ทิวากาลกับความรัก บทที่ 1 : จุดเริ่มต้น

ทิวากาลกับความรัก บทที่ 1 : จุดเริ่มต้น

โดย : ปรียนันทนา

Loading

ทิวากาลกับความรัก โดย ปรียนันทนา ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอาและหากติดใจอยากอ่านต่อ คุณผู้อ่านสามารถสั่งซื้อได้ที่เพจ มีน พงษ์ไพบูลย์

****************************

– 1 –

ทางเดินหน้าอาคารสรรพสินค้าใหญ่ตรงข้ามตลาดนัดสวนจตุจักรดูแคบลงเพราะผ้าขนาดกว้างยาวไม่เท่ากันหลายผืนที่ปูเรียงรายเป็นแนวยาว  อีกทั้งโต๊ะเตี้ยบนพื้นปูนสูงเสมอข้อเท้าที่มีสินค้าหลากหลายชนิด โดยผู้ประกอบการต่างจดจ่อกับงานจัดวางสินค้าของตนซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นของเก่าไม่ว่าว่าจะเป็น ถ้วย  ชาม แก้วกาแฟ กาน้ำชา กล้องถ่ายรูป หนังสือ  ทั้งหมดเป็นของสะสมที่มีต้นทางจากทั้งในประเทศและต่างประเทศแถบยุโรปเป็นหลัก ลูกค้าซึ่งกำลังแวะเวียนมาเมียงมองสินค้าต่างก็มีรสนิยมเดียวกัน  และมิใช่ดังเช่นที่หลายคนนึกคิดจินตนาการว่าความเก่าจะต้องหมายรวมถึงวัยและอายุ  เพราะผู้คนส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในวัยหนุ่มสาว  แม้ว่าบางคนอาจมีวัยล่วงเข้ากลางคนหากก็มิอาจกล่าวได้ว่าแก่  เนื่องด้วยท่วงท่าและความมีรสนิยมนั้นมิได้จำกัดเฉพาะว่าต้องสงวนให้ใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น

ชายหนุ่มผิวสองสีดวงตาโตเรียวยาวสองชั้นมีแววฉลาดเฉลียวก็เป็นหนึ่งในผู้นิยมชมชอบการเดินชมสินค้าเก่าแต่มีคุณภาพ  ณฐมักมาเดินดูของเก่าที่เขาชื่นชอบยามว่างจากงานประจำและงานสอนเสมอ  สมัยก่อนที่เขาจะไปทำวิจัยที่ฝรั่งเศสคู่หูของเขาคือปารัณรุ่นพี่คนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัย  แต่เขากลับมาเมืองไทยได้สองปีแล้ว  ตอนนี้ปารัณกลับต้องเป็นคนที่เดินทางไปมาระหว่างเมืองไทยกับฝรั่งเศสเนื่องจากรุ่นพี่และมนสิชาเพื่อนสนิทของเขาเพิ่งหมั้นกัน  ณฐยินดีกับทั้งคู่เพราะเขาแอบหวังให้ทั้งสองคนรักกันตั้งแต่ต้นถึงขนาดเป็นคนจัดการให้ทั้งสองได้พบกันคราวที่ปารัณเดินทางไปเยี่ยมเขาที่เมืองแบรสต์  และความต้องการของเขาก็สำเร็จแม้จะทำให้เหงาและขาดเพื่อนบ้างเป็นบางครั้งก็ตาม

“อ้าว  อาจารย์  วันนี้มาเร็วเชียวนะคะ”  แม่ค้าวัยกลางคนท่าทางคุ้นเคยเอ่ยกับณฐ

“วันนี้มีหนังสือมาเพิ่มไหมครับพี่”  ณฐถามอย่างอารมณ์ดี

“มีสิคะ  แต่พี่ยังไม่ได้เรียงเลยอาจารย์  นั่นไง”  เธอตอบพลางชี้ให้เขาดูกล่องสี่เหลี่ยมพลาสติกขนาดใหญ่ซึ่งบรรจุหนังสือกองโตอยู่ในนั้น

“งั้นเดี๋ยวผมค่อยเดินกลับมาดีกว่า  ไม่ต้องรีบนะพี่”

พูดจบเขาก็เดินต่อไปโดยที่มีเสียงทักทายไม่ขาดสายก่อนจะเข้าไปในอาคารที่อุณหภูมิเย็นฉ่ำต่างจากภายนอกโดยสิ้นเชิง  ณฐสังเกตเห็นร้านกาแฟเปิดใหม่ที่มีลูกค้าแน่นร้านส่วนมากเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน  หญิงสาววัยรุ่นรายหนึ่งสวมกางเกงยีนส์ขาสั้นซึ่งโผล่พ้นชายเสื้อเชิ้ตแนบเนื้อเบาบางมาเพียงนิดเดียว  เธอนั่งตรงกลางร้านจึงเป็นจุดสนใจใครหลายคน  ท่าทางละม้ายคล้ายนั่งรอใครดูภูมิใจที่มีแต่คนลอบมองซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมเขาอยู่ด้วย  มิใช่เพราะความสวยหากแต่เขากำลังคิดว่าถ้าเธอเป็นลูกศิษย์ที่มหาวิทยาลัยคงต้องคิดหนักกับเสรีภาพในการแต่งกายของสาวสมัยใหม่ซึ่งอาจสวนทางกับความปลอดภัยของพวกเธอ

ด็อกเตอร์หนุ่มเดินเข้าไปในร้านกาแฟที่ตกแต่งเข้ากับบรรยากาศของห้างคือใช้เฟอนิเจอร์ของเก่าที่ยังดูดีเช่น  โซฟาหนังบุนวมสามที่นั่ง  เก้าอี้อาร์มแชร์ผ้ากำมะหยี่ฝังกระดุมคริสตัล  โต๊ะกลมหินอ่อน  เก้าอี้ไม้สัก  มีส่วนเคาน์เตอร์กาแฟและตู้ขนมที่เป็นงานใหม่  พนักงานหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสเดินมาที่โต๊ะริมหน้าต่างที่เขานั่งพร้อมกับส่งรายการอาหารและเครื่องดื่มให้

“มีอาหารด้วยเหรอครับ”  เขากวาดสายตาอ่านรายการอาหารและเครื่องดื่มก็พบว่ามีทั้งอาหารไทยแต่ฝรั่ง

“ค่ะ  แล้วก็มีเบเกอรี่ด้วยนะคะ  ตอนนี้ลดราคาห้าสิบเปอร์เซ็นต์อยู่ค่ะ”

“งั้นผมเอาโกโก้เย็นครับ  ส่วนขนมเดี๋ยวขอเดินดูก่อนนะ”

“ได้ค่ะ”

ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ออกมาเช็กข่าวสารตามความเคยชิน  ก่อนที่จะยกโทรศัพท์บันทึกภาพบรรยากาศไว้แล้วกดส่งเข้าไปในกรุ๊ปไลน์ซึ่งมีเขา  ปารัณและมนสิชา  หญิงสาวหนึ่งเดียวในกลุ่มทักทายกลับมาอย่างรวดเร็วก่อนคู่หมั้นของเธอเสียอีก

“เที่ยวไหนเนี่ย”

“เปล่า  มาเดินเล่นดูหนังสือ”

“มาคนเดียวเหรอ”

“ใช่  จะให้มากับใครล่ะ  พี่รัณไม่อยู่  ไปงานต่างจังหวัด”

“แหม  ทำอย่างกับไม่มีเพื่อนคนอื่น”

“อะไรณฐ  นินทาเหรอ”  ชายหนุ่มที่ถูกเอ่ยถึงพิมพ์ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว

“เปล่าพี่  ก็แฟนพี่ถาม  ผมก็ตอบ”

“แล้วนี่อยู่ไหน  เงียบไปนานเลยนะ”

“โทษทีพี่  ช่วงนี้ยุ่ง ๆ สอนด้วย  วันนี้อธิการก็เชิญเข้าไปพบเสนองานให้ผม”

“งานอะไร”

“ก็อยากให้ผมไปช่วยดูคณะที่จะเปิดใหม่วิทยาเขตต่างจังหวัด”

“อ้าว  แล้วงานที่กระทรวงล่ะ”  ปารัณพิมพ์ถามเข้ามาพร้อมกับคู่หมั้นของเขา

“ก็นั่นสิ  ผมบอกไปว่าขอแค่สอนพิเศษเฉยๆก็พอแล้ว  ยังอยากทำงานที่กระทรวงอยู่  แต่ท่านบอกว่าถ้าผมย้ายไปก็สามารถไปช่วยพัฒนาต่อยอดงานที่ทำได้อีก”

“เหมือนเค้าจะรู้ว่าณฐชอบและอยากพัฒนาท้องถิ่นเลยเสนองานนี้ให้เนอะ”  มนสิชาแสดงความเห็นอย่างเข้าใจเพื่อน

“ก็นั่นแหละที่ทำให้คิดหนัก  เพราะงานเราถ้าลงไปช่วยชุมชนวิจัยเรื่ององค์ความรู้ในท้องถิ่นก็ถือว่าต่อยอดได้อีกเยอะเลย”

เขาจบด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลแต่นอกเหนือจากเรื่องสัตว์น้ำแล้วการที่ได้ต่อยอดองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นการวิจัยขยายพันธุ์สัตว์ทะเลเพื่อเศรษฐกิจของชาวบ้านก็เป็นงานที่เขาคิดว่าจับต้องได้และส่งเสริมอาชีพอย่างยั่งยืนด้วย

“งั้นก็อย่าเพิ่งปฏิเสธ  คิดให้ดีก่อน  มีเวลาอีกนานไหมล่ะ”

“ก็ประมาณปีหน้าพี่”

“อีกนาน  ถึงตอนนั้นมาช่วยกันเลี้ยงลูกเราสองคนก่อนยังได้”

“บ้าเหรอคุณรัณ  ยังไม่ได้แต่งเลย”

“มนจะมาเมืองไทยวันไหนนะ”  ณฐเปลี่ยนเรื่องสนทนา

“อาทิตย์หน้า”

“มาดูฤกษ์แต่งงาน”  ปารัณรีบตอบ

“รู้แล้วพี่  แหมไม่ต้องประกาศหรอก”

“แล้วเจอกันนะณฐ  คราวที่แล้วเราไปไม่ได้เจอกันเลย”

“ใช่  คราวนี้ต้องได้เจอแน่นอนมน”

“งั้นเราไปก่อนนะ  บายจ้ะ”

มนสิชาส่งสติ๊กเกอร์รูปหมีโบกมือหลังจบประโยคเป็นการจบบทสนทนา  จากนั้นปารัณก็เงียบไปไม่พิมพ์ตอบมาอีก  ณฐจึงลุกไปที่ตู้เบเกอรี่และสั่งเค้กชาไทยมาทานคู่กับโกโก้เย็นรสเข้มข้นที่เริ่มละลายแต่ยังคงความอร่อยอยู่  รสชาติที่เข้ากันช่วยใจความคิดวุ่นวายที่ยังลังเลในใจคลายลงไป  เขาคงยังไม่ต้องรีบตัดสินใจดังเช่นที่ปารัณบอกเพราะยังมีเวลาอีกนาน  และไม่ว่าทางไหนเขาเชื่อว่าย่อมเป็นหนทางที่จะเกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นสูงสุดตามที่เขาตั้งใจแน่นอน

แสงแดดจ้าสะท้อนเข้าตาชายหนุ่มแม้ว่าเขาสวมแว่นกันแดดเพื่อปกป้องดวงตาแล้วก็ตาม  นอกจากแสงแดดแล้วช่วงนี้กรุงเทพมหานครยังมีฝุ่นละอองขนาดเล็กที่กำลังเป็นปัญหาสุขภาพใหญ่สำหรับชาวเมือง  เนื่องด้วยทำให้คนรอบข้างของเขาและเพื่อนร่วมงานเจ็บป่วยไปตามกัน  โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงอย่างเด็กเล็กและคนชรา  ณฐต้องสวมหน้ากากอนามัยสำหรับป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็กเสมอยามที่ออกมาเดินตามท้องถนนเช่นวันนี้

ถนนเจริญกรุงบริเวณเขตเมืองเก่ายังคงมนต์เสน่ห์เช่นเดิม  วันนี้เขาพกคอมพิวเตอร์คู่ใจมาด้วยเพราะอยากหาร้านกาแฟเล็ก ๆ ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นเพื่อสะสางงานที่ค้างคา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานค้นคว้าและรวบรวมประวัติต้นตระกูลที่คุณปู่มอบหมายให้เขาเป็นคนทำแต่เขาก็ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมานานหลายปี  ตอนนี้ณฐคิดว่าได้เวลาที่เขาจะต้องทำให้เสร็จเสียที

ร้านขายเพชรเก่าแก่ตั้งอยู่ริมถนนเรียงรายแต่หาใช่จุดหมายของเขา  แม้ถนนด้านนี้ไม่ใช่เส้นทางหลักที่ผู้คนนึกถึงยามเมื่อต้องการเครื่องประดับมีค่าแต่ก็ถือได้ว่าอยู่ในละแวกใกล้เคียงกับย่านบ้านหม้อ  แหล่งรวมเพชรมีชื่อย่านเก่าของชาวกรุง  ณฐเดินเลาะเลี้ยวเข้าไปในซอยเจริญกรุงช่วงต้นถนนเพื่อหาร้านกาแฟที่มีบรรยากาศดีและสงบเงียบ  เดินเข้าไปไม่นานเขาก็หยุดยืนอยู่หน้ารั้วไม้ฉลุลาย  ความร่มครึ้มเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยสีทองของแสงอาทิตย์ที่ทาบทับเรือนปั้นหยายามเมื่อเขาถอดแว่นกันแดด  ชายหนุ่มแทบไม่รู้ตัวว่าเขาพาตนเองเข้าไปหยุดยืนเบื้องหน้าต้นพิกุลนั้นเมื่อใดแต่บ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ตรงหน้าเหมือนกำลังร้องเรียกให้เขาเข้าไปทักทาย  ซึ่งดูเหมือนว่าเขาตัดสินใจได้ถูกต้องเพราะที่นี่คือโรงแรมแบบที่เรียกกันว่าบูติกโฮเต็ลซึ่งเขาสังเกตเห็นป้ายร้านกาแฟด้วย

ณฐผลักประตูกระจกกรอบไม้สักบานใหญ่เข้าไปในห้องด้านซ้ายมือ  ด้วยหวังว่าจะสอบถามรายละเอียดการจองที่พักก่อน  แต่เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางของหญิงสาวที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์เพราะแววตาของเธอดูสงสัยระคนหวาดหวั่นตั้งแต่เขายืนอยู่หน้าประตูแล้ว

“เอ้อ  สวัสดีครับ”  ณฐกล่าวทักทายขณะปลดหน้ากากอนามัยออก  ทำให้เขารู้ว่านี่อาจเป็นสาเหตุที่หญิงสาวตรงหน้ามีสีหน้าเช่นเมื่อครู่

“สวัสดีค่ะ”

ดวงตาโตรียาวชั้นเดียวของหญิงสาวตรงหน้าส่องประกายบางอย่างที่ณฐก็ไม่เข้าใจในความหมาย  เขาเพียงรู้ว่าไม่มีความรู้สึกด้านลบในแววตาหากก็มิได้สะท้อนความปกติในดวงตาคู่นั้น

“ไม่ทราบว่าห้องพักราคาเท่าไหร่  แล้วเสาร์อาทิตย์หน้ามีห้องว่างหรือเปล่าครับ”

ตลอดเวลาที่ณฐสอบถามข้อมูล  เขารู้สึกได้ว่าภายใต้ท่าทีสุภาพและเต็มใจบริการอันเป็นคุณสมบัติหลักที่หญิงสาวตรงหน้าควรมีต่ออาชีพแล้ว  หากสามารถถอดรหัสในแววตาออกมาเป็นคำพูดได้คงมีคำตัดพ้อและน้อยใจมอบแด่เขาเหลือคณา ทั้งที่ในความเป็นจริงมันไม่ควรเกิดขึ้นกับคนที่เพิ่งพบหน้ากันเป็นครั้งแรก  ที่สำคัญไม่เคยแม้แต่รู้จักกันมาก่อนเสียด้วย

หรือมีบางอย่างที่เขาควรต้องหาคำตอบให้กระจ่างใจก่อนที่จะลงมือทำงานตามที่ตั้งใจไว้ !

………………………………………….

จันทร์กระจ่างฟ้าคืนนี้ไม่ได้ทำให้จิตใจของณฐสงบลงได้  เพราะทุกคราวที่เขาแหงนมองดวงจันทร์กลับมีประกายกล้าในดวงตาใครคนหนึ่งเข้ามาซ้อนทับราวกับจับวาง  ทั้งที่เขาเพียรบอกตนเองว่าอาจเป็นเรื่องบังเอิญเพราะมีเหตุผลมากมายในการที่หญิงสาวเมื่อกลางวันแสดงทีท่าเช่นนั้นต่อเขา  เช่น  เธออาจเพิ่งทะเลาะกับคนรัก  หรือเธออาจกำลังมีเรื่องเศร้าที่บอกใครไม่ได้  ทั้งหมดล้วนไม่เกี่ยวกับเขา  แต่ยิ่งคิดหาเหตุผลณฐก็ยิ่งรู้สึกว่ามันช่างไม่เป็นเหตุเป็นผลเอาเสียเลย  กระทั่งเเขาเผลอหลับไปและตื่นมาตอนเกือบสามทุ่ม  เมื่อแม่บ้านมาเคาะประตูเรียกเขาจึงลงไปข้างล่างเพื่อรับประทานอาหาร

“เป็นไงบ้างล่ะจ๊ะ  ลูกชายคนดี”  คุณนันทิชามารดาของณฐผู้ที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์จนหลายคนทักว่าเป็นพี่สาวเอ่ยทักบุตรชายคนโตอย่างอารมณ์ดี

“ไม่เป็นไงหรอกครับแม่  ณฐเพลียๆเลยเผลอหลับไปน่ะครับ”

“แม่ก็กำลังคิดอยู่ว่าวันนี้ณฐกลับบ้านหรือเปล่า  จนเมื่อกี้เพิ่งเห็นรถก็เลยให้แม่บ้านไปตามน่ะ  กินข้าวไหมล่ะ  เดี๋ยวให้เด็กไปหาให้”

คุณนันทิชาเอ่ยเช่นนั้นเพราะที่บ้านนี้ไม่ค่อยรับประทานอาหารเย็น  เว้นแต่เมื่ออยู่กันพร้อมหน้า  วันนี้เธออยู่เพียงลำพังหลังกลับจากรับประทานน้ำชายามบ่ายกับเพื่อนสนิท  คุณอาชว์ผู้เป็นสามีก็มีงานเลี้ยงที่เธอเบื่อที่จะไปร่วมสังสรรค์ด้วยทุกเย็น  ส่วนณิชลูกสาวคนเล็กก็กำลังเริ่มงานใหม่และมีคอนโดมิเนียมใกล้ที่ทำงานจึงไม่ค่อยกลับบ้าน

“กินสิครับ  หิวมากเลย”  เขาทำท่าอ้อนเหมือนเด็กโดยการเข้าไปนั่งใกล้มารดาและเอนศีรษะพิงไหล่ของเธอ

“ไม่ต้องมาอ้อนเลย  จะเอาอะไรจ๊ะ”

มารดาผู้รู้ทันลูกทุกคนถามอย่างอารมณ์ดี

“แหม  แม่นี่รู้ทันณฐทุกเรื่องเลยนะครับ  เบื่อจริง”  เขาว่าพลางหัวเราะ

“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว  ก็แม่เป็นแม่นะ”

“ณฐก็รู้ไงครับ  เลยต้องมาบอกแม่ก่อน  เผื่อวันหยุดอาทิตย์หน้าหายไปเฉย ๆ​ แม่จะได้ไม่สงสัย”

“จะไปเที่ยวไหนอีกล่ะเรา”

“ไม่ได้เที่ยวครับ  ณฐไปเจอบ้านเก่าแถวเจริญกรุงที่เพิ่งรีโนเวทเป็นบูติกโฮเต็ล  ก็เลยว่าจะไปนอนทำงานให้คุณปู่สักหน่อย”

“เรื่องรวบรวมประวัติน่ะเหรอลูก”  คุณนันทิชาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังต่างจากเมื่อครู่

“ใช่ครับ  ณฐบอกจะทำตั้งแต่ก่อนไปฝรั่งเศสแต่นี่กลับมาสองปีแล้วยังไม่เสร็จเลย”

“คุณปู่อาจลืมไปแล้วมั้ง  ไปงานเลี้ยงประจำปีก็ไม่เห็นถามถึงเลย”

 

มารดามักบอกเขาเสมอว่าครอบครัวของณฐเป็นครอบครัวใหญ่ซึ่งคำว่าใหญ่ในที่นี้คุณนันทิชาย้ำว่าไม่ได้หมายถึงจำนวนคนหากแต่เป็นความใหญ่โตอันเป็นภาพลักษณ์ที่คนภายนอกมองเข้ามา  รวมถึงคุณนันทิชาผู้ซึ่งก่อนเข้ามาเป็นสะใภ้ก็มีความคิดเช่นนั้นด้วย  ตระกูลของเขารับราชการสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕  และก้าวหน้ามาตลอด  ซึ่งความใหญ่ที่มารดาของเขาเคยเอ่ยถึงนั้นหมายถึงมรดกที่ตกทอดนับเนื่องมาแต่อดีตมากมาย  ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ริมน้ำหรือสังหาริมทรัพย์อันได้แก่  เครื่องประดับของต้นตระกูลฝ่ายหญิงที่เล่ากันมาว่ามีเป็นหีบ  แม้ถึงคราวลูกหลานแต่งงานได้ยกให้เป็นสมบัติของหมั้นไปแล้วก็ยังมีเหลืออีกไม่น้อย  ในส่วนนี้ขนาดเขาไม่ได้ใส่ใจก็ยังสังเกตได้ว่ามารดาของเขามีเครื่องประดับชุดใหญ่อยู่หลายชุดนอกเหนือจากสมบัติติดตัวที่เธอมีมาแต่เดิม

“ไม่ลืมหรอกครับ  ณฐว่าคุณปู่ก็รออยู่”  หลานชายคนโตเอ่ยถึงคุณติณณ์ประมุขใหญ่ของตระกูล

“มีข้อมูลอะไรที่ละเอียดซับซ้อนเหรอลูก  เท่าที่แม่รู้ก็คือตระกูลนี้รับราชการมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ จนมั่นคงเป็นปึกแผ่นมีสมบัติมากมายให้ลูกหลานมาจนทุกวันนี้  สงสัยที่เรื่องแม่ไม่รู้เพราะพ่อของณฐไม่เคยบอกหรือเปล่า”

“สมัยรัชกาลที่ ๕ ก็ถูกครับ  แต่ก่อนหน้านั้นบรรพบุรุษของเราเคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับพระที่นั่งภูวดลทัศไนยด้วยครับแม่  คุณปู่เล่าว่าท่านเข้าไปทำงานก่อนที่จะออกมาทำร้านถ่ายรูปสมัยเดียวกับฟรานซิส จิตร  แต่ก็สืบไม่ได้แน่ชัดว่าท่านเข้าไปยังไงครับ  เพราะลูกหลานของท่านรับรู้กันแต่เพียงว่าที่บ้านทำกิจการถ่ายรูป”

“อ้อ  เหรอ  ถ้าแบบนั้นก็นับได้ว่าต้นตระกูลของณฐรับราชการมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ สินะ”

“ณฐก็คิดว่าอย่างนั้น  แต่ที่ยากก็คือพันทิวาทิตย์เนี่ยเป็นชื่อตำแหน่ง  เราจะรู้ได้ยังไงว่าคนไหนเป็นต้นตระกูลเราครับ”

“พันอะไรนะลูก”  คุณนันทิชาถามอย่างสงสัยด้วยเป็นครั้งแรกที่เธอเคยได้ยินชื่อนี้

“พันทิวาทิตย์ครับแม่”

ณฐบอกมารดาเสียงเรียบทว่าแฝงไว้ด้วยความรู้สึกมากมาย  ทั้งภาคภูมิและขณะเดียวกันเขาเองก็เปี่ยมไปด้วยความอยากรู้เพราะจะว่าไปแล้วตำแหน่งนี้มีหน้าที่สำคัญคือคอยเทียบเวลาจากดวงอาทิตย์ในตอนกลางวันเพื่อมาตั้งเวลาบนนาฬิกาเรือนใหญ่ทั้งสี่ด้านบนพระที่นั่งภูวดลทัศไนยอันเป็นหนึ่งในพระที่นั่งสำคัญแห่งหมู่พระอภิเนาว์นิเวศน์ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระองค์  เพื่อเป็นการแสดงให้นานาอารยประเทศที่เข้ามาเยือนเมืองไทยด้วยจุดหมายต่างกันได้เห็นถึงความเป็นสากล  อันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการก้าวสู่ความทันสมัยแห่งสยามประเทศนั่นเอง



Don`t copy text!