ก้าวต่อไปของพนมรุ้งในวันที่โลกเปลี่ยน

ก้าวต่อไปของพนมรุ้งในวันที่โลกเปลี่ยน

โดย : กิ่งสุรางค์ อนุภาษ

Loading

เมื่อไม่กี่ปีมานี้ โลกโซเชี่ยลเข้ามามีบทบาทกับพวกเราเป็นอย่างมาก หลายๆ ที่ผันตัวเข้าสู่โลกออนไลน์ซึ่งต้องบอกว่าเป็นก้าวใหม่ที่แสนท้าทาย แต่ถ้าวางแผนดีๆ ก็ไม่มีอะไรที่ยากเกินไป เช่นเดียวกับข้าวพนมรุ้งที่พาเข้าตัวเองเข้าสู่โลกออนไลน์ด้วยความมุ่งมั่น พร้อมติดอาวุธให้กับตัวเองเพิ่มเติม ซึ่งนั่นก็ทำให้เกิดเพจ Panomrungrice และค่อยๆ เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรงที่มาจากวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของคุณวิพุธ หวั่งหลี

รับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกและเข้าสู่ระบบออนไลน์อย่างเต็มตัว

“ปี ๒๐๑๙ ก่อนช่วงโรคระบาด ผมเริ่มรู้สึกว่าออนไลน์เข้ามามีบทบาทเยอะขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นผมเห็นลูกค้าที่ต่างประเทศ อย่างประเทศจีน ถึงขนาดสั่งของสดทางออนไลน์ เช่น ซีฟู้ด เนื้อสด ผักสด แสดงว่าพวกเขาต้องเชื่อซัพพลายเออร์มากๆ สั่งวันนี้พรุ่งนี้ได้ รวมถึงห้างออนไลน์ทั้งหลาย ที่เริ่มเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทำให้คิดว่าต้องขยายช่องทางตรงนี้ เพราะอาจหมายถึงอนาคต เราเลยเริ่มพร้อมๆ กันหมด ทั้งเปิดตัวสินค้าของเราเข้าไปในห้างออนไลน์ทุกห้างที่มีในประเทศไทย เปิดเพจ Panomrungrice มีทั้งเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ยูทูบ เพื่อสื่อสารกับกลุ่มผู้บริโภค กลุ่มเป้าหมายว่าข้าวพนมรุ้งมีขายที่ไหน มีโปรโมชั่นอะไร ราคาเท่าไหร่ นอกจากนั้นเราก็ยังใช้สื่อสารจุดยืนของแบรนด์ได้ด้วยว่า พนมรุ้งคือข้าวที่เชฟมืออาชีพเลือกใช้

เนื่องจากพนมรุ้งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเชฟ และเจ้าของร้านอาหารมากมาย ผมจึงตั้งใจให้ Social Media ทุกช่องทางของพนมรุ้ง เป็นสะพาน ถ่ายทอดความรู้ ข้อมูลต่างๆ จากเชฟมืออาชีพ เจ้าของร้านอาหารที่ประสบความสำเร็จไปสู่ผู้บริโภค เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถได้รับประสบการณ์ที่ดีในการรับประทานอาหารทั้งที่บ้าน และที่ร้าน แน่นอนว่าทุก Content ของพนมรุ้งต้องมีความบันเทิงแทรกอยู่ด้วย ผู้บริโภคต้องทั้งสนุก และได้ความรู้เกี่ยวกับการทำอาหารไปในเวลาเดียวกัน เช่น รายการ พนมรุ้ง Cheat Day ที่ทำอาหารเมนูยักษ์ ไปหาวัตถุดิบจากต้นตอจริงๆ ดูแล้วต้องน้ำลายไหล รายการ พนมรุ้ง เมนูมู ที่มีหมอดูชื่อดังมาทำนายดวงประจำเดือน แล้วเชฟมาช่วยทำอาหารแก้กรรมต่างๆ ตามหลักโหราศาสตร์ หรือจะเป็นรายการ Q&A ถามมาตอบไป เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคถามคำถามในครัวกับเชฟมืออาชีพ แล้วเชฟมาตอบแบบไม่มีกั๊ก ไม่ว่าจะเป็นเลือกผักยังไง ทำแป้งข้าวเจ้าที่บ้านอย่างไร ข้าวชนิดไหนเหมาะกับอาหารอะไร เป็นต้น อีกรายการที่ผมคิดว่าดีมากๆ คือ พนมรุ้งสร้างอาชีพ เป็นการแบ่งปันประสบการณ์จากเจ้าของร้านอาหารที่ประสบความสำเร็จ เขาทำยังไง การทำงานตั้งแต่เปิดร้านยันปิดร้านเป็นอย่างไร เรียกว่าเป็นกรณีศึกษาสำหรับคนที่อยากเปิดร้านอาหาร คนชอบดูมาก เพราะทำให้เกิดกำลังใจ และแรงฮึดสู้ครับ นอกจากนี้เรายังร่วมมือกับเพจอ่านเอา สร้างสรรค์นิยายอย่างเรื่อง รฦกรส อิ่ม และเปิดครัววุ่นลุ้นรัก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความบันเทิงแทรกสาระในเพจ ที่ทำให้แฟนๆ เอ็นจอย และคอยติดตามตอนต่อๆ ไปอย่างตื่นเต้นอีกด้วย

ผมมองว่า Social Media ในตอนนี้ได้เข้ามาทดแทนสื่อสิ่งพิมพ์ และโทรทัศน์แบบดั้งเดิม โดยเฉพาะเฟซบุ๊ก คือซูเปอร์แมกกาซีน นอกจากจะลงภาพนิ่งแล้ว ยังลงคลิปวิดีโอได้ด้วย หลายคนมองว่าคนไทยปัจจุบันอ่านหนังสือน้อยลง นิตยสารหลายเล่มหายไปจากแผง แต่ผมคิดว่าคนไทยยังอ่านหนังสืออยู่ เพียงแต่เปลี่ยนจากการอ่าน นิตยสารที่เป็นสิ่งพิมพ์ มาอ่านออนไลน์แทน พิสูจน์แล้วจากการที่เราเริ่มลงนิยาย ผลตอบรับดีมากๆ ทั้งยอด Like และ Comment สูงเป็นที่น่าพอใจ ผมต้องการให้เพจของพนมรุ้ง ไม่ใช่เป็นเพียงเพจแบรนด์ หรือเพจโฆษณาสินค้า แต่เป็นเพจที่ผู้บริโภคตั้งใจเข้ามา เพื่อได้ทั้งสาระที่เกี่ยวข้องกับอาหารจากเหล่ามืออาชีพ ทั้งเชฟ เจ้าของร้านอาหาร และแน่นอนได้ความบันเทิงกลับไปด้วย ได้เท่านี้ผมก็ดีใจมากแล้วครับ”

ครอบครัวและความอดทนคือกุญแจแห่งความสำเร็จ

“ระหว่างการทำงานผมเจออุปสรรคเยอะมากครับ ถึงขั้นนอนไม่หลับก็มีมาแล้ว ต้องขอบคุณครอบครัวที่ไม่เคยทิ้งกันไปไหน คุณแม่เองก็จะพูดกับผมเสมอว่า ‘พุธทำได้ ยังไงพุธก็ทำได้’ แต่แม่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยพุธยังไงนะ (หัวเราะ) ผมก็ยังจำคำพูดของคุณแม่มาตลอด ส่วนคุณพ่อเองก็พูดเหมือนกัน ซึ่งตอนนั้นคุณพ่อเองก็เครียด แต่เราก็ประคับประคองซึ่งกันและกัน เวลาเราเจออุปสรรคที่ทำให้เรารู้สึกแย่มากๆ คนที่เหลืออยู่คือครอบครัว พี่น้อง ภรรยา พวกเขาเป็นที่พักพิงทางจิตใจให้เราช่วงที่รู้สึกเหนื่อยยาก

เวลาเจอวิกฤติ เราไม่ช่วยตัวเองก่อน ใครก็ช่วยเราไม่ได้ ไม่ต้องหวังว่าจะไปพึ่งใคร ซึ่งผมคิดว่าคุณสมบัติที่เราต้องมี ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม คือต้องไม่ยอมแพ้ ยังไงเราก็ไม่ยอมแพ้ จะต้องผ่านไปให้ได้ เขาเรียกว่าความอดทน ความถึก! นี่คือประเด็นหลัก เมื่อเราไม่ยอมแพ้ เราเดินหน้าอย่างเดียว เราจะเริ่มตั้งสติ ไตร่ตรอง รู้ตัวว่าจะต้องทำอะไรต่อไป ยังไง และหัวใจสำคัญอีกอย่างเวลามีปัญหาหนักๆ คืออย่าโทษกัน เพราะสิ่งนี้ไม่ได้นำไปสู่อะไรที่ดีขึ้น มีแต่นำไปสู่ทางที่แย่ลง และแตกร้าว ทางที่ดีเราควรมาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะทำยังไง ดีกว่าไปหาคนผิด แล้วอย่าฟังคนอื่นให้มากนัก เพราะคนอื่นไม่ได้รู้เรื่องของเราเท่าตัวเราเอง พี่น้องเราต่างหากที่ต้องคุยกัน จับมือกันว่าต้องทำยังไง แล้วเดี๋ยวมันก็จะผ่านไป พอถึงเวลาจะเป็นแบบนั้นจริงๆ”

พนมรุ้งยังต้องไปต่อ

ตอนนี้ในสายตาคนอื่น แบรนด์ข้าวพนมรุ้งถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว แต่สำหรับคุณวิพุธเอง เขามองว่ายังมีอีกหลายช่องทางที่ทำให้แบรนด์ไปต่อได้อีกเรื่อยๆ “ตอนนี้เรายังกระจายข้าวพนมรุ้งไม่ครบ เราอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าปลีกสมัยใหม่เสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงยังมีตลาดอีกมากมายที่จับไม่ถึง เช่น ตลาดร้านค้าปลีกท้องถิ่นในต่างจังหวัดที่ยังไปได้ไม่ทั่วทั้งประเทศ หรือว่าตลาดส่งออกก็ยังมีช่องทางอีกมากมายให้ขยับขยาย วันนี้ และวันต่อๆ ไป ผมก็คงทำไปเรื่อยๆ และไม่เกษียณ ตั้งใจว่าจะทำไปจนถึงเวลาที่ผมทำไม่ไหวนั่นแหละครับ (หัวเราะ)”

 

Don`t copy text!