เต็มสิบไม่หัก! เพลงขวัญ-นัตยา ทองเสน กับบทบาท ‘หมอเรน’ ใน ดวงใจจอมกระบี่ ละครโรแมนติกคอมเมดีครั้งแรกในชีวิต
โดย : กิ่งสุรางค์ อนุภาษ
สนุกทุกตอนจริงๆ สำหรับละครเรื่องดวงใจจอมกระบี่ จากบทประพันธ์ของแสนแก้ว นวนิยายรางวัลดีเด่น หมวดนวนิยายรัก โครงการช่องวันอ่านเอา ปี 2 ซึ่งถูกนำไปสร้างต่อโดยช่องวัน 31 เรียกว่าตั้งแต่เปิดตัวมา แต่ละตอนมีทั้งความสนุก ตื่นเต้น รวมถึงความน่ารัก กุ๊กกิ๊กให้แฟนๆ ได้ลุ้น ได้อมยิ้มกันตลอด
ครั้งนี้เราเลยชวน เพลงขวัญ-นัตยา ทองเสน ผู้รับบท ‘หมอเรน’ หนึ่งในนักแสดงนำของเรื่อง มาพูดคุยถึงบทบาทของเธอและเบื้องหลังของความสนุกกัน และถึงแม้เพลงขวัญจะบอกว่านี่เป็นการเปลี่ยนแนวมาแสดงโรแมนติก คอมเมดี ครั้งแรกของเธอ แต่เราขอบอกเลยว่า ผลงานชิ้นนี้ให้สามผ่านแบบเต็มสิบไม่หัก เพราะเพลงขวัญทำให้บทบาทของหมอเรนโดดเด่น จับใจคนดูและน่ารักมากๆ เลยละค่ะ
หมอเรนในมุมมองของเพลงขวัญ
“หมอเรนเป็นผู้หญิงสมัยใหม่ กล้าคิด กล้าทำ กล้าพูด กล้าตัดสินใจ ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ด้วยความที่เป็นหมอและเป็นหมอ ER ด้วย เลยต้องมีความเป็นผู้นำนิดนึง คิดไว ทำไว ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่รักเพื่อนด้วย ซึ่งก่อนทำงานก็ต้องไปเรียนเรื่องนี้เพิ่มที่โรงพยาบาลกรุงเทพด้วยค่ะ และพี่หมอโอ๊ต (นายแพทย์พงศกร จินดาวัฒนะ) ก็เป็นคนสอน ทั้งการใส่ถุงมือ จับเข็ม การจับอุปกรณ์ การเรียกชื่ออวัยวะต่างๆ แล้วก็มีศัพท์เฉพาะของแพทย์ด้วย
หมอเรนเป็นคนที่จิตใจดีมาก ใจกว้าง จริงใจ พร้อมจะช่วยเหลือคนอื่นเสมอ ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นหมอ เขาพร้อมจะช่วยเหลือคนไข้ ช่วยเพื่อนหรือแม้กระทั่งหวังอี้เทียน ฉีเซิน แล้วก็เป็นผู้หญิงที่เก่ง ฉลาด แต่ก็ยังมีความโก๊ะ ตลก น่ารัก สู้คน สตรองมาก ซึ่งฉีเซินจะตกใจในคาแร็กเตอร์ของหมอเรนเพราะว่าในยุทธภพไม่มีผู้หญิงแบบนี้ มีแต่ผู้หญิงพูดน้อยๆ นั่งจิบชา
จริงๆ แล้วหมอเรนกับฉีเซินเหมือนจะเป็นเพื่อนคู่คิดด้วยค่ะ เพราะต่างคนต่างก็เก่ง มีความรู้รอบตัวเยอะ แล้วก็ชอบฉีเซินด้วย ชอบตั้งแต่ในนิยายแล้ว ด้วยความที่เป็นคนมาตรฐานสูง ถ้าผู้ชายไม่เจ๋งจริงจะไม่สนใจ ซึ่งตอนที่หมอเรนอ่านนิยายก็รู้สึกว่าฉีเซินนี่แหละคือผู้ชายในสเป็ก แต่พอได้มาเจอกันจริงๆ ก็จะมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เราต้องเถียงกัน บางทีเขาก็จะอึ้งที่เราก็รู้ในบางเรื่อง ในขณะเดียวกันเขาก็จะสอนเราในบางเรื่องด้วย ทั้งคู่เลยเป็นเหมือนจิกซอว์ที่มาต่อกันแล้วลงตัว แต่จะเป็นคู่รักโฮโลแกรมนะคะ เพราะเราจะแตะเนื้อต้องตัวกันไม่ได้
ซีนที่เพลงชอบมากในเรื่องนี้คือการเจอกันครั้งแรกระหว่างหมอเรนกับฉีเซินค่ะ เพราะฉีกกฎทุกข้อที่เราเคยเล่นมา เพราะไม่เคยได้เล่นแบบนี้มาก่อน รู้สึกว่านี่แหละคือหมอเรนละ”
ครั้งแรกกับการแสดงแนวโรแมนติก คอมเมดี
“ความท้าทายในเรื่องนี้ของเพลงคือการเล่นละครแบบโรแมนติก คอมเมดีนี่แหละค่ะ เพราะว่ายังไม่เคยเล่นแนวนี้มาก่อน ตอนอ่านบท ภาพในหัวคือตลกเลยนะ แต่พอไปถึงหน้าเซ็ตจริงๆ พี่ผู้กำกับ (วรวิทย์ ขัตติยโยธิน) ก็จะปรับให้อยู่ตรงกลางมากขึ้น ไม่มากไม่น้อยเกินไป เรื่องนี้ถ่ายจริงจังกันก็คือต้นปี แต่เราก็มีถ่ายก่อนนั้นบ้างแล้ว ตอนที่ได้อ่านบทก็ชอบเลยนะคะ อีกอย่างก็อยากเล่นแนวนี้มานานแล้ว ก่อนหน้านี้เคยได้ไปเล่นเรื่องสุภาพบุรุษสุดซอย มาบ้างก็รู้สึกชอบค่ะ แล้วพอมาถึงเรื่องนี้ก็มีเรื่องกำลังภายในเข้ามาอีก มีเรื่องของยุทธภพด้วย เลยยิ่งรู้สึกว่าน่าสนใจมากค่ะ”
ครั้งแรกในการร่วมงานกับเอสเธอร์และความบังเอิญเหมือน
“เพลงได้ร่วมงานกับพี่เอสเธอร์ (เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา) เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกค่ะ ก็เลยหากันอยู่ว่าจะไปทางไหน เพราะต้องเล่นเป็นเพื่อนสนิทกัน รักกันมากๆ เลยต้องเวิร์กช็อปกัน ซึ่งด้วยความเป็นมืออาชีพของพี่เอสเธอร์พาให้เราทั้งคู่ไปถึงตรงนั้นได้ไว เราเองก็พยายามทำการบ้าน เพราะเล่นเป็นเพื่อนซี้กัน ต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา เวลาอยู่กองถ่ายส่วนมากก็จะอยู่กับพี่เอสเธอร์นะคะ เกือบทุกคิวเลย ทำให้สนิทกันมากขึ้น เพราะเราก็ถ่ายกันมานานแล้ว จริงๆ แล้วเพลงเคยดูผลงานของพี่เอสเธอร์ รู้สึกว่าเขาเป็นหนึ่งในเจ้าแม่ของวงการบันเทิง แสดงเก่ง ไม่ว่าจะเป็นบทแบบไหนก็เอาอยู่ พอรู้ว่าจะได้มาร่วมงานกัน เพลงก็คุยกับไบรท์ (นรภัทร วิไลพันธุ์) เหมือนกันนะว่า พี่เอสเป็นคนยังไง เพราะเพลงกับไบรท์ รวมถึงหมอเน๋ง (ศรัณย์ นราประเสริฐกุล) ก็สนิทกันมาก่อนแล้ว มีแค่พี่เอสที่เราต้องทำความรู้จักเพิ่ม
จำได้เลยว่าวันแรกที่เข้ากอง พี่เอสเข้ามุมแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน หยิบไอแพดขึ้นมาอ่าน เราก็เข้าไปคุยกับเขาซึ่งเขาก็โอเคมากๆ ใช้เวลาแป๊บเดียวก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง แล้วเพลงกับพี่เอสก็ชอบแต่งตัวคล้ายกันแบบไม่ได้นัดหมายด้วย เช่น ตอนเวิร์กช็อป ไปเรียนปีนผา ก็จะมาแบบเสื้อกางเกงเหมือนกัน รองเท้าไซส์และแบบเดียวกัน ครูสอนแอ็กติงก็จะบอกว่าเราทั้งคู่เป็นโซลเมตกัน เพราะเราบังเอิญเหมือนกันบ่อยมาก”
ผลงานที่ได้ทลายกำแพงความรู้สึก
“ตอนแรกก็แอบกลัวนะคะว่าจะเล่นได้ไหม จะทำได้ไหม แต่พอได้ฟีดแบ็กมาก็รู้สึกดี แล้วก็สนุกในการเล่นบทหมอเรนด้วยค่ะ เหมือนเป็นการทลายกำแพงความรู้สึกนี้ของเพลงในเรื่องการทำงาน ซึ่งหมอเรนกับเพลงก็มีความเหมือนกันอยู่บ้าง เช่น เป็นคนชิว อยากทำอะไรก็ทำ และมีความรักเพื่อน จริงใจเหมือนกัน และในเรื่องนี้ยังได้ข้ามไปยุทธภพ ได้ใส่ชุดจีนด้วยนะคะ”
ความประทับใจกับ เอสเธอร์ ไบรท์ และเน๋ง
“พี่เอสเป็นคนเก่ง เราเองก็ได้สังเกตวิธีการเล่น การแสดงของเขา แล้วรู้สึกว่าเป็นนักแสดงมืออาชีพมาก ไม่ต้องทำให้ใครรอเลย เป็นนักแสดงรุ่นพี่ที่เราชอบงานเขามากเหมือนกัน ส่วนไบรท์ เราทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกันอยู่แล้ว เล่นละครมาด้วยกันประมาณ ๔-๕ เรื่อง เจอกันทุกปี เป็นธรรมเนียมว่าเพลงไบรท์ต้องเจอกัน คนนี้เรายิ่งไม่มีกำแพงเลยค่ะ แต่ก็ได้เห็นนิสัยของเขาที่ต่างไป คือวัยหนึ่งการทำงานเขาเป็นแบบนี้ แต่ตอนนี้เขาโตขึ้น เก่งขึ้น
เพลงว่าไบรท์เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก แคร์คนรอบข้างมากขึ้น ใจที่กว้างอยู่แล้วของเขาก็กว้างขึ้นอีก เขาเป็นคนที่คุยได้ทุกเรื่องและรับฟังเราได้ทุกเรื่องจริงๆ ส่วนหมอเน๋งเป็นคนที่ทำงานหนักนะ แต่ไม่เคยบ่น เป็นพลังงานดีๆ ที่เราอยากทำงานด้วย เพราะจริงๆ การแสดงเรื่องนี้กับหมอเน๋งก็ยากเหมือนกันนะคะ เพราะเราไม่เคยเล่นคู่กัน แล้วยิ่งมาเป็นเวอร์ชั่นที่ข้ามยุทธภพมาด้วย ความยากเลยมีเพิ่มขึ้น แต่เราต่างมีความพยายาม ทำให้พอแสดงไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง เพราะทุกคนก็อยากให้งานออกมาดีที่สุดค่ะ”
สิ่งที่ได้รับจากดวงใจจอมกระบี่
“ต้องขอบคุณพี่หว่อผู้กำกับ เขาจะคอยสอนเสมอว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ก็ต้องมีความคิดบวกตลอด ถ้าสมมติเราเล่นแบบลูสเซอร์ อาจไม่มีคนเชียร์ซึ่งเราได้ยินมานานแล้วว่าอย่าเล่นลูซเซอร์ แต่เรายังหาทางไม่เจอ จนได้มาทำงานกับพี่หว่อแล้วเราจับทางเขาได้ว่าทางนี้เวิร์ก และการที่ตัวละครไม่ได้ท้อต่ออุปสรรคต่างๆ ทำให้ตัวละครมีพลังมากขึ้นด้วย จริงๆ พี่เขาก็ไม่ได้มานั่งพูดกับเราหรอกว่าต้องทำอย่างนี้ๆ แต่การที่ได้ทำงานกับเขาทำให้เราเข้าใจเอง คือพอพี่เขากำกับแบบนี้ เราก็จับตรงนี้ได้ก้อนหนึ่งว่ามันก็เวิร์กนะกับการเป็นคนคิดบวกที่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงและทุกอย่างมีทางออก
ส่วนการเล่นลูสเซอร์ก็เช่น ถ้าของเราหาย แล้วเราหาว่า หายไปไหน น้ำเสียง พลังจากข้างใน ท่าทางของลูสเซอร์จะเป็นแบบหนึ่ง แต่ถ้าเราคิดบวก ต่อให้จะหาของอยู่เหมือนกันแต่ถ้าเรารู้ว่าเราจะเจอแน่ๆ พลังในการแสดงออกก็จะต่างกันค่ะ เพลงไม่ได้บอกว่าการแสดงแบบลูสเซอร์ผิดนะคะ แต่ด้วยคาแร็กเตอร์ของหมอเรนเป็นแบบนี้ เราเลยต้องเลือกใช้มุมมองนี้ในการแสดง และด้วยความที่เป็นโรแมนติก คอมเมดี ต้องไม่มีจังหวะไหนที่เราหงอ ต้องใช้พลัง ไม่อย่างนั้นคนดูก็จะไม่จอยไปกับเรา ทำให้เราต้องจับจุดแต่ละเรื่องให้เป็นเรื่องใหญ่ ให้มีพลังให้ได้ ซึ่งยากนะคะเพราะบางทีก็หาไม่เจอ พี่ผู้กำกับก็จะคอยมาบอกว่าคิดแบบนี้ได้เหรอ ช่วยๆ กันปรับไปและทำให้เรากล้าคุยในเรื่องการแสดงกับเขามากขึ้นค่ะ”
ตามหาเสน่ห์ของหนังจีนกำลังภายใน
“ก่อนหน้านี้เพลงไม่เคยดูซีรีส์จีนกำลังภายในเลย แต่พี่ลักษณ์ (ศิริลักษณ์ ศรีสุคนธ์) ที่เขียนบทกับพี่หว่อผู้กำกับก็จะคอยบอก แนะนำว่ามีเรื่องไหนที่สนุกบ้าง เราก็เลยมีไปดู ไปหยิบคาแร็กเตอร์มาบ้างนิดหน่อย ซึ่งก็ค่อนข้างยากนะคะถึงแม้จะอยู่ในพาร์ตปัจจุบัน เราต้องไปหาว่าชอบอะไรในนิยายจีน ไปหาเสน่ห์ของเขา ดูไปดูมาก็ตกหลุมรักคาแร็กเตอร์ของจอมยุทธ์ไปด้วย และพอนำบทของเรากับสิ่งที่ดูมารวมกันก็สามารถที่จะก่อให้เกิดความรู้สึกอะไรสักอย่างที่ทำให้รู้สึกเลิฟสิ่งนี้ได้ค่ะ”
การมีความรักที่ดีจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้น
“ตอนที่เราทำงานเรื่องนี้ อย่างแรกที่รู้สึกเลยคือสนุก เลยคิดว่ายังไงคนดูก็ต้องสนุก แล้วก็ยังได้ในเรื่องของความรักด้วย ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์กับเพื่อน หรือกับคนรัก ซึ่งไม่ว่าจะรักใคร ถ้าเรามีรักที่ดีก็จะทำให้ชีวิตเราดีขึ้นได้ แล้วนี่ก็เป็นความเชื่อส่วนตัวของเพลงด้วยค่ะ”
ทำตัวเป็นพระอาทิตย์ที่พร้อมจะขึ้นใหม่ได้ทุกวัน
“ถ้านับจากวันแรกที่เข้ามาใน The Face Thailand – Season 3 ถึงตอนนี้ เรื่องที่เปลี่ยนไปจนเราเห็นคือ เพลงสตรองมากขึ้นค่ะ ตอน The Face เรายังเด็กๆ มาจากต่างจังหวัดแล้วก็มาทำงานในวงการบันเทิงเลย เวลามีคนมาคอมเมนต์ก็ช็อก ถึงวันนี้ก็ยังช็อกแหละ (หัวเราะ) แต่ก็เข้าใจอะไรมากขึ้น อะไรที่ข้ามได้ก็ข้าม ไม่ต้องใส่ใจทุกอย่าง
แล้วพอย้ายมาเป็นพาร์ตการแสดง เราเรียนรู้ว่าต้องมีความพยายามมากๆ ใครบอกเป็นนักแสดงสบาย ไม่จริงเลย สำหรับเพลงการทำงานตรงนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ กว่าจะมาถึงวันนี้ก็เสียน้ำตามาเยอะเหมือนกัน บางทีก็รู้สึกท้อแต่ก็อยากทำงานตรงนี้ต่อ เลยต้องพักนิดหนึ่งเพื่อให้เราบูตพลังตัวเองใหม่ เริ่มใหม่ แล้วแม่เพลงก็จะคอยให้กำลังใจ บอกเพลงว่าเราต้องทำตัวเป็นพระอาทิตย์ที่พร้อมจะขึ้นใหม่ได้ทุกวัน พรุ่งนี้พระอาทิตย์ก็ขึ้นใหม่ พรุ่งนี้เราก็แค่เริ่มใหม่ แต่ก็ต้องอาศัยการฝึกจิตให้คิดแบบนี้ให้ได้ด้วย
การทำงานตรงนี้ทำให้เพลงได้ประสบการณ์ที่ดีเยอะ ที่ผ่านมาก็เล่นดรามาตลอด แต่พอมาเรื่องดวงใจจอมกระบี่ก็เปลี่ยนมาเล่นโรแมนติก คอมเมดี ซึ่งก็เหมือนทำให้เราได้เบรกตัวเองนิดนึงด้วยค่ะ จากนี้บทที่เพลงอยากเล่นคือบทเเซบๆ ร้ายๆ แรงๆ เพราะคิดว่าน่าจะท้าทายเรามากเหมือนกันค่ะ”