เมื่อวานรสวานิลลาซันเดย์ บทที่ 4 : คนหรือผี

เมื่อวานรสวานิลลาซันเดย์ บทที่ 4 : คนหรือผี

โดย : นทธี ศศิวิมล

Loading

เมื่อวานรสวานิลลาซันเดย์ โดย นทธี ศศิวิมล ผู้คว้ารางวัลรองชนะเลิศ นวนิยายดีเด่น กลุ่มรักรัก จากโครงการช่องวันอ่านเอา รุ่นที่ ๓ กับเรื่องราวรักรักของชายหนุ่มที่ตื่นมาพบสาวน้อยน่ารักที่อ้างตัวว่าเป็นคนรักของเขา แต่เขากลับจำอะไรไม่ได้เลย เธอคนนี้คือใคร มาจากไหน อ่านเอาขอชวนนักอ่านมาหาคำตอบที่เว็บไซต์ anowl.co กันค่ะ

ระหว่างทางเดินตรงไปยังเนินเขาตรงหน้า อันเป็นที่ตั้งสำนักงานอุทยานฯ เราตั้งหน้าตั้งตาเดินกันในบางช่วงเพราะกลัวจะถึงไม่ทันมืด แต่ก็ไม่ได้เร่งรีบไปเสียทุกช่วงตอน

ผมประหลาดใจตัวเองที่เหนื่อยง่ายกว่าปกติมาก ในขณะที่นลเดินตัวเบาหวิว ไม่แสดงอาการเหนื่อยให้เห็นเลยสักนิด เราแวะพักเหนื่อยดื่มน้ำกันหลายครั้ง หญิงสาวมีลูกอมหวานๆ เย็นๆ ชื่นใจ และมียาดมพกติดมาในกระเป๋ากางเกงของเธอ เลยพอเติมพลังได้บ้าง

อากาศเย็นแต่ชื้นจัดทำให้ผมรู้สึกหายใจลำบาก บางคราวแน่นหน้าอกจนหอบหายใจสลับไอในบางช่วง ระหว่างทางเดินบางแห่งบนพื้นมีโคลนและน้ำขังเป็นแอ่ง เราต้องช่วยประคับประคองกันไม่ให้ลื่นไถลหกล้ม กำลังแขนบอบบางของเธอแข็งแรงกว่าที่ผมคิดมากทีเดียว

ผมยังคงปวดตุบที่หน้าผากตรงที่ล้มกระแทกหิน สาวน้อยน่ารักเดินมาเปิดดู และใช้ผ้าสะอาดคอยซับเหงื่อไม่ให้ไหลเข้ามาโดนแผล ผ้าพันคอสีขาวลายดอกไม้สีม่วงหวานเปื้อนคราบเลือดและน้ำเหลืองเป็นจ้ำๆ  ผมยกมือขึ้นคลำดูนอกผ้า รู้สึกได้ว่าหัวโนบวมปูดออกมาและปวดช้ำมาก แค่ลูบก็ยังเจ็บ

กระจกแว่นตาเธอขึ้นฝ้าไอน้ำขาวไปข้างหนึ่งเพราะโดนลมหายใจของผม เธอรีบดึงมือผมออกจากแผลตัวเอง

“เดี๋ยวตีเลยนี่ อย่าซนสิ มือสกปรก ปากแผลยังเปิดอยู่ ถึงจะไม่มากแต่ก็ติดเชื้อได้นะ เข้าเมืองเมื่อไหร่เราจะทำแผลให้ดีๆ อีกที ที่นี่ไม่มีเครื่องมืออะไรเลย”

เราแวะพักจุดละราวสิบนาที นลพยายามเล่าเรื่องเก่าๆ สมัยเรียนและสมัยที่เราคบกันหลายเรื่อง ที่พอเธอเล่า ภาพบางภาพก็วิ่งวาบขึ้นมาในสมอง เหมือนภาพนิ่ง คลิปเสียง หรือคลิปวิดีโอสั้นๆ ทำให้เล่าต่อกันได้เป็นทอดๆ เสียงหัวเราะร่าเริงสดใสของเธอทำให้ผืนป่าสดชื่นขึ้นมาก

ความทรงจำที่แวบวาบขึ้นมานั้น ทำให้ผมอุ่นใจ สบายใจมากขึ้น อย่างน้อยในความมึนงงสับสนนี้ ผมก็ยังมีนลที่จะคอยเคียงข้าง นลที่ผมมั่นใจว่าเธอคือคนรักตั้งแต่สมัยเรียนตัวจริง

“งั้น ถ้าเรารักกันดี คบกันแล้วแฮปปี้ขนาดนั้น ทำไมเราสองคนถึงเลิกกันล่ะ” ผมถามขึ้นเพราะอยากให้ตัวเองเป็นฝ่ายจำเรื่องราวเหล่านั้นขึ้นมาได้เองบ้าง

หญิงสาวสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ดวงตาเธอมีแววหม่นเศร้า ค่อยๆ หุบยิ้มและเงียบลง ดูเหมือนเธอลังเลที่จะเล่า แต่ก็พูดออกมาสั้นๆ ชัดถ้อยชัดคำ “เธอ…มีคนอื่น”

ผมใจหายวูบ หลังประโยคนั้น เหมือนภาพฉายในหัวถูกตัดจบลงดื้อๆ ระหว่างเรามีเพียงความเงียบ และเสียงฝีเท้าในแต่ละก้าวเดิน

ผมรู้สึกว่าเราเดินกันมาไกลกว่าที่ประเมินไว้ ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี แดดสุดท้ายของวันสีหม่นลงเรื่อยๆ พวกเราเร่งฝีเท้าเดินตามทางขึ้นเนิน เพียงพ้นเนินนี้ เดินไปอีกไม่กี่ร้อยเมตรก็จะถึงที่ทำการอุทยานฯ แล้ว

ผมเดินตามหลังเธอ เฝ้ามองเธอเหวี่ยงกิ่งไม้ยาวแกว่งวาดไปมาที่พื้นพงหญ้าก่อนที่เราจะย่ำเท้าก้าวลงไป เธอว่าผมเป็นคนสอนเธอเรื่องเดินป่า โดยเฉพาะช่วงใกล้ค่ำ การแกว่งไม้ไปมาให้เกิดเสียงดังที่พงหญ้า จะช่วยให้งูเงี้ยวเขี้ยวขอและสัตว์เลื้อยคลานมีพิษต่างๆ ตกใจ รู้ตัวและหลบหนีออกจากทางเดินของเรา

“ใครๆ ก็รักชีวิตกันทั้งนั้นแหละเนอะ” เธอว่า “สัตว์ตัวเล็กๆ พวกนี้กลัวเรามากกว่าที่เรากลัวมันอีก” เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนสมกับที่เป็นผู้ช่วยสัตวแพทย์

ก่อนจะกระโดดตัวลอยร้องกรี๊ด แล้วกระโดดกระทืบบางอย่างบนพื้นดังตั๊บๆๆๆ จนผมอ้าปากค้าง

“เชี่ย สัส ตายๆๆๆๆ!” เธอคำรามในคอหน้าตาตื่นขณะกระทืบ ก่อนหันมามองหน้าผมแล้วยิ้มแหย “แหะ…ตะขาบอ่า ไต่ขึ้นขามาเลย ตกใจ”

เมื่อแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์สาดส่องในเวลาโพล้เพล้ ฟ้าเริ่มมืด ในที่สุดเราก็พากันเดินมาถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติจนได้

หญิงสาวถอนหายใจยาวทรุดตัวลงนั่งตรงขอนไม้ที่เจียนเนื้อไม้ออกทำเป็นม้านั่งยาวขัดจนขึ้นเงาสำหรับนักท่องเที่ยว วางกระเป๋าเต็นท์ที่แบกมาลงข้างตัว เธอยื่นมือมารับกระเป๋าเป้ผมไปวางข้างๆ ยืดขาเหยียดออกไปข้างหน้าไล่ความเมื่อยล้า แล้วแกะมุ่นมวยผมออก เอามือสางๆ แล้วเตรียมมัดรวบใหม่ ท่าทางเธอดูเหนื่อยมาก

“นลรอตรงนี้แล้วกัน เดี๋ยวผมเข้าไปติดต่อเขาเอง” ผมว่า ภาวนาให้เขาจำผมได้ เพราะตอนนี้กระเป๋าสตางค์หรือเอกสารแสดงตัวอื่นๆ ไม่มีอยู่กับตัวเลย

“อื้ม” นลพยักหน้า ปากคาบโดนัตรัดผมเอาไว้เพราะมือไม่ว่าง แว่นตาถูกถอดวางไว้บนตัก เนื้อตัวเปื้อนกระมอมกระแมม ผมเองก็คงเละเทะไม่ต่างกันเท่าไร ต้นขา น่อง และหลังผมปวดเกร็งไปหมด แต่ก็ยังไม่เท่าแผลที่หัว ใจนึกอยากอาบน้ำ เช็ดตัวแห้งๆ แล้วขึ้นไปนอนบนที่นอนนุ่มๆ เต็มที

ชายหนุ่มเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติในชุดเสื้อยืดสีขาว กางเกงลายพรางเขียวคล้ายทหารคนหนึ่งกำลังนั่งกินข้าวอยู่ เขาเห็นผมเดินมาชะโงกที่หน้าต่างก็ลุกพรวดขึ้นทันที แล้วเปิดประตูให้เข้าไปด้านใน

“มาคุณ เข้ามาๆ โอ๊ย โล่งอก นี่พวกผมคุยกันอยู่ว่าถ้าคุณยังไม่ออกมาพรุ่งนี้จะพากันเข้าไปตามหาดู เพราะเมื่อคืนมีน้ำป่ามาด้วย เอ้า บาดเจ็บเหรอครับ หัวไปโดนอะไรมา”

เจ้าหน้าที่หญิงอีกสองคนที่อยู่ห้องด้านในเดินตามออกมา และดูมีทีท่าดีใจเมื่อเห็นผม คนหนึ่งเอากล่องปฐมพยาบาลออกมาเช็ดล้างทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลือ ใส่ยาฆ่าเชื้อและปิดแผลด้วยผ้าก๊อซสะอาดอีกครั้ง

“ปากแผลไม่ใหญ่มาก แต่บวมช้ำมากเลยนะคะ คงล้มแรงมาก ยังไงถ้าเข้าเมืองกลับบ้านแล้วน่าจะไปให้หมอดูอีกทีนะคะ”

ผมชะโงกมองลอดบานหน้าต่างออกไปตรงที่หญิงสาวของผมนั่งอยู่ตะคุ่มๆ เห็นเธอกำลังง่วนกับการเช็ดแว่นตาตัวเองด้วยผ้าแห้งๆ ในขณะที่เจ้าหน้าที่คุยกันว่าตอนนี้ค่ำมากแล้ว อาจจะให้ใครคนหนึ่งในสำนักงานขี่รถมอเตอร์ไซค์เข้าไปส่งในเมือง

“อ้อ ขอบคุณมากครับ แต่ผมว่าซ้อนสามคงไม่ค่อยสะดวก เรามีกระเป๋าพะรุงพะรังด้วย อีกอย่าง ผมจำไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้ผมพักอยู่ที่ไหน แฟนผมก็ไม่ทราบ ตอนที่มาลงทะเบียนที่อุทยานผมได้เขียนข้อมูลอะไรของตัวเองไว้บ้างไหมครับ”

เจ้าหน้าที่ทั้งสามมองหน้ากันไปมาสลับกับผม สีหน้ากังวล “จำไม่ได้เหรอครับ”

สมุดเยี่ยมของที่นี่วางไว้ด้านหน้า ที่นี่ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต คนที่เข้ามาจึงน้อยมากโดยเฉพาะช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว ไม่มีชื่อใครที่น่าจะเป็นผม มีเพียงเจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งที่จำได้ว่าผมเข้ามาที่นี่

“คุณคงไม่ได้ลงทะเบียนไว้ แต่ตอนนั้นคุณมาคนเดียวนะคะ” เธอยืนยัน

“อ้อ ฮะ แฟนผมน่าจะตามมาสมทบทีหลัง เรานัดกันที่นี่ ไม่ได้มาด้วยกัน” ผมตอบพลางหันไปยิ้มกับนลที่นั่งยิ้มแฉ่งเฝ้ากระเป๋ารออยู่ที่เดิม

ทั้งสามคนที่ยืนอยู่ด้วยพากันหันไปมองตาม แล้วก็หันกลับมามองหน้ากันเองแปลกๆ ท่าทางดูเริ่มวิตกกังวล “ตกลงแฟนคุณมาด้วยใช่ไหมครับ แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ ออกมาด้วยกันแล้วหรือยัง มากันแค่สองคนใช่ไหมครับ ยังมีใครเหลือค้างในป่าอีกไหม”

ผมเริ่มงงตาม สับสนและปวดหนึบที่แผลอีกจนต้องยกมือขึ้นมาแตะมัน

“มากันแค่สองคน เท่าที่คุณเห็นนี่แหละครับ ไม่มีใครมากับพวกผมแล้ว นอกจากจะเป็นกรุ๊ปอื่น อันนั้นผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน”

ทั้งสามสะกิดกันเข้าไปคุยกันข้างใน ในขณะที่ผมกลับมานั่งข้างนล ผมเห็นพวกเขาโทรศัพท์หาใครสักคนสีหน้าเคร่งเครียด

“มีอะไรกันหรือเปล่าศรา” หญิงสาวที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นรวบผมหางม้าเหมือนเด็กนักเรียน ม.ปลายมองกลับไปมาสงสัย “คุยกันซะนานเลย อ้อ พี่ๆ เขาทำแผลให้แล้วด้วย ดีจัง แล้วทีนี้เราจะกลับเข้าเมืองกันยังไงล่ะ จะมีรถกลับไหม”

ถามจบก็พอดีเจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งเปิดหน้าต่างชะโงกออกมา “โทรตามลุงด้วงให้แล้วนะคะ ลุงด้วงที่เป็นคนขับรถสองแถวพาคุณเข้ามาส่ง ปกติเขารับส่งนักท่องเที่ยวที่นี่เวลามีคนเรียกจ้าง ช่วงนี้ไม่ค่อยมีผู้โดยสารเลยไปช่วยแม่ค้าในตลาดขนผัก แต่อยู่แถวนี้พอดีค่ะ เดี๋ยวก็มา จะได้รู้ว่ารับคุณมาจากไหน”

อากาศบนยอดเนินเขาเริ่มหนาวเย็นลงเรื่อยๆ หญิงสาวร่างเล็กบอบบางนั่งห่อไหล่ ถูมือไปมา ผมหยิบผ้าพันคอจากกระเป๋าเสื้อมาพันรอบคอของเธอให้

“อะ นลเอาไปเถอะ ผมไม่ค่อยหนาว แล้วแผลผมก็มีผ้าก๊อซปิดแล้ว รออีกนิดนะ”

นลกำลังพ่นไอร้อนจากปากเป่ามือตัวเองฟู่ๆ ในขณะที่รถสองแถวคันหนึ่งขับฝ่าความมืดเข้ามาจอดที่ลานหน้าสำนักงาน นลร้องเย้เบาๆ แล้วรีบคว้ากระเป๋าพาผมไปที่หลังรถ

เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ชายรีบเดินเข้าไปที่ฝั่งคนขับรถ พูดคุยอะไรกันบางอย่างหน้าตาเคร่งเครียด ผมจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ

“อ้อ แม่นละ คนนี้ละ วันนั้นเพิ่นเหมารถผมจากหน้าโรงแรมมาตี้นี่ มาถึงเพ้เมื่อต๋อน เจ็บหัวนักกา ไปโฮงหมอก่อนบ่อดีก๋า” ชายวัยกลางคนร้องทักทันที “หนุ่ม จำลุงได้ก่อครับ”

ผมส่ายหน้า แม้คุ้นๆ แต่นึกไม่ออกเช่นเคย “คุณลุงจำได้ใช่ไหมครับว่าผมพักที่โรงแรมไหน งั้นรบกวนช่วยพากลับไปส่งที่นั่นหน่อยได้ไหมครับ ผมไม่มีเงินติดตัว แต่ถ้ากลับบ้านหรือติดต่อญาติได้ ผมจะรีบจ่ายให้ครับ”

ลุงพยักหน้า “ยังไม่ต้องคิดมาก ลุงขับเข้าตลาดอยู่แล้ว คนติดรถโบกรถขึ้นบ่อยๆ แค่นี้สบายมาก”

“วันนั้นตี้ลุงมาส่ง เพิ่นมาคนเดียวก่อ” เจ้าหน้าที่อุทยานถามย้ำ “เพิ่นว่าพาแฟนมาตวย”

“อาจจะมาไม่พร้อมกันครับ อาจจะคนละคัน” ผมรีบตอบ “ตอนนี้แฟนผมนั่งรออยู่หลังรถนั่นไงฮะ”

ทั้งคนขับรถและเจ้าหน้าที่พร้อมใจกันหันไปมองหลังรถอีกครั้ง ก่อนหันกลับมาสบตากันท่าทางแปลกๆอีกแล้ว

ลุงคนขับรถแตะแขนเจ้าหน้าที่อุทยานที่ตอนนี้ก็สวมเสื้อกันหนาวทับมาด้วยอีกคนเพราะอากาศเริ่มเย็นมากแล้ว “เอาเต๊อะ ลุงจะพาเพิ่นไปส่งเอง เอ้า คุณ มานั่งหน้าด้วยกันสิ หนาวนะ ขับไปลมตี ผ้าใบปิดข้างก็ขาด บ่อได้ซ่อมเตื้อ” ลุงด้วงคนขับพูดไทยสลับเมืองแบบที่ผมฟังเข้าใจทุกคำ

ตอนนี้ผมชักรู้สึกใจคอหวิวแปลกๆ ทำไมทุกคนไม่มีใครพูดหรือทักนลเลย ซ้ำยังทำท่าทางเหมือนไม่มีใครมองเห็นเธอด้วย

ผมหันไปมองหญิงสาวที่ดูผ่อนคลายมากขึ้นที่หลังรถ เธอหันมาสบตาผม ยิ้ม แล้วกวักมือให้ไปนั่งด้วย

“ผม…เอ่อ…จะไปนั่งกับแฟนนะครับ” ผมว่า เอานิ้วโป้งชี้ไปด้านหลังรถแล้วเดินตรงไปโดยไม่รอคำตอบ

ผมบอกนลว่าลุงจะพาไปโรงแรมที่รับผมมา เผื่อจะได้เบาะแสอะไรมากขึ้น ยังไงที่โรงแรมต้องมีชื่อผมตอนที่เช็กอินอยู่แล้ว และอาจจะได้ที่อยู่หรือติดต่อญาติคนอื่นๆ ได้ด้วย

“อื้ม ดีเลย” นลว่า

หูผมยังยืดยาวไปฟังเสียงสนทนาหน้ารถ “เออน่า เอาเต๊อะ เข้าไปปิดเฮือน สวดมนต์ แผ่เมตต๋าไป มีสร้อยพระก็ใส่ไว้ บะเดี๋ยวลุงพาเพิ่นกับหมู่เพิ่นไปเอง”

รถสตาร์ตเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น ลุงด้วงเปิดช่องกระจกที่กั้นระหว่างส่วนห้องห้องขับกับกระบะด้านหลัง “หนุ่มๆ มานี่หน่อย”

ผมพยายามลัดเลาะเข่งตะกร้าผักผลไม้เข้าไปใกล้ “ครับ มีอะไรเหรอครับ”

ลุงด้วงพูดสีหน้าจริงจัง “หนุ่มเชื่อลุงเน้อ ระหว่างทางนี่สวดมนต์แผ่เมตตา สวดตลอด เห็นอะไรข้างทางอย่าพูด อย่าทัก หนุ่มกำลังป่วย คืนนี้ติดต่อญาติได้แล้วนอนพักผ่อนแล้วเช้าวันพูกไปวัดทำบุญ สะเดาะเคราะห์สา ในป่านี้มันเติงมีอะไรแปลกๆ นักล้ำ เอ้า ไปนั่งดีๆ ลุงจะออกรถละ”

ที่หลังรถสองแถวเรานั่งเบียดกันอยู่ที่ม้านั่งเบาะฝั่งซ้าย ไม่มีผู้โดยสารคนอื่น ที่พื้นรถเต็มไปด้วยเข่งบรรจุพืชผลทั้งหัวผักกาด แคร์รอต อะโวคาโด มันฝรั่ง และหน่อไม้ วางเบียดทับกันจนแทบวางเท้าไม่ได้

แม้รถสองแถวบรรทุกเพียบแปล้ วิ่งได้ไม่เร็วมากนัก แต่สายลมหนาวยามค่ำก็พัดหวูดหวูเสียดหู ความหนาวแทรกผ่านเนื้อผ้าเข้ามาที่ผิวเยือกไปถึงกระดูก หญิงสาวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง แม้กอดอกขดอยู่ในอ้อมกอดผม เธอเป็นคนขี้หนาว ผมจำได้ เธอเป็นแบบนี้ตั้งแต่สมัยเรียน

ใจสั่นวูบวาบในอก เมื่อแวบคิดขึ้นมาว่าคนที่ผมกอดอยู่นี้ไม่มีใครเห็น และอาจไม่มีจริง ผมกอดเธอกระชับแน่นยิ่งขึ้นจนรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะท้านด้วยความหนาวของเธอ

นึกถึงความเป็นไปได้ต่างๆ เรื่องที่จู่ๆ ผมก็ความจำเสื่อม เรื่องที่ผมมาเจอเธอ แต่กลับไม่มีใครมองเห็น นอกจากเรื่องผีสางและเรื่องเหนือธรรมชาติต่างๆ การที่ผมหัวกระแทกก้อนหิน มันอาจกระทบกระเทือนจนทำให้ผมเกิดภาพหลอน เห็นภาพแปลกๆ ในจินตนาการไปเองได้หรือไม่

ไม่หรอก เป็นไปไม่ได้ เธอมีจริง ต่อให้มีแค่ผมที่เห็นและสัมผัสเธอได้ เธอก็มีจริง ทั้งกลิ่น ความร้อน สัมผัสอ่อนนุ่มของไรผม และภาพความทรงจำที่แวบวาบเข้ามาทุกครั้งที่เราเล่าเรื่องราวเก่าๆ ต่อกัน ยิ่งนานยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

“โอ๊ย” เธอร้องเบาๆ เมื่อผมเผลอบีบที่หัวไหล่บอบบางนั้น และกลายเป็นผมเองที่ตกใจมากกว่า เมื่อเห็นรอยเลือดสีแดงค่อยๆ ซึมผ่านเนื้อผ้าของเสื้อกันหนาวสีฟ้าออกมาขนาดสักเท่าเหรียญบาท

“เฮ้ย นล ทำไมเลือดออก ไปโดนอะไรมา เจ็บไหม” ผมร้องถาม “ขอเปิดดูแผลหน่อย”

แต่เธอรีบดึงคอเสื้อปิดไว้ “ไม่ๆ ไม่ต้อง หนาวจะตาย” เธอลูบตรงแผลที่เลือดซึมอยู่ “แผลเก่าน่ะ ตะปูขูด ทำไมเลือดยังออกอยู่ก็ไม่รู้ แต่เดี๋ยวก็หาย”

ผิวแก้มเธอซีดขาว เนื้อตัวเย็น หนาวสั่น ผมหางม้า แว่นตา และเสื้อกันหนาวแบบฮูด ทำให้เธอดูอ่อนเยาว์เหมือนเด็กวัยรุ่นมัธยม สีหน้าเธอดูสับสน

“ศรา” เธอสบตาผม “เกิดอะไรขึ้น ทำไมทุกคนทำท่าแปลกๆ ทำท่าเหมือน…เหมือนไม่เห็นเรา”

 



Don`t copy text!