วายัง บทที่ 5 : บารง
โดย : กันตพิชญ์
วายัง โดย กันตพิชญ์ นวนิยายผีจากเจ้าของบทประพันธ์ ม่อนเมิงมาง 1 ใน 5 นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาที่ได้รับคัดเลือกไปสร้างเป็นละครกับเรื่องราวของชายหนุ่มที่สัมผัสได้ถึงวิญญาณอาฆาตที่ยังวนเวียนสิงสู่อยู่ในรีสอร์ตแห่งหนึ่งในบาหลี วิญญาณนั้นอาจจะเป็นหญิงสาวชาวไทยที่ประสบชะตากรรมอันน่ารันทดที่รอการล้างแค้นอยู่อย่างใจเย็น
เสียงฟ้าผ่าเสียดทะลุการนอนหลับที่แสนสบาย ชายฉกรรจ์เริ่มรู้สึกตัว ทว่าไม่อาจตื่นขึ้นมาได้ในทันที ด้วยความอ่อนเพลียฝังเขาไว้ลึกล้ำ ประหนึ่งการนอนหลับขังเขาไว้ในโคลนตมหนืดเหนอะ
ใครบางคนกำลังเดินอยู่นอกบ้าน!
แผ่นไม้ลั่นเอียดออดสร้างแรงเขย่าแทงโสต ความหวาดหวั่นระลอกแรกคล้ายความฝัน เขาจึงได้แต่นอนปลอบใจตัวเอง งานเสร็จสิ้นแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวลอีกต่อไป
ใช่ มันต้องเป็นความฝันแน่ ไม่มีใครออกมาเดินอยู่นอกบ้านคนอื่นตอนฝนตกราวกับฟ้ารั่วแบบนี้หรอก
และที่สำคัญ ไม่มีใครรู้ว่าเขามากบดานอยู่ที่นี่
ชายฉกรรจ์ผ่อนคลายลงอีกครั้ง ปล่อยตัวเองจมลงในบ่อโคลนข้นคลั่ก
ในที่สุดเสียงกรีดกระจกก็ซอกซอนเข้ามาในความรับรู้ อะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง ตัวบ้านพยายามร้องเตือนเขา บอกเขาว่าสิ่งผิดปกติกำลังรุกล้ำเข้ามา!
กาดังลืมตาขึ้น รู้สึกคล้ายอวัยวะสำคัญถูกควักไปจากร่าง ลุกพรวดขึ้นนั่งบนเตียง หย่อนเท้าลงพื้นไม่ให้เกิดเสียง กวาดตามองโดยรอบท่ามกลางความมืด
ทันใดนั้นภาพตรงหางตาทำให้เขาต้องหันขวับมองที่หน้าต่าง มันลบความสงบปลอดภัยที่กาดังเคยรู้สึก
ผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้านนอก กระจกหน้าต่างแตกแล้ว เศษกระจกคมกริบบางส่วนยังติดอยู่กับวงกบไม้ อารามรีบร้อนทำให้มือของมันถูกบาดจนเลือดโชก
กาดังคว้าแผ่นหนังใต้หมอน เป็นแผ่นหนังชนิดเดียวกันกับตัวหนังวายัง กูลิต เขากระชากเปิดหน้าต่างฝั่งตรงข้ามชายแปลกหน้า เผ่นผลุงออกไปทันที
ความกลัวที่ถูกซุกไว้ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาผุดพลุ่งขึ้นมาทำลายความหวังทั้งหมด ความรู้สึกปลอดภัยประเดี๋ยวประด๋าวถูกคร่าออกไปอีกครั้ง
“บ้าเอ๊ย!”
แหล่งกบดานไม่มีอะไรพอให้ใช้เป็นอาวุธ
กาดังห้อสุดกำลัง หวังว่าสิ่งที่กำลังเผชิญเป็นแค่ส่วนหนึ่งของความฝัน เป็นภาพหลอนจากฤทธิ์สุราจนหลับลึกอย่างหมดแรงและมึนงง
เขาเหลือบมองด้านหลังแวบหนึ่ง แต่เม็ดฝนหยดเขื่องบดบังทัศนียภาพ ห่างออกไปเพียงช่วงแขนก็ยากจะมองทะลวง
สองข้างคันดินเป็นทุ่งข้าว ไร้จุดให้หลบซ่อน กาดังเซวูบเพราะเหยียบโดนจุดที่เพิ่งกลายเป็นดินเลน เขากัดฟันเอื้อมมือคว้าสิ่งพยุงกาย กลับพบเพียงความว่างเปล่า
ชายหนุ่มล้มโครมแหวกกอข้าวคลุกโคลน ขบกรามเคร่งเครียดก่อนลุกขึ้นใหม่อย่างเร่งร้อน
ไม่มีทางวิ่งจากที่นี่ไปถึงหาดเซมินยักแน่ กาดังนึก
ที่นี่คือชายป่าของ บาตูบูลัน หมู่บ้านหัตถกรรมอันขึ้นชื่อด้วย ปูรา ปูเซะฮ์ วัดหินสลักจากอิทธิพลฮินดูโบราณผสานพุทธศาสนา ซึ่งอยู่ห่างจากหาดที่ว่าราวยี่สิบกิโลเมตร
ทั้งที่ผู้ว่าจ้างรับปากเป็นมันเหมาะ ว่าเมื่อเสร็จภารกิจจะช่วยพาเขาออกจากเกาะ ใช้ชีวิตสุขสงบในต่างแดน ทว่าจนแล้วจนรอดเขาจำเป็นต้องรอขณะที่ทางนั้นยังหาลู่ทางไม่ได้ ปล่อยให้ความกังวลกัดกร่อนมันไม่ต่างอะไรกับฉีดน้ำกรดเข้ากระแสเลือด
กาดังยังคงวิ่งในท้องทุ่งไม่คิดชีวิต โรงละครกลางแจ้งก่อเงาตะคุ่มตรงหน้า ปกติที่นี่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมระบำบารงเฉพาะวันศุกร์ ตอนนี้จึงปิดเงียบ ดูไม่ต่างจากโรงละครร้าง
เขาละล้าละลัง ขืนยังล่นกลางแจ้งคงไม่ต่างอะไรกับเป้านิ่ง
กาดังตัดสินใจปีน บาเล กุลกุล หรือ ‘หอโป่ง’ เป็นหอสูงทางศาสนาสำหรับระเบงโป่งหรือระฆังไม้เพื่อสื่อสารภายในหมู่บ้าน
อย่างน้อยสิ่งปลูกสร้างเล็กใหญ่ด้านในโรงละครยังพอใช้เป็นที่หลบซ่อน ช่วยยื้อเวลาให้เขาหาทางหนีทีไล่ขึ้นมาได้บ้าง
ทันทีที่ฝ่ามือสัมผัสฐานหินของหอโป่ง มันเย็นเยียบจนต้องชักมือกลับ กลิ่นอายแห่งความตายแผ่ออกมาชัดแจ้ง
ทันใดชายหนุ่มรู้สึกถึงกระแสลมพุ่งฉิวเรียดใบหูไปก่อนปักลงเนื้อไม้ของตัวหอ เสียงกริชชำแรกไม้ขนุนชวนให้สันหลังสั่นสะท้าน
เขาปีนถึงระดับรั้วก่อนกระโดดวูบลงกับพื้นด้านใน
กาดังมองหาสิ่งกำบังเท่าที่พอจะหาได้ในหมู่ศาลาเปิดโล่ง สายตาสะดุดเข้ากับตัว บารง บนขาตั้งไม้ ซึ่งวางประดับอยู่หน้า ปาดูรักซา ประตูจำลองกั้นแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับการแสดงระบำบารง สัตว์ในตำนานปกรณัม รูปลักษณ์คล้ายเสือ ถือเป็นเจตะหรือจิตและวิญญาณรูปแบบหนึ่งในคติชนบาหลี
แม้จุดนั้นไม่เหมาะจะปกป้องเขาได้ แต่กาดังกลับวิ่งไปหยุดหน้าตัวบารงชั่วขณะ เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ไม่รู้ทำไมเขายังมีอารมณ์สุนทรียะชื่นชมศิลปะ จากนั้นจึงกวาดสายตาอย่างรวดเร็ว พยายามเค้นสมองเพื่อหาหนทาง
เสียงฝ่าเท้ากระทบพื้นดังไล่มา ชายหนุ่มผลุบเข้าหลังลั่นทมต้นใหญ่ เหลือบเห็นท่อนไม้ขนาดเหมาะมือที่ครั้งหนึ่งมันถูกใช้ค้ำยันลำต้นแบบกระโจม
เขาคว้ามันไว้มั่น พร้อมตั้งรับทุกสถานการณ์
กาดังค่อย ๆ โผล่หน้าลอบมอง พร้อมตอบโต้หากมีความเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อย
ท่ามกลางแสงรำไรคล้ายอยู่ในสุสาน เขาเห็นเงาทะมึนหน้าตาเครียดขึ้ง
มันก้าวตามมาทางนี้ทีละก้าวด้วยท่าทางขมึงทึง ใบหน้าหล่อเหล่าซีดเซียวกับขอบตาคล้ำนั้น ดูไม่เหมือนคนเป็น หากละม้ายคล้ายคลึง รังดา กำลังคืบคลานออกมาจากหลุมฝังศพอย่างไรอย่างนั้น
ใช่แล้ว
คนท้องถิ่นย่อมรู้ดีว่ารังดาเป็นราชินีปีศาจตามความเชื่อ แต่เดิมนางรังดาคือพระนางมเหนทรทัตตะผู้นิยมเวทมนตร์ตันตระจนถูกขับไล่เข้าป่า ทำให้พระนางผูกใจเจ็บ จ้องทำลายกรุงดาหา โดยรวบรวมศิษย์ที่เป็นสตรีทำพิธีบูชาเจ้าแม่กาลี สาปแช่งให้เกิดโรคภัยกระทั่งกรุงดาหาสิ้นสลาย
เหมือนมีอะไรบางอย่างจุกอยู่ในลำคอ เมื่อชายหนุ่มนึกถึงความหมายของรังดาดั้งเดิมคือ ‘หญิงม่าย’ เพราะถ้าคิดดูให้ดี ชีวิตของมันก็ล้วนวนเวียนอยู่กับหญิงม่ายที่ชื่อสินิทธ์กับมาวาร์
เขาพยายามกลืนสิ่งที่จุกในอกให้กลับลงไปในช่องท้องพลางกระชับท่อนไม้ในมือแน่น
“สัจจะไม่เคยมีในหมู่โจร”
เงาทะมึนหัวเราะทุ้มต่ำ ตอกย้ำให้เหยื่อรู้ว่ากำลังเข้าตาจน
“ซ่อนอยู่ที่ไหนเอ่ย…”
มันเอ่ยแหบแห้งพร้อมกรีดใบมีดลงบนกำแพงหิน เพียงขูดเบา ๆ กลับเป็นเสียงทิ่มแทงอย่างรุนแรง
กาดังแอบมองอีกครั้ง ถึงกับถอยหลังโดยสัญชาตญาณ ไม่รู้ว่ามันยืนอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไร ห่างจากตัวเองไปไม่กี่เมตร และกำลังจ้องเขม็งมาทางนี้!
ชายหนุ่มชิงพุ่งเข้าหา หวังไม่ให้มันได้ตั้งตัว อะดรีนาลินถั่งโถมลมหายใจถี่กระชั้น กาดังฟาดไม้สุดแรงเกิด แต่ช่วงก้าวของมันกว้างกว่าเขาเล็กน้อย ทำให้หลบหลีกรัศมีทำลายล้างไปได้หลายครั้ง
กาดังตะโกนลั่นพร้อมฟาดจุดตาย คราวนี้ปลายไม้ไม่พลาด กระทั้นเข้าขมับซ้ายของมัน ด้วยแรงขนาดนี้ทำให้ก้อนเนื้อนุ่มนิ่มอย่างสมองมนุษย์เกิดอาการบวมได้ไม่ยาก
ทว่าร่างกายมันกลับไม่ยอมเซ จ้วงปลายกริชยาวสวนเข้าแผงอกเขาอย่างรู้จังหวะ
กาดังอ้าปากค้าง ในที่สุดทั่วทั้งร่างก็หยุดนิ่ง เม็ดฝนส่งเสียงหนักอึ้ง เขาพยายามทรงตัวทว่าร่างกายไม่ตอบสนอง
ไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว…
ชายหนุ่มรู้ว่าตัวเองไม่ได้ยืนอยู่อีกต่อไป เข่าทรุดลงกับพื้น ศีรษะแหงนเงยเหลือบมองขึ้นข้างบน
จู่ ๆ ก็รู้สึกหนาวจับขั้วหัวใจ
กาดังคิดว่าคงเป็นเพราะเสียเลือด หรืออาจเป็นเพราะสายลมแห่งความหวังวูบหนึ่งพัดผ่านไป
“ทำไม…”
กาดังร้องแผ่วเบา เฝ้ามองขณะที่ชายคนนั้นดึงกริชออกจากอกเขาช้า ๆ ภาพในรูม่านตาพลันถูกแทนที่ด้วยอนธการ
อรรสืบเท้าถี่ตามหลังคนตัวสูงเบื้องหน้า ทั้งที่เมื่อยืนเทียบกันศีรษะเขาต่ำกว่าดานูไม่ถึงครึ่งนิ้วชี้ จังหวะสืบเท้าของชายคนนี้กลับทำให้เขาต้องหอบแฮก
หลังออกจากสนามบิน ข้ามถนน ลอดทางเดินแบบมีหลังคาสีแดงน้ำหมาก หนุ่มบาหลีก็หยุดฝีเท้าหน้าร้านอาหารท้องถิ่น
อรรมัวแต่ก้มหน้าดุ่ม เมื่อไกด์จำเป็นหยุดไม่ให้สุ้มเสียง หน้าผากหนุ่มไทยจึงกระทบเข้าท้ายทอยหนุ่มด้านหน้าเข้าอย่างจัง
“อูย…จะหยุดก็ไม่บอก แล้วนี่ถึงแล้วเหรอ”
อรรหมายถึงจุดบริการเรียกรถยนต์ส่วนตัวที่ดานูบอกเขาเมื่อครู่ เพราะหากเรียกแท็กซี่หน้าสนามบิน มีหวังโดนโขกราคาไม่น้อยกว่าสี่เท่าของราคาปกติ
“ที่นี่มีอาหารหลายอย่างรสชาติใกล้เคียงกับอาหารไทย”
อรรมองตามสายตาดานู สูดลมเข้าปอดลึก ๆ ครั้งหนึ่ง กลิ่นเครื่องเทศหอม ๆ พาให้ร่างกายรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมากทีเดียว
แม้ดานูไม่ใช่คนพูดเก่งเท่าไร แต่ทุกคำที่เปล่งออกมาเหมือนเขาคิดดีแล้วเสมอ การที่เขาพามากินข้าวก่อน ทั้งยังเลือกร้านให้ถูกปากคนไทย นั่นหมายความว่าดานูเป็นคนใส่ใจในรายละเอียด
ตอนแรกชายหนุ่มคิดว่าการลอบออกจากบ้านมา ‘พักผ่อน’ สักระยะถือเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อย
แต่ไหนแต่ไรพ่อก็ไม่เคยปล่อยให้เขาไปไหนไกลโดยลำพัง ความกังวลและไม่คุ้นชินจึงถูกปลดเปลื้องออกไปได้เปลาะหนึ่งเมื่อได้เจอเพื่อนร่วมทางที่สร้างความอบอุ่นในหัวใจให้กับเขา นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่งดงามทีเดียว
“มานั่งสิ”
หนุ่มตัวสูงกวาดสายตาไปทั่วร้านอย่างรวดเร็วก่อนเดินเข้าไปยืนข้างโต๊ะไม้กลม แล้วดึงเก้าอี้สีน้ำตาลที่ออกแบบให้เข้าชุดกันออก
ลูกค้าภายในร้านต่างจับจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียว
อรรทิ้งตัวลงข้างหนุ่มบาหลีพลางมองรายการอาหารที่สอดไว้ในเมนูสแตนด์ไม้กลางโต๊ะ เสียงทุ้มต่ำกังวานเริ่มอธิบาย
“ผมชอบ นาซี โกเร็ง กับ อายัม โกเร็ง ของร้านนี้ อายัมแปลว่าไก่ เอาไปหมักแล้วทอด กรอบนอกนุ่มใน ยิ่งกินกับ ซัมบัล นะ ลืมคำว่าไดเอ็ตไปได้เลย”
อรรมองตามเรียวนิ้วที่จิ้มลงบนรูปอาหาร จานแรกดูไปก็คล้ายข้าวผัดพริกแกง อีกหนึ่งเป็นไก่ทอดโปะบนข้าวสวยแนมซอสซัมบัล ซึ่งเป็นพริกดองบดกับเครื่องเทศ และเพราะนั่งห่างกันเพียงคืบ อรรจึงได้ยินจังหวะหายใจสม่ำเสมอของเขาชัดเจน ชายหนุ่มจึงลอบมองอย่างยากจะอดใจไหว
แสงไฟนวลละมุนตาเหนือศีรษะสาดใบหน้าคมคาย สันกรามและโหนกแก้มก่อเค้าหน้าโดดเด่น ริมฝีปากอิ่มที่กำลังขยับอธิบายชวนให้นึกถึงรสสัมผัสตอนเขาประทับริมฝีปากก่อนขึ้นเครื่องมาที่นี่
ดานูเคยจูบใครมาก่อนหรือเปล่านะ
“มองอะไร ที่เมืองไทยไม่มีคนหน้าตาดีแบบนี้เหรอ”
ใบหน้าอรรผะผ่าวขึ้นมาทันที ดานูละจากเมนูตรงหน้า หันมาจ้องตาอรรตรง ๆ นัยน์ตาดำขลับสะท้อนเงาของเขากระจ่างชัด ชายหนุ่มกลับไม่ยอมผินหลบ สบตาดานูอย่างเปิดเผย
“คงงั้น”
ถ้าหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปแล้วโพสต์ลงโซเชียลเน็ตเวิร์ก คงดังระเบิดภายในชั่วข้ามคืนเหมือนปรากฏการณ์สาวไทยทั้งเล็กใหญ่กรี๊ดสนั่น เมื่อเจ้าชายพระองค์หนึ่งจากประเทศแถบนี้เดินทางไปประเทศไทยเพื่อร่วมเข้าแข่งขันโปโล All Asia Cup ด้วยหน้าตาหล่อเหลาคมเข้ม กล้ามแน่นปึ๊ก หุ่นน่าเซี๊ยะ รับรองว่าดานูเรียกเสียงฮือฮาได้ไม่ต่างกัน
“สอพลอผมไป ก็ไม่ได้ทำให้เงินเดือนเยอะขึ้นหรอกนะ”
หนุ่มคมเข้มผุดรอยยิ้มบาดใจ แต่อรรกลับกลอกตา
“หาว่าผมให้ร้ายคนอื่นเพื่อผลประโยชน์เหรอ”
“ขอโทษที ผมไม่ค่อยเก่งภาษาไทย นึกว่าสอพลอเหมือนกับคำว่าประจบ”
อรรส่ายหน้ากลั้วหัวเราะแทนคำตอบ
คนไทยขึ้นชื่อเรื่องอารมณ์ขัน นั่นยิ่งทำให้ดานูรู้สึกใจสงบและอบอุ่น
แม้ดานูยังหนุ่ม แต่นอกจากการอ่านหนังสือ โดยเฉพาะอาชญนิยายแล้ว เขากลับไม่มีงานอดิเรกอย่างอื่น อาจเพราะชื่นชอบมุมมองของอาดัม สมิธ ผู้ได้รับการกย่องว่าเป็นบิดาแห่งเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ ที่มุ่งศึกษาบ่อเกิดแห่งความนึกคิดทางศีลธรรมของมนุษย์ในวิถีนักปรัชญาจริยศาสตร์
ดานูไม่ชอบนั่งไขสมการที่มาพร้อมข้อสมมตินานัปการ หากแต่ชอบการมองโลกตามความจริงและเข้าใจในความนึกคิดและพฤติกรรมของมนุษย์อย่างถ่องแท้มากกว่า ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการหาแรงจูงใจของฆาตกรในนวนิยาย เพราะตัวเศรษฐศาสตร์เอง ก็ไม่อาจแยกขาดจาก ‘อคติความเชื่อ’ ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเทียบกับสังคมที่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยวนและความสับสนวุ่นวาย ดานูดูเหมือนชายหนุ่มที่เกิดมาผิดยุค เป็นคนที่เต็มไปด้วยความน่าเบื่อและไม่ทันสมัยเอาเสียเลย ไม่แม้แต่จะสนใจเรื่องเงินทอง ผู้หญิง หรืออำนาจ
ทว่าใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนตรงหน้ากลับสร้างบรรยากาศสงบสุขอย่างที่ชายหนุ่มไม่เคยพานพบมาก่อน
หัวใจดานูกระเดาะเล็กน้อย แม้หวิวไหวเบาบางแต่รู้สึกได้ชัดเจน
ดานูหันตามกลิ่นหอมฉุยของเครื่องเทศที่มาพร้อมกับเสียงเดินเบา ๆ ของบริกร
“อาหารมาแล้วละ”
อรรยังคงมองเมฆครึ้มด้านนอกกำลังเคลื่อนเข้าแทนที่แสงอาทิตย์ ก่อบรรยากาศขมุกขมัว
“ช่วงนี้พายุเข้าเหรอ”
ดานูเคลื่อนจานนาซี โกเร็งไว้ตรงหน้าหนุ่มไทย
“ปลายพฤษภาคมแล้ว กำลังจะเข้าหน้าแล้ง จากนั้นฟ้าโปร่งยาวไปจนถึงตุลาคม คุณจะได้เจอแดดจนเบื่อเลยละ”
“ร้อนริมทะเลก็ยังดีกว่าร้อนท่ามกลางตึกในกรุงเทพล่ะนะ”
ร้านนี้มีลูกค้านั่งเต็มทุกโต๊ะแทบตลอดเวลา ความครึกครื้นรอบตัว สำเนียงท้องถิ่นเซ็งแซ่ กอปรกับความตื่นเต้นยินดีเมื่ออรรวาดภาพการทำงานในต่างถิ่นครั้งแรกในชีวิต ช่วยลดสีทึมด้านนอกลงไปได้บ้าง
ขณะหนุ่มเอวสอบเคี้ยวข้าวจนแก้มตุ้ย จู่ ๆ เสียงข้อความเข้ามือถือของดานูก็ระงมถี่
“มีอะไรหรือ” อรรถามเมื่อเห็นคิ้วเข้มคนข้าง ๆ ขมวดมุ่น
“อิ่มหรือยัง”
อรรพยักหน้า เผลอแป๊บเดียวข้าวพูนในจานก็เหลือไม่กี่คำ “มีเรื่องร้ายแรงอะไรหรือเปล่า”
“เมื่อคืนคุณป้าอาการกำเริบอีกแล้ว และเมื่อเช้า…” ดานูลุกขึ้นกวักมือเรียกพนักงานเก็บเงิน ไม่ได้ขยายความต่อ “รีบกลับกันเถอะ จุดบริการเรียกรถยนต์ส่วนตัวอยู่ตรงข้ามนี่เอง”
ความที่ลูกค้าในร้านแน่นขนัด พนักงานจึงบริการได้ช้ากว่าปกติ ดานูวางเงินสดลงบนโต๊ะโดยไม่รอเงินทอน อรรกวาดอาหารที่เหลือในจานเข้าปากก่อนคว้ากระเป๋าวิ่งตามร่างสูง
อารามรีบร้อนทำให้ก้าวลงจากบาทวิถีผิดท่า หนุ่มไทยล้มโครม ศอกเลือดซิบทันที
ดานูรีบวิ่งกลับมา ช่วยปัดฝุ่นแล้วช้อนแขนอีกฝ่ายพาดคอ
“อูย…” อรรนิ่วหน้า
“ข้อเท้าแพลงเหรอ”
“เจ็บแปลบนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอก”
“งั้นยืนขาเดียวแป๊บหนึ่ง”
ดานูหันหลังให้แล้วย่อตัวลง “ขึ้นมา”
อรรไม่อิดออด โถมร่างใส่แผ่นหลังพ่อเนื้อแน่นอย่างรวดเร็ว มือยังไม่ทันจับไหล่กว้างได้ถนัด ดานูพลันยืนขึ้นง่ายดาย สาวเท้ายาว ๆ ข้ามถนนในชั่วพริบตา
อรรเผลอร้องด้วยความตกใจ
“ว้าก…นี่เดินหรือวิ่งเปี้ยวกันแน่เนี่ย”
“พอดีมีเรื่องด่วนหลายเรื่องน่ะ”
“เรื่องข้อความเข้ามือถือเมื่อกี้…” อรรไม่อยากละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว โดยเฉพาะเรื่องครอบครัวคนอื่น ได้แต่เก็บความสงสัยกับประโยคที่ว่า ‘คุณป้าอาการกำเริบอีกแล้ว’ ทว่าชายหนุ่มกลับเอ่ยเรื่องน่าตื่นตะลึงยิ่งกว่า
“พนักงานที่รีสอร์ตถูกฆาตกรรม มีคนพบศพในโรงละครกลางแจ้งที่หมู่บ้านบาตูบูลันเมื่อเช้า”
อรรตัวแข็งทื่อ เย็นสันหลังวาบ คล้ายลมหนาวเยียบถึงขั้วกระดูกกำลังเสียดแทง