เมื่อวานรสวานิลลาซันเดย์ บทที่ 5 : เบาะแสเริ่มปรากฏ
โดย : นทธี ศศิวิมล
เมื่อวานรสวานิลลาซันเดย์ โดย นทธี ศศิวิมล ผู้คว้ารางวัลรองชนะเลิศ นวนิยายดีเด่น กลุ่มรักรัก จากโครงการช่องวันอ่านเอา รุ่นที่ ๓ กับเรื่องราวรักรักของชายหนุ่มที่ตื่นมาพบสาวน้อยน่ารักที่อ้างตัวว่าเป็นคนรักของเขา แต่เขากลับจำอะไรไม่ได้เลย เธอคนนี้คือใคร มาจากไหน อ่านเอาขอชวนนักอ่านมาหาคำตอบที่เว็บไซต์ anowl.co กันค่ะ
ผมไม่กล้าบอกลุงคนขับรถ ว่าผมจำบทสวดไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นบทสวดของศาสนาไหน…
ระหว่างทางขับเข้าเมือง สองข้างทางมีแต่ภูเขาและป่า แสงสว่างมาจากแหล่งกำเนิดแสงอย่างเดียวคือไฟหน้าและไฟท้ายรถที่นั่ง ถ้าไม่นับรวมแสงพระจันทร์ครึ่งดวงที่แขวนอยู่บนฟ้านั้น
ผมพยายามฝืนตาให้ตื่นอยู่ตลอดทาง ด้วยความเหนื่อย อ่อนเพลียอย่างมาก นลเองก็คงเหนื่อยมาก เธอเอนตัวหนุนอกผมหลับไปได้พักใหญ่ ผมง่วงนอนจนเผลองีบหลับไปทั้งๆ ท่านั่ง ทั้งๆ ที่ลมหนาวหวดตีจนผิวแก้มแสบไปหมด
ในภวังค์สะลึมสะลือ ผมคล้ายกำลังฝันทั้งๆ ที่ยังไม่หลับดี ในหูแว่วได้ยินเสียงลูกแมวร้อง เสียงดนตรีตอนที่ลูกค้าเปิดประตูร้านวิดีโอ เสียงสวดมนต์ภาษาบาลี เสียงเปียโน ได้ยินเสียงพิมพ์ดีดดังรัวกระหน่ำเหมือนลูกเห็บตกกระแทกหลังคาบ้าน น้ำหนักของหนังสือนิยายที่อยู่ในมือ รอยด้านที่นิ้วกลางจากรอยปากกากดเซ็นชื่อซ้ำๆ เป็นร้อยครั้งในวันเดียว สีม่วงหวานบนพื้นอิฐเก่าสีแดง ความเย็นสดชื่นและสายลมต้นฤดูที่จะพัดพาเอาความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เข้ามาในชีวิต
ในช่วงท้ายของความฝัน ผมฝันเห็นเธอ หญิงสาวที่กำลังนอนหลับในอ้อมแขน เธอยืนอยู่หน้าประตูห้องพักพนักงาน ที่หลังร้านเช่าวิดีโอ ผมจำไม่ได้ว่าก่อนหน้านั้นเกิดอะไรขึ้น
ริมฝีปากของนลสั่น น้ำตาคลอเบ้า แววตาที่จ้องมองมาเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง ผิดหวัง เจ็บปวดคละเคล้า นลเป็นผู้หญิงอ่อนโยน อ่อนไหว แต่หากตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว เธอจะไม่เปลี่ยนใจง่ายๆ ผมจึงรู้ดีว่า ไม่อาจต่อรองอะไรได้อีก ได้แต่มองเธอปิดประตูลงเงียบๆ แล้วฟังเสียงฝีเท้าของเธอห่างออกไป
เท้าของเธอล่ามหัวใจของผมไว้ ดึงยืดยาวไกลห่างออก เธอคงไม่รู้
เหมือนจู่ๆ ในอก สมอง และหัวใจ ว่างเปล่าแห้งขอด ความเจ็บปวดเดียวดายพุ่งเข้าจู่โจมจนเผลอสะอื้นออกมา หยดน้ำตาอุ่นร้อนรินวาดแก้ม
“อย่า…อย่าไป…กลับมา” ในที่สุดผมสะดุ้งตื่นเพราะเสียงละเมอของตัวเอง
เมื่อลืมตาขึ้น รถก็ชะลอเข้าจอดที่ลานจอดรถหน้าโรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่ง เป็นโรงแรมสองชั้น ขนาดราวไม่เกิน 20 ห้อง บรรยากาศในตอนกลางคืนด้านหน้าโรงแรมดูเงียบเหงา อ้างว้าง ไม่มีเสียงรถ ไม่มีเสียงดนตรี ไฟที่ให้แสงสว่างก็ส่องสว่างอยู่เพียงแถวด้านหน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับที่ต้องก้าวขึ้นยกพื้นปูนเข้าไปด้านใน
ผมสะกิดปลุกนลให้ตื่นขึ้น เราสองคนยกกระเป๋าก้าวลงจากรถ ในขณะที่ลุงด้วงยืนมองด้วยความสนใจ
“หนุ่มยังเห็นอยู่เหรอ แฟนน่ะ ที่ว่ามาด้วยกัน” แกว่า สายตาจ้องตรงมาอย่างซื่อๆ
ผมชำเลืองมองนลที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วก็นึกไม่ออกว่าควรตอบ ไม่ตอบ หรือจะพูดอย่างไรดี
ลุงด้วงเลยว่าต่อ “พรุ่งนี้เช้าไปหาหมอรักษาหัวนะ เสร็จแล้วไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ ให้พระรดน้ำมนต์เสียหน่อย ไปนอนในป่ามา บางทีมีบางอย่างที่เราไม่รู้ คนเหนือเขาเชื่อเรื่องนี้นะ บางทีเป็นผีแม่ม่ายเมืองลับแล เห็นเป็นหนุ่มมาคนเดียวอาจจะอยากเอาไปทำผัว”
หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ พ่นหัวเราะออกมาดังพรืด ทำเอาผมต้องกัดฟันกลั้นหัวเราะไว้แน่นเพราะกลัวจะเสียมารยาท
หลังลุงคนขับรถขอตัวไปส่งผักต่อที่ตลาด ผมจึงเดินมาติดต่อที่เคาน์เตอร์แผนกต้อนรับ ที่มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งอายุไม่น่าเกิน 20 ปี กำลังสวมหูฟังง่วนอยู่กับอะไรบางอย่างบนหน้าจอคอมพิวเตอร์
เมื่อเห็นผมเดินเข้ามาจึงสะดุ้งนิดๆ แล้วรีบถอดหูฟังออกวางข้างๆ “อ้อ กลับมาแล้วเหรอครับ” เขาว่าแล้วกุลีกุจอหยิบกุญแจห้องที่แขวนป้ายเลขที่ห้องยื่นให้ผม
ผมสอบถามว่าเขาทราบข้อมูลอะไรเกี่ยวกับผมบ้าง เด็กหนุ่มเล่าว่า เมื่อราวสองเดือนที่แล้วผมมาเปิดห้องเช่าและเหมาจ่ายล่วงหน้าแบบรายเดือนไว้สามเดือน ชื่อที่ลงทะเบียนไว้ในสมุดนั้น เขียนไว้สั้นๆ เพียง “ศรา” ไม่มีเบอร์โทร ไม่มีหมายเลขบัตรประชาชนอย่างที่ควรเป็น เด็กหนุ่มยืนยันว่า เขาได้ปรึกษากับผู้จัดการที่อยู่ด้วยในวันนั้นแล้ว ผู้จัดการดูท่าทีผมไม่น่ามีปัญหาอะไร ประกอบกับกิจการโรงแรมนี้ไม่ค่อยดีนัก การมีลูกค้าที่จ่ายล่วงหน้ารายเดือนแบบนี้หายากมากจึงไม่อยากจู้จี้ให้มากความ
“ผมมาพักที่นี่นานแล้วเหรอ งั้นผมเคยพาใครมาด้วยหรือเปล่า” ผมลองถามเพิ่มเติม
เด็กหนุ่มตอบตามที่คิด ผมไม่เคยพาใครมาด้วย หรือขอให้ติดต่อกับใคร เมื่อเขารู้ว่าผมเกิดอุบัติเหตุหัวกระแทกและจำอะไรไม่ได้ ก็กระตือรือร้นจะพาไปส่งโรงพยาบาล แต่ผมยืนยันอยากจะพักผ่อนนอนสักคืนหนึ่งก่อน และทั่วๆ ไปก็ไม่ได้มีอาการที่น่าวิตก
“ขอบคุณน้องมากนะ เดี๋ยวผมขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
ห้องที่ผมพักอยู่เป็นห้องด้านในสุดของชั้นสอง เงียบและเย็นยะเยือก ผมไขกุญแจเข้าไปในห้อง วางกระเป๋า ถอดรองเท้า และสำรวจรอบๆ ห้อง ห้องพักว่างเปล่าเย็นเฉียบไร้ชีวิตชีวา มีกลิ่นอับที่ชวนอึดอัดอวลทั่วห้อง เตียงเดี่ยวตรงกลางห้องมีหมอนและผ้าห่มที่มีร่องรอยการใช้งาน ผ้าห่มขยุกขยุ้มวางอยู่กลางเตียง ผมคงสั่งไว้ว่าไม่ให้ใครเข้ามาทำความสะอาด
ในตู้เสื้อผ้า นอกจากเสื้อผ้าไม่กี่ชุดและของใช้ส่วนตัวพวกสบู่ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ในห้องไม่มีสิ่งอื่นไม่มีบัตรประชาชน บัตรเครดิต หรืออะไรอื่นที่จะใช้ระบุตัวตน ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีกระเป๋าสตางค์ มีแค่กระเป๋าผ้าซิปใส่เงินสดราวห้าพันบาท วางในลิ้นชักตู้ชั้นบน
นี่มันคนประเภทไหนกันเนี่ย มาเช่าห้องอยู่ที่นี่คนเดียว เช็กอินด้วยชื่อสั้นๆ ไม่มีมือถือ ไม่ได้นัดใครมา แถมไม่มีหลักฐานแสดงตัวติดอยู่เลยสักอย่าง ถ้าอย่างนั้นต่อจากนี้ผมจะเริ่มจากอะไร ดูเหมือนเรื่องง่ายๆ นี่มันชักจะซับซ้อนมากกว่าที่คิดเสียแล้ว
“ศรา อาบน้ำก่อนไหม จะได้สบายตัว” หญิงสาวที่ตอนนี้ก็ยังสวมเสื้อกันหนาวมีฮูดสีฟ้าถือผ้าเช็ดตัวของโรงแรมยืนถามอยู่หน้าห้องน้ำ ครั้นจะตอบว่าจะรออาบพร้อมกันก็คงดูหื่นๆ เกินไปหน่อย
แล้วผมก็เพิ่งนึกได้ถึงรอยเลือดสดๆ ซึมออกมาจากเสื้อที่หัวไหล่ของเธอ “เออ นล แผลเป็นไงบ้าง ที่มีเลือดออกเมื่อตอนนั่งรถมา ขอผมดูหน่อยได้ไหม”
หญิงสาวทำท่างุนงง “แผลเหรอ แผลอะไร ไม่มีแผลอะไรสักหน่อย” พร้อมกันนั้นเธอถอดเสื้อกันหนาวออก เหลือเพียงเสื้อยืดสีขาวเลิกแขนเสื้อขึ้นสำรวจทั้งสองข้าง
น่าแปลก ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ไม่มีแล้วจริงๆ เหลือเพียงรอยแผลเป็นเล็กๆ ที่ไหล่ขวาที่ไม่น่าเป็นที่มาของเลือดได้ “แปลกจัง ก็ตอนอยู่บนรถ นลบอกว่าตะปูขูด ผมยังคิดว่า…”
หญิงสาวมองผมด้วยสีหน้าแปลกๆ ดวงตากลมโตจ้องมองด้วยความเป็นห่วง “ศรา ไม่เป็นไรแน่นะ”
ผมถอนหายใจ บ้าจัง นั่นคงเป็นฝันสินะ เหมือนความฝันที่ผมเห็นเธอเดินจากไปตอนก่อนรถจอดนั่นแหละ “อืม สงสัยผมคงงีบหลับแล้วฝันไป”
นลพยักหน้า “อื้ม โอเค งั้น…เราขอตัวอาบน้ำก่อนละกันนะ”
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมค้างคาใจตั้งแต่ในป่า หนังสือนิยายเล่มนี้สำคัญกับผมยังไง ถึงต้องพกติดตัวเข้าไปในป่า แถมชื่อเรื่องยังเหมือนผม กับนล
ผมเปิดกระเป๋าเป้ที่เขรอะไปด้วยเศษดินโคลน ค่อยๆ หยิบหนังสือเล่มนั้นออกมา หน้าปกกระดาษมีพื้นผิวคล้ายกระดาษวาดเขียน นุ่มลื่นละมุนมือ ทางเดินอิฐแดงเก่าที่โปรยด้วยสีม่วงของศรีตรัง
นี่เป็นอีกเรื่องที่ผมแน่ใจ ผมมั่นใจว่าเคยเห็นมัน…
ผมเคยเห็นภาพนี้ หรือแม้แต่เคยไปสถานที่นี้แน่นอน