งๆ นักศึกษาที่เรียนโทเอกก็เหมือนกัน นับเป็นจำนวนว่าต้องเสนอกี่ครั้งๆ ถึงจะเรียนจบ และงานก็ต้องใหญ่พอ ตามเกณฑ์ที่เขากำหนด” อัสดงเลกเชอร์แม่อย่างยืดยาวด้วยความเคยชิน

“ตอนนี้ งานแบบนี้หลายงานเลยเป็นเหมือนงานเอ็กซ์โปใหญ่ๆ ที่ทุกคนมาเสนองานโดยไม่สนใจหัวข้อ คนคอมเมนต์หลายคนก็ทำไปตามหน้าที่ ไม่ได้มีลีลาความสนุกหรือน่าสนใจอะไร ลูกศิษย์ผมเขียนวิจัยด้านวรรณคดี ก็อาจจะต้องส่งไปเสนองานห้องเดียวกับคนที่วิจัยเรื่องยาปราบศัตรูพืช ไม่มีอะไรเกี่ยวกัน นอกจากอยากได้แต้มประชุมวิชาการระดับชาติเฉยๆ แหละครับ” หนุ่มใหญ่บ่นปนฟ้อง

“แต่ถึงยังงั้น การที่เรารับผิดชอบจัดการให้งานมันสำเร็จไปได้ ก็น่าจะเป็นความภูมิใจของเรานะลูก อย่าไปคิดแง่ลบอย่างเดียว แม่เอาใจช่วยน้า น้องอัส”

“ครับ ขอบคุณครับแม่ ผมไปทำงานต่อก่อนนะครับ คุณสุขสันติเดินมาโน่นแล้ว” อัสดงรีบบอกลาแม่และวางหู ก่อนจะรีบทำงานต่อ

คุณสุขสันติยังคงอยู่ในภาวะถามคำตอบคำ หรือไม่ก็คุยกับอัสดงเฉพาะเรื่องที่จำเป็นกับงาน ไม่มาคอยจู้จี้หรือบังคับอะไรเขาเรื่องงานเหมือนเมื่อก่อน แม้ว่าอัสดงจะพยายามชวนคุยและขอโทษไปหลายครั้งก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนท่าทีหนุ่มน้อยได้ หนุ่มใหญ่จึงได้แต่ตั้งใจทำงานอย่างจริงจังเพื่อจะไถ่บาปของความไม่ใส่ใจที่ผ่านมา แต่ก็ยังอดบ่นให้วารีหรือพ่อแม่ฟังไม่ได้เมื่อมีโอกาส

และเมื่องานประชุมวิชาการระดับชาติซึ่งจัดโดยมหาวิทยาลัยของเขามาถึงและจบลง อัสดงก็จะได้พักผ่อน กลับไปสอนและทำวิจัยตามวิถีชีวิตอันน่าเบื่อแต่สงบสุขของเขาตามปกติเสียที



Don`t copy text!