เวียงวนาลัย บทที่ ๑๐ สู่สมรภูมิ “ศักดิ์ศรีของใคร?”

เวียงวนาลัย บทที่ ๑๐ สู่สมรภูมิ “ศักดิ์ศรีของใคร?”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

ศึกครั้งนี้ต่างจากคราวเมื่อปะทะกับกลุ่มเงี้ยวที่เมืองละกอนและเมืองแพร่

วิลเลียมนึกเทียบกันครั้งใดก็ให้คิดว่ามันต่างกันที่จำนวนกองทัพและศักยภาพของอาวุธ แต่สิ่งที่เหมือนกันคือการสูญเสียทั้งชีวิตและจิตวิญญาณไม่ว่าผู้ชนะจะเป็นฝ่ายใด ก็หนีไม่พ้นความสูญเสียในข้อนี้ ไม่เพียงแต่นายทหารที่หลั่งเลือดบนทุ่งดอกป็อปปี้เขตปลอดคน แต่ชาวบ้านที่เหลือเพียงผู้หญิงและเด็กก็ถูกพรากเอาความแจ่มใสแห่งชีวิตจากไปด้วย

การโจมตีทิ้งช่วงไปเพราะสภาพอากาศที่ฝนตกบ่อยกว่าวันที่ท้องฟ้าโปร่ง พื้นสนามเฉอะแฉะไปด้วยดินโคลน การฝึกฝนของกองทัพก็ราลงไปบ้าง คงมีเพียงบางครั้งบางวันที่นึกหมั่นเขี้ยว ก็ยิ่งปืนข้ามมาเป็นหยอกล้อพอให้หายเหงากันบ้าง ทหารในกองทัพจึงใช้ช่วงเวลานี้ในการพักผ่อนหย่อนใจ ใช้ชีวิตเสมือนอยู่ในภาวะปกติที่มิใช่เวลาแห่งสงคราม

ในวันที่ฟ้าปราศฝนโปรยสาย นายทหารก็ชวนกันเล่นฟุตบอล แบ่งทีมแข่งกันเองบ้าง แข่งกับเด็ก ๆ ในหมู่บ้านใกล้ ๆ บ้างเป็นที่สนุกสนานสำราญใจ บางคนปลีกตัวไปอยู่ลำพังเพื่อเขียนจดหมายถึงครอบครัวและคนรัก บางคนก็ชวนกันเข้าไปในหมู่บ้าน ซื้อบุหรี่และเหล้ารัมมาดื่มสังสรรค์ เล่าความฝันในอนาคตสู่กันฟัง ตลอดจนรำลึกความหลังถึงถึงอดีตที่ผ่านมา

“ผมอยากลองใช้ชีวิตที่ปางไม้นั้นดูบ้าง” โอลิเวอร์บอกกับวิลเลียมทุกครั้งที่ได้ฟังเรื่องในป่าของสยาม  ทั้งการกานไม้ นีปปิ้ง ล่องแพซุง หรือเรื่องน่าระทึกขวัญอย่างการเผชิญหน้าสัตว์ป่าดุร้ายและผู้ร่ายมนต์ดำในดินแดนไกลโพ้นอีกฟากหนึ่งของโลก เด็กหนุ่มมักจบท้ายว่า “เสร็จศึกคราวนี้แล้ว ถ้าคุณบรูคกลับไปที่นั่น ผมขอตามไปด้วยนะครับ”

“อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน ฉันยังไม่รู้ว่าจะได้กลับไปหรือเปล่า”

วิลเลียมทิ้งตัวเอนหลังพิงกับแนวคูดินของสนามเพลาะ ยกเหล้ารัมขึ้นจิบ พลางคิดไปถึงคนที่อยู่ห่าไกล ป่านนี้เมียและลูกของเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง เขาเห็นความอ้างว้างของหญิงแก่ที่อยู่บ้านเลี้ยงหลาน ทำขนมปังอย่างซังกะตาย โดยมีความหวังเพียงริบหรี่ว่าสักวันหนึ่งสามีและลูกชายจะกลับมา ก็ให้คิดว่ามุ่ยและลูก ๆ คงมีความรู้สึกแบบเดียวกัน

“ผมเคยเห็นคุณคล้องแหวนอะไรสักอย่าง เป็นแหวนแต่งงานหรือครับ” โอลิเวอร์ถาม

วิลเลียมล้วงหยิบออกมาให้เด็กหนุ่มดูอย่างไม่หวงแหน บอกว่า

“ไม่ใช่แหวนแต่งงานหรอก แต่เป็นแหวนของครอบครัวภรรยาฉัน ทำมาจากหางช้าง เรียกแหวนพิรอด”

“ชื่อเรียกแปลกจัง ภาษาทางนั้นหรือครับ”

“ใช่” วิลเลียมพยักหน้า “เชื่อกันว่าจะช่วยให้แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง แล้วก็ยังมีงาช้างอีกนะ ฉันใส่ไว้ในเป้ตลอดเลย”

วิลเลียมล้วงงาช้างสีขาวจากเป้ออกมาให้โอลิเวอร์ดู พลางเล่าถึงสาเหตุที่ต้องตัดงาช้างเพราะงอนโง้งเกินไปจนงัดซุงไม่ได้

เสียงไวโอลินที่นายทหารคนหนึ่งสี ในทีแรกก็เป็นเพลงช้า ๆ แต่ครั้นเหล้ารัมออกฤทธิ์จนพวงแก้มเป็นสีแดง อารมณ์คึกคักเข้ามาแทนที่ เพลง Spanish Cavalier ที่เขาสีจึงเป็นท่วงทำนองสนุกสนาน หากกระนั้นวิลเลียมก็อดนึกไปถึงลูก ๆ ของเขามิได้

รอยเมืองคงจะเล่นเพลงนี้เก่งแล้ว และสอนน้อง ๆ ให้เล่นเป็นด้วย

นายทหารเจ้าของไวโอลินขอให้วิลเลียมเล่นบ้าง ร้อยตรีวิลเลียมจึงเล่นเพลงเสเลเมาที่เขาบอกกับเพื่อน ๆ ในตอนหลังว่าเป็นเพลงพื้นเมืองของชนกลุ่มหนึ่งทางภาคเหนือในสยาม เล่าถึงการเดินทางจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง วงเต้นรำชะงักไปเพราะไม่เคยได้ยิน ต่อเมื่อผ่านไปสองรอบ จับท่วงนำนองได้แล้ว ความสนุกสนานระเริงรื่นก็คืนมาสู่วงเต้นรำอีกครั้ง

ฝนตกลงมาอีกคราหนึ่ง ทว่ารอบนี้ไม่มีใครวิ่งหลบสายฝนเพราะยังครื้นเครงในอารมณ์ วงฟุตบอลยังเตะกันต่อไป สาว ๆ ในหมู่บ้านก็ล้อมวงเต้นรำกับทหารหนุ่ม ๆ ท่ามกลางสายฝนโปรย จนกระทั่งฝนหยุด พื้นเฉอะแฉะนองไปด้วยน้ำและโคลน ก็ก้มกอบปั้นโคลนเป็นก้อนขว้างใส่กันเหมือนเล่นปาหิมะ

ความสนุกสนานที่ผ่านเข้ามาคือโอกาสที่ต้องฉวยไว้ เพราะนาทีใดนาทีหนึ่ง นายพลจากชาโตอาจเรียกรวมพลแล้วบอกว่า

“ถึงเวลาไปกอบกู้ศักดิ์ศรีแห่งกองทัพเครือจักรภพแล้ว”

 

นายพลไรอัน บรูค ค่อนข้างมั่นใจว่าเครือจักรภพจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ เนื่องจากฝรั่งเศสสามารถยึดพื้นที่ทั้งด้านใต้และด้านเหนือของแม่น้ำซอมม์ไปทางตะวันออกได้เกือบ ๕ ไมล์ อันเยอรมันเคยยึดครองได้ อย่างไรก็ดี ยังมีพื้นที่ทางตอนเหนือนับตั้งแต่หมู่บ้านธีปวาลไปจนถึงหมู่บ้านกอมกูต์ ที่ตั้งอยู่ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำอ๊องค์ที่ยังยึดครองไม่ได้

แต่เพียงหนึ่งสัปดาห์ต่อมากองทัพเครือจักรภพอังกฤษก็บุกโจมตีหมู่บ้านธีปวาลได้ มีตัวช่วยเป็นรถถังคันใหญ่หนักกว่าสามสิบตัน กลายเป็น ‘ศึกแห่งสันเขาธีปวาล’ ซึ่งแลกมาด้วยความสูญเสียของกองทัพและข้อจำกัดว่าไม่อาจรุกคืบต่อขึ้นไปทางเหนือได้

ในขณะที่พันธมิตรอย่างกองทัพฝรั่งเศสสามารถบุกยึดพื้นที่ต่าง ๆ ได้มากกว่ากองทัพอังกฤษ

“ครั้งนี้เราจะเข้ายึดหมู่บ้านกองกูต์ (1)” ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำอ๊องค์ “ไปจนถึงหมู่บ้านโบมองฮาเมล หมู่บ้านโบกูต์ และหมู่บ้านแซร์” ซึ่งอยู่ฟากฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ

“เราเคยบุกตรงนั้นมาแล้ว และ…” ร้อยตรีวิลเลียมปล่อยคำสุดท้ายหายไปในอากาศ คำว่า ‘ล้มเหลว’ หรือ ‘พ่ายแพ้’ เป็นคำที่ยอกแสยงสำหรับนายพลไรอันผู้เป็นลุง ทั้งที่ความสูญเสียในวันนั้นก็รู้กันดีว่า จำนวนรวมทั้งหมดนั้นเป็นประวัติการณ์แห่งความสูญเสียของกองทัพ คือเสียกำลังพลไป ๕๘,๐๐๐ คน ซึ่งเสียชีวิตไปถึง ๒๐,๐๐๐ คน

“ยังไงฉันก็ต้องแก้มือเรื่องนี้ให้ได้” นายพลไรอัน บรูค ไม่ฟังคำทัดทานของใคร โดยเฉพาะผู้ใต้บังคับบัญชาที่เขาถือว่า…ไม่จำเป็นต้องรับฟัง เพราะเขาคิดใคร่ครวญมาดีแล้วว่าควรทำอย่างไร นายทหารเหล่านี้มีหน้าที่ทำตามคำสั่งเท่านั้นไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่

“เตรียมตัวให้พร้อม ๒๔ ตุลาคมนี้ เราจะแจกทอฟฟีแอปเปิ้ลอีกครั้งหนึ่ง”

 

ฝนที่ตกหนักในเช้าวันที่ ๒๔ ตุลาคมทำให้แผนบุกโจมตีต้องเลื่อนออกไป อากาศต้นฤดูหนาวบวกลมแรงทำให้ยิ่งหนาวจัด เมื่อฝนตกซ้ำก็ยิ่งทำให้ชื้นและเฉอะแฉะ แต่ทหารที่อยู่ประจำที่สนามเพลาะจะถอนกำลังออกไปมิได้ ต้องช่วยกันซ่อมแซมผนังและโพรงหลบภัยข้างสนามเพลาะไม่ให้ถล่มลงมาเพราะสายฝนกัดเซาะ ในขณะที่เท้าของพวกแช่อยู่ในโคลนตลอดเวลา เสื้อผ้าเปียกโชก สิ่งโสโครกหมักหมมส่งกลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจจนมิอาจทานทนไหว

ชีวิตในสนามเพลาะคือชีวิตเหมือนเดินอยู่บนเส้นลวดแห่งความตาย รายล้อมด้วยบรรยากาศที่ส่งเสริมให้เกิดทุกขเวนาได้ทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นคมอาวุธจากศัตรูที่ลอบบุกเข้ามา ห่ากระสุนจากพลแม่นปืนฝั่งตรงข้าม เศษกระสุนปืนใหญ่ ปืนครก ก๊าซพิษ และโรคภัยนานา

วิลเลียมเคยทบทวนกับตัวเองว่าเขาตัดสินใจถูกหรือไม่ที่เข้ามาเป็นทหารอาสาร่วมรบในกองทัพนี้ ก่อนหน้านี้อาจเป็นเพราะความฮึกเหิมลำพองใจว่าเติบใหญ่อย่างเด็กหนุ่มนักกีฬา ไม่ว่าจะแข่งโปโลหรือคริกเก็ตก็เป็นฝ่ายชนะมากกว่าพ่ายแพ้ แม้ยามเข้าป่าเพื่อทำงานป่าไม้ เผชิญหน้ากับอันตรายทั้งงู เสือสาง และช้างตกมัน วิลเลียมก็ผ่านมันมาได้ เหล่านี้คงทำให้เกิดความย่ามใจ…รู้ว่ามีชนะย่อมมีพ่ายแพ้เป็นของคู่กัน เพียงแต่เทพเจ้าแห่งความพ่ายแพ้ไม่เคยมาโบกธงอยู่ฝ่ายเขาเท่านั้น

สถานการณ์ครั้งนี้ผิดกันไกล ความมั่นใจและหยิ่งทะนงในตนเองลดลง

กลิ่นอายของความตายลอยอวลอยู่ทั่วไปในสนามเพลาะที่มืดหม่นหมองและสกปรกโสโครก สภาพเพื่อนร่วมหน่วยก็ชวนให้หดหู่สังเวชใจ ด้วยในยามนี้แทบไม่มีผู้ใดที่ร่างกายและจิตใจสมบูรณ์เต็มเปี่ยม ทหารนายหนึ่งนั่งทอดอาลัยรอความตายอยู่ในสนามเพลาะ แผลที่ขาเปื่อยเน่าแม้จะพันผ้าไว้หนา แต่เลือดน้ำเหลือง และกลิ่นเหม็นก็โชยอวลเคล้าในอากาศที่ต้องสูดลมหายใจเข้าออก

กลิ่นสาบที่อวลฉมอยู่ในสนามเพลาะร้ายกาจเกินบรรยาย เพราะผสมผสานมาจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นก๊าซพิษที่ลอยระเรี่ยปกคลุมอยู่ในอากาศ กลิ่นเน่าของกระสอบทรายที่แช่น้ำมานานวัน กลิ่นโคลนผสมสิ่งปฏิกูลที่ขับถ่ายกันออกมา กลิ่นสุรา บุหรี่ และกลิ่นกายของนายทหารเองที่มิได้อาบน้ำมานาน แล้วยังกลิ่นอาหารที่หมักหมมอยู่ในโพรงคับแคบและอับชื้น

ร้ายที่สุดคือกลิ่นของทหารทั้งฝ่ายตนและฝ่ายศัตรูที่ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิต แต่บัดนี้แน่นิ่งอัดแน่นอยู่ในสนามเพลาะและเขตปลอดคนดุจซากปลาตาย ค่อย ๆ เน่าสลายไปอย่างช้า ๆ ล่อฝูงหนูให้ออกมาแทะเล็มเป็นภาพที่มองอย่างไรก็ไม่ก่อให้เกิดความสำราญปลอดโปร่งในจิตใจ

เคยมีคนตั้งข้อสงสัยว่าทำไมไม่เก็บกู้ศพเพื่อนทหารที่กระจายอยู่บนเขตปลอดคนมาฝังเสียให้เรียบร้อยและเป็นการให้เกียรติแก่ทหารกล้า แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันไปมาก็ได้ข้อสรุปว่าไม่คุ้มที่จะทำเช่นนั้น อันตรายเกินไปที่จะเก็บกู้เพราะเป็นการล่อเป้าแก่ศัตรู และการขุดดินฝังก็ต้องทำอย่างเร่งด่วนเพราะมีศพจำนวนมาก ฝังในหลุมตื้นก็ไม่สามารถกลบกลิ่นที่โชยออกมาได้อยู่ดี

ด้วยเหตุนี้เมื่อมีคนตายบนเขตปลอดคน หนทางจัดการก็คือ ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น

เสียงจี๊ด ๆ จากกองทัพหนูร้องระงมและวิ่งผ่านเท้าเหล่าทหารไปเป็นฝูงเพื่อหาอาหารและซอกซอนไปตามลำตัวนายทหารทั้งยามนอนและยามตื่น อาหารที่กินเข้าไปจึงแทบจะกลืนอย่างทำใจว่าปนเปื้อนไปด้วยเชื้อโรค และผลลัพธ์ก็ฟ้องออกมาในรูปของการอาเจียนและถ่ายไม่หยุด

นายทหารผู้บาดเจ็บเกาเนื้อตัวจนเป็นแผลเพราะเห็บหมัดที่ซ่อนตัวอยู่ในเสื้อผ้าที่หมักหมมไปด้วยกลิ่นเหงื่อไคล แต่ที่ทำให้เขาทอดอาลัยถึงการไม่อยากมีชีวิตต่อก็คือแผลที่ขาที่บัดนี้มีหนูมารุมแทะ แต่เจ้าตัวไม่ปัดไล่ กลับมองอย่างปลงกับสังขารของตัวเอง วิลเลียมเสียอีกที่เข้ามาจับหนูพวกนั้นโยนออกไปและปลอบโยน

“ผมเหนื่อยเหลือเกินแล้ว ร่างกายระบมไปทั้งตัว คุณดูสิ ตอนนี้ผมเป็นอาหารจานใหญ่รสโอชาสำหรับพวกหนูและริ้นไรเห็บเหา ที่สามัคคีกันมารุมกินโต๊ะผม”

วิลเลียมไม่อยากปลอบใจว่าเขาเพ้ออย่างคนไม่มีสติเพราะพิษไข้ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่านายทหารผู้นั้นปลงสังเวชกับชีวิตตนเองมากกว่า

“เมื่อไหร่หมอจะมา หรือเขาเห็นว่าชีวิตเราไม่มีค่าเลย” เขาพ้อกับวิลเลียม “คุณถามนายพลบรูคไม่ได้หรือ คุณเป็นหลานเขา ขอให้เขาส่งหมอมาที่หน่วยเราเร็ว ๆ มิได้หรือ”

ก้อนแข็งแล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ ใช่ว่าวิลเลียมไม่เคยร้องขอกับนายพลไรอันเป็นการส่วนตัวในฐานะลุงกับหลาน แต่คำตอบที่เขาได้รับคือ…กองทัพต้องลำดับความสำคัญ หมอมีอยู่กระหยิบมือเดียว ถ้าให้อยู่ประจำที่หน่วยใดหน่วยหนึ่ง แล้วหน่วยอื่นที่สำคัญกว่าจะทำอย่างไร

ครั้งนั้นนายพลไรอันรับปากอย่างให้จบเรื่องไปว่า

“ฉันจะดูให้ก็แล้วกัน แต่อย่ามาเร่งรัดกันนัก อย่าถือว่าเป็นหลานแล้วจะมาเจรจาต่อรองเอาแต่ได้ให้เพื่อนแกอย่างนี้”

วิลเลียมจึงไม่พบกับนายพลไรอันเป็นการส่วนตัวและรบเร้าถามเรื่องหมออีก

น้าอีวานเข้ามาบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดีว่า

“หมอมาที่หน่วยเราแล้ว”

โดยไม่รอช้า วิลเลียมรีบหลีกให้หมอทหารที่ทาง ‘ชาโต’ ส่งมาดูแลคนเจ็บได้ทำงาน จนกระทั่งมาถึงนายทหารที่มีแผลใหญ่ที่ขาก็ได้รับการวินิจฉัยว่าต้องตัดทิ้ง เพราะขณะนี้เนื้อตายและเน่าเปื่อยไปมากแล้ว ต้องตัดขาเหนือแผลเพื่อมิให้เชื้อโรคลุกลามและเป็นทางเดียวที่จะทำให้ยังมีชีวิตต่อไปได้

วิลเลียมบีบมือเพื่อนทหารส่งเหล้ารสร้อนทั้งขวดให้ดื่มเพราะรู้ว่าต้องใช้ความกล้าและอดทนมากอยู่ ครั้นแล้วนายทหารผู้บาดเจ็บก็เอ่ยออกมา

“ขอเวลาผมทำใจสักคืนหนึ่งได้ไหมครับ พรุ่งนี้หมอค่อยมาจัดการ วันนี้ผมขอเตรียมไม้ค้ำเสียก่อน”

นายแพทย์พยักหน้าอนุญาต รู้ดีว่าเรื่องไม้ค้ำยันมิใช่เรื่องใหญ่ สิ่งสำคัญคือคนเจ็บต้องการทำใจก่อนเท่านั้น

ในวันต่อมาท่ามกลางความตื่นตะลึงของเพื่อนทหาร แต่นายแพทย์กลับเฉยรับรู้ว่าเหตุการณ์ต้องเป็นไปเช่นนี้

นายทหารผู้นั้นปลิดชีพตัวเองด้วยมีดสั้นปักลำคอตัดเส้นเลือดใหญ่

ชีวิตในคูดินสูงท่วมหัวของสนามเพลาะเวียนไปในลักษณะนี้ มิอาจเคลื่อนย้ายไปไหนได้จนกว่าจะเปลี่ยนผลัดสำหรับประจำแนวหน้าและแนวหลังปีละ ๓ ครั้ง ครั้งละ ๓ เดือน ครั้งแรกจะอยู่แนวหน้าซึ่งถือว่าอันตรายที่สุด ต่อมาจึงเปลี่ยนไปอยู่แนวหลังของสนามเพลาะเป็นกองกำลังเสริม แล้วจึงเปลี่ยนอีกครั้งเป็นกำลังหนุน หลังจากนั้นจึงเป็นช่วงเวลาได้ลาพักผ่อน

แต่ระหว่างอยู่ประจำสนามเพลาะก็ต้องเผชิญสภาพนี้เรื่อยไป

คอยแต่คำสั่งจากผู้บังคับบัญชาระดับนายพลใน ‘ชาโต’

 

กองทัพเครือจักรภพระดมยิงปืนใหญ่เข้าสู่เขตสนามเพลาะของเยอรมันอย่างหนักหน่วง รุนแรง และต่อเนื่อง หลังจากที่ต้องคอยเวลาโจมตีเพราะสภาพอากาศไม่เป็นใจจนต้องเลื่อนมาหลายครั้ง ไม่เพียงแต่กระสุนปืนยังปล่อยก๊าซพิษเข้าไปยังฝ่ายศัตรูในเย็นวันนั้น…วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๕๙

เช้าตรู่วันถัดมา ‘ศึกแห่งแม่งน้ำอ๊องค์’ จึงอุบัติ

เวลา ๐๕.๔๕ น. กองทัพเครือจักรภพลอบเข้าไประเบิดป้อมปืนของเยอรมันที่กล่าวกันว่าแข็งแรงนักหนาที่สันเขาฮอว์ธอน ห่างจากหมู่บ้านโบมงฮาเมลทางตะวันตกราว ๓๐๐ เมตร เสียงระเบิดนั้นทำให้ฝ่ายอังกฤษมั่นใจว่าครั้งนี้ไม่พลาดแน่ เพราะก่อนหน้านี้มีความพยายามทำลายป้อมปืนนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ในตอนนั้น ระเบิดราว ๑๘ ตัน ก่อให้เกิดหลุมใหญ่ ซึ่งฝ่ายเยอรมันกลับใช้ปากหลุมระเบิดนี้สร้างป้อมปืนใหม่ขึ้นมาอีกครั้งและแข็งแกร่งกว่าเดิม

กว่า ๔ เดือนที่นายพลในชาโตหมายมั่นว่าจะต้องระเบิดป้อมปืนของเยอรมันให้ย่อยยับก็สำเร็จลงในเช้าวันนี้

เสียงระเบิดที่ดังกึกก้องเป็นสัญญาณการเริ่มโจมตีของกองทัพเครือจักรภพ ปืนใหญ่ ปืนครก สไนเปอร์ และทอฟฟีแอปเปิ้ลถูกระดมยิงสาดใส่แนวสนามเพลาะของเยอรมันอย่างหูดับตับไหม้มิให้มีโอกาสตั้งตัว ทหารอังกฤษในชุดเสื้อคลุมสีเขียวอมน้ำตาลที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่ในสนามเพลาะแนวหน้าพากันกรูขึ้นมาจากคูดินสู่เขตปลอดคน กระชับไรเฟิลติดดาบปลายปืนประจำกาย ห้อยระเบิดคนละหลายลูก บางคนถือถุงทรายและอีเต้อติดมือไปด้วย

ครั้นขึ้นไปบนเขตปลอดคนก็ชะงักไปชั่วครู่ด้วยลมหนาวที่พัดมาปะทะดุจคมมีดกรีดผิว แม้จะสวมชุดคลุมให้ความอบอุ่น แต่ก็มิอาจต้านความเย็นของลมเหมันต์ในเดือนพฤศจิกายนได้ หนาวปวดเข้าไปจนถึงกระดูก

สภาพอากาศในยามนี้หนาวเหน็บราวถูกพ่อมดหมอผีร่ายเวทย์ปกคลุม มืดครึ้มหม่นมัว เห็นแต่เงาร่างเคลื่อนไหวไม่ชัดเจนอยู่กลางหมอกหนาทึบ วิ่งปะทะเข้ากับร่างใด ด้วยสัญชาตญาณของทหารก็ต้องรักษาชีวิตตัวไว้และปลิดชีพฝ่ายตรงข้ามไปพร้อมกัน แต่เช้าวันนี้ชวนสับสน ไม่รู้ใครเป็นใครอยู่ฝ่ายไหน มองในทางได้เปรียบ กลุ่มหมอกควันช่วยพรางตัวให้รุกคืบเข้าไปใกล้ศัตรูมากขึ้น แต่ทหารที่ไม่เชี่ยวชาญสถานการณ์เช่นนี้ก็พลัดหลงกับกองทัพ เซซังเรื่อยไปไม่รู้ทิศ รู้ตัวอีกครั้งก็ถูกกระสุนของฝ่ายตรงข้ามปลิดชีวิตไปเสียแล้ว

อากาศชื้นยามเช้ากับละไอของควันพิษกลิ่นผิดกัน

วิลเลียมสัมผัสได้รวดเร็วร้องตะโกนบอกทุกคนว่า

“สวมหน้ากาก ฝ่ายนั้นใช้ก๊าซพิษ”

นายทหารที่ได้ยินก็ร้องบอกต่อกันแล้วรีบสวมหน้ากากป้องกันก๊าซพิษ หมอบตัวนอนราบกับพื้นแล้วจึงถัดตัวเองเข้าไป เพราะไอของก๊าซพิษนั้นจะลอยสูง แม้สวมหน้ากากป้องกันก็ใช่จะรับประกันว่าช่วยได้

วิลเลียมยังไปไม่ไกลจากสนามเพลาะแนวหน้า เพราะโอลิเวอร์ยังไม่ตามมาด้วยกัน จึงย้อนกลับไปที่คูดิน ก็พบว่าเด็กหนุ่มยังยืนตัวสั่นอยู่ในสนามเพลาะ สีหน้าหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด ในมือมีคัมภีร์เล่มเล็กสภาพยับเยินถือไว้ให้อุ่นใจเป็นที่พึ่ง ปากพร่ำบ่นเสียงสั่นเครือขอพระเจ้าคุ้มครอง

‘ปรี๊ด’ เสียงนกหวีดดังขึ้นมาพร้อมคำสั่ง

“ขึ้นมา! ขึ้นมา! รีบตามกันขึ้นมา!”

นายพลไรอัน บรูค ยืนจังก้าอยู่บนปากหลุมสนามเพลาะ จ่อปลายปืนลงมาในหลุม บอกให้รู้ว่าถ้ายังไม่ยอมปีนขึ้นมาข้างบนแล้วฝ่าดงกระสุนไปบุกโจมตีถึงรังศัตรูอย่างผู้มีเกียรติ แม้จะตายก็สมศักดิ์ศรีว่าพลีชีพในสนามรบ ก็ไม่พ้นตายอย่างคนไร้เกียรติขี้ขลาดตาขาว คุดคู้อยู่แต่ในคูดินด้วยกระสุนปืนจากนายพลผู้บังคับบัญชา

ทหารนายหนึ่งมีอาการหนักกว่าโอลิเวอร์ ไม่ยอมปีนขึ้นมาท่าเดียว แม้เพื่อนจะช่วยทั้งผลักทั้งดันให้ปีนขึ้นไป เจ้าตัวก็ขืนร่างไว้ราวจะถ่วงเวลาให้นานที่สุด

“แกอยากถูกตราหน้าว่าเป็นไอ้ขี้ขลาดตาขาวหรือไง” เสียงหนึ่งร้องด่า

“ไม่! ผมไม่ขี้ขลาด ผมเป็นทหารผู้มีเกียรติของอังกฤษ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ปาดน้ำตาที่ซึมออกมา เหยียบกระสอบทรายปีนบันไดไม้ขึ้นไปที่ปากหลุมสนามเพลาะ โดยไม่ทันระวังตัวลูกตะกั่วก็พุ่งเจาะกลางหน้าผากอย่างเหมาะเหม็ง ร่างนั้นตะลึงค้างอย่างงงงวยว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะร่วงกลับลงไปในร่องคูดิน

โอลิเวอร์ซึ่งกำลังปีนตามขึ้นมารอดชีวิตหวุดหวิด แต่เลือดของเพื่อนทหารก็กระจายเปรอะใบหน้าเขา เด็กหนุ่มอ้าปากค้างแทบเสียสติ แต่ไม่มีเสียงพ้นออกมาจากลำคอ

“โอลิเวอร์ ขึ้นมาเร็ว ๆ” วิลเลียมตะโกนร้อง จังหวะเดียวกับที่นายพลไรอันเป่านกหวีดเตือนเป็นครั้งที่สอง เด็กหนุ่มก็ทิ้งคัมภีร์ในมือรีบรี่ปีนขึ้นไป หาไม่แล้วหากนายพลไรอันเป่านกหวีดครั้งที่สาม คนที่ยังอยู่ในสนามเพลาะก็จะทิ้งร่างไร้วิญญาณอยู่ในนั้นโดยไม่ได้แสดงความหาญกล้าอย่างชายชาตินักรบ

ร้อยตรีวิลเลียมและน้าอีวานประกบข้างโอลิเวอร์ วิ่งฝ่าเข้าไปในเขตปลอดคนที่เฉอะแฉะไปด้วยปลักโคลนสีน้ำตาลดำที่สิ่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งทั่วพื้นที่อันเกิดจากฝนและพายุหิมะเมื่อสัปดาห์ก่อน จนถึงวันนี้ตอนเช้ามืดฝนหิมะยังซัดสาด และยามนี้แปรเป็นสายฝนที่ตกหนักไม่ลืมหูลืมตาราวม่านขาวหนา ทำให้การบุกฝ่าไปยังเขตฝ่ายตรงข้ามยิ่งลำบากเข้าไปอีก เพราะต้องระวังรั้วลวดหนามและหลุมระเบิดด้วย

แต่นายพลไรอันบรูคไม่ยอมยุติโจมตี ไม่สั่งให้ถอยกลับฐานที่มั่น

รถถังคล้ายกล่องเหล็กใหญ่เทอะทะรูปขนมเปียกปูนหนักกว่าสามสิบตันที่เคยนำชัยชนะมาให้กองทัพเครือจักรภพมาแล้วในศึกแห่งสันเขาธีปวาลถูกนำมาใช้อีกครั้งในวันนี้ ทว่าพื้นโคลนเป็นอุปสรรคในการเคลื่อนที่ กล่องเหล็กใหญ่จึงคลานต้วมเตี้ยมอย่างเชื่องช้าราวหอยทากและแทบจะหมดพิษสงเมื่อติดหล่มโคลน

ทหารหลายคนก็มีสภาพไม่ต่างจากรถถัง คือร่วงจมอยู่ในหล่มโคลนลึก ขยับไม่ได้แม้จะดันตัวเองขึ้นมาให้พ้นปากหลุม ยิ่งดิ้นรนจะพาตัวให้พ้นจากหล่มโคลนที่เหนียวหนืด กลับยิ่งทำให้ถูกดูดจมลงเรื่อย ๆ บางคนอ่อนล้าหมดแรงปล่อยให้โคลนดูดลงไป น้ำท่วมมิดรูจมูกสิ้นใจในหลุมนั้น บางคนดึงดันจะเอาชีวิตรอด พยายามมิให้จมูกจมลงไปในน้ำ ก็ถูกเท้าทหารที่วิ่งผ่านเหยียบซ้ำลงไป ไม่รอดเช่นกัน

ความได้เปรียบในสงคราม บางครั้งก็เกิดจากโชคช่วย

เทพเจ้าแห่งสายลมโบกธงชัยให้แก่ฝ่ายเครือจักรภพด้วยการบันดาลให้กระแสลมพัดไปยังสนามเพลาะของฝ่ายเยอรมัน ก๊าซพิษที่ฝ่ายนั้นปล่อยออกมาอย่างหนักหน่วงเพื่อโจมตีคู่ต่อสู้จึงพัดย้อนกลับเข้าสู่ฝ่ายตนเอง

แต่ถึงกระนั้น วิลเลียมก็ยังเห็นเพื่อนทหารถูกยิงและล้มตายดุจใบไม้ร่วง

บนพื้นสนามของเขตปลอดคน ทหารหลายนายนอนนิ่งไม่ไหวติง บางนายกระเสือกกระสนจะปีนป่ายให้พ้นจากบ่อโคลน ขณะที่บางคนกระชับไรเฟิลคู่กายไว้มั่น แต่ลำตัวของเขานั้นพาดห้อยอยู่บนรั้วลวดหนามแหลมคม เสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด และดวงหน้าที่ตาค้างเหลือกลานอย่างปลาตายชวนให้หดหู่สังเวชใจ ความคิดแทรกขึ้นมาเป็นริ้วขณะย่ำเท้าเข้าไปใกล้แดนศัตรูคือ คุ้มค่ากันแล้วหรือที่ต่างเอาชีวิตมาทิ้งขว้างกลางสมรภูมิเช่นนี้

ร้อยตรีวิลเลียมฉุกคิดในใจ ปฏิบัติการที่หาญกล้านี้…เพื่อใคร

เกียรติศักดิ์แห่งจักรวรรดินั้นสำคัญไฉน เมื่อต้องแลกมาด้วยชีวิตคนมากมายเช่นนี้

เสียงลูกระเบิดแหวกอากาศดังขึ้น วิลเลียมรีบกดร่างของโอลิเวอร์ให้หมอบลงกับพื้นดิน หาที่กำบังไม่ได้ จึงต้องอาศัยศพทหารที่นอนอยู่เป็นที่กำบัง ครั้นพลิกมาเห็นร่างนั้นยังไม่หมดลมหายใจ แต่ใกล้สิ้นลม การต่อสู้กับพญามัจจุราชของร่างนั้นทำให้ร่างกายชักกระตุกอย่างทรมาน กลอกตาเหลือกลานมองฟ้าสีเทาหม่น มือเปื้อนโคลนและเขม่าดินปืนกดอกซึ่งโลหิตแดงฉานยังไหลรินดุจธารน้ำด้วยกระสุนเจาะที่หน้าอก

ลูกระเบิดตกสู่พื้น แรงระเบิดทำให้สั่นทะเทือนไปทั่วบริเวณ หูอื้อไปชั่วขณะ อะไรบางอย่างปลิวมาตกข้างจุดที่วิลเลียมและโอลิเวอร์หมอบอยู่ เมื่อเห็นว่าเป็นแขนข้างหนึ่งและเนื้อเละ ๆ สีแดงฉานดูไม่ออกว่าเคยเป็นส่วนไหนของร่างกาย โอลิเวอร์ก็ไม่อาจประคองกายและสติให้คงมั่นอยู่ได้ มือไม้แข้งขาอ่อนไปหมด

จนเมื่อรู้สึกว่ากำลังขาคลายคืน เด็กหนุ่มก็ลุกพรวดกระโจนลงไปในคูดินของสนามเพลาะฝ่ายตรงข้าม วิลเลียมกระโจนตามลงไปเพราะกลัวว่าโอลิเวอร์จะได้รับอันตราย โชคร้ายอาจถึงตาย โชคดีหน่อยแม้ไม่ตายก็ถูกจับไปเป็นเชลย

ทันทีที่ร้อยตรีวิลเลียมกระโจนตามลงไปในคูดินก็พบโอลิเวอร์ยืนนิ่งขึงคล้ายหุ่น ทว่าน้ำตาร่วงรินลงอาบหน้า เด็กหนุ่มวัยเดียวกับเขาหรืออาจจะอ่อนกว่าเขาสักปี ที่แน่นอนคือคงไม่ถึงยี่สิบ ในเครื่องแบบสีเทาของทหารเยอรมันนอนหงายพาดบนแท่นยืนยิงในสนามเพลาะ หน้าตาเด็กหนุ่มเกลี้ยงเกลาอ่อนใสเห็นชัดว่าเพิ่งโกนหนวดใหม่มาไม่นาน ดวงหน้าและแววตาเฉลียวฉลาด สมควรหรือที่เขาจะมาถือปืนอยู่ตรงนี้

หากสิ่งที่ทำให้วิลเลียมแทบหยุดหายใจคือลักษณะของทหารหนุ่มชาวเยอรมันผู้นั้น มือแขนเด็กหนุ่มกวัดแกว่งผิดธรรมชาติ ริมฝีปากแสยะยิ้มในขณะที่ดวงตามองต่ำลงไปข้างล่าง ขาข้างหนึ่งหายไป รอยเนื้อขาดรุ่งริ่งนั้นโลหิตหยาดไหลท่วมใบหน้าของเพื่อนทหารที่นอนตายอยู่ใต้เท้าตน

เด็กหนุ่มหลายคนพลีอนาคตอันสดใสที่จะได้ชีวิตอย่างยืนยาวในสมรภูมิเลือด

 

เชิงอรรถ :

(1) หมู่บ้านกองกูต์ (Grandcourt) คนละแห่งกับหมู่บ้านกอมกูต์ (Gommecourt)

 

 



Don`t copy text!