เมื่อวานรสวานิลลาซันเดย์ บทที่ 2 : วานิลลาซันเดย์เรดิโอ
โดย : นทธี ศศิวิมล
เมื่อวานรสวานิลลาซันเดย์ โดย นทธี ศศิวิมล ผู้คว้ารางวัลรองชนะเลิศ นวนิยายดีเด่น กลุ่มรักรัก จากโครงการช่องวันอ่านเอา รุ่นที่ ๓ กับเรื่องราวรักรักของชายหนุ่มที่ตื่นมาพบสาวน้อยน่ารักที่อ้างตัวว่าเป็นคนรักของเขา แต่เขากลับจำอะไรไม่ได้เลย เธอคนนี้คือใคร มาจากไหน อ่านเอาขอชวนนักอ่านมาหาคำตอบที่เว็บไซต์ anowl.co กันค่ะ
แสงแดดยามสายสาดส่องไปทั่วผืนป่า ตรงจุดที่เรากางเต็นท์กันอยู่เป็นบริเวณที่มีต้นไม้ใหญ่สูง แผ่เรือนยอดกว้างใหญ่ ทำให้แดดไม่แรงจัดจ้ามากนัก อากาศเริ่มอุ่นขึ้นยังคงเย็นชื้น เสียงนกป่าและสัตว์ป่าบางชนิดบรรเลงขับกล่อมให้สดชื่นตื่นตัวอยู่เป็นระยะ
ผมกับนลกางแผนที่นั้นออก เธอดูแผนที่ไม่ค่อยเป็น และว่าตอนที่เดินเข้ามาก็เดินตามผมมาอย่างเดียว ซ้ำเธอยังเป็นคนหลงทิศที่จำทิศทางอะไรไม่ค่อยได้
“คิดดู ขนาดเราอยู่กรุงเทพ ศราอยู่เชียงใหม่ เวลาเราหลงทางเราก็ยังต้องโทรมาถามเธอ ว่าจะไปที่ไหนต้องขึ้นรถสายอะไร ฝั่งไหน”
เธอมองหน้าผมแบบคาดหวังอีกแล้ว เรานิ่งกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเธอเอ่ยออกมาอีกครั้ง “จำไม่ได้?”
“อือ” ผมตอบในคอเบาๆ ใช่ ไม่มีซากอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นเหลือในหัวผมเลย เหลือแต่อาการปวดตุบๆ ตรงแผลหน้าผากที่ยังไม่ไปไหน
อย่างไรก็ดี เราสันนิษฐานกันว่า จุดตรงกากบาทสีแดงในแผนที่ น่าจะเป็นจุดที่ผมใช้เลือกกางเต็นท์ และควรจะเริ่มหาทางออกจากจุดนั้นโดยใช้เข็มทิศและแผนที่เป็นตัวช่วย
“น่าจะต้องขึ้นไปทางทิศเหนือ ถึงจะเจอสำนักงานอุทยาน แล้วออกไปจากที่นี่ได้” เธอว่า
ในขณะที่เรากำลังช่วยกันเก็บข้าวของ เตรียมพับเต็นท์ เสียงซ่าๆ แกรกๆ เหมือนเสียงคลื่นวิทยุ ดังแทรกความเงียบขึ้นมา
พอผมหันไปมอง เห็นว่าหญิงสาวกำลังนั่งใจจดใจจ่อง่วนอยู่กับวิทยุวอล์กแมนที่เราพบในกระเป๋าเครื่องนั้น
นิ้วมือเล็กๆ เหมือนเด็กพยายามหมุนหาคลื่น ปรับไปมาทั้ง AM / FM บางคลื่นเหมือนจะได้ยินเสียงดีเจกำลังจัดรายการ แต่ก็ได้ยินเพียงเสียงพูดกระท่อนกระแท่น ไม่เป็นคำ
“กลางหุบเขาขนาดนี้ ผมว่าไม่น่ามีคลื่นหรอก อย่างมากก็คลื่นวิทยุชุมชนแต่คงไม่ชัดเท่าไหร่”
นลพยักหน้า แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม “อื้ม แต่เราจำได้คุ้นๆ นะ ว่ารายการ วานิลลาซันเดย์ ของดีเจคิมจะมีจัดทุกช่วงบ่ายหรือช่วงเช้าวันเสาร์อาทิตย์ เราคิดถึงเมื่อก่อน อยากฟังเพลง”
“วันนี้เสาร์ อาทิตย์ เหรอ” ผมถาม เออนั่นสิ วันเดือนปีอะไรผมก็จำไม่ได้อีก
หญิงสาวส่ายหน้า “เปล่า วันนี้วันพุธ ลองดูเผื่อๆ น่ะ อืม แต่ดูท่าแล้วแถวนี้ท่าจะไม่มีคลื่นจริงๆ แหละ”
“เวลาแบบนี้ยังมาห่วงจะฟังเพลงอีก ออกจากป่ากันให้ได้ก่อนไหม” ผมว่า
เธอหันมามองหน้าแล้วย้อนทันที “ก็ถ้าศราไม่ได้อยากฟังเพลงในป่าแบบนี้แล้วจะเอาวิทยุมาทำไมล่ะ นี่มันก็ไม่ใช่วิทยุสื่อสารเสียหน่อย” หลังจากนั้นก็บ่นอุบอิบในลำคอ “นึกว่าจะพามารำลึกความหลังกับรายการดีเจคิมเสียอีก”
“รำลึกความหลัง? รายการวิทยุน่ะนะ”
เหมือนทุกเรื่องที่ผมพยายามนึกตอนนี้นั่นแหละ มันคลุมเครือเหมือนหมอกหนาๆ ปกคลุมอยู่จนมองไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร คลับคล้ายคลับคลา แต่ก็คิดไม่ออก
“โอย อย่าบอกนะว่าลืมกระทั่งดีเจคิมน่ะ ไว้ออกจากนี่ไปได้ก่อนเหอะ เราจะไปฟ้องดีเจคิม” เธอว่าแล้วปิดวิทยุเก็บใส่ลงกระเป๋าไป
แปลกดีเหมือนกัน ที่ผมจัดข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ลงกระเป๋าเป้ได้อย่างง่ายดายคล่องแคล่ว ผมน่าจะใช้มันอยู่เป็นประจำจนเคยชินว่าอะไรต้องอยู่ตรงไหนโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
เราสองคนเริ่มออกเดินทางตามทิศทางที่คิดว่าน่าจะใช่ ท่ามกลางอากาศเย็นชื้นที่เริ่มอุ่นขึ้นเรื่อยๆ
เราเดินฝ่าป่าดิบเขาชื้นแฉะด้วยรองเท้าผ้าใบเปรอะโคลนที่ตอนนี้จำสีเดิมของมันไม่ได้แล้ว พื้นดินปนโคลนนุ่มหยุ่นเหนอะหนะ ทำให้ก้าวเดินแต่ละก้าวยากลำบากมากขึ้น บางช่วงเป็นทางชัน ผมลื่นเสียหลัก น้ำหนักของเป้ที่สะพายอยู่กระชากผมให้ล้มลงไปกองกับพื้น
หญิงสาวร่างเล็กเหมือนเด็กมัธยมเนื้อตัวมอมแมมตั้งแต่เท้ายันหัว โคลนเลอะกระเด็นเปรอะทั้งตัวไปยันกระจกแว่นตารีบพุ่งเข้ามาพยุงตัวผมให้ลุกขึ้น และพยายามจะแกะเป้ออก “เจ็บตรงไหนไหมศรา มา เดี๋ยวเราช่วยสะพายเป้ให้เอง”
อาการปวดหัวจี๊ดพุ่งขึ้นมา ถ้าได้กาแฟสักแก้วคงดีขึ้น ผมคิด “ไม่เป็นไร กระเป๋าเต็นท์ที่เธอถือนั่นก็หนักแล้ว”
หญิงสาวที่ชื่อนลถอดแว่นตาตัวเองออกมาเช็ดกับด้านในเสื้อ เริ่มหายใจแรงด้วยความเหนื่อย “นี่เราก็เดินมาไกลแล้ว น่าจะถึงเส้นทางเดินหลักแล้ว เลี้ยวผิดตรงไหนหรือเปล่า”
ไม่รู้ว่าเพราะร่างกายผมอ่อนแอหรือกำลังป่วย หรือเพราะแรงกระแทกที่หัวเมื่อเช้า พอได้ยินว่าอาจจะเดินมาผิดทาง เรี่ยวแรงก็หมดลง แทบจะทิ้งตัวลงนอนมันเสียตรงนั้น หูอื้อตาลายไปหมด
เธอยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ถามอะไรบางอย่าง แต่เสียงที่ได้ยินกลับเหมือนเสียงแมลงบินหวี่รอบหู คลื่นเหียน มึนงง เหมือนพื้นโคลงเคลงไปมา ผมผลักเธอจนกระเด็นหงายหลังก้นกระแทกพื้นก่อนหันไปโก่งคออาเจียนลงพื้นจนหมดท้อง เหงื่อแตกพลั่ก ตัวสั่น
“ศรา…ศรา เป็นอะไร…” เธอเด้งตัวกลับมาประคองผมรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ
น่าแปลก ด้วยความเคยชินหรืออะไรไม่ทราบ แวบนั้นผมรู้สึกหงุดหงิดฉุนเฉียว โมโหตัวเอง โมโหทุกอย่าง เหมือนอะไรบางอย่างหรือคนบางคนเข้ามาสวมร่างผมไว้ ให้ทำแบบเดิมๆ สิ่งที่ผมอาจจะเคยทำอยู่เสมอแต่กลับลืมเลือนไปเสียหมด ผมสะบัดมือเธอออก ผลักหญิงสาวหน้าเศร้าให้ห่างจากตัว
“อย่ามาถูกตัวผม ถอยออกไปไกลๆ” ผมว่าเสียงห้วนแล้วเดินหน้าต่อไป
หลังตัดสินใจใหม่จากการประเมินทิศทางและแผนที่ ผมเลือกเดินกลับไปยังทิศที่ยังได้ยินเสียงลำธาร ทางเดินป่าเส้นหลักของอุทยานมีจุดที่ตัดกับลำธาร อยู่บริเวณใกล้เนินเขา ถ้าเราหาลำธารเจอแล้วทวนน้ำขึ้นไป อย่างน้อยน่าจะไม่หลงทิศ
นล หญิงสาวแปลกหน้าท่าทางใจดีจนน่าสงสัยยังคงเดินรักษาระยะห่างตามผม มองตามตาละห้อยเหมือนลูกหมาหงอย เธอทำเอาผมรู้สึกผิดที่ตะคอกเธอไปเมื่อครู่
เราลัดเลาะโขดหินเดินทวนลำธารขึ้นไปเรื่อยๆ เนินเขาไกลๆ เบื้องหน้ามีมวลเมฆฝนสีเทาดำทะมึน ลมไม่พัด ใบไม้นิ่งสนิท อากาศร้อนชื้นทำให้ผมหายใจลำบากมาก ขนาดผู้ชายยังเหนื่อยขนาดนี้ แล้วสาวน้อยนั่นจะเป็นยังไงบ้างหนอ
“นี่ เธอ นล เป็นไงบ้าง เหนื่อยไหม เมื่อกี้ขอโทษนะ” ผมหยุดรอให้เธอเดินตามมาใกล้ กางเกงขายาวครึ่งล่างของเธอเลอะโคลนจนไม่เป็นสีเดิมเช่นเดียวกับรองเท้าแล้ว เธอหันหน้าไปทางลำธาร ไม่ตอบคำถามผม
“ผมขอโทษ เมื่อกี้คงเหนื่อยไปหน่อย แล้วผมปวดหัว…”
แต่นอกจากเธอยังคงไม่ฟังผมพูด ตาจับจ้องนิ่งที่น้ำในลำธาร ขมวดคิ้วยุ่ง พึมพำเบาๆ เสียงแทบจะจมหายไปกับเสียงลำธารที่กำลังไหลรินเซาะโขดหิน “…โอวัลติน…ป่า…”
ผมกะพริบตาปริบๆ “หิวเหรอ โอวัลตินไม่เห็นนะ แต่ในกระเป๋ามีกาแฟซอง จุดไฟต้มน้ำกันไหม”
หญิงสาวสีหน้ากังวล ไม่ตอบ แต่ชี้มือไปที่ลำธาร ผมเดินเข้าไปใกล้เธอแล้วมองตาม เพิ่งสังเกตเห็นว่า น้ำในลำธารเปลี่ยนจากสีใสสะอาดกลายเป็นสีขุ่นข้นแดงอมน้ำตาล ขุ่นกว่าเมื่อสักครู่มาก
นลชะเง้อมองขึ้นไปบนภูเขาด้านเหนือน้ำ ท่าทางหวั่นวิตก ผมมองตาม ดูเหมือนเมฆฝนขนาดใหญ่ที่เคลื่อนมาตรงนั้น เริ่มสาดสายฝนโปรยปรายที่ยอดเขา
“น้ำป่า” เธอว่า “เราเคยดูสารคดี ถ้าน้ำในลำธารเปลี่ยนเป็นสีขุ่นข้นเหมือนโอวัลติน แสดงว่าน้ำป่ากำลังมาแล้ว ให้รีบขึ้นที่สูง ศราเราอยู่ในทางน้ำ รีบขึ้นไปบนเนินเขาเร็ว ไม่งั้นเราตายแน่!”
เมฆฝนสีดำทะมึนขนาดใหญ่กินพื้นที่เกินครึ่งฟ้า ผมเห็นม่านฝนสีขาวหนาทึบโปรยปรายลงมาจากกลุ่มเมฆนั้น เคลื่อนตัวใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เราพากันตะเกียกตะกายเร่งฝีเท้าไต่ขึ้นเขาด้วยความตื่นตระหนก หลีกเลี่ยงบริเวณซอกเขาและทางลาดที่อาจจะเป็นทางน้ำ จนกระทั่งเจอเนินเขาบริเวณที่เหมาะแก่การหลบภัย
ผมกับนลช่วยกันกางเต็นท์ตอกสมอบกอย่างเร่งรีบ ท่ามกลางสายฝนที่เริ่มโปรยละอองลงมา เม็ดฝนอวบหนาขึ้นเรื่อยๆ หล่นกระทบผิวเย็นเฉียบราวกับน้ำที่เพิ่งละลายจากช่องแช่แข็ง
นลค้นกระเป๋าเต็นท์เจอผ้าใบกันฝนคลุมเต็นท์ผืนใหญ่ เราจึงช่วยกันมัดสองมุมกับกิ่งไม้ และปักสมอบกเพิ่มอีกสองด้าน ตอกลึกลงในดิน หวังให้ผ่านพ้นพายุฝนคืนนี้ไปได้ด้วยดี
ฝนตกกระหน่ำแรงขึ้นหลังจากที่เราเข้ามาอยู่ในเต็นท์กันได้ไม่นานนัก ด้านในจึงเกือบมืดสนิท ผมเปิดไฟจากตะเกียงพกพาแขวนที่ห่วงตรงเพดานเต็นท์ แสงไฟเพียงน้อยนิดพอให้แสงสว่างที่ช่วยให้เราอุ่นใจมากขึ้น
อากาศที่หนาวเย็นอยู่แล้วยิ่งหนาวจับขั้วหัวใจเข้าไปอีกเมื่อเราต่างเปียกปอนเช่นนี้ หญิงสาวในเสื้อกันหนาวสีฟ้านั่งขดขากอดอกหนาวสั่น สลับเอามือทั้งสองข้างขึ้นมาเป่าให้ความอบอุ่นกับตัวเอง ใบหน้าซีดขาว ปากเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ เส้นผมของเธอหลุดลุ่ยออกจากมุ่นมวย เปียกฉ่ำแนบผิวใบหน้าและลำคอ กระจกแว่นตาของเธอขึ้นฝ้าไอน้ำจนขาวขุ่น
ผมรีบรื้อเป้ออก ควานหาผ้าเช็ดตัวออกมายื่นให้เธอเช็ดผม และหาเสื้อแขนยาวกับกางเกงวอร์มออกมาอีกชุด
เธอรีบยื่นมือมารับไว้ ถอดแว่นตากรอบโลหะสีเงินออก แล้วรีบหันหลังถอดเสื้อตัวเองออกโยนไว้ที่มุมเต็นท์
ผมมองแผ่นหลังเกลี้ยงเกลาขาวนวลผุดผ่องของเธออย่างตกตะลึงอยู่แวบหนึ่ง ก่อนรีบหันไปอีกด้าน วูบวาบในอกแปลกๆ ไม่เคอะเขินบ้างหรือไงก็ไม่รู้แม่คุณ
ผมรอจนเธอร้องเรียกอีกครั้ง “เอ้า ศรา ทำไมยังไม่เปลี่ยนชุดอีก เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”
หันมาอีกที เธอก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ปล่อยผมยาวสยายออกมาเช็ดด้วยผ้าเช็ดตัวอย่างเร่งรีบ สีหน้าดูดีขึ้นบ้างแล้ว
“อ้อ รอผ้าเช็ดตัวเหรอ มีผืนเดียวนี่เนอะ” ว่าพลางรีบยื่นผ้าอุ่นชื้นคืนให้ผม
กลิ่นแชมพูหอมอ่อนๆ จากเส้นผมของเธอหอมละมุน ไออุ่นจากร่างกายของเธอยังติดอยู่ที่ผ้าเช็ดตัว กลิ่นผิวเนื้อหอมสะอาดคล้ายวานิลลาเป็นกลิ่นที่ผมคุ้นเคย แต่ยังนึกหาความเชื่อมโยงในความทรงจำไม่ออกอีกเช่นเดิม โดยไม่รู้ตัว ผมยกผ้าผืนนั้นขึ้นแนบหน้า หลับตาสูดดมกลิ่นลึกๆ ความละมุนละไมบางอย่างแผ่ออกจากผ้าผืนนั้นเข้ามาในลมหายใจ
พอลืมตาขึ้น ดวงตาใสแจ๋วหลังแว่นตาคู่นั้นจ้องมาอย่างแปลกใจเสียจนผมกระดาก จึงรีบเลิกทำท่าเหมือนพวกโรคจิตที่ชอบดมเสื้อผ้าผู้หญิงแล้วรีบเลือกหาเสื้อผ้าแห้งๆ สำหรับตัวเองบ้าง
ระหว่างที่ผมหันหลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ หญิงสาวที่เรียกตนเองว่านลก็หันหลังง่วนอยู่กับวิทยุขนาดจิ๋วเครื่องนั้น พยายามหมุนหาคลื่นเสียงดังซ่าๆ แทรกอยู่กับเสียงฝน
“กลางป่าแถมฝนตกแบบนี้ไม่น่ามีคลื่นหรอกมั้ง” ผมว่าแต่เมื่อเห็นเธอยังคงตั้งหน้าตั้งตาจริงจังก็พลอยเอาใจช่วยไปด้วย
“105.5 น่าจะแถวๆ นี้น้า” เธอพูดพึมพำ “อ๊ะ นี่ไงๆ” น้ำเสียงลิงโลดดังขึ้นพร้อมกับเสียงเพลงจากวิทยุเครื่องเล็กเท่าฝ่ามือ เธอเร่งเสียงให้ดังขึ้นอีกจนสุด เนื้อเพลงที่คุ้นหูดังขึ้น เป็นเพลง ก่อน ของ โมเดิร์นด็อก
หญิงสาวปริศนายิ้มเต็มหน้า “เพลงแบบนี้ ถูกคลื่นแล้วแน่ๆ เนอะ”
ผมยิ้มตอบเออออไปด้วยเพราะเห็นเธอกำลังร่าเริง และเริ่มร้องตาม
ผมเองก็เผลอร้องตามไปด้วย ในท่อนกลาง เราตะเบ็งเสียงออกมาพร้อมกันสุดเสียง แล้วก็พากันหัวเราะดังลั่น ความกังวลทั้งมวลและอวลอารมณ์พร่าเบลอที่ครอบงำผมอยู่ พลันมลายหายสิ้น
“ใช่ไหม ศราจำได้นี่ จะลืมได้ยังไง” เธอว่า สบตาผมแน่วแน่ จู่ๆ ก็น้ำตารื้นขึ้นมาคลอตา ริมฝีปากแดงฉ่ำสั่นระริกเผยอยิ้ม
ในขณะที่ผมร้อนวาบในอก เธอจะเจ็บปวดแค่ไหนหากผมตอบว่าจำไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ไม่อาจบอกตัวเองได้ว่า ความรู้สึกอบอุ่นคุ้นเคยอย่างประหลาดนี้คืออะไรกันแน่
พอดีกับที่เพลงก่อน ของโมเดิร์นด็อก จบลง เสียงพูดของดีเจดังขึ้น
“วานิลลาซันเดย์ 105.5 กลับมาแล้วนะครับ ผมดีเจคิมยังคงรับหน้าที่ดูแลท่านผู้ฟังในช่วงเวลาเดิมของเรา
ช่วงปลายหน้าหนาวใกล้ค่ำแบบนี้ เป็นช่วงเวลาที่หลายๆ คนชื่นชอบนะครับ สำหรับตัวผมเองแล้ว เป็นช่วงเวลาแห่งความคิดถึง เอาเป็นว่าใครที่ได้ฟังเพลงนี้แล้วคิดถึงใครบางคน ขอให้ความคิดถึงเดินทางไปถึงผู้รับด้วยนะครับ
โทรเข้ามาพูดคุยแนะนำเพลงกันได้ที่เบอร์เดิมนะครับ ดีเจคิมพร้อมอยู่เป็นเพื่อนคุณที่เดิมเสมอ เรามาฟังเพลงต่อไปกันนะครับ เพลงกลิ่น ของพี่ๆ วงทีโบนครับ ไปฟังกันเลยคร้าบบบบ”
พยางค์สุดท้าย ผมและสาวน้อยข้างๆ ลากเสียงยาวในคีย์เดียวกันอย่างพร้อมเพรียงกับเสียงดีเจจากวิทยุ เป็นธรรมชาติ ราวกับว่าเราเคยทำแบบนี้ร่วมกันอยู่เสมอ
เธอหัวเราะอีกแล้ว เสียงหัวเราะของเธออ่อนหวานกระจ่างสดใส ลักยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากของเธอละลายความหนาวเย็นของอากาศ และบางอย่างในใจผมไปพร้อมกัน
“คิมนี่ไม่เปลี่ยนเลยเนอะ ตั้งแต่สมัยเรียนละ”
ผมอมยิ้มมองเพลิน ด้านนอกฝนเริ่มซาเม็ดลงบ้างแล้ว ท้องฟ้ายังคงมืดครึ้มและคงจะค่อยๆ มืดลงเรื่อยๆ เสียงเพลงในจังหวะเรกเก้จึงดังชัดเจนขึ้นอีก
“คงต้องรอตอนเช้าถึงจะไปต่อได้ ภาวนาให้คืนนี้พายุฝนไม่แรงไปกว่านี้ก็พอ” ผมพูดขึ้นบ้าง “ตอนนี้เราอยู่บนเนินเขา ช่วงสายหน่อยถ้าไม่มีหมอกแดดดีๆ อาจมองเห็นเส้นทางเดินเท้าก็ได้”
หญิงสาวแกะเชือกมัดซองถุงนอนออก สะบัดปูแผ่ออกกว้าง ใช้มือลูบจัดระเบียบ ผมเพิ่งสังเกตว่ามันเป็นถุงนอนแบบคู่ที่นอนได้สองคน เธอรีบสอดตัวเข้าไปในถุงนอนอย่างรวดเร็ว พ่นลมหายใจออกทางปากแล้วร้องเบาๆ “หนาวๆๆๆ”
“จะนอนแล้วเหรอ” ผมท้วง ที่จริงก็อ่อนล้าเต็มที พอได้เปลี่ยนเสื้อผ้าแห้งๆ สบายตัวแบบนี้ก็นึกอยากเอนแล้วเหมือนกัน แต่…
“ศราเข้ามานอนด้วยกันสิ หนาวจะตาย ไม่รู้ฝนจะหยุดตกเมื่อไหร่ งีบนอนเอาแรงกันก่อนดีกว่า” เธอว่า พลางกวักมือเรียกหย็อยๆ เหมือนเรียกแมวที่เลี้ยงไว้ให้เข้ามาซุกตัวรวมกันในผ้าห่ม
ถุงนอนที่ดูเหมือนผ้าไม่หนานัก กลับให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายได้อย่างไม่น่าเชื่อ ต้นแขนเราเบียดกันจนผมไม่กล้าขยับตัวแรง กลับเป็นสาวน้อยน่ารักที่พลิกตะแคงตัวมาหาผม
ทุกครั้งของการเคลื่อนไหว กลิ่นกายของเธอก็จะไหลลอดออกมาจากถุงนอนหอมระรื่น เธอดึงแขนข้างซ้ายผมกางออก แล้วซุกตัวเข้ามานอนหนุนต้นแขนเหมือนลูกแมว