เมื่อวานรสวานิลลาซันเดย์ บทที่ 3 : หอมกลิ่นหัวใจ…
โดย : นทธี ศศิวิมล
เมื่อวานรสวานิลลาซันเดย์ โดย นทธี ศศิวิมล ผู้คว้ารางวัลรองชนะเลิศ นวนิยายดีเด่น กลุ่มรักรัก จากโครงการช่องวันอ่านเอา รุ่นที่ ๓ กับเรื่องราวรักรักของชายหนุ่มที่ตื่นมาพบสาวน้อยน่ารักที่อ้างตัวว่าเป็นคนรักของเขา แต่เขากลับจำอะไรไม่ได้เลย เธอคนนี้คือใคร มาจากไหน อ่านเอาขอชวนนักอ่านมาหาคำตอบที่เว็บไซต์ anowl.co กันค่ะ
เมื่อผมหันไป จมูกจึงซุกอยู่กับเส้นผมที่ยังชื้นทว่านุ่มสะอาด หอมกลิ่นแชมพูอ่อนๆ ราวกับเพิ่งอาบน้ำมาใหม่ๆ ไอร้อนและสัมผัสทำให้รู้สึกทั้งกายใจ ตื่นเต้นร้อนผ่าว
แวบวาบหนึ่งในห้องฉายภาพของสมองคล้ายผมยืนอยู่ที่ไหนสักแห่ง แสงแดดอ่อนสาดส่องเข้ามาจากหน้าต่างกระทบชั้นหนังสือและอาบไล้ลงบนเส้นผมอ่อนนุ่มลื่นละมุน
แสงสะท้อนจากกรอบแว่นตาสีเงิน กลิ่นหนังสือและกลิ่นแชมพูแบบนี้ ผมรู้สึกได้ถึงความปรารถนาอย่างล้นเหลือในห้วงคำนึงนั้น
มิอาจห้ามตัวเองให้ก้มสูดดมกลิ่นเส้นผมของเธอจนหัวใจชื่นฉ่ำ แทรกนิ้วมือเข้าไประหว่างเส้นผมอบอุ่นของเธอ สัมผัสความอ่อนละมุนของเส้นผมตรงท้ายทอยบอบบางด้วยปลายนิ้ว
ถ้าเราเป็นคนรักกันอยู่แล้ว ผมก็ไม่ควรต้องรู้สึกผิดอะไรจากการที่เราได้ใกล้ชิดกันแบบนี้ไม่ใช่เหรอ
เนื้อเพลงมาถึงตอนที่ขอร้องให้สายลมอย่าพัด เพราะเกรงจะทำกลิ่นเธอจางหายไปพอดี พี่แก๊ปช่างรู้ใจกันเสียจริง
เธอวาดแขนโอบกอดผมแนบแน่น เนื้อตัวเราแนบชิดกัน “เราชอบกลิ่นศรา เธอมีกลิ่นตัวเหมือนผ้านวมตากแดด อยู่ใกล้ๆ แล้วอุ่นดี” เธอพูดเสียงงึมงำในลำคอ
ผมลูบไล้แก้มเนียนขาวเปล่งปลั่งนุ่มเนียนของเธอ จูบเบาๆ ที่หน้าผากด้วยความรู้สึกว่าทำเช่นนั้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน กลิ่นเหงื่อผสานกลิ่นผิวเนื้อหอมรวยรื่น
หญิงสาวอมยิ้ม “ตกลงอำเล่นใช่มะ เรื่องที่ว่าความจำเสื่อมเนี่ย อำเก่งนะ เกือบเชื่อแน่ะ”
ผมนิ่งไป ส่ายหน้า ยืนยันจริงจัง “ผมไม่ได้ล้อเล่น จำไม่ได้จริงๆ”
ผวาวาบใจเมื่อเธอเงยหน้าขึ้น จุมพิตตอบเบาๆ ที่ริมคางเหมือนลูกแมวประจบเจ้าของ ไล้จมูกสูดดมข้างแก้มผม ถูหัวไปมา
ผมรู้สึกได้ถึงหัวใจที่กำลังเต้นแรงโครมครามเหมือนพยายามจะทะลุออกมานอกอก ไออุ่นจากร่างกาย กลิ่นลมหายใจ ผิวกายที่แนบชิด ทำเอาผมคอแห้ง ในท้องโหวงเหมือนคนกำลังหิว โหยหาบางสิ่งที่จะหาได้เมื่อได้ใกล้ชิดกันแบบนี้เท่านั้น
ริมฝีปากของเธออุ่นร้อน ลื่นละมุน ชุ่มหวาน และเธอก็ไม่ผลักไส…
ท่ามกลางเสียงฝนพรำไม่ขาดสาย ภายใต้อากาศหนาวเย็นบนเนินเขา เราสองคนเบียดกาย อิงแอบแนบชิด อบอุ่นภายในถุงนอนนั้น ดำดิ่งลงในห้วงสุขลึกล้ำที่มีแค่เราสองคน เร่าร้อน อ่อนไหว วาบวับเหมือนเปลวเทียน
และแม้ผมยังจำเธอไม่ได้ จำเรื่องราวหรืออะไรต่างๆ ในชีวิตตัวเองก่อนหน้านั้นไม่ได้ ผมก็ยังคงมั่นใจว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไม่มีทางที่จะเป็นความผิดพลาดใดๆ ได้เลย
ในห้วงของการหลับใหลคืนนั้นดูเหมือนจะคืบผ่านไปอย่างเชื่องช้า ยืดยาวไกลเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ผมจำได้ว่าผมฝัน เรื่องราวสลับซับซ้อน แต่ทุกอย่างกลับเหมือนนั่งดูภาพบนจอภาพยนตร์ที่ใส่ฟิลเตอร์ให้เบลอเลือนจนดูไม่ออกว่าใครเป็นใครและเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เมื่อยามเช้าเดินทางมาถึง ความฝันวิปลาสเหล่านั้นก็มลายหายไปจนสิ้น ผมเปลือยร่างไร้อาภรณ์ ขดตัวนอนอยู่ในถุงนอนเหมือนเด็กแรกเกิด หน้าผากตรงที่ยังมีแผลปวดหนึบนิดๆ พอรำคาญ หญิงสาวที่แนบข้างกายผมตลอดคืนไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
ผมค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง อากาศหนาวเย็นปะทะผิวเนื้อจนหนาวสะท้าน แสงแดดจากภายนอกลอดเข้ามา ดูเหมือนนี่น่าจะเริ่มสายเพราะแสงแดดส่องสว่างทั่วแล้ว
“เธอ… นล…” ผมลองร้องเรียกดู ใจหาย ในความสับสนนั้น หญิงสาวได้กลายเป็นที่ยึดเหนี่ยวเดียวที่เหลือให้เอื้อมมือไขว่คว้า
ไม่อยากให้เธอสลายหายไปเหมือนความฝันตอนใกล้รุ่ง ไม่อยากให้เรื่องที่ผ่านมาเมื่อวานเป็นแค่เรื่องที่ผมเพ้อเจ้อไปเองคนเดียว
โชคดีของผม หลังเสียงเรียกไม่กี่วินาที ประตูหน้าเต็นท์เปิดออก หญิงสาวหน้าใส ดวงตาเป็นประกาย ใส่แว่นตากรอบเงิน มวยผมก้อนโตไว้เหนือหัวโผล่หน้าเข้ามาพร้อมแก้วกาแฟในมือ
“ตื่นแล้วเหรอ เราออกมาจุดไฟชงกาแฟ รีบใส่เสื้อเร็วเข้า หนาวขนาดนี้แก้ผ้าอย่างงั้นเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”
ความโล่งใจทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาได้ “ก็ใครถอดล่ะเมื่อคืน”
เธอกะพริบตาติดๆ กัน เหมือนทำอะไรไม่ถูก แก้มแดงเรื่อ เม้มปากแน่น เสมองไปทางอื่นท่าทางเขินๆ “พูดมาก ไม่ต้องกินมันละกาแฟ” เธอว่าแล้วผลุบหายออกไปจากเต็นท์
“เฮ้ย เดี๋ยวสิ” ผมหัวเราะพลางควานหาเสื้อกับกางเกงที่ถอดกองอยู่ข้างๆ มาใส่ แล้วรีบตามออกไป
กาแฟหอมกรุ่นอุ่นร้อนเพียงอึกแรก ช่วยให้ยามเช้าสดชื่นมีชีวิตชีวาขึ้นทันที ฝนหยุดตกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ท้องฟ้าโปร่งกระจ่างใสสีฟ้าสว่างเห็นเมฆเป็นริ้วๆ ไกลๆ สูงลิบ
ผมใจชื้นขึ้น เมื่อเห็นว่าเนินเขาที่เรามาปักหลักพักอยู่ สามารถมองเห็นอาณาบริเวณโดยรอบเนินได้ค่อนข้างกว้างไกล หมอกไม่จัด มีเพียงหมอกไอน้ำสีขาวที่ระเหยขึ้นมาจากดิน สูงเรี่ยพื้น ประดับตกแต่งที่นี่ให้ดูสวยงาม ฟุ้งฝัน
นลนั่งชันเข่าอยู่บนผ้าปูพื้น พ่นลมหายใจออกจากปากเป็นไอขาวๆ จิบกาแฟพลางแอบชำเลืองมองหน้าผมเป็นระยะ สลับก้มหน้าเสมองไปทางอื่นอมยิ้มเก้อเขิน จนผมพลอยทำอะไรไม่ถูกไปอีกคน
“เรื่องเมื่อคืนนี้…” ผมลองเกริ่น “ผมไม่พูดหรอกนะว่าไม่ได้ตั้งใจ”
นลรีบกลืนกาแฟจนสำลักไอนิดหนึ่ง ดูออกง่ายมากว่าเป็นการไอการเมืองแบบคนที่ต้องการเปลี่ยนเรื่องพูด
“แต่…ก็ถ้าคุณบอกว่าเราเป็นคนรักกัน ก็ต้อง…ทำกันอยู่บ่อยๆ อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ จริงไหม หรือว่าเรายังไม่เคย…”
หญิงสาวแปลกหน้าที่เริ่มคุ้นหน้าขึ้นทุกทีวางแก้วกาแฟลงแล้วยกสองมือขึ้นปิดหน้าตัวเอง เม้มปากแล้วตบแก้มตัวเองเบาๆ “โอย ตายละ ศรา สาบานนะว่าไม่ได้อำกันเนี่ย”
เมื่อผมยืนยันจนเธอแน่ใจแล้วว่าไม่ได้โกหกเรื่องที่ยังจำอะไรไม่ได้ นลก็เล่าคร่าวๆ ว่า เราสองคนเป็นแฟนกันมาตั้งแต่มัธยม แต่มีเรื่องให้เลิกรากันไปนาน ไม่ได้พบกันอีก เพิ่งกลับมาเจอกันและเริ่มคบกันใหม่ได้ไม่กี่วันมานี่เอง
“ตอนฟังเพลงกลิ่นแล้วศราหอมผมเรา เรานึกว่าจำได้แล้วเสียอีก” เธอตัดพ้อด้วยหางเสียงเศร้าๆ จนผมรู้สึกผิด
อันที่จริงถ้าผมเป็นเธอก็คงจะน้อยใจอยู่เหมือนกัน ไอ้สมองผมนี่มันก็ช่างน่าโมโห มีผู้หญิงน่ารักน่าทะนุถนอมแบบนี้เป็นแฟนทั้งที ลืมไปได้อย่างไรกันนะ
แสงแดดอุ่นยามสาย สาดส่องละลายม่านหมอกสีขาวหม่นออกช้าๆ ผมกางแผนที่เส้นทางเดินป่าออกลองเทียบกับภูมิทัศน์เบื้องหน้าประกอบอ้างอิงทิศทางจากเข็มทิศ มองไปรอบด้าน ยึดแนวลำธารเป็นแกน จนกระทั่งมองเห็นเส้นทางเดินทางรางๆ เป็นแนวไปทางเนินเขาอีกลูกไม่ไกลกันนัก
“นล โน่นไง ทางโน้น ทางไปสำนักงานอุทยาน ถ้าเราเริ่มเดินทางตอนนี้ อาจจะไปถึงได้ก่อนค่ำนะ รีบไปกันเถอะ”
หญิงสาวยิ้มลิงโลด ขยับแว่นสายตาให้เข้าที่แล้วชะโงกมาดูในแผนที่ สลับกับทิศทางที่ผมชี้ “จริงด้วย ศราเก่งจัง เย้ ทีนี้ก็กลับบ้านกันได้สักที”
เราช่วยกันเก็บข้าวของใส่เป้และกระเป๋าเต็นท์อีกครั้ง และแม้ไม่เร่งรีบ แต่ก็พร้อมเดินทางในเวลาอันรวดเร็ว เสบียงอาหารที่เหลือก็จัดการกันจนเกลี้ยงเหลือแต่น้ำดื่ม ท้องฟ้าโปร่ง อากาศแจ่มใสเหมือนเป็นใจให้เราเดินทางกันอย่างสะดวก
“ว่าแต่ เราสองคนเข้ามาที่นี่กันทำไมนะ” ผมยังคงสงสัยเรื่องที่นลว่าผมเป็นคนชวนเธอมาที่นี่ งั้นก็แสดงว่าต้องมีเหตุผลหรือจุดมุ่งหมายบางอย่าง แล้วนี่ผม หรือเรา ทำเรื่องที่ว่านั้นไปสำเร็จลุล่วงแล้วหรือยังนะ แต่ก็ไม่แน่หรอก อาจจะแค่อยากพาเธอมาเดินป่าท่องเที่ยวเฉยๆ ก็ได้
เธอส่ายหน้า แก้มยุ้ยขาวๆ ส่ายไปมาใกล้ๆ หมั่นเขี้ยวจนอยากชะโงกไปงับ
“ไม่รู้หรอก จริงๆ นะ ไม่เห็นบอกอะไร ศราว่าตอนเช้าจะบอกเอง แต่พอเช้าเมื่อวานก็ลุกมาล้มหัวฟาดจำอะไรไม่ได้เองซะงั้น”
เราเริ่มออกเดินไปในทิศทางที่ทำเครื่องหมายปักหมุดไว้ในแผนที่ ผมนึกถึงเรื่องเมื่อคืน ตอนที่ได้ยินเสียงดีเจคนนั้น น้ำเสียงของเขาทำให้ผมรู้สึกมั่นใจว่าเราต้องเคยรู้จักกันมาก่อน
“คิมน่ะ เพื่อนสนิทเธอเลยนะศรา เมื่อตอนมัธยม คิมเป็นประธานชมรมโสต จัดรายการเพลงยามบ่ายออกเสียงตามสาย ช่วงพัก 15 นาที” หญิงสาวว่า “ศราชอบขอเพลงเพราะๆ ให้เราฟัง ติดสินบนคิมให้เปิดบ่อยๆ เรายังจำความตื่นเต้นช่วงนั้นได้เลยนะ ตอนเราเดินสวนกันที่บันไดหรือทางเดินระหว่างตึก ที่เราแอบส่งซิกกันให้ไปเอาจดหมายลับที่ห้องสมุด”
ผมพยักหน้า และตัวเลขชุดหนึ่งก็ลอยวาบเข้ามาในสมอง “528”
นลพยักหน้า “ไม่น่าเชื่อนะว่าเราจะยังจำได้ 528 กับ 121”
ดูเหมือนอะไรบางอย่างในความทรงจำเริ่มปรากฏเลือนรางขึ้น ผมรู้สึกได้ถึงเสียงเพลงที่ดังอยู่ในอากาศ กลิ่นแชมพูจากเส้นผมของเธอในซอกตู้หนังสือของห้องสมุด ความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะได้สัมผัสต้นคอเธอ ในอกร้อนรุ่มเหมือนมีกองไฟสุม หน้าปกหนังสือปฏิทินดาวเคราะห์ ญาณวิทยา ไอระเหยและกลิ่นเหงื่อเด็กสาวที่มาจากอกเสื้อนักเรียน ม.ปลาย
หนังสือเรียนและกระเป๋าดินสอในมือขณะเตรียมตัวเดินเปลี่ยนคาบเรียน จังหวะที่เดินผ่านห้องเรียนที่เธอนั่งอยู่แล้วแอบมองหากัน ชื่นใจแม้เห็นเพียงเสี้ยวใบหน้า
หัวใจที่เต้นตึกตักรอคอยเพลงที่ตัวเองขอไว้ให้ใครบางคนจะดังออกมาจากลำโพง
“ผมเคยขอเพลงให้นล เพลงรัก เพลงก่อน เพลงกอด I don’t want to miss a thing เหมือนที่ฟังเมื่อคืน”
หญิงสาวยิ้มเต็มหน้า น้ำตาเอ่อคลอตา พยักหน้า “อื้ม เรารอฟังทุกวันเลยนะ”
“ในรายการของโรงเรียนไม่อนุญาตให้มีการขอเพลง แต่ผมแอบติดสินบนไอ้คิม ในรายการเพลงทุกวัน จะมีเพลงที่ผมขออยู่ด้วยเพลงหนึ่งเสมอ”
“ใช่” ลักยิ้มที่มุมปากของเธอทำให้ใจผมอุ่นวาบและชื่นฉ่ำ “เรารู้เสมอว่าเพลงของศราคือเพลงไหน นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คนเดียวเหมือนคนบ้าจนเพื่อนแซว ตอนนั้นเรามีความสุขมาก เพลงที่ศราส่งให้เหมือนดอกไม้บานในหัวใจเราทุกวัน” หญิงสาวพูดพลางเดินขยับเข้ามาประชิด ยื่นหน้าเข้าหา วาดแขนคล้องคอผม ริมฝีปากอวบอิ่มอุ่นร้อนจูบเบาๆ ที่ริมคาง “ขอบคุณนะ”
เธอทำผมใจสั่นอีกแล้ว เต้นตุบตับหวิวๆ เหมือนแขวนค้างอยู่ในเวิ้งอวกาศ ใบไม้ใบหญ้ารอบตัวเต้นรำระริก ยิ่งเมื่อนึกถึงเมื่อคืน ทำเอาแทบก้าวขาไม่ออก ชักจะไม่อยากออกจากป่านี่เสียดื้อๆ
“จริงๆ ผมไม่รีบเท่าไหร่” พยายามซ่อนยิ้ม “เรากางเต็นท์พักกันอีกสักรอบก่อนดีไหม”
หญิงสาวทำตาโตที่จู่ๆ ผมก็พูดแบบนี้ออกมาหน้าตาเฉย ก่อนเม้มปากแน่น หน้าแดงก่ำ หายใจฟืดฟาด
ดูเถอะ ยิ่งเธอทำท่าทางแบบนี้ใจผมยิ่งสั่นเข้าไปอีก อยากจะรวบมาหอมให้แก้มยู่นัก
ฝ่ามือเล็กๆ แรงเยอะไม่ใช่ย่อย เธอกางมือตีป้าบเข้ามาที่แขนผมอย่างแรงหลายทีติดกัน
“ไอ้บ้า ไอ้บ้า ไอ้ลามก!” แล้วก็รีบจ้ำเดินแซงหน้าผมไปลิ่วๆ
“เอ้า จะรีบไปไหนล่ะ ไม่ต้องรีบก็ได้ ผมกางเต็นท์เก่งนะ นี่ นล รอด้วย”