เที่ยวไปตามทัวร์กับภารกิจตามหาผัดผักบุ้ง ณ เวียดนามกลาง (2)

เที่ยวไปตามทัวร์กับภารกิจตามหาผัดผักบุ้ง ณ เวียดนามกลาง (2)

โดย : YVP.T

Loading

ตื่นเช้ามาอย่างสดใสพร้อมความล้าที่ขาหน่อยๆ จากการตะลุยเที่ยวฮอยอันในวันแรกที่มาถึง ในระหว่างที่หลายคนยังจัดมื้อเช้าของโรงแรมอยู่ ฉันกินอิ่มเรียบร้อย และแน่นอนว่าการสำรวจผัดผักบุ้งยังดำเนินต่อไปเหมือนมิชชั่นที่ต้องผ่านไปให้ได้ และคำตอบก็คือ บุฟเฟต์ที่โรงแรมก็ไม่มีเมนูนี้  เอาเถอะ! ปล่อยไปก่อน ใช้เวลาที่มีกับการออกเดินสำรวจ เมืองดานัง รอบๆ ที่พักสัก 20 นาทีก่อนล้อหมุนดีกว่า

เช้าของที่นี่คล้ายๆ กับภาพที่คิดไว้ คือเสียงแข่งกันกดแตรรถมอเตอร์ไซค์สนั่นลั่นถนน เหมือนสิ่งเตือนสติให้ระวังตัว และทำตามที่ไกด์บอกคือ เดินหน้าเท่านั้นอย่าได้ถอย ดูซ้ายขวาเดินไปอย่าลังเลรับรองรอด แต่ฉันว่าไม่เสมอไป เพราะมีก้าวที่ใจฉันหล่นไปอยู่บนถนน!

ตามตรอกซอกซอยมีร้านขายของกินประปรายเหมือนบ้านเรา แต่ซอยที่ทำให้เลี้ยวไปเดินเล่นคือซอยที่เต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่พร้อมใจกันมาตั้งร้านขายสองข้างทาง กลายเป็นซอยตลาดขายของยามเช้าย่อมๆ ที่หากว่านี่คือเมืองไทย ฉันว่าก็คือตลาดเช้านั่นแหละ

  

ฉันเดินไปเจอร้านอาหารริมทางร้านหนึ่ง เห็นป้าคนขายกำลังยืนลวกเส้น เลยคิดเองเออเองอยู่ในใจว่า มันคงจะเป็นเมนูเฝอ แต่ป้าเหมือนมีญาณวิเศษ ปรายตามองฉันแล้วกล่าว ‘นี่ไม่ใช่เฝอ นี่ก๋วยเตี๋ยวเวียดนาม’ แล้วชี้ไปที่ก้อนขาวๆ กับก้อนน้ำตาลๆ ‘ลูกชิ้นปลา เฝอไม่ใส่’ โอเคค่ะป้า รู้เรื่อง!

สิ่งที่ถูกใจฉันเอามากๆ ในดานัง คือ คนที่นี่ให้เกียรติมอเตอร์ไซค์อันเป็นพาหนะหลักมากๆ เพราะตั้งแต่นั่งรถชมเมืองระหว่างเดินทางเมื่อวาน ฉันเห็นร้านขายมอเตอร์ไซค์เยอะพอสมควร แต่ไม่มีการเอาออกมาวางเรียงหน้าร้านเหมือนบ้านเรา ที่นี่เปิดเป็นโชว์รูมขายมอเตอร์ไซค์เหมือนขายรถยนต์ ตัวตึกกรุกระจกสวยงามมองจากด้านนอกสามารถชื่นชมมอเตอร์ไซค์ได้แบบไม่กวนทางเท้า และเมื่อพูดถึงทางเท้า ฉันก็ประทับใจอีกแล้ว เพราะสะอาด เจอขยะตามทางน้อยมากๆ ถ้าไม่นับกลิ่นคาร์บอนมอนอกไซด์อ่อนๆ อากาศที่นี่โอเคมากๆ

แผนทัวร์วันนี้ทั้งวัน คือฝังตัวที่บาน่าฮิลล์ (Bana Hills) สถานที่ท่องเที่ยวปูรากฐานโดยชาวฝรั่งเศสตั้งแต่สมัยเข้ามาปกครองเวียดนาม ตอนนั้นเหล่าเมอสิเออร์ มาดมัวเเซลล์ (ที่ตอนหลังเปลี่ยนมาเรียกว่ามาดามในยุคนายกรัฐมนตรีฟรองซัวส์ ฟียง) เกิดความรู้สึกว่าดานังช่างร้อนเหลือเกิน สงสัยต้องหาที่พักคลายร้อนซะหน่อย ก็เลยมองหาที่สร้างบ้านพักตากอากาศ และได้มาเจอพื้นที่บนเทือกเขาเจื่องเซิน ก็เลยมาสร้างบ้านพักไว้กว่า 200 หลัง แต่พอฝรั่งเศสแพ้ต่อกองทัพปฏิวัติคอมมิวนิสต์ชาตินิยมเวียดมินห์ในสมรภูมิเดียนเบียนฟู ที่นี่จึงถูกทิ้งร้าง จนเมือปี ค.ศ. 2009 ‘Sun World’ ซึ่งเป็นกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของเวียดนามเข้าพัฒนาและปลุกที่นี่ให้กลายเป็นธีมปาร์ก (Theme Park) ในรูปแบบหมู่บ้านฝรั่งเศส

ขอย้ำตรงนี้ว่า ที่นี่คือธีมปาร์ก ไม่ใช่สวนสนุก แต่ก็มีเครื่องเล่นเช่นกัน เพราะธีมปาร์กเน้นให้สถานที่มี ธีมอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นหลัก เครื่องเล่นเป็นเพียงองค์ประกอบรองที่ช่วยย้ำธีมที่กำหนดของสถานที่นั้นๆ ดังนั้นบรรยากาศโดยรวมจึงให้ความสำคัญของเรื่องราวมากกว่าที่อยากเล่าหรือให้สัมผัสบรรยากาศของบาน่าฮิลล์ อย่างเมืองโบราณสมุทรปราการในบ้านเรา หรือ เมืองจำลองพัทยา ก็จัดว่าเป็นธีมปาร์ก

สำหรับที่บาน่าฮิลล์ คือการเล่าเรื่องของการเป็นที่พักตากอากาศของชาวฝรั่งเศส บรรยากาศโดยรวมคือการพักผ่อนบนความสูงเหนือระดับน้ำทะเลกว่า 1,500 เมตร  ทำให้คนที่มาเที่ยวที่นี่ได้สัมผัสกับอากาศที่เย็นสบายกว่าในตัวเมืองดานังมากๆ ตอนที่ลงจากรถก็สัมผัสได้เบาๆ ว่าอากาศเย็นๆ ต่างจากในเมืองดานัง แต่พอขึ้นกระเช้าลอยฟ้าเท่านั้นล่ะ ขนแขนพร้อมใจกันลุกทันที

การจะขึ้นไปที่บาน่าฮิลล์คือ การนั่งกระเช้าลอยฟ้ารางเดี่ยว ใช้เวลา 17 นาทีโดยประมาณ

ย้ำจ้ะ! 17 นาที เพราะนี่คือเส้นทางกระเช้าลอยฟ้าที่ยาวที่สุดในโลก โดยหนึ่งกระเช้า ถ้าเป็นคนเวียดนามจะให้นั่งได้ 12 คน ถ้าเป็นต่างชาติให้นั่ง 10 คน ความตื่นเต้นเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงออกตัว เพราะกระเช้าเหมือนต้องการแรงส่ง แต่ในความรู้สึกของฉัน เหมือนว่าเครื่องกลทั้งหลายกำลังยื่นขาถีบกระเช้าให้ออกเดินทางไปตามราง และแรงถีบก็เหวี่ยงกระเช้าจนไปกระตุ้นกล่องเสียงให้พร้อมใจกันกรี๊ดพร้อมกันทันที!

17 นาที ผ่านไปด้วยความเร็วปานกลาง ที่หวังว่าจะมองไปด้านล่างแล้วเห็นวิวภูเขา ธรรมชาติเขียวๆ น้ำตกเป็นช่วงๆ คือจบไป เพราะจังหวะที่ฉันไป คือยามเช้าที่มีฝนบางๆ ทำให้ยิ่งสูงยิ่งเจอหมอก และแทนที่จะรู้สึกตื่นเต้น กลับรู้สึกอึดอัด เพราะเมื่อกระเช้าอยู่ในกลุ่มหมอกสีขาว พร้อมๆ กับการไต่ระดับความสูงไปเรื่อยๆ ก็ทำเอาแอบปวดหูหน่อยๆ แถมมองไปทางไหนก็เจอแต่สีขาว อารมณ์เลยเหมือนอยู่ในกล่องทรงกลมที่ผนังทาสีขาว 6 ด้าน ยังดีที่มีบางช่วงความสว่างทะลุหมอกเข้ามาได้บ้าง ทำให้หลายคนรู้สึกดีแบบสั้นๆ ในใจฉันนับถอยหลังว่า อีกนิดจะได้ลงแล้ว… แต่เปล่าเลยจ้ะ เราหยุด… เพื่อไปต่อ!

ตอนแรกฉันแอบงงและหงุดหงิดเล็กๆ และสงสัยว่าจะเปลี่ยนกระเช้าเพื่อ!!

อ๋อ… แล้วก็ได้คำตอบ เหตุที่เปลี่ยน เพราะมี Golden Bridge อีกหมุดหมายที่อยู่ในตารางทัวร์ให้ถ่ายรูป ซึ่งถ้าแปลตามชื่อภาษาอังกฤษคือสะพานสีทอง แต่ภาษาทัวร์คือสะพานมือยักษ์ที่รัฐบาลทุ่มทุนเพิ่มดีไซน์เจ๋งๆ ให้ดึงดูดใจมากขึ้นกับอุ้งมือหินขนาดยักษ์ที่มองดูแล้วเหมือนมือยักษ์มาถือตัวสะพานอยู่ ความสงสัยสาระ…ทำให้เกิดคำถามว่า สร้างแบบนี้ไปเพื่ออะไร?

คุณไกด์ตอบมาตรงๆ ใสๆ เลยว่า เป็นหนึ่งในแผนการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวของรัฐบาลเวียดนาม ที่ตั้งเป้าหมายไว้ให้เวียดนามเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจะต้องมาเยือนให้ได้ ส่วนได้ผลหรือเปล่า จำนวนประชากรบนสะพานที่หนาแน่นคือคำตอบ..

และอย่างที่บอกว่าเดิมทีบาน่าฮิลล์แห่งนี้ถูกสร้างมาเพื่อเป็นที่พักตากอากาศ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่บนนี้จะมีโรงแรมให้พักค้างแรมด้วย โดยเป็นโรงแรมภายใต้การดูแลในเครือ Mercure ดังนั้นเรื่องความดีงามก็อยู่ในระดับที่ทำให้ท่องเที่ยวหลายคนเลือกโปรแกรมทัวร์แบบที่นอนค้างบนนี้สักคืน เพื่อใช้เวลาเต็มที่ทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งว่ากันว่ายิ่งดึกบนนี้ยิ่งอากาศเย็น แหม…ก็แน่ละ อยู่สูงกว่าน้ำทะเลกว่าพันเมตรนี่นา

สำหรับอาหารการกินบนพื้นที่สูงระดับนี้ก็ย่อมราคาแรงเป็นธรรมดา แต่ก็มีทางออกคือบุฟเฟต์ราคาเหมาๆ อยู่ที่หัวละ 500 กว่าบาท กับอาหารมากมายกว่าร้อยรายการ เพียงแต่… เมนูที่มารดาก็ไม่มี ณ ที่แห่งนี้ เช่นกัน

ลงจากบาน่าฮิลล์ มุ่งหน้าสู่จุดที่ฉันรอคอยหนึ่งเดียวในทริปก็คือวัดหลินอึ๋ง วัดที่มีเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่สร้างขึ้นจากปูนขาว สูง 67 เมตร ตั้งอยู่บนฐานดอกบัวกว้าง 35 เมตร โดยองค์เจ้าแม่กวนอิมยืนหันหลังให้ภูเขา หันหน้าออกสู่ทะเล ตามความเชื่อว่าปกป้องคุ้มครองชาวประมงที่ออกไปหาปลา

ฉันตั้งใจขอพรเรื่องสุขภาพ พร้อมสติกับจิตใจที่สงบ แต่แล้ว… ความร้อนแรงก็พุ่งขึ้นจนได้ เพราะระหว่างไหว้ๆ อยู่ ก็ได้ยินเสียงที่แปลไม่ออกข้างหู เอ… เทพองค์ใดมากระซิบบอกโชคลาภหรือเปล่า โนวววว เพราะคือหมู่ชาวจีนที่หยอกเอินกับน้องลิงที่มาหยิบกินผลไม้ที่มีคนนำมาสักการะเจ้าแม่ เท่าที่ฉันมอง นี่คือการหยอกเอินที่หากฉันเป็นลิงก็หงุดหงิดจนแยกเขี้ยว เพราะทั้งแย่งของจากมือ (ช่างกล้านัก!) ทั้งไล่ด้วยหมวก (เฮ้อ… ยกนิ้วให้กับความพยายาม!)

ลิงน้อยเหล่านี้มาจากภูเขาลิง (Monkey Mountain) ที่อยู่ด้านหลังวิหาร ถึงจะไม่ได้เยอะเท่าลิงลพบุรีหรือตรงเขาเจ้าแม่สามมุกบ้านเรา แต่ลิงก็คือลิง… ยังไงซะ สิ่งที่ฉันอยากบอกคือ ระวังและจงเอ็นดูอยู่ห่างๆ

คืนที่สองก็คือคืนสุดท้ายในดานังก่อนจะเดินทางกลับไทยในวันที่สาม ความที่ถึงโรงแรมไม่ดึก และฉันยังรู้สึกว่าไม่ฟินเท่าไหร่ เลยขอทำอะไรที่ให้อารมณ์ว่าเป็นส่วนหนึ่งของเวียดนามสักหน่อย ว่าแล้วก็เดินสำรวจรอบๆ โรงแรมที่พัก สายตาก็ไปปะทะเข้ากับร้านเสริมสวย และเท้าก็ไปไวกว่าสมอง ปากนี่ไวที่สุด เพราะฉันตกลงรับบริการสระผมในราคา 75,000 ดอง คิดเป็นเงินไทยคือ 100-110 บาท เพียงเพราะในใจคิดว่า อยากลองใช้บริการและคิดเองว่าสิ่งที่ต่างจากบ้านเราน่าจะเป็นแค่แชมพูครีมนวด แต่ที่ไหนได้ ฉันคิดผิด!!

‘ลินดา’ เจ้าของร้านว่าที่คุณแม่ อุ้มท้องอายุครรภ์ 33 เดือนมาบริการด้วยรอยยิ้ม และภาษาอังกฤษที่ฟังง่าย เธอบอกว่า นอกจากสระผม ที่นี่มีบริการดูแลผิวหน้าไปพร้อมๆ กันด้วย ตอนแรกที่ฟัง ฉันก็นึกว่าคงหมายถึงสระเสร็จจะทำ facial treatment ให้ด้วย ก็เลยโอเค แต่ชีวิตจริงคือ ทุกอย่างมาพร้อมกัน!

สระผมพ่วงบริการของลินดา คือสระสไตล์เวียดนามที่ตามภาษาปากของฉันคือ สระทั้งหัว ย้ำ! ทั้งหัวจริงๆ เพราะเริ่มต้นจากนวดศีรษะเบาๆ ตามด้วยเอาน้ำลงถึงหนังศีรษะ จากนั้นใช้สำสีชุบน้ำจะบรรจงทาหน้าให้ชุ่มๆ และถัดจากนั้นทั่วทั้งใบหน้าของฉันก็ถูกครีมหอมๆ ฟอกจนฟูไปด้วยฟอง และน้ำที่ล้างจะหลั่งรินออกจากฝักบัวมาชะล้าง ก่อนจะลงครีม และมาสก์หน้า

ขั้นตอนต่อไปคือการสระผม ซึ่งตรงนี้เป็นกระบวนการปกติ แต่อยากให้ลองนึกภาพตามว่า ขณะที่สระผม หน้าของเรายังคงมีแผ่นมาสก์หน้าอยู่ตลอดเวลา กระทั่งสระผมเสร็จจึงนำแผ่นมาสก์ออกไป แล้วพาเราลุกขึ้นเป่าแบบหมาดๆ ไม่เกิน 3 นาที และนั่นแปลว่าจบสิ้นกระบวนการ!

อย่าถามว่าตราตรึงไหมสำหรับทริปเวียดนามกลางในครั้งนี้ ฉันพูดได้เลยว่า ตราตรึงมากมาย แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ 2 คืน 3 วัน ฉันก็มีข้อสรุปง่ายๆ กับตัวเองว่า ทุกที่มีรูปแบบของตัวเอง มีจุดเริ่มต้นและดำเนินไปในทิศทางที่ต่างกันตามแต่สถานการณ์และช่วงเวลา ฉันมาที่นี่ ฉันชอบทุกที่ที่ไป ชอบทุกคนที่เจอ ให้มาอยู่นานหน่อยก็อยู่ได้ ส่วนเรื่องผัดผักบุ้งของมารดา ก็ปล่อยให้เป็นประสบการณ์ชีวิตของมารดาไปแล้วกัน

ส่วนของฉัน… ถ้ามีทริปหน้าวันใด ฉันจะกลับมาที่นี่อีกครั้งแน่นอน

Don`t copy text!