วาสนาชะตาใจ บทที่ 2 : วาสนายากจะฝืน

วาสนาชะตาใจ บทที่ 2 : วาสนายากจะฝืน

โดย : ชื่อถง

Loading

วาสนาชะตาใจ นวนิยายรักจีนโบราณจากปลายปากกา ชื่อถง เมื่อแม่ทัพชั่วร้ายทั่วป๋าจินคือ คางคกเผือก ที่โม่เฉียนจงชัง แต่แล้ววาสนาก็พาให้นางต้องก้าวเดินสู่อุ้งมือของคางคกตัวร้าย นางจะรับมือกับศึกภายนอกและความรู้สึกในใจตนได้อย่างไร มาเอาใจกันได้ที่ anowl.co เว็บไซต์ที่มีนวนิยายสนุกๆ ให้คุณได้อ่านออนไลน์

**************************

– 2 –

แม้ในหนึ่งปีที่ผ่านมาสถานการณ์ชายแดนระหว่างอู่เฉิงกับหลานโจวจะค่อนข้างสงบเรียบร้อย  แทบไม่มีการปะทะกันทางการทหาร  หนำซ้ำการค้าชายแดนก็เติบโตรุดหน้า  แต่ความเป็นศัตรูระหว่างสองแคว้นฝังรากหยั่งลึกถึงกระดูก  ยากที่ลืมเลือนได้ในเวลาไม่กี่เดือน  ฉากหลังของมิตรภาพยังคงมีความไม่ไว้วางใจของทั้งสองฝ่าย  ดังนั้นสายที่วางไว้ในดินแดนของทั้งสองฝั่งจึงยังไม่ถูกถอนกลับ  การส่งคนข้ามแดนยังมีทั้งการเดินทางอย่างเปิดเผยและแอบข้ามไปอย่างซ่อนเร้น

โม่เฉียนรู้ดีว่าการจะข้ามชายแดนไปหลานโจวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย  ถ้าไม่มีความช่วยเหลือนางไม่มีทางหาเอกสารแสดงตนเพื่อขอเข้าเมือง  และถ้าจะติดต่อคนของกองทัพ  นางคงถูกส่งตัวกลับจวนแม่ทัพตั้งแต่ยังไม่ทันก้าวเท้าออกจากอู่เฉิง

ทว่าโชคดีที่นางรู้มาว่ามีชายคนหนึ่งที่สามารถหาเอกสารผ่านแดนให้ได้  คนผู้นี้ไม่มีผู้ใดรู้ชื่อแซ่แท้จริง  เขาเรียกตัวเองและให้คนอื่นเรียกเขาว่าต้าซวน

ต้าซวนหรือพี่ใหญ่ซวนเป็นชายวัยห้าสิบเศษ  ไม่สูงไม่ต่ำ  ไม่อ้วนไม่ผอม  หน้าตาธรรมดาเสียจนสามารถกลืนหายไปกับฝูงชนได้อย่างรวดเร็ว  เขาเป็นชายที่คนมองแล้วจะผ่านสายตาไปโดยไม่อาจจดจำได้  จุดเด่นอย่างเดียวของต้าซวนคือปลายหางคิ้วขวาเขามีไฝดำอยู่เม็ดหนึ่ง  ถ้าไม่ได้ไฝดำเม็ดนี้ผู้คนคงแยกเขาไม่ออก

ต้าซวนมีอาชีพค้าขาย  แต่สินค้าเขาไม่ได้ซื้อขายได้อย่างเปิดเผย  เขาเป็นเหมือนคนกลางที่ช่วยประสานให้กับพวกพ่อค้าเล็ก ๆ ที่อยากทำการค้าชายแดนแต่ไม่ต้องการขึ้นทะเบียนกับกองทัพหรือหน่วยงานของเมือง  เขาช่วยหาเอกสารผ่านแดนให้กับชาวบ้านที่มีเชื้อสายผสมระหว่างฉีกับเป่ยเว่ยและต้องการเดินทางไปเยี่ยมเยียนญาติอีกฝ่าย

กองทัพและเจ้าหน้าที่ดูแลเมืองอู่เฉิงล้วนรู้ถึงการมีตัวตนของต้าซวน  แต่ไม่เคยมีหลักฐานเอาผิดอะไรเขาได้  ต้าซวนฉลาดในการเลือกลูกค้าและเขาทำการค้าของเขาอย่างรอบคอบ

โม่เฉียนรู้จักคนผู้นี้เพราะเสิ่นอู๋จี้เคยเชิญให้ต้าซวนไปพบที่จวนแม่ทัพ  หลังจากสนทนาอยู่เกือบหนึ่งชั่วยาม  ต้าซวนก็กลับออกไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มไม่ต่างจากตอนเข้ามา  ส่วนแม่ทัพใหญ่มีคำสั่งให้จับตามองชายผู้นี้ให้ดี

“คนที่น่ากลัวที่สุดคือคนจำพวกต้าซวนผู้นี้  ไม่ใช่มิตรไม่ใช่ศัตรู  มีคุณธรรมแต่ก็เปี่ยมด้วยความเห็นแก่ตัว  มือหนึ่งยื่นไมตรีอีกมือถือดาบจ้องฟาดฟัน  คนที่คาดเดาความคิดไม่ได้เช่นนี้อยู่ห่างไม่ได้อยู่ใกล้ไม่ดี  คอยจับตาไว้ก็แล้วกัน”

โชคดีที่หลายเดือนที่ผ่านมาต้าซวนไม่ได้ก่อปัญหาอะไรให้จุดสนใจ  เขาช่วยเหลือเพียงพ่อค้าน้ำมันรายหนึ่ง  พ่อค้าขนสัตว์สองรายกับชาวบ้านที่มีเงินทองไหว้วานขอความช่วยเหลือจากเขาอีกจำนวนหนึ่งเท่านั้น

โม่เฉียนหลบเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง  ผูกม้าแอบไว้ก่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดผ้าฝ้ายที่ชาวบ้านทั่วไปสวมใส่กัน  แล้วจัดการแปลงโฉมตัวเองใหม่

ว่าไปแล้วเรื่องเย็บปักถักร้อย  เขียนพู่กันหรือว่าดีดพิณ หญิงสาวไม่ถนัดสักอย่าง  นางเดินหมากได้เพราะมักเล่นกับพี่ชาย  กุนซือหลินหรือคนอื่น ๆ เป็นครั้งคราว  ทำอาหารได้แบบพื้น ๆ ที่กินในกองทัพ  เรื่องที่โม่เฉียนถนัดสุดกลับเป็นเรื่องใช้ทวนใช้ดาบ  หนำซ้ำยามที่เติบโตในกองทัพนางยังแอบเข้าห้องเรียนวิชาต่าง ๆ รวมถึงผลุบ ๆ โผล่ ๆ ตามสนามฝึก  ได้วิชาแบบครูพักลักจำมาไม่น้อย  ดังนั้นนางจึงสามารถใช้แป้งเปียกละเลงหน้าตัวเองอย่างคล่องแคล่ว  จากนั้นก็ใช้แป้งที่คล้ายคลึงกับแป้งสีของชนเผ่าที่สาวใช้ประหลาดซูอินเคยมอบให้เสิ่นอู๋จี้  และเขาสั่งให้ช่างฝีมือในกองทัพผลิตเลียนแบบขึ้นมาอีกหลายกระปุกแตะแต้มไปตามแผ่นแป้งเปียกนั้น

ครู่เดียวใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาประหนึ่งหยกชั้นดีก็เปลี่ยนเป็นผิวหยาบกร้านผิวสีเข้มขึ้นราวกับหญิงชาวบ้านที่มีอายุมากกว่านางหลายปี  แถมยังขี้ริ้วไม่งาม

โม่เฉียนออกจากตรอกหาซื้อรองเท้าสองคู่ใส่ตระกร้าคล้องแขนเดินไปเคาะประตูบ้านต้าซวน  นางก้มศีรษะลงต่ำ  หน่วยสอดแนมที่เสิ่นอู๋จี้สั่งให้จับตามองต้าซวนจะได้ไม่ผิดสังเกต

“ต้าซวน  ข้าเอารองเท้ามาส่งท่าน”  หญิงสาวเอ่ยเมื่อฝ่ายนั้นเปิดประตูรับ

ชายสูงวัยเหมือนชะงักไปเล็กน้อยก่อนยิ้มแย้ม

“มา ๆ ข้ากำลังรออยู่ทีเดียว  เดี๋ยวเจ้าเข้ามาก่อน  ข้าจะไปหยิบเงินให้”

เขาพานางเดินเข้าไปด้านใน  พอพ้นหูพ้นตาคนภายนอกจึงเอ่ยปากถามอย่างไม่อ้อมค้อม

“แม่นางน้อยผู้นี้มีสิ่งใดให้ข้าต้าซวนรับใช้มิทราบ”

“ข้าต้องการไปหาคนที่หลานโจว”  โม่เฉียนบอกตามตรง  กฎในการขอความช่วยเหลือข้อหนึ่ง

จากต้าซวนคือเจ้าต้องไม่โกหก  ต้าซวนไม่ใส่ใจว่าเรื่องที่เจ้าคิดจะทำนั้นถูกหรือผิด  เขาสนแต่เพียงคนผู้นั้นต้องเอ่ยความจริงกับเขาเท่านั้น  “ท่านหาเอกสารให้ข้าได้หรือไม่”

“หลานโจวไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัยสำหรับท่าน  ส่งพี่ชายท่านไปตามคนไม่ดีกว่าหรือ”

หญิงสาวสบตาที่แวววาวเฉลียวฉลาดของชายสูงวัยตรงหน้า  ไม่แปลกใจที่ต้าซวนจดจำนางได้  ถ้าชายผู้นี้ไม่มีอะไรพิเศษ  เขาคงไม่สามารถเอาตัวรอดได้ทั้ง ๆ ที่เสิ่นอู๋จี้หวาดระแวงเขามากเพียงนี้

“คนอยู่ในความรับผิดชอบของข้า  ข้าทำหายข้าต้องเป็นคนตาม”  นางตอบอย่างดื้อดึง  ก่อนขยับรองเท้าในตระกร้าให้เห็นเงินตำลึงวาววับที่ซุกอยู่ด้านล่าง  “เพียงพอหรือไม่”

ต้าซวนไม่เอ่ยอะไร  เขาเพียงเดินหายไปในห้องด้านใน  ครู่เดียวก็กลับมาพร้อมเอกสารในมือ  ในเอกสารระบุว่าเจ้าของเอกสารเป็นหญิงปักผ้าแซ่ถาว

“แม่นางน้อย  ท่านรู้กฎข้าดีหรือไม่”

โม่เฉียนพยักหน้ายามเมื่อรับเอกสารมา

“ต้าซวนวางใจได้  ถึงถูกจับได้ข้าก็ไม่มีวันซัดทอดถึงท่านแน่นอน”

ด้วยความพอใจที่ได้สิ่งที่ต้องการบวกกับความรีบร้อนจะไปตามคน  หญิงสาวจึงไม่ได้สำรวจเอกสารให้ถ้วนถี่  ไม่ได้สังเกตแม้แต่น้อยว่าเอกสารในมือไม่ใช่ของที่เพิ่งทำขึ้นใหม่  ตราประทับนั้นหมึกแห้งนานแล้ว

รับของแล้วโม่เฉียนก็ผลุนผลันจากไป  นางจึงไม่รู้เลยว่าชายสูงวัยด้านหลังเอาแต่พึมพำว่า

“วาสนาผู้ใดก็วาสนาผู้นั้น  ยากจะฝืนเสียจริง…”

ต้าซวนเดินเข้าไปหลังบ้าน  ในครัวมีนกพิราบขาวตัวหนึ่งเลี้ยงไว้ในกรงเหมือนกับจะเก็บไว้เป็นอาหาร  แต่ยามนี้เขาเปิดกรงหยิบมันออกมา  มัดด้ายแดงเส้นเล็กบางกับข้อเท้าเล็ก ๆ ของมันแล้วปล่อยมันเป็นอิสระ

พิราบขาวโผนขึ้นฟ้ามุ่งตรงไปยังทิศทางเดียวกับแม่นางน้อยที่เพิ่งจากไป

การออกจากเมืองอู่เฉิงไม่ง่าย  แต่การผ่านชายแดนเข้าเมืองหลานโจวนั้นง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ  ทหารรักษาประตูเมืองเพียงเหลือบตามองเอกสารในมือนางแล้วโบกมือให้ผ่านเข้าเมืองไปโดยง่าย  ทำให้โม่เฉียนที่ซักซ้อมคำตอบและเค้นหาทางหนีทีไล่มาตลอดทางถึงกับมึนงงไปชั่วขณะ  พอรู้ตัวว่าก้าวเข้าสู่เมืองแล้วนางก็รีบก้มหน้าก้มตาเดินให้ผ่านด่านประตูโดยไว  หากเพียงเดินได้ไม่กี่ก้าวก็รู้สึกเหมือนมีลมอุ่น ๆ พัดผ่านพร้อมกลิ่นไม้จันทน์หอมและเครื่องเทศที่ทำให้รู้สึกสดชื่น

กลิ่นนี้แม้จะเคยได้กลิ่นเพียงครั้ง  ทว่ากลับจำฝังใจอยู่ไม่เลือน

โม่เฉียนตัวแข็งทื่อทันทีด้วยความตระหนก  ก่อนเงยหน้าขึ้นเพื่อกวาดสายตาไปโดยรอบ  ทว่านอกจากชาวบ้านที่เร่งร้อนแบกหามข้าวของเพื่อไปขายที่ตลาดแล้วไม่มีใครอื่น  ไม่มีคางคกชุดขาวกำลังยืนยิ้มเยาะอย่างที่นางนึกหวั่นใจ

หญิงสาวเกือบจะเอามือลูบอกด้วยความโล่งใจ  คิดว่าตัวเองคงระแวงจนเกิดอุปทานว่าได้กลิ่นหอมประจำตัวของเจ้าคางคกเผือกนั่น…

นางส่ายหน้าให้กับอาการหวาดหวั่นของตัวเอง  ก่อนก้าวเท้าตามผู้คนเข้าไปในตัวเมือง

คงด้วยความที่อู่เฉิงและหลานโจวตั้งอยู่ไม่ห่างกันเท่าใดนัก  สภาพทั่วไปและการวางผังเมืองของเมืองทั้งสองจึงคล้ายคลึงกันอยู่หกเจ็ดส่วน  บ้านเรือนร้านค้าก็ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก  จะพิเศษตรงที่หลานโจวขึ้นมาทางเหนือกว่าอู่เฉิงเล็กน้อย  แถมไม่มีตาน้ำพุร้อนจากภูเขาที่ทำให้แม่น้ำในเมืองอุ่นขึ้น  ดังนั้นอากาศของที่นี่จึงหนาวกว่าไม่น้อย  เพียงต้นฤดูหิมะก็ตกคลุมเมืองราวผ้าขาวบาง ๆ ปูเต็มพื้นแล้ว

โม่เฉียนเลือกเข้าพักที่โรงเตี้ยมเล็ก ๆ ที่ห้องเล็กและค่อนข้างอับชื้น  อาหารหยาบไร้รสชาติแต่ราคาสูงกว่าในอู่เฉิงมาก  หญิงสาวรู้มาว่าช่วงที่ทั่วป๋าจินเข้ามาดูแลหลานโจวนั้นสภาพเมืองย่ำแย่ถึงขีดสุด  ชาวเมืองอดอยากและหนาวเหน็บ  ชาวบ้านหิวโหย  ขอทานเต็มถนนในเมือง

จ้าวชิงเซียนเคยเล่าว่าชาวเมืองหลานโจวรักและศรัทธาในตัวแม่ทัพใหญ่ของพวกเขามาก  ตัวทั่วป๋าจินเองก็ยอมอ่อนข้อให้ศัตรูเพื่อรักษาชีวิตราษฏรส่วนใหญ่  แต่เท่าที่นางเห็นหลานโจวในตอนนี้ก็ไม่นับว่ามีสภาพดีกว่าปีก่อนสักเท่าไหร่นัก  อาหารการกินยังขาดแคลน  นางเห็นขอทานมากมายตลอดทางที่เดินจากประตูเมืองมายังโรงเตี้ยม

เจ้าคางคกเผือกมีเวลาหนึ่งปีเต็มที่จะพัฒนาหลานโจวและสนับสนุนให้ชาวเมืองเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์และทำมาค้าขาย  หนึ่งปีเต็มที่สามารถเตรียมคนในเมืองให้พร้อมรับมือกับฤดูหนาวที่โหดร้ายทารุณ

หนึ่งปีที่สูญเปล่าโดยแท้

ท่านแม่ทัพเคยบอกพูดว่าในจวนของทั่วป๋าจินมีสาวใช้และนางรำงดงามจำนวนมาก  โม่เฉียนเองก็เคยเห็นนางรำหน้าตางดงามทรวงงามเอวบางอ่อนสะบัดไหวราวต้นหลิวลู่ลมที่ทั่วป๋าจินเคยพาไปอู่เฉิงเพื่อหวังสร้างกลยุทธ์สาวงามทำลายพี่ชายนางมาแล้ว  นางจึงมั่นใจว่าทั่วป๋าจินคงมัวเมาอยู่กับสาวงามจนลืมวางแผนเพื่อปากท้องชาวเมืองแน่  และพออาหารสำหรับฤดูหนาวไม่พอเพียง  เจ้าคางคกลามกผู้นั้นถึงได้ส่งไข่มุกราตรี  หินโมรา  หยกและขนสัตว์ไปแลกเปลี่ยนเป็นเสบียงไว้เลี้ยงหลานโจว

อีกอย่างถ้าดูจากนิสัยหน้าใหญ่ใจโตของเจ้าคางคกเผือกที่ชอบทุ่มเทเอาใจสาวงามอย่างเช่นมอบชุดหรูหราราคาสูงให้อาเหมยและฮูหยินท่านแม่ทัพแล้ว  โม่เฉียนเชื่อว่าข้าวสารอาหารแห้งและน้ำมันที่ส่งมาจำนวนมากนั้นอาจแลกเปลี่ยนมาเพื่อความสุรุ่ยสุร่ายสุขสบายในจวนแม่ทัพหลานโจวและกองทัพมากกว่าจะถึงปากท้องชาวเมืองจริง ๆ

ช่างน่าชิงชังนักเชียว

โม่เฉียนกินอาหารไม่รู้รส  แม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางข้ามชายแดนมาทั้งคืน  แต่นางไม่มีอารมณ์จะพักผ่อน  กินพอให้ท้องอิ่มแล้วก็ออกไปเดินสำรวจตลาด  ถึงจะรู้ว่าอาเหมยที่ตอนนี้หน้าตางดงามราวดอกเหมยแดงเจิดจ้ากลางหิมะขาวคงไม่ถูกปล่อยให้กลับมาขอทานกลางถนนเหมือนเมื่อปีก่อน แต่นางไม่อยากประมาท  ยังคงสอดส่ายสายตาไปตามขอทานคนแล้วคนเล่าในหลานโจว

ที่นี่ขอทานมากมายจนน่าเวทนา  ทว่าอาเหมยไม่ได้รวมอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้

หญิงสาวสืบเสาะอยู่พักใหญ่จึงได้ที่อยู่ของนายกองฉู่ที่ทำหน้าที่ทูตแลกเปลี่ยนสินค้า  นางไปซ่อนตัวสังเกตการณ์ดูอยู่สองชั่วยามเพราะคิดว่านายกองผู้นั้นอาจจะลอบนำอาเหมยกลับมายังที่พัก  แต่โม่เฉียนคว้าน้ำเหลวตามเคย  ภรรยาของนายกองร้อยผู้นี้เป็นสตรีขึ้หึงนิสัยดุร้ายราวสิงโตเหอตง  สาวใช้ในบ้านที่คัดมาล้วนแต่ขี้ริ้วขี้เหร่อย่างหนัก  อย่าว่าแต่นายกองร้อยจะพาสาวงามเข้าบ้านเลย  ต่อให้จูงหญิงสูงวัยหน้าตาสามัญเข้าบ้าน  นางก็กราดเกรี้ยวอาละวาดแล้ว  นายกองร้อยที่ยามอยู่กองทัพผึ่งผายอาจหาญ  ยามอยู่บ้านกลับไม่กล้าหลบเลี่ยงกำปั้นของภรรยา  ได้แต่ยกมือป้องศีรษะและใบหน้าพลางร้องว่า ‘เมียจ๋า  เมียจ๋าเจ้าอย่ามีโมโห  เดี๋ยวจะเสียสุขภาพเอานะ’  ดังนั้นเขาไม่กล้าพาอาเหมยเข้าบ้านแน่

ไม่อยู่ตามท้องถนน  ไม่อยู่ในบ้านของผู้ดูแลกองเกวียนแลกเปลี่ยน  เห็นทีว่านางต้องลอบเข้าจวนแม่ทัพใหญ่แห่งหลานโจวเสียแล้ว

โม่เฉียนกลับไปที่โรงเตี้ยม  สั่งหมั่นโถวเนื้อกระด้างหยาบมากินพอให้หนักท้อง  รอกระทั่งฟ้ามืดสนิทและถนนไร้ผู้คนสัญจรหญิงสาวจึงลอบออกจากโรงเตี้ยมแอบเข้าจวนแม่ทัพแห่งหลานโจว

จวนแม่ทัพส่วนใหญ่มักมีลักษณะคล้ายคลึงกัน  หนำซ้ำซูอินเคยมอบแผนผังจวนแห่งนี้ให้เสิ่นอู่จี้

ไว้เพื่อตอบบุญคุณจ้าวชิงเซียน  หลังจากศึกษาจนขึ้นใจแม่ทัพเสิ่นส่งต่อให้รองแม่ทัพโม่ไว้ศึกษา  โม่เฉียนอาศัยที่พี่ชายนำแผนผังมาคัดลอกที่เรือนแอบลอบเปิดดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นหลายครั้ง  ดังนั้นนางจึงตรงไปยังคลังเสบียงของจวนได้อย่างถูกต้อง

คราแรกหญิงสาวคิดว่าอาจจะต้องใช้เวลาในการลอบเข้าจวนแม่ทัพ  แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วเวรยามของทหารเป่ยเว่ยหละหลวมอย่างไม่น่าเชื่อ  ใช้เวลาแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วยามนางก็สามารถเล็ดรอดเข้าไปในคลังเสบียงได้แล้ว

อ่อนด้อยไร้วินัยเยี่ยงนี้เอง  เมื่อปีก่อนท่านแม่ทัพถึงได้บุกเข้าไปถึงด้านในของจวนแล้วชิงตัวจ้าวชิงเซียนออกมาได้อย่างง่ายดายนัก

โม่เฉียนนึกหมิ่นแคลนแต่จากนั้นนางก็ปัดทุกอย่างออกจากใจ  รีบลงมือหาขบวนเกวียนที่เพิ่งเดินทางมาจากอู่เฉิง  เรื่องนี้ง่ายมากเพราะในคลังของจวนเกือบจะว่างเปล่า  นอกจากเกวียนอาหารที่ใช้ไข่มุกราตรี  อัญมณีและของมีค่าแลกมาแล้ว  มีเพียงกระสอบธัญพืชและเนื้อแห้งจำนวนหนึ่งเท่านั้น  ถ้าทั่วป๋าจินสามารถเลี้ยงดูทหารทั้งกองทัพของเขาด้วยเสบียงน้อยนิดเท่านี้ก็ต้องนับว่าชายผู้นั้นเป็นเทพเซียนแล้ว!

หญิงสาวลัดเลาะแฝงเงามืดไปตามเกวียนที่จอดเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบ  ไล่เคาะเบา ๆ พร้อมถาม

“อาเหมย  เจ้าอยู่ในนั้นหรือเปล่า  ข้ามาพาเจ้ากลับบ้านแล้ว  อาเหมยเด็กดี  ออกมาเถอะนะ  ถ้าเจ้าออกมาข้าจะทำเซาปิ่งที่เจ้าชอบให้กิน  ข้าจะย่างเนื้อแพะให้เจ้าด้วย  เจ้าชอบเนื้อแพะย่างไม่ใช่หรืออาเหมย…”

นางกระซิบกับความว่างเปล่า  เกวียนเล่มแล้วเล่มเล่าไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ  สุดท้ายโม่เฉียนพบว่าในเกวียนเล่มหนึ่งมีโอ่งว่างเปล่าใบหนึ่งล้มตะแคงอยู่  ในโอ่งมีเศษผ้าสีสันสดใสที่คุ้นตาตกอยู่  หญิงสาวเก็บเศษผ้าขึ้นมาด้วยหัวใจหนักอึ้ง

อาเหมยแอบขึ้นเกวียนกลับมาเป่ยเว่ยจริง ๆ  แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ไหน  แอบหลบไปซ่อนตัวที่ไหนหรือถูกเจ้าคางคกเผือกทั่วป๋าจินจับตัวไปแล้ว

ยิ่งคิดยิ่งร้อนใจ  ไม่รู้ว่าป่านนี้หญิงฟั่นเฟือนผู้นั้นจะหิวจะหนาวหรือไม่  หรือกำลังเผชิญชะตากรรมที่เลวร้ายกว่านั้น…

โม่เฉียนรีบออกจากคลังเสบียง  ความร้อนใจทำให้ความคิดอ่านสับสนและล่าช้า  พอออกมาได้ยิน

เสียงทหารยามเดินมาแต่ไกลนางก็เลี่ยงไปทางหนึ่ง  เดินไม่กี่ก้าวก็เจอทหารอีกจำนวนหนึ่งย่ำเท้ามา  หญิงสาวพลิกกายหลบไปอีกเส้นทาง  เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้งทำให้ใจนึกด่าทอไม่ได้

ยามเข้ามาผีสักตัวยังไม่เห็น  ไฉนยามนี้พวกเจ้ากลับเดินกันวุ่นวายแบบนี้!

โม่เฉียนมัวแต่หงุดหงิดใจ  แถมยังกังวลแต่เรื่องของอาเหมยทำให้ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกต้อนจนเข้าไปอยู่ใจกลางจวนแม่ทัพ  หญิงสาวมารู้ตัวก็เมื่อหลบอยู่ในสวนขนาดเล็กตรงหน้าคือเรือนขนาดใหญ่ที่ยังจุดเทียนสว่าง  ประตูและหน้าต่างส่วนใหญ่ถูกปิดสนิท  มีเพียงหน้าต่างบานเดียวที่แง้มไว้

โม่เฉียนรู้ว่านางควรจะถอยให้ห่างจากเรือนหลังใหญ่และหน้าต่างบานนั้น  แต่นิสัยตามอารมณ์มากกว่าสมองทำให้สองเท้าของนางก้าวไปในทิศทางที่ไม่ควรจะไป  อึดใจเดียวร่างเล็กบางก็แอบอยู่ข้างหน้าต่างอย่างเงียบเชียบ

“ผิงซีอ๋องกลั่นแกล้งกันเกินไปแล้ว!”  เสียงชายที่นางไม่เคยได้ยินดังขึ้น  โม่เฉียนเดาว่าผู้ที่สามารถอยู่ในเรือนพักแม่ทัพใหญ่ในยามค่ำคืนแบบนี้ถ้าไม่ใช่กุนซือประจำตัวก็คงต้องเป็นทหารคนสนิท  “ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเสบียงจากพวกฉีเป็นท่านแม่ทัพเอาเงินทองทรัพย์สินส่วนตัวแลกมาอย่างยากลำบาก  แต่ผิงซีอ๋องกลับเรียกร้องจะยึดของไปแปดส่วน  อย่างนี้ทำเกินไปหน่อยแล้ว  คิดจะให้พวกเรากับชาวเมืองหลานโจวอดตายกันหมดหรือไง”

ผู้พูดเอ่ยอย่างมีอารมณ์  แต่เสียงที่ตอบนั้นเห็นชัดว่าสุขุมและใจเย็นกว่าไม่น้อย

“ผิงซีอ๋องคงต้องการบีบเราจริง ๆ  ทั้ง ๆ ที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากทางการมาตั้งมากแต่ยังคิดรีดไถจากเรา  ถ้าเรายังยอมอ่อนข้อให้อย่างนี้  ทางนั้นจะยิ่งได้ใจเรียกร้องหนักขึ้น  ต่อไปคงไม่ใช่เพียงเสบียงอาหารและเวชภัณฑ์  ชาวบ้านหลานโจวก็คงถูกกวาดต้อนไปทำเหมืองที่อิ่นโจวจนสิ้น  ยามนี้ถึงสถานการณ์ระหว่างเป่ยเว่ยกับฉีจะเงียบสงบ  แต่ผู้ใดจะรู้ว่าแม่ทัพปีศาจรายนั้นจะนึกเปลี่ยนใจก่อศึกขึ้นเมื่อไหร่  ท่านแม่ทัพ…หลานโจวมิอาจเสียทั้งเสบียงและกำลังไพร่พลได้   ขอท่านแม่ทัพเร่งตัดสินใจด้วยเถิด”

“ฝ่าบาทให้ท้ายผิงซีอ๋องเพื่อตอบแทนที่เขาละมือจากราชบัลลังก์  ลุกขึ้นต่อต้านผิงซีอ๋องเท่ากับทำร้ายเชื้อพระวงศ์  อาจถูกข้อหากบฏได้”  ทั่วป๋าจินเอ่ยอย่างใจเย็น  แม้โม่เฉียนจะไม่เห็นใบหน้าของเขา  แต่จากน้ำเสียงที่เอ่ยนั้นหญิงสาวกลับเห็นภาพใบหน้าที่ยิ้มแย้มและริมฝีปากแดงสดที่ยิ้มราวกับเยาะหยันทุกอย่างรอบตัวได้อย่างชัดเจน  ชัดเจน…จนน่าแค้นใจตัวเองยิ่งนัก  “พวกเจ้าพร้อมจะรับผลของมันหรือไม่”

ภายในห้องเงียบไปครู่ก่อนเสียงชายหนุ่มที่ร้อนรนกว่าจะเอ่ยว่า

“สู้ก็ตายไม่สู้ก็อดตายเช่นกัน…”

“ข้าน้อยอยากให้ท่านแม่ทัพทบทวนข้อเสนอขององค์ชายสามดูอีกครั้ง”  เสียงของผู้สูงวัยกว่าฟังราวกับไร้ทางเลือกแล้วจริง ๆ

โม่เฉียนที่แนบตัวอยู่กับผนังห้องด้านนอกรู้ดีว่านางไม่ควรรั้งอยู่ต่อไป  อาเหมยไม่ได้อยู่ที่เรือนหลังใหญ่นี้  นางควรรีบหลบไปแล้วเริ่มลงมือค้นในเรือนอื่น  แต่อีกใจก็ใคร่รู้ความเคลื่อนไหวของศัตรู  ไม่แน่ว่าข้อมูลลับที่ได้รับโดยบังเอิญค่ำคืนนี้อาจจะเป็นประโยชน์ให้กับฉีได้บ้าง

หญิงสาวพยายามแนบตัวเข้ากับกำแพงให้มากที่สุด  หูเงี่ยฟังอย่างตั้งใจเต็มที่

ว่าแต่…ทำไมถึงได้เงียบเพียงนี้  เจ้าคางคกเผือกจะไม่ตอบอะไรสักหน่อยเลยหรือ

นางรออยู่ชั่วอึดใจก่อนนึกสังหรณ์  ท่าจะไม่ดีเสียแล้ว  ทว่ายังไม่ทันจะหลบออกไป  ข้างกายนางมีเสียงลากยาวอย่างอารมณ์ดียิ่งว่า

“ดูสิ  ข้าพบอะไรที่นี่  สาวน้อยคนงามมาเยือนถึงเรือน  ไม่ต้อนรับให้ดีจนเจ้าต้องยืนตากลมหนาวจนหน้าตาดำคล้ำไปหมด  เสียมารยาทแล้วต้องขออภัยจริง ๆ” 



Don`t copy text!