เหมันต์ตะวันรอน บทที่ 3 : ชายากับทายาทที่รอคอย

เหมันต์ตะวันรอน บทที่ 3 : ชายากับทายาทที่รอคอย

โดย :

Loading

เหมันต์ตะวันรอน นวนิยายรักโรแมนติกจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ ๒ โดย นวาภัส เรื่องราวของสาวบ้านป่าที่ได้มาพบคนแปลกหน้าที่นอนนิ่งไม่ไหวติ่งอยู่ตรงหน้า ผู้ชายคนนี้เป็นใคร ทำไมมานอนหายใจรวยรินอยู่ในทุ่งนากลางป่ากลางเขาแล้วยังมีของสำคัญของเธออยู่ในมือ… “เหมันต์ตะวันรอน” นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

เพชรพริ้งแต่งกายในชุดสมัยนิยม เดรสสั้นแขนกุดสีชมพูบานเย็น รองเท้าคัตชูสีเงินเมทัลลิกก้าวลงจากรถยุโรปหรู โดยมีเมษาเปิดประตูให้อย่างสุภาพ หญิงสาวหันมองหน้าเขาก่อนจะตวัดสายตากลับ และเดินดิ่งเข้าประตูบ้านหลังใหญ่สไตล์ยุโรป เธอเหวี่ยงกระเป๋าถือสีดำใบน้อยยี่ห้อดังของยุโรปลงบนเก้าอี้หลุยส์ในห้องรับแขก คุณหญิงลำดวนถอดแว่นและวางบัญชีรายรับรายจ่ายในมือลง กิริยาท่าทางฉุนเฉียวของลูกสาวไม่ทำให้เธอแปลกใจสักนิด

“คราวนี้เป็นอะไรอีกล่ะแม่อิ๋ว หรือว่าทะเลาะกับท่านชายมาอีกแล้ว”

“เปล่าค่ะ อิ๋วจะไปทะเลาะกับท่านได้ยังไง เพราะตั้งแต่งานเลี้ยงวันเกิด อิ๋วก็แทบไม่เห็นหน้าท่านชายเลย เสด็จกลับจากทำงานก็ทรงหมกตัวอยู่แต่ในเรือนเขียว” หญิงสาวระบายออกมาอย่างอัดอั้นตันใจ

“แล้ววันก่อนคุณวาสนามาชวนอิ๋วไปเที่ยวสวิสด้วยกันเดือนหน้า อิ๋วขออนุญาตท่านชายแล้ว แต่จนป่านนี้ท่านยังไม่ตรัสอะไรเลยค่ะ วันนี้คุณวาสนาโทรมาถามย้ำอีก อิ๋วก็เผลอปากตอบตกลงไปแล้วด้วย ถ้าไม่ได้ไปอิ๋วเสียหน้าแย่เลยค่ะ” ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางราคาแพงบูดบึ้งจนไร้ความงาม

“คุณวาสนา ลูกสาวท่านอธิบดีเดชาที่เพิ่งหย่ากับสามีน่ะเหรอ” มารดาถามด้วยความอยากรู้ แต่ลูกสาวไม่สนใจจะตอบคำถามมารดาเพราะมัวแต่ห่วงเรื่องของตัวเอง

“คุณแม่คะ อิ๋วจะทำยังไงดี ตอนนี้ท่านชายไม่ตามใจอิ๋วเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เอาแต่ทรงบ่นว่าอิ๋วใช้เงินฟุ่มเฟือย ขอซื้ออะไรก็ไม่ให้ แล้วยังตัดเงินรายเดือนของอิ๋วด้วยนะคะ” ยิ่งพูดก็ยิ่งน้อยใจ

ก่อนหน้านี้แม้ว่าสวามีจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเธอ ทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่ก็ไม่เคยจำกัดการใช้จ่าย อยากไปไหน ซื้ออะไร เขาไม่เคยห้ามหรือพูดง่ายๆ ว่าไม่เคยสนใจนั่นเอง เพชรพริ้งจึงใช้เงินของเขาซื้อความสุขให้ตัวเองและเผื่อแผ่ไปถึงครอบครัว

เธอสร้างเปลือกมาห่อหุ้มให้คนอื่นเข้าใจว่าสวามีทั้งรักทั้งหลงตามใจทุกอย่าง ทำให้คนทั่วไปพากันอิจฉา แต่เมื่อไม่นานมานี้ ท่านชายรวีเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขาเริ่มขัดใจเธอ ตัดการใช้เงินที่คิดว่าไม่จำเป็น ทั้งเสื้อผ้าราคาแพง เครื่องเพชรเครื่องทอง ท่องเที่ยวเมืองนอก ทำให้หลายครั้งเธอต้องอับอายเพื่อนฝูง กลายเป็นเป้าให้คนอื่นซุบซิบนินทาจนหนาหู

“แบบนี้ท่านชายก็ทรงทำเกินไปน่ะสิ” หญิงสูงวัยชักสีหน้าไม่พอใจแทนลูกสาว “เอ๊ะ หรือว่าท่านชายรวีจะแอบมีผู้หญิงอื่นเหมือนที่เขาลือกันจริงๆ”

“ไม่ใช่หรอกค่ะ ถึงท่านจะไม่ดูดำดูดีอิ๋ว แต่ท่านชายก็ไม่เคยหายไปไหน ทรงงานเสร็จก็เสด็จกลับวังทันที นับครั้งได้ที่ทรงออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ “เพชรพริ้งตอบอย่างมั่นใจในสิ่งที่เธอเห็น และก็เชื่อว่าผู้ขายอย่างหม่อมเจ้ารวีกานต์ไม่มีวันทำให้ราชสกุลของตัวเองเสื่อมเสียด้วยเรื่องชู้สาวแน่นอน

“แม่อิ๋วต้องรีบมีลูกให้ท่านชายเร็วๆ ปัญหาทุกอย่างจะได้จบ แม่อยากอุ้มหลานแล้วนะ ที่สำคัญแม่อยากได้ห้องแถวตรงสุขุมวิทมาขายใช้หนี้ให้บ้านเราด้วย ขายแล้วก็น่าจะยังพอมีเงินเหลือให้ใช้จ่ายได้สบาย แม่อิ๋วเลิกห่วงสวยห่วงงามแล้วปล่อยให้ท้องสักทีเถอะนะ” คุณหญิงลำดวนนึกถึงห้องแถว 14 คูหาในสุขุมวิทที่หม่อมสกลวรรณรับปากว่าจะยกให้ถ้ามีหลานคนแรกให้อุ้ม เธอแอบตรวจสอบราคาอยู่เสมอจนรู้ว่าตอนนี้ราคาที่ดินบริเวณนั้นสูงขึ้นมาก เพราะเป็นย่านธุรกิจที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ถ้านำไปขายคงมีเงินมาปลดหนี้สินที่เกิดจากการทำธุรกิจผิดพลาดของสามีได้

เพชรพริ้งหน้าเจื่อน ใช่ว่าเธอไม่อยากมีลูกกับสามี แต่เมื่อเขาไม่เคยแตะต้องตัวเธอเลย นอนก็คนละห้อง แล้วเธอจะท้องได้ยังไง

หญิงสาวเคยพยายามที่จะใช้มารยาหญิงเข้าหาเขาแต่ก็ไม่ได้ผลแถมยังถูกดูแคลนกลับมา เธออายจนไม่กล้าทำอีก และอดสูจนไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับมารดาเหมือนกัน กลัวว่าท่านจะผิดหวังในตัวเธอ เพราะแม่เป็นคนที่ผลักดันทุกวิถีทางให้เธอได้แต่งงานกับหม่อมเจ้ารวีกานต์ เพื่อให้ลูกสาวคนเดียวได้อยู่อย่างสุขสบาย มีหน้ามีตา มีฐานันดรศักดิ์ และหวังว่าจะทำให้ความเป็นอยู่ที่กำลังง่อนแง่นของครอบครัวดีขึ้นด้วย ไม่ต้องลำบากตกเป็นขี้ปากของชาวบ้านไปจนตาย แต่เมื่อเธอยังทำให้พ่อแม่สุขสบายไม่ได้ จึงได้แต่ก้มหน้าซ่อนความรู้สึกรวดร้าวไว้ในใจเพียงลำพังและคิดหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง

 

บทเพลง Only You ของวง The Platters ดังแว่วหวาน กล่อมนักเที่ยวในไนต์คลับชื่อดังย่านราชดำเนินให้เคลิบเคลิ้มมีความสุขกับการดื่มกิน เพชรพริ้งกับเมษาเลือกนั่งโต๊ะหลบมุมห่างจากนักเที่ยวคนอื่นเพื่อความเป็นส่วนตัว วิสกี้ชั้นดีถูกรินแก้วแล้วแก้วเล่า ความอัดอั้นตันใจถูกระบายออกมาเมื่อเหล้าพร่องไปเกือบครึ่งขวด

“ฉันจะทำยังไงดีเมษา จะบอกความจริงกับแม่ดี หรือว่าจะไปหาน้ำพรายมาดีดใส่ท่านชายดีล่ะ” หญิงสาวแค่นหัวเราะในลำคอให้กับตลกร้ายของตัวเอง “ฉันจนปัญญาแล้วนะ ถ้าเป็นแบบนี้ฉันจะท้องได้ยังไง ฉันจะหาเงินที่ไหนมาให้พ่อกับแม่ใช้หนี้ อีกไม่นานบ้านก็คงจะโดนยึด พวกที่มันรอเหยียบย่ำซ้ำเติมก็คงหัวเราะเยาะฉันอย่างสนุกปาก เป็นถึงเมียหม่อมเจ้ารวีกานต์นายธนาคารผู้ร่ำรวย แต่ไม่มีปัญญาหาเงินมาใช้หนี้ให้พ่อแม่” เหล้าครึ่งแก้วถูกสาดลงคออย่างรวดเร็ว พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาอาบแก้ม

เมษามองนายสาวอย่างเห็นใจ เพชรพริ้งเคยเป็นคนแข็งแกร่ง เย่อหยิ่ง และไม่เคยยอมแพ้อะไร แต่ตอนนี้สภาพของเธอเหมือนคนกำลังพ่ายแพ้จนหมดรูป

“หม่อมครับ อย่าร้องไห้ อย่าให้ใครเห็นว่าเราอ่อนแอ” เขาส่งผ้าเช็ดหน้าให้เธอ “ผมเชื่อว่าไม่นานหม่อมต้องหาทางแก้ไขเรื่องนี้ได้ครับ” ชายหนุ่มยิ้มอ่อนโยน เป็นรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังใจ เพชรพริ้งรับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาจนแห้ง

“แต่ฉันไม่รู้ต้องทำยังไงจริงๆ ท่านชายไม่เคยรักฉันเลย แม่ก็เอาแต่ใช้ฉันเป็นเครื่องมือหาเงิน ตอนนี้ยังมาบอกให้ฉันท้องเพราะอยากได้สมบัติของเขาอีก ฉันเป็นคนนะเมษา” เธอคว้ามือเขามาเขย่าแรงๆ “ฉันก็อยากได้ความรักความเห็นใจจากทุกคนบ้าง ทำไมมันยากเย็นแบบนี้” ดวงตาที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำตามีแต่แววตัดพ้อ อุ้งมืออบอุ่นของเมษากุมมือเพชรพริ้งไว้อย่างนุ่มนวล

“แต่หม่อมเองก็ไม่เคยรักท่านชายใหญ่เหมือนกันนี่ครับ หม่อมถึงได้ทำอะไรตามใจตัวเองโดยไม่สนใจความรู้สึกของท่านชายเลย” เมษาแทงใจดำ เพชรพริ้งขัดใจดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขา และยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม

“เธอก็เหมือนคนอื่น ไม่เคยรักฉัน เห็นฉันเป็นแค่บ่อเงินบ่อทองใช่ไหม ฉันดึงเธอขึ้นมาจากนรกได้ ฉันก็ผลักเธอกลับลงไปได้เหมือนกัน” ฤทธิ์เหล้าที่กระดกเข้าไปจนหมดขวด ทำให้ร่างบางโอนเอนไร้น้ำหนัก น้ำเสียงอ้อแอ้พูดแทบไม่เป็นภาษา หนุ่มหล่อส่ายหน้าระอาใจ “ไปเอาเหล้ามาให้ฉันอีก!” เธอออกคำสั่งเมื่อเขย่าจนเหล้าหมดขวด

“ผมว่าพอเถอะครับ หม่อมเมามากแล้ว แล้วนี่ก็ดึกแล้วด้วย” เมษาพยายามเกลี้ยกล่อมแต่ไม่เป็นผล จึงจำใจลุกขึ้นเพื่อไปนำเหล้ามาให้ตามคำสั่ง เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าว สาวสวยแต่งกายทันสมัยส่งยิ้มหวานเดินตรงเข้ามาหาเขา

“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าเราเคยพบกันที่ไหนหรือเปล่าคะ ดิฉันคุ้นหน้าคุณมากเลย เอ…หรือว่าเราเคยเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน ฉันจบจากธรรมศาสตร์ค่ะ” ชายหนุ่มยิ้มเจื่อนแต่ก็ตอบออกไปอย่างสุภาพ

“ไม่ใช่หรอกครับ ผมไม่ได้เรียนจบจากที่นั่น” เรื่องการศึกษาเป็นปมด้อยสำหรับเขาเสมอมา

“อ้าว! เหรอคะ แต่ฉันคุ้นหน้าคุณจริงๆ นะ ต้องเคยเจอที่ไหนสักแห่งแน่ๆ ฉันชื่อราตรีค่ะ แล้วคุณล่ะ” ชายหนุ่มยิ้มพลางคิดในใจว่า ผู้หญิงคนนี้ทั้งสวย ทั้งทันสมัย และยังมีความมั่นใจมากกว่าผู้หญิงที่เขาเคยเจอ แต่ไม่นับเพชรพริ้ง

“นี่หล่อน ไปหาเหยื่อที่อื่นไป ที่นี่ไนต์คลับชั้นดี ไม่ใช่ที่เร่ขายของถูก” เมษาตกใจที่จู่ๆ เพชรพริ้งก็ปรี่เข้ามาต่อว่าสาวแปลกหน้าอย่างดุเดือด

“หมายความว่ายังไงคะ ฉันก็มาเที่ยวเหมือนคุณ ไม่ได้เร่ขายของอย่างที่คุณเข้าใจ” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าแสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่ได้มาขายของ แต่มาจับผู้ชายสินะ น่าสังเวช” เพราะความเมาทำให้เพชรพริ้งลืมตัว ตอบโต้อีกฝ่ายเสียงดัง จนผู้คนเริ่มหันมาสนใจ เธอไม่รู้เลยว่าในแสงไฟสลัวมีสายตาคู่หนึ่งที่แอบมองทั้งสองคนอย่างแปลกใจ เมษาเห็นท่าไม่ดีจึงลากเพชรพริ้งออกมาอย่างทุลักทุเล แต่เธอไม่ยอมท่าเดียว จะเอาเรื่องผู้หญิงคนนั้นให้ได้ โทษฐานที่กล้ามายุ่งกับคนของเธอ กว่าจะออกมาถึงหน้าไนต์คลับก็ทำเอาชายหนุ่มเหงื่อชุ่ม เมษาจับตัวนายหญิงยัดใส่รถอย่างยากลำบาก จากนั้นเขาก็รีบขับออกไปและหวังว่าจะไม่มีใครจำเพชรพริ้งได้ ไม่อย่างนั้นอาจได้ตกเป็นข่าวซุบซิบในหน้าหนังสือพิมพ์ แต่ดูเหมือนว่าคำภาวนาของเขาจะไม่เป็นผล

 

วันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของเมืองไทยตีพิมพ์เรื่องอื้อฉาวของหม่อมหลวงเพชรพริ้ง

…ชายาคนสวยของหม่อมเจ้ารวีกานต์เมาอาละวาดในไนต์คลับชื่อดัง เพราะไม่พอใจที่มีผู้หญิงมาพูดคุยกับลูกน้องคนสนิท…

หม่อมเจ้ารุ่งรดิศเห็นข่าวแต่เช้า จึงรู้สึกไม่สบายพระทัย เป็นที่รู้กันดีว่าเจ้าของไนต์คลับดังกับหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่คือเจ้าของเดียวกัน ทุกคืนในไนต์คลับจะมีนักข่าวนั่งประจำการเพื่อสอดส่องหาข่าวของคนดัง คนรวย ที่เข้าไปใช้บริการ หลายคนใช้โอกาสนี้ดันตัวเองให้เป็นที่รู้จักในวงสังคม สาวสวยจะแต่งตัวเลิศหรูเข้าไปเที่ยวเพื่อหวังให้นักข่าวมาถ่ายรูปและทำข่าวของตัวเอง เพชรพริ้งเองก็เคยถูกขอถ่ายรูปเป็นข่าวมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่ใช่ข่าวฉาวแบบครั้งนี้

เมื่อคืนเขาไปนั่งดื่มกินกับเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย จึงได้เห็นเหตุการณ์ที่เพชรพริ้งดื่มจนเมามายและมีเรื่องวิวาทกับผู้หญิงคนนั้น เพื่อนๆ บางคนจำได้ว่าเธอคือพี่สะใภ้ของเขา ตัวเขาเองรู้สึกอับอายกับการกระทำไร้สติของเธอ ไม่เพียงทำให้ตัวเองเสื่อมเสีย แต่ยังเสียหายไปถึงคนในวังนฤนารถด้วย

แม้จะผ่านมาหลายวันแต่ข่าวของเพชรพริ้งก็ยังเป็นที่กล่าวขานในวงสังคม หม่อมสกลวรรณเครียดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะอับอายขายหน้าที่ลูกสะใภ้ไปสร้างเรื่องเสื่อมเสียวงศ์ตระกูล บรรยากาศในวังนฤนารถเต็มไปด้วยความตึงเครียด น่าอึดอัด หม่อมสกลวรรณแทบไม่พูดจากับลูกสะใภ้ ถึงมาหาก็เอาแต่หลบหน้า

ส่วนท่านชายใหญ่ยังคงประทับอยู่แต่ในเรือนเขียว ถ้าไม่มีเรื่องจำเป็นก็จะไม่เสด็จไปที่ตึกใหญ่ แม้เพชรพริ้งมีเรื่องอยากจะพูดด้วย ท่านชายจะเดินหนีไปก่อนทุกครั้ง เหมือนกับว่าเธอเป็นแค่อากาศธาตุที่มองไม่เห็น

คนเป็นภรรยาเก็บซ่อนความรู้สึกไว้มากมายจนแทบจะระเบิดออกมา ความกดดันจากครอบครัวตัวเอง ครอบครัวสามี จากสังคมภายนอก ทำให้เธอไม่กล้าออกไปไหน ไม่อยากเจอหน้าใครๆ ไม่อยากตอบคำถามซ้ำซาก

นานวันเข้าก็เกิดเป็นความเครียดสะสม ในวันที่หันหน้าไปทางไหนก็ไม่เจอใคร มีแต่คนทอดทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว เพชรพริ้งตัดสินใจจะลาจากโลกนี้หนีความอับอาย แต่เมษามาขัดขวางไว้ได้ทัน เขาปลอบโยนเธอและสัญญาว่าจะไม่มีวันทอดทิ้งเธอไปไหน ความภักดีและจริงใจของเขาทำให้เพชรพริ้งมีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับตั้งมั่นว่าต่อไปนี้จะทำทุกอย่างให้ตัวเองมีความสุข แม้ใครจะคิดกับเธอยังไงเธอจะไม่สนใจคนเหล่านั้นอีก

 

แดดอ่อนๆ ยามเช้าสาดส่องลงมาผ่านร่มเงาต้นไม้ใหญ่ในวังนฤนารถ เสียงนกที่เกาะอยู่ตามกิ่งไม้ใหญ่ร้องประสานกันฟังเพลินหู ร่องรอยน้ำฝนหลงฤดูเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมายังทิ้งค้างไว้ตามใบไม้ใบหญ้า แรงลมหนาวของเดือนพฤศจิกายนพัดจนต้นไม้ไหวเอน ทำให้เช้านี้อากาศหนาวขึ้นกว่าเดิม

หม่อมสกลวรรณออกมารับลมหนาวสูดอากาศบริสุทธิ์ ดูต้นไม้ดอกไม้มากมายที่ปลูกไว้หน้าตึก กุหลาบอังกฤษที่หลานสาวเอามาฝากเมื่อสองปีก่อน ตอนนี้ต้นโตใหญ่ดอกสีชมพูอ่อนบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอบอวล ใกล้กันเป็นกลุ่มต้นมะลิที่มีทั้งมะลิซ้อนและมะลิลา ดอกสีขาวเบ่งบานบางตาต่างจากฤดูร้อนที่พากันออกดอกเต็มต้นให้คนในวังเก็บไปร้อยมาลัยได้ทุกวัน

หญิงสูงวัยเดินไปเก็บดอกมะลิใส่ตะกร้าไม้ไผ่สานเล็กๆ ที่ถือมาด้วยอย่างบรรจงประคบประหงมไม่ให้ดอกช้ำ หวังจะเอาลอยน้ำดอกมะลิดื่มให้ชื่นใจ สำหรับเธอนอกจากละครวิทยุที่โปรดปราน การได้ชื่นชมต้นไม้ดอกไม้ที่ตัวเองปลูกและดูแลมาอย่างดี ก็คือความสุขง่ายๆ ที่หาได้ในแต่ละวัน

แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่เธอรอคอยมานานคือการได้อุ้มหลาน ชีวิตของเธอจะมีความสุขทุกวันถ้ามีหลานมาเติมเต็ม แต่นับวันความฝันนั้นเลือนรางลงไปทุกที จะหวังลูกชายคนโตที่แต่งงานแล้วก็ยังไม่มีวี่แวว แล้วตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ดูย่ำแย่ลงกว่าเดิมก็ยิ่งเป็นไปได้ยากขึ้น ส่วนลูกชายคนเล็กยิ่งยากกว่า เจ้าสำราญจนไม่มีทีท่าว่าจะได้แต่งงานในเร็ววัน

“หม่อมเจ้าคะ หม่อม” คนรับใช้สาววิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา “หม่อมเพชรพริ้งเป็นอะไรไม่รู้เจ้าค่ะ ทั้งอาเจียน ทั้งเป็นลม” สาวใช้จากตึกใหญ่ยืนหอบแฮ่กเพราะวิ่งจากตึกใหญ่มาที่ตึกเล็กถือว่าไกลพอสมควร

“อ้าว แล้วทำไมไม่พาไปหาหมอล่ะ นี่ชายใหญ่รู้หรือยัง” หญิงสูงวัยแปลกใจเพราะไม่เคยเห็นลูกสะใภ้จะเจ็บไข้ได้ป่วยสักหน

“ท่านชายทรงงานที่เรือนเขียวเจ้าค่ะ คุณเมษาก็ไม่อยู่ หนูก็เลยวิ่งมาบอกหม่อมก่อนเจ้าค่ะ”

“งั้นรีบไปทูลท่านชายใหญ่ไป เดี๋ยวฉันไปดูแม่อิ๋วก่อน ไม่รู้เป็นอะไรมากหรือเปล่า” หม่อมสกลวรรณวางตะกร้าดอกมะลิไว้หน้าตึก แล้วรี่ไปตึกใหญ่เพื่อดูอาการลูกสะใภ้ ในใจก็คิดว่าไม่น่าเป็นอะไรมาก อาจเพราะไม่ได้กินข้าวเช้าที่มีประโยชน์ เธอเคยเตือนลูกสะใภ้หลายครั้งแล้วก็ไม่ฟังว่าควรจะกินข้าวเสียบ้าง ไม่ใช่กินแต่กาแฟ ขนมปัง กินตามฝรั่งไม่เห็นจะมีประโยชน์ เธอคิดบ่นไปเรื่อยจนถึงตึกใหญ่ พอไปถึงด้านใน หม่อมสกลวรรณก็เห็นเพชรพริ้งกำลังโก่งคออาเจียนใส่กระโถน มีคนรับใช้คอยดูแลอยู่ใกล้ๆ หน้าของหญิงสาวที่เคยสวยเจิดจรัสตลอดเวลา ตอนนี้ซีดเซียวไร้สีสัน ดวงตาอิดโรย

“เป็นยังไงบ้างแม่อิ๋ว” เมื่อเห็นอาการของลูกสะใภ้ แม่ผัวก็อดเป็นห่วงไม่ได้ “แล้วนี่ใครไปชงยาหอมมาหรือยัง” เธอหันไปถามคนรับใช้ที่ถอยลงมานั่งพับเพียบอยู่ข้างๆ

“พี่เนียนกำลังไปชงเจ้าค่ะ”

“ไหวไหม” คนป่วยไม่มีแรงตอบคำถามแม่สามีได้แต่พยักหน้าเบาๆ

“เป็นแบบนี้มาสองสามวันแล้วเจ้าค่ะ” เนียนคนใช้เก่าแก่รีบรายงานหลังจากส่งแก้วยาลมให้เพชรพริ้งดื่ม “อาการเหมือนคนท้องเลยเจ้าค่ะ” ความเห็นของเนียนทำเอาผู้หญิงทั้งสองคนชะงักพร้อมกัน เพชรพริ้งหน้าซีดมือสั่นเทา ส่วนหม่อมสกลวรรณแววตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นดีใจ เมื่อคิดว่ามีความเป็นไปได้สูง

ท่านชายรวีที่ดำเนินเข้ามาได้ยินพอดีถึงกับชะงัก ตัวชาหัตถ์แข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก เมื่อทรงตั้งสติได้ก็ก้าวเท้าเดินต่อ ดวงเนตรสงบนิ่งไร้ความรู้สึก

“ชายใหญ่ เมียเรากำลังท้องหรือเปล่าก็ไม่รู้ รีบพาไปให้หมอตรวจเถอะ แม่อยากรู้” มารดาเห็นหน้าลูกชายก็รีบกุลีกุจอบอกด้วยความตื่นเต้น ท่านชายรวีทรงยิ้มให้แม่และหันไปมองชายา แต่เธอหลบสายตาก้มหน้างุด

“ค่ะหม่อมแม่” เขารับคำง่ายดาย ก่อนจะหันไปสั่งบรรดาคนรับใช้ให้ช่วยประคองหม่อมเพชรพริ้งไปขึ้นรถ

สองสามีภรรยานั่งเงียบกันมาตลอดทาง ไม่มีใครปริปากพูดอะไรสักคำ ทั้งคู่กำลังจมจ่ออยู่ความคิดของตัวเอง เมื่อไปถึงโรงพยาบาลผลการตรวจเป็นที่แน่ชัดว่าเพชรพริ้งกำลังตั้งท้องได้ 3 สัปดาห์ หญิงสาวตั้งตัวไม่ติด หัวหมุนเคว้งอย่างกับถูกพายุซัดกระหน่ำ

การตั้งท้องของเธอไม่ใช่เรื่องน่ายินดีของใคร ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าไม่ได้ท้องกับสามีตัวเอง ท่านชายรวีจะต้องโกรธจนฉีกเธอเป็นชิ้นๆ และขับไล่ออกจากวัง พ่อแม่จะต้องอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี ผู้คนจะพากันนินทาก่นด่าสาปแช่ง ชีวิตของเธอตอนนี้เหมือนยืนอยู่บนปากเหวแห่งหายนะที่หาทางออกไม่เจอ ความเครียด ความกดดันพุ่งพรวดจนร่างกายเพชรพริ้งรับไม่ไหว เธอเป็นลมหมดสติร่วงลงไปกองกับพื้น ผู้คนรอบข้างตกใจพากันเข้ามาช่วยเหลือ พยาบาลพาร่างของหญิงสาวเข้าห้องตรวจทันที แต่คนเป็นสามีกลับยืนนิ่งไม่ไหวติง สีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง

ทันทีที่เพชรพริ้งลืมตาขึ้นมา เธอก็เห็นใบหน้าแม่และพ่อยิ้มรับอย่างอบอุ่นอ่อนโยน น้ำตาของเธอไหลออกมาเป็นทาง ความรู้สึกตื่นตัวกลัวและอับอายจนไม่อยากสู้หน้าใครๆ ใจอยากจะเอ่ยปากสารภาพผิดต่อผู้บังเกิดเกล้าแต่ก็พูดไม่ออก เหมือนมีก้อนแข็งๆ มาจุกที่ลำคอ เธอทำให้พ่อแม่ผิดหวังที่สุดในชีวิต รอยยิ้มแห่งความเมตตาของพ่อกับแม่ยิ่งทำให้เธอรู้สึกแย่มากขึ้น

“เป็นยังไงบ้างแม่อิ๋ว แม่กับพ่อดีใจเหลือเกินที่ลูกกำลังจะมีหลานให้พวกเรา มาสักทีนะพ่อคุณแม่คุณ ทายาทคนแรกของวังนฤนารถ โถ…เกิดมาเพื่อให้ตายายได้สบายสักทีนะลูกนะ” คุณหญิงลำดวนลูบท้องลูกสาวอย่างเบามือ น้ำตารื้นด้วยความปลาบปลื้ม “แม่ผัวเราพอรู้เรื่องก็ดีใจมาก นี่ก็กำลังมาเยี่ยมแม่อิ๋วด้วยตัวเองนะ” แววตาแห่งความยินดีเปล่งประกายออกมาจนเพชรพริ้งเริ่มสับสน สมองตื้อไปหมด ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าท่านชายรวียังไม่บอกใครเรื่องลูกของเธอ

“พักผ่อนมากๆ นะลูก ดูแลตัวเองให้ดีๆ เพราะตอนนี้ลูกไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้วนะ” หม่อมราชวงศ์อดิศรผู้เป็นพ่อลูบหัวลูกสาวอย่างทะนุถนอม เพชรพริ้งยิ้มให้พ่อทั้งน้ำตา ไม่มีใครรู้ว่านั่นไม่ใช่น้ำตาแห่งความยินดี แต่เป็นน้ำตาของความสิ้นหวัง

เพชรพริ้งออกจากโรงพยาบาลกลับมาอยู่บ้าน วังนฤนารถคึกคักมีชีวิตชีวา หม่อมสกลวรรณดีใจที่ความฝันสุดท้ายของชีวิตเป็นจริง ถึงขนาดยกเครื่องเพชรเก่าแก่ชุดใหญ่ให้เป็นของขวัญลูกสะใภ้ และยังเฝ้าประคับประคองเอาอกเอาใจ แค่เอ่ยปากอยากได้อยากกินอะไรก็รีบหามาให้แทบจะทันที

ไม่กี่วันต่อมา มารดาก็เรียกคุณหญิงลำดวนมาพบเพื่อทำเรื่องยกห้องแถวที่สุขุมวิทให้ตามสัญญา ลูกชายสองคนไม่มีใครคัดค้านความต้องการของแม่ แต่สำหรับลูกชายคนเล็ก ยังมีเรื่องคาใจที่อยากได้คำตอบ ดังนั้นเมื่อเจอพี่ชายกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในสวนคนเดียว เขาจึงรีบปรี่เข้าไปหา

“มันยังไงกันครับพี่ชายใหญ่ ไหนบอกว่าแยกห้องนอนกัน แล้วทำไมคุณอิ๋วถึงท้องได้ล่ะครับ” ชายหนุ่มไม่อ้อมค้อมพุ่งเข้าประเด็นทันที แต่ท่านชายรวีนิ่งเงียบไม่ตอบคำถาม เอาแต่ไล่สายตาไปตามตัวหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ “อ๋อ คงแอบย่องเข้าห้องคุณอิ๋วกลางดึกสินะ ร้ายใช่ย่อยนะพี่ชายเรา” เมื่อไม่ได้คำตอบ น้องชายจึงแกล้งกระเซ้าเดาทาง

“เลิกพูดไร้สาระได้แล้วชายเล็ก” พี่ชายหน้าตึง รำคาญที่ถูกรบกวน

“ก็บอกมาสิครับ ว่าทำไมอยู่ดีๆ ผมก็มีหลาน ทั้งที่เลิกคิดเลิกฝันไปนานแล้ว” น้องชายตัวดียังเซ้าซี้ไม่หยุด ลางสังหรณ์บางอย่างบอกเขาว่าต้องมีอะไรซ่อนอยู่ในเรื่องที่น่ายินดีนี้

“บางเรื่องไม่ต้องวิ่งหาคำตอบ รอสักหน่อยคำตอบก็จะมาหาเราเอง” ปริศนาที่พี่ชายทิ้งไว้ก่อนเดินหนีกลับเรือนเขียวไม่ได้ทำให้ท่านชายเล็กคลายความสงสัย แต่ยิ่งทำให้เพิ่มความกังวลในใจมากขึ้น

 

 แม้เวลานี้จะสุขกายเพราะแม่ผัวเอาอกเอาใจสารพัด แต่จิตใจของเพชรพริ้งกลับร้อนรุ่ม ไม่รู้ว่าวันใดที่ความจริงแสนอัปยศจะถูกเปิดเผย ตั้งแต่กลับจากโรงพยาบาลเธอก็แทบไม่เจอหน้าสวามีเลย

เพชรพริ้งยังจำสายตาเย็นชาที่แฝงความชิงชังไว้ลึกๆ ในวันที่เขาไปรับเธอออกจากโรงพยาบาลได้เป็นอย่างดี มันทำให้เธอหนาวสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ แล้วทำไมเขาถึงยังไม่บอกความจริงกับทุกคน หญิงสาวไม่เข้าใจว่าคนเป็นสามีกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ และวันนี้เธอก็ได้รู้เสียที เมื่อหม่อมเจ้ารวีกานต์เสด็จมาหาในขณะที่เธอนั่งจิบชาอยู่ในสวน เพชรพริ้งรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดบนใบหน้าของสวามี แต่หญิงสาวทำใจดีสู้เสือ

“ฝ่าบาทมีอะไรหรือเพคะ” เธอทำเป็นยิ้มทักทายทั้งที่ในใจสั่นรัว

“ผมว่าคุณคงเดาออกว่าผมจะพูดเรื่องอะไร” ชายหนุ่มนั่งลง เพชรพริ้งตัวเกร็งก้มหน้าไม่กล้าสบตาฝ่ายตรงข้าม หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้น “สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น คุณกับผมรู้ดีว่ามันไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องจริงสักอย่าง” เขาไม่ปล่อยให้เสียเวลา

“แล้วทำไมฝ่าบาทถึงไม่ตรัสบอกคนอื่นไปล่ะเพคะว่าหม่อมฉันไม่ได้ท้องลูกของฝ่าบาท” น้ำเสียงของหญิงสาวสั่นเครือ เธอพยายามสะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา เพราะไม่อยากให้เขาเห็นความอ่อนแอ

“ผมอยากให้คุณเป็นคนพูดด้วยตัวเอง ถ้าผมพูด ชื่อเสียงเกียรติยศของครอบครัวคุณอาจพังพินาศได้ คุณลองหาเหตุผลดีๆ จะโทษว่าเป็นความผิดของผมก็ได้ ผมไม่ว่า แล้วผมจะช่วยให้คุณกับพ่อของเด็กไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไม่มีใครรู้จักพวกคุณ หรือจะไปต่างประเทศก็ได้” ท่านชายรวีทรงยื่นข้อเสนอให้กับชายาในนาม เขาไม่อยากทำลายชีวิตของเธอ อย่างน้อยก็เห็นแก่ความสัมพันธ์อันยาวนานของสองครอบครัว จึงเสนอทางออกที่คิดว่าดีที่สุดให้

“ฝ่าบาท…รู้เหรอเพคะ ว่าใครคือ…พ่อของเด็ก” หญิงสาวกัดฟันถามออกไป

“ไม่รู้ และไม่ว่าเขาจะเป็นใคร ก็ควรออกมารับผิดชอบชีวิตที่กำลังจะเกิดมา” ท่านทรงหันพักตร์ไปทางอื่นเพื่อซ่อนความขมขื่นในแววตา ไม่มีผู้ชายคนไหนที่ไม่รู้สึกรู้สาที่คนเป็นภรรยาไปมีชู้จนกระทั่งท้อง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้รักใคร่เพชรพริ้ง แต่ศักดิ์ศรีและเกียรติยศของวงศ์ตระกูลก็ค้ำคอเขามาตลอด

การกระทำของเพชรพริ้งทำให้เขาอดสูจนแทบไม่อยากแบกหน้าออกไปพบเจอใคร ถึงแม้จะไม่มีใครรู้ความจริงแต่ตัวเขาเองรู้อยู่เต็มอก ยิ่งเห็นแม่ดีอกดีใจก็ยิ่งเจ็บปวด เขาไม่อยากเป็นคนทำร้ายความรู้สึกของแม่ หนทางที่จะแก้ปัญหาคือให้หญิงสาวเป็นคนสารภาพออกมาเอง จะโทษว่าเป็นความผิดของเขาที่ไม่สนใจไยดี หรือเพราะเขาเป็นปีศาจร้ายที่ไร้หัวใจ เขาก็จะยอมรับทุกข้อกล่าวหา ถ้าทำให้ทุกคนเจ็บน้อยลง

“แล้วจะให้หม่อมฉันบอกกับทุกคนว่ายังไงหรือเพคะ บอกว่าหม่อมฉันท้องกับชู้ หรือจะให้บอกว่าสำส่อนจนไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของเด็กดีล่ะเพคะ เพราะไม่ว่าจะเหตุผลไหน หม่อมฉันก็จะกลายเป็นหญิงชั่วในสายตาคนอื่น ตายไปก็คงไม่แคล้วถูกสาปแช่ง”

ความผิดพลาดที่เกิดจากอารมณ์อ่อนไหว กำลังกลายเป็นหายนะใหญ่หลวงของตัวเองและครอบครัว เธอคงทนไม่ได้ถ้าต้องเห็นพ่อแม่ถูกผู้คนดูถูกเหยียดหยาม หญิงสาวจึงตัดสินใจลดศักดิ์ศรีที่เคยถือนักหนา คุกเข่าอ้อนวอนสวามีให้ช่วย

“ฝ่าบาท…ฝ่าบาทช่วยหม่อมฉันด้วยนะเพคะ อย่าทรงบอกใครได้ไหมเพคะ ถ้ามีใครรู้เรื่องนี้ พ่อกับแม่หม่อมฉันคงอับอายจนมีชีวิตอยู่ไม่ได้ หม่อมฉันไม่อยากเห็นพวกท่านถูกคนอื่นหยามเกียรติหยามศักดิ์ศรีไปมากกว่านี้แล้วเพคะ” น้ำตาที่พยายามสะกดกลั้นเอาไว้พังทลายเหมือนเขื่อนแตก ความหวังเดียวตอนนี้คือให้ท่านชายรวียอมช่วยเหลือเธอ จะให้ทำยังไงเธอก็ยอมทุกอย่าง

“ผมช่วยคุณไม่ได้หรอก เมื่อผูกเองก็ต้องแก้เอาเอง” คำพูดและสีหน้าของเขาช่างเย็นชาเหมือนปีศาจที่ไร้หัวใจ “คุณห่วงความรู้สึกของครอบครัว ผมก็ห่วงความรู้สึกของครอบครัวผม ผมให้เวลาเดือนนึง ถ้าคุณไม่พูดความจริง ผมจะพูดเอง” เขาปรายตามองหญิงสาวก่อนที่จะหันหลังให้ เพชรพริ้งผุดลุกขึ้น น้ำตาไหลอาบแก้ม เธอเกลียดความเย็นชาและท่าทางหมางเมินที่สามีทำกับเธอ

“ทำไมฝ่าบาททรงใจร้ายกับหม่อมฉันเหลือเกิน” ชายหนุ่มนิ่งงัน “ไม่เคยรักหม่อมฉันเลย ตั้งแต่แต่งงานกันก็ทรงทอดทิ้งให้อยู่คนเดียวทุกวันทุกคืน หม่อมฉันก็มีเลือดเนื้อมีหัวใจนะเพคะ หม่อมฉันก็เหงาเป็น ที่หม่อมฉันเป็นแบบนี้ก็เป็นความผิดของฝ่าบาทนั่นแหละ ฝ่าบาทต่างหากที่ต้องรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดนี้” เมื่อความรู้สึกอัดอั้นตันใจเก็บไว้ไม่อยู่จึงระเบิดออกมา หญิงสาวพรั่งพรูความในใจใส่สามีผู้สูงศักดิ์ เรื่องราวที่เกิดขึ้นเขาเองก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่โยนความผิดให้เธอเพียงฝ่ายเดียว

“หนึ่งเดือน ผมให้แค่นั้น แล้วเราจะไปหย่ากัน คุณอยากได้อะไรก็บอกมา ผมจะจัดการให้” ท่านชายรวีไม่แม้แต่จะทรงหันหน้ามาตรัสกับชายา ท่านทรงสูดหายใจลึกสะกดความรู้สึกบางอย่างก่อนเสด็จจากไป

ดวงตาสวยฉ่ำไปด้วยน้ำตาจ้องมองแผ่นหลังกว้างของคนที่ได้ชื่อว่าสามี จะดีแค่ไหนถ้าแผ่นหลังนี้มีไว้ให้เธอกอดแนบซบยามอ่อนแอและต้องการกำลังใจ แต่ในเมื่อเขาไร้ความปรานี ไม่มีแม้ความห่วงใย เธอก็จะทำลายทุกอย่างให้ย่อยยับ เหมือนกับหัวใจของเธอที่กำลังถูกกรีดทำลายจากคำพูดและท่าทางของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าสามี



Don`t copy text!