วายัง บทที่ 3 : เกาะมรกต

วายัง บทที่ 3 : เกาะมรกต

โดย : กันตพิชญ์

Loading

วายัง โดย กันตพิชญ์ นวนิยายผีจากเจ้าของบทประพันธ์ ม่อนเมิงมาง 1 ใน 5 นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาที่ได้รับคัดเลือกไปสร้างเป็นละครกับเรื่องราวของชายหนุ่มที่สัมผัสได้ถึงวิญญาณอาฆาตที่ยังวนเวียนสิงสู่อยู่ในรีสอร์ตแห่งหนึ่งในบาหลี วิญญาณนั้นอาจจะเป็นหญิงสาวชาวไทยที่ประสบชะตากรรมอันน่ารันทดที่รอการล้างแค้นอยู่อย่างใจเย็น

อรรยกมือขึ้นลูบอกหลังทรุดลงบนที่นั่งติดหน้าต่าง

เขารู้สึกได้ว่าหัวใจของตัวเองสั่นสะท้านแปลก ๆ ไม่เหมือนตอนวิ่งหนีออกจากบ้านเมื่อเช้า

ทั้งที่ตั้งใจแหย่ให้สมุนพ่อตกใจเล่นเฉย ๆ ไม่รู้ทำไมกลับเป็นเขาที่เป็นฝ่ายหวิวไหวอยู่ในอก พยายามเค้นหาความหมายของอาการแต่คว้าได้เพียงน้ำเหลว

นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกแบบนี้กับใครสักคน

ชายหนุ่มเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง สายตาจับเส้นตัดระหว่างผืนหญ้าเขียวขจีกับท้องฟ้าสีคราม

เสียงกุกกักยังคงดังต่อเนื่องตรงทางเดินระหว่างแถว ผู้โดยสารต่างทยอยเข้านั่งตามหมายเลขบนบอร์ดดิงพาสของตัวเอง

ดีที่เขาได้วินโดวซีต จะได้งีบสักหน่อย เมื่อคืนมัวแต่คิดจนไม่เป็นอันนอน เมื่อได้เห็นทัศนียภาพสบายตาหนังตาจึงหรี่ปรือจวนจะปิด

ผู้ชายคนหนึ่งเดินชนที่นั่งริมทางเดินจนศีรษะอรรหลุดจากกำปั้นหลวม ๆ ที่เท้าอยู่ตรงขมับ

“ขอโทษสักคำก็ไม่มี”

อรรจุปากไม่สบอารมณ์ กำลังจะเคลิ้มหลับดันมีมารผจญ พอชายคนนั้นเดินผ่านไป ผู้ที่เดินตามมาด้านหลังยิ่งทำให้หัวใจของชายหนุ่มกระตุกผิดจังหวะ

นี่เขาจะไปบาหลีเหมือนกันหรือนี่

ผู้ชายที่อรรมอบจูบแรกในชีวิตให้มองมาทางนี้ตาไม่กะพริบ

เขายกมุมปากพร้อมเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นสูง คล้ายริมฝีปากพริ้มพรายนั้นนึกขำกับวิธีแก้ปัญหาของชายหนุ่ม หรือไม่ก็กำลังหัวเราะเยาะคนสติไม่เต็มเต็งอยู่ในใจ

ตอนเขาจ้ำอ้าวออกมาเมื่อครู่ ชายคนนี้ยังตะลึงจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ไม่ใช่หรือ เจอกันอีกทีกลับดูเหมือนกำลังจ้องจะเอาคืนยังไงยังงั้น

อรรแสร้งเบือนหน้าไปทางหน้าต่าง

“ทำอะไรไว้ไม่คิดจะรับผิดชอบหน่อยเหรอ”

อรรหันขวับ พ่อคิ้วหนาตาคมทรุดกายลงที่นั่งติดกัน

โอย…โลกนี้มันชักจะกลมเกินไปแล้ว

ชายหนุ่มยิ้มเจื่อน ในหัวคิดหาคำขอโทษพลางค่อย ๆ ผินหน้าไปหาคนที่เขาสร้างความเดือดร้อนให้

สิ่งที่เห็นคือดวงตาเปล่งประกายมีชีวิตชีวา ก่ออาการยุบยิบขึ้นในทรวงพิลึก เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย เหมือนสายลมอบอุ่นไล้ผิวชวนให้พริ้มหลับ ช่างเป็นห้วงแสนละมุนน่าลุ่มหลง

“ขอโทษครับ ที่จู่ ๆ ผมคว้าคุณมาจูบแบบนั้น ที่จริงผมแค่…”

“รู้หรือเปล่าว่าผมต้องเสียจูบแรกให้กับเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้”

“อายุยี่สิบสองแล้ว ไม่ใช่เด็กที่ไหนสักหน่อย” อรรอ้อมแอ้มเถียงข้าง ๆ คู ๆ “อีกอย่าง นั่นก็เป็นจูบแรกของผมเหมือนกัน”

ชายหนุ่มยกหัวคิวอีกครั้ง ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มบาง “ผมแก่กว่าคุณสองปี” เขาเว้นวรรคครู่หนึ่ง ไม่รู้ต้องการจะสื่ออะไร “ทะเลาะกับที่บ้านมาเหรอ”

อรรกวาดตามองโดยรอบ ไม่แน่ว่าผู้โดยสารลำนี้อาจเห็นเหตุการณ์บ้าบิ่นเมื่อครู่ เมื่อเห็นคนอื่นนั่งนิ่งไม่มีทีท่าจะใส่พวกเขา ชายหนุ่มจึงผงกศีรษะ ก้มหน้างุด

ทว่าสายตาซุกซนกลับไม่อยู่นิ่ง อรรลอบมองโครงต้นขาใต้กางเกงยีนพอดีตัวของอีกฝ่าย เห็นกล้ามเนื้อแน่นตึงถนัดตา เอวเรียวจนจินตนาการถึงกล้ามเนื้อหน้าท้องของเขาได้เลยทีเดียว

“ที่บ้านมีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อย”

“ถ้านิดหน่อยจริงคงไม่หนีออกมาแบบนี้หรอก จริงไหม” จังหวะการพูดของหนุ่มผิวเข้มเปี่ยมด้วยความหนักแน่น

อรรเงยหน้า เอ่ยตรงไปตรงมา “ถูกจับคลุมถุงชนน่ะ”

“หมายความว่าอะไร”

“ถูกจับแต่งงานโดยไม่สมัครใจน่ะ” อรรบีบปลายนิ้วพลางอธิบายอย่างน่าสงสาร “ผมลืมไปว่าคุณไม่ใช่คนไทย จะว่าไปคุณก็พูดภาษาไทยเก่งเหมือนกันนะ”

“เคยมาเรียนที่นี่น่ะ” หนุ่มหน้าคมเริ่มเห็นอกเห็นใจ “เมืองไทยอนุญาตให้เพศเดียวกันแต่งงานกันได้แล้วเหรอ”

“ได้ข่าวว่าคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพ.ร.บ.คู่ชีวิตแล้วละ”

อรรเห็นชายหนุ่มผุดสีหน้าไม่เข้าใจจึงอธิบาย

“พระราชบัญญัติ หรือ the act of legislation น่ะ ถึงพวกเขาจะบอกว่าเป็นแนวทางแก้ไขกฎหมายเพื่อนำไปสู่การสมรสเท่าเทียม แต่ผมก็ไม่เห็นว่าพ.ร.บ.คู่ชีวิตจะเท่าเทียมกับการสมรสของชายหญิงที่ตรงไหน เพราะคำว่า ‘คู่ชีวิต’ ไม่ได้ถูกบัญญัติมีอยู่ในกฎหมายอื่น ๆ คำที่ใช้ก็เป็นคำใหม่ คู่ชีวิตเลยไม่ได้รับการปกป้องดูแลและรับสิทธิ์เหมือนคู่สมรส”

หนุ่มตาคมพยักหน้า น้ำเสียงแฝงความเศร้าสร้อย

“สิทธิ์ขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์คือ การสร้างความเท่าเทียม สร้างคนให้เท่ากันในสังคม บางทีผมก็แอบหวังอยู่ลึก ๆ เหมือนกันนะ ว่าสักวันบ้านเกิดผมจะเป็นแบบนั้นบ้าง”

“ที่แบบนั้นมีแต่ยูโทเปียเท่านั้นแหละ”

“ฟังดูแล้วเหมือน ‘คนรุ่นใหม่’ ยังคงต้องทนทุกข์ในโครงสร้างคร่ำครึ ในขณะที่ ‘คนรุ่นเก่า’ พยายามใช้วิถีอนุรักษ์นิยมควบคุมและจัดการสังคมโดยพ.ร.บ.ที่ว่า”

ชายหนุ่มยิ้มอ่อน

“ว่าแต่…คิดดีแล้วหรือ”

อรรตามคำถามไม่ทัน จึงเพ่งมองเสี้ยวหน้าหล่อเหลาของหนุ่มข้างกายตรง ๆ

เขาขยายความ “สมัยนี้การจะหลบลี้หนีหน้าเป็นเรื่องยากเสียยิ่งกว่ายาก ถ้าจะออกตามหาใครสักคนเดี๋ยวเดียวก็เจอ อินเทอร์เน็ตโยงใยซอกซอนไปทุกที่ ยิ่งหนีไปต่างถิ่น สถานที่ยิ่งเล็กมากเท่าไหร่ คนแปลกหน้ายิ่งถูกสังเกตได้ง่าย”

อรรถึงกับพูดอะไรไม่ออก เขาลืมคิดถึงเรื่องพวกนี้ไปจริง ๆ

“ไม่ต้องพูดถึงการอยู่ระยะยาว หนีออกจากบ้านมาแบบนี้คงเป็นความคิดปุบปับ ไหนจะค่าใช้จ่ายจิปาถะ ไหนจะเรื่องวีซ่า ถ้าจำไม่ผิดคนไทยอยู่บาหลีได้แค่เดือนเดียว”

“ผมรู้ตัวนะว่าเป็นคนประเภทหุนหันพลันแล่นอย่างคุณว่า เอาเป็นว่าผมอยากไปพักสมองสักสองสามอาทิตย์ก็แล้วกัน ถึงผมจะเพิ่งเรียนจบ ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ก็พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง”

ชายหนุ่มยิ้มแหย ยอมรับว่าคราวนี้ตัวเองสะเพร่าเหลือเกิน

“คุณกลัวการแต่งงานมากกว่าตกระกำลำบากในต่างถิ่นขนาดนั้นเชียว?”

หนุ่มคิ้วเข้มเสตามอง รอยยิ้มนั้นดูอ่อนโยนหากแฝงไปด้วยพลังทำลายล้าง กระทั่งหลอมละลายหินอัคนีได้อย่างไม่ยากเย็น

“ก็ผมไม่ได้รักเขานี่” อรรกัดริมฝีปาก

“ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่สเปกคุณเหรอ”

ชายหนุ่มถึงกับกลั่นขำไม่อยู่ มิน่าเล่าเขาถึงพูดถึงการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกัน “เป็นผู้ชายก็ดีน่ะสิ แต่นี่ผมถูกบังคับให้แต่งงานกับผู้หญิงต่างหากล่ะ”

หนุ่มหน้าคมเลิกคิ้ว เขาวิเคราะห์คุณหนูเบื้องหน้าต่ำไป แม้เพิ่งพ้นจากรั้วมหาวิทยาลัยยังถือว่าใหม่ต่อโลกอันฉ้อฉลใบนี้เหลือเกิน ทว่าความกล้าหาญและซื่อตรงต่อความรู้สึกตัวเองช่างมากมายเกินรูปโฉมโนมพรรณ

“ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเป็นยังไงบ้าง”

อรรนึกถึงอนาคตทีไร มักดูกระวนกระวายเคร่งเครียด ปกติแล้วเขามักปล่อยให้ทุกอย่างลอยล่องไปตามสายธารแห่งกาลเวลา ตราบใดที่ยังคิดหาทางออกไม่ได้

กระนั้นดวงตายังคงทอประกายถึงความหวัง เป็นเอกลักษณ์ของนักสู้…นักสู้ที่ไม่มีวันยอมแพ้ต่อขวากหนามอะไรง่าย ๆ

เขาหวังว่าสักวัน ‘ความรัก’ จะไม่ได้ผูกติดกับเพศสภาพอีกต่อไป เพราะสุดท้ายแล้วการตกหลุมรักใครสักคน เราแค่มองหัวใจของคนที่เรารัก และเขารักเราก็พอไม่ใช่หรือ

“ถ้ามัวแต่กังวลคงคิดหาวิธีแก้ปัญหาไม่ได้”

หนุ่มนั่งเคียงพยายามสรรคำมาปลอบ ทว่าเสียงที่เปล่งยิ่งทำให้อรรนิ่วหน้า จึงลองเปลี่ยนวิธีพูดใหม่

“ตอนแรกผมนึกว่าคุณเป็นคนกล้าบ้าบิ่นจนมองข้ามเหตุผล แต่เท่าที่ได้คุยกัน คุณเป็นคนฉลาดนะ ถึงจะอายุยังน้อย ใสซื่อไร้เดียงสาไปหน่อย”

อรรหลุดขำแห้ง ๆ กลอกตารอบหนึ่ง

“ขอบคุณสำหรับคำชม”

ชายหนุ่มเบือนหน้าไปทางหน้าต่างอีกครั้งด้วยไม่รู้จะคุยอะไรต่อ ที่สำคัญ เขาไม่อยากแสดงอาการหวิวไหวจนอีกฝ่ายมองออก

ตอนนี้ทัศนวิสัยด้านนอกปลอดโปร่ง ปุยเมฆกลุ่มใหญ่ดูงดงามไม่ต่างกับทะเลหมอกภูชี้ฟ้า

“จะมองอีกนานไหม”

อรรยังคงรับรู้สายตาชายแปลกหน้าที่จ้องมา จะว่าอึดอัดก็ไม่ใช่ เป็นความรู้สึกคล้ายถูกพลังงานลึกลับดูดเข้าสู่แดนสนธยา

“ถ้าอย่างนั้น…”

“งั้น?”

“ยังไงคุณก็ยังไม่วางแผนว่าจะทำอะไรที่บาหลีอยู่แล้ว สนใจไปทำงานที่วิลล่าญาติผมไหม” หนุ่มตาคมยังคงจับจ้องขณะยื่นข้อเสนอ

“ผมก็แค่คนแปลกหน้าคนหนึ่ง อยู่ดี ๆ คุณจะอยากช่วยผมทำไม”

อรรเลิกคิ้วสูง แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ในสมองโกลาหลเหมือนใยเมฆที่ขมวดเป็นก้อนกลมฟูฟ่องอยู่ด้านนอก

หากคิดให้ดีมันก็จริงอย่างเขาว่า อรรยังคิดไม่ออกเลยว่าจะไปทำอะไรที่บาหลี เขาเลือกจุดหมายนี้เพียงเพราะมีเที่ยวบินตรง ตอนเครื่องออกก็ใกล้เคียงกับเวลาที่เขาตั้งใจหนีออกจากบ้านที่สุดเท่านั้นเอง

หนำซ้ำเขายังไม่รู้เลยว่าสุดหล่อคนนี้มีเจตนาแอบแฝงอะไรหรือเปล่า ความอ่อนเพลียจากการอดหลับอดนอนตั้งแต่เมื่อคืนฉุดการไตร่ตรองให้ตื้อมึน ยากจะวิเคราะห์ความหมายในแววตาร่ายระยิบบนสีหน้าเรียบเฉยนั้น

“ขนาดชื่อคุณผมก็ยังไม่รู้จักเลย ไม่ได้กะจะหลอกผมไปขายใช่ไหม”

“warm-glow effect”

“ให้ตายเถอะ พูดภาษาคนหน่อยได้ไหม ถึงผมเป็นเด็กอักษรศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรู้ศัพท์เฉพาะทางทุกแขนงนะ”

“ภาษาเศรษฐศาสตร์น่ะ ใช่ว่าผู้ถูกช่วยเหลือได้รับประโยชน์เพียงฝ่ายเดียว” รอยยิ้มบางเบาแฝงความขี้เล่น ส่งกลิ่นอายแห่งความอ่อนโยนละมุนละไม

“นั่นปะไร หวังประโยชน์แอบแฝงจริงด้วย”

“สิ่งตอบแทนของผู้หยิบยื่นน้ำใจให้เพื่อนมนุษย์คือ ‘ความรู้สึกดี’ ไง ผมเชื่อว่ายิ่งเราเอื้อเฟื้อไม่ว่าจะมากน้อย ชีวิตของเราก็ยิ่งดีมากขึ้นไปอีก อีกอย่างผมนับถือความกล้าของคุณ”

“กล้าที่จะหนีออกจากบ้านเนี่ยนะ”

ชายหนุ่มส่ายหน้า

“เปล่า กล้าที่จะยอมรับความรู้สึก ไม่ยี่หระต่อการแสดงถึงอัตลักษณ์ของตัวเอง และการที่คุณไม่ยอมถูกคลุมถุงชนกับผู้หญิงคนนั้น ลึก ๆ แล้วเพราะคุณไม่อยากหลอกผู้หญิงคนหนึ่งไปตลอดชีวิตกระมัง”

อรรพยักหน้า

“นั่นแหละความกล้าที่ผมนับถือ ขนาดตัวผมเองยังไม่มีความกล้าเท่าคุณเลย” ดาวในดวงตาหม่นแสงลงเล็กน้อย

“งั้นก็ขอบคุณคุณมาก มีอะไรทำดีกว่าอยู่เฉย ๆ แล้วฟุ้งซ่าน จะได้ไม่รบกวนเงินเก็บด้วย”

“ดานู”

“ภาษาอะไรอีกล่ะ”

“ภาษาบาหลี ชื่อผมเอง”

“ผมชื่ออรร” หนุ่มเอวสอบจงใจเลี่ยงคำว่าแถ้ง “ยินดีที่ได้รู้จักครับเจ้านาย” เขายื่นมือออกไป รอให้อีกฝ่ายจับตอบ

“ตอนนี้คนดูแลวิลล่าคือป้าสะใภ้กับลูกพี่ลูกน้อง ไม่ใช่ผม แต่รับรองว่าฝากให้ได้”

อรรยิ้มให้ดานูก่อนพิงศีรษะกับแผ่นอะคริลิกใสตรงช่องหน้าต่างอย่างง่วงงุน

เขารู้สึกถึง ‘เสรีภาพ’ บนผืนฟ้ากว้าง ปุยเมฆขาวที่คั่นกลางระหว่างสีครามเข้มของมหาสมุทรตัดกับเฉดฟ้าพาสเทลด้านบนลดทอนความขุ่นข้องไปได้อักโข ความหนักอึ้งที่เคยกดทับหัวใจเริ่มผ่อนคลาย

อรรค่อย ๆ ม่อยเคลิ้มไปตามจังหวะเคลื่อนไหวอันเฉื่อยชาของกลุ่มไอน้ำด้านนอก เมื่อความเครียดบรรเทา เสียงหึ่งของเครื่องยนต์ไอพ่นที่เคยดังระเรี่ยโสตก็เริ่มแผ่วลงไปโดยไม่รู้ตัว

 

Ladies and Gentlemen.

We are now descending to Ngurah Rai International Airport. Please return to your seat and fasten your seat belts.

ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ

ขณะนี้เรากำลังลดระดับลงสู่ท่าอากาศยานนานาชาติงูระฮ์ ไร ผู้โดยสารกรุณานั่งประจำที่ และรัดเข็มขัดที่นั่งด้วยครับ

 

ดานูมองภาพยอดเขาที่พยายามเผยโฉมให้เห็นตรงช่องว่างระหว่างเมฆขาว เป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติเมื่อได้ยินกัปตันประกาศลงจอด

อรรรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยจากล้อที่เพิ่งแตะรันเวย์ แสงแดดยามบ่ายทะลวงผ่านกลุ่มเมฆกระทบเปลือกตาจนต้องหยี

อากาศหน้ามรสุมดูอึมครึมประหนึ่งเจ้าบ้านไร้อัชฌาสัย แสดงสีหน้าบูดบึ้งไม่ยอมต้อนรับเขาสู่ดินแดนแห่งทวยเทพแห่งนี้

“หลับสบายไหม”

เสียงละไมดังขึ้นข้างหูจนชายหนุ่มตกใจตื่น พบว่าศีรษะตัวเองซุกอยู่ในซอกคอของดานู

อรรกระเด้งตัวนั่งหลังตรงทันที อาการสะลึมสะลือทำให้ต้องอยู่นิ่ง ๆ เพื่อปรับดวงตาให้ชินกับแสงจ้า ก่อนกวาดมองไปโดยรอบ

หญิงคนหนึ่งที่นั่งติดทางเดินระหว่างแถวเสตามองชายทั้งสองแล้วผุดยิ้ม เธอคงคิดว่าเขาเป็นแฟนหนุ่มของดานูกระมัง

ดานูใช้กำปั้นทุบหัวไหล่ตัวเองเบา ๆ

“ขอโทษที เผลอหลับไม่รู้ตัวเลย” อรรยกปลายนิ้วชี้เกาขมับแก้เขิน

“ไม่บอกก็รู้”

อรรเปิดยิ้มกว้างกลบเกลื่อน “เดี๋ยวนวดให้นะครับเจ้านาย”

“ไม่เป็นไร ออมแรงไว้ทำงานเถอะ” ดานูสัพยอก ลุกขึ้นเดินตามผู้โดยสารคนอื่นที่กำลังทยอยเข้าสะพานเทียบเครื่องบิน

อรรคว้ากระเป๋าวิ่งตามหลัง ลมเย็นเยียบพัดกรูเกรียวแทรกเข้ามาตามช่องว่างกันสาดจนต้องลูบแขนป้อย หากภาพวาดสีสันจัดจ้านจากหมู่บ้านกามาซันที่แขวนใต้เพดานทรงคลื่นนั้น ช่วยให้ชายหนุ่มสดชื่นขึ้นไม่น้อย

“ยินดีต้อนรับสู่เกาะมรกต”

ดานูเอ่ยพร้อมรอยยิ้มแสนสะดุดตา ใบหน้าสะอาดหมดจนทำให้คนที่เดินผ่านไปมาใจสั่นได้ไม่ยาก เขาผายมือชี้สิ่งปลูกสร้างอันเป็นเอกลักษณ์

อรรหรี่ตาทอดมองออกไปไกล หุบเขาเขียวชอุ่มดูกลมกลืนไปกับสถาปัตยกรรมแบบฮินดูแฝงไว้ด้วยความความบริสุทธิ์และเงียบสงบ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้อยู่ในสภาพเดิมได้เช่นนี้ สมกับฉายารัตนชาติล้ำค่า

โครก…

“ไม่สบายหรือ”

ดานูถามเมื่อเห็นอรรนิ่วหน้า ลูบท้อง พลางจด ๆ จ้อง ๆ ตัวเลขบนสมาร์ตวอตช์

“บ่ายสองแล้ว…”

“หิว?”

อรรพยักหน้าแกน ๆ นึกเคืองตัวเองที่งำความรู้สึกไว้ไม่ค่อยจะมิด



Don`t copy text!