
พงศกร กับรางวัลแห่งปี เมื่อปลายปากกาสื่อสารหัวใจมนุษย์กับธรรมชาติ
โดย : กิ่งสุรางค์ อนุภาษ
![]()
ถือว่าเป็นปีพิเศษมากๆ ที่ปีนี้ คุณหมอโอ๊ต–นายแพทย์พงศกร จินดาวัฒนะ สามารถคว้ารางวัลทรงเกียรติได้ถึง ๔ รางวัลจาก ๒ สถาบัน ไม่ว่าจะเป็นผลงานเรื่อง ‘เฌอ’ ที่ได้รับรางวัลชมเชย หนังสือสำหรับเด็กวัยรุ่น อายุ ๑๒-๑๘ ปี ประเภทบันเทิงคดี จากการประกวดหนังสือดีเด่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ประจำปี ๒๕๖๘, รางวัลชนะเลิศ ประเภทวรรณกรรมเยาวชน เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประจำปี ๒๕๖๘, ผลงานเรื่อง ‘พยับฟ้าโพยมดิน’ ซึ่งได้รับรางวัลชมเชย ประเภทนวนิยาย จากการประกวดหนังสือดีเด่น สพฐ. ปีเดียวกัน และผลงานเรื่อง ‘รฦกรส’ ที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒ ประเภทนวนิยาย เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประจำปี ๒๕๖๘
การได้รับการยอมรับผลงานในเวลาที่ใกล้เคียงกันเช่นนี้สร้างทั้งความดีใจและภาคภูมิใจให้กับคุณหมอโอ๊ตอย่างมาก
“การที่เป็นนักเขียนแล้วมีคนติดตามอ่านของเรา มีแฟนประจำ ผมว่าเป็นรางวัลที่ดีมาก ๆ ของนักเขียนทุกคนอยู่แล้วครับ แต่พอเราส่งประกวดกับองค์กรหรือสถาบันแล้วได้รางวัล ไม่ว่าจะเป็นสพฐ. หรือเซเว่นบุ๊ค ก็เป็นความภูมิใจ ดีใจที่คณะกรรมการมองเห็นสิ่งที่นักเขียนอยากจะสื่อถึงผู้อ่านจนได้รับรางวัล ต้องขอกราบขอบพระคุณคณะกรรมการทุก ๆ ท่านที่เห็นคุณค่าของงานเขียน
“ที่ผ่านมา ผมก็ไม่ได้ส่งงานประกวดมาหลายปีแล้วเหมือนกัน เพิ่งกลับมาส่งในช่วงปีนี้ และผมเชื่อว่าเมื่อหนังสือได้รับรางวัล ก็อาจทำให้มีคนอ่านมากขึ้น หรือจากที่ไม่เคยสนใจ ก็อาจลองหยิบมาอ่าน ผมมองว่านี่เป็นกุศโลบาย เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้สื่อสารกับคนอ่านอย่างที่เราอยากจะบอก”

สามเรื่อง สามหัวใจเดียวกัน
“อย่างเรื่อง พยับฟ้าโพยมดิน ผมอยากเล่าเรื่องของธรรมชาติกับการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ เพราะความจริงมนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเดียวบนโลกใบนี้ เรายังอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ทั้งพืช พันธุ์ และสัตว์ รวมถึงลมฟ้าอากาศ ถ้าเราอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล ชีวิตของทุกคนก็จะมีความสุข ส่วนเรื่อง รฦกรส เป็นเรื่องของสองครอบครัว ครอบครัวที่มีธุรกิจขนาดใหญ่ กับอีกครอบครัวหนึ่งที่ทำธุรกิจเล็ก ๆ วันหนึ่งธุรกิจใหญ่พยายามขยายจนกลืนกินธุรกิจเล็ก ในขณะที่ฝ่ายเล็กก็พยายามยืนหยัดต่อสู้ ซึ่งผมมองว่าในที่สุดทุกคนอยู่ร่วมกันได้ โดยหาจุดสมดุลที่เหมาะกับทั้งสองฝั่ง”
สำหรับ เฌอ เป็นเรื่องของคนเล็ก ๆ สี่ถึงห้าคน ที่พยายามจะรักษาต้นไม้ต้นหนึ่งเอาไว้ สิ่งที่พวกเขาทำอาจดูเล็กในสายตาคนอื่น แต่กลับยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขา
“ผมอยากบอกผ่านเรื่องนี้ว่าเราต่างเป็นฮีโร่กันได้ทุกคน และการเป็นฮีโร่ไม่จำเป็นต้องมีพลังวิเศษอะไรเลย แต่เป็นฮีโร่ในแบบของตัวเอง เพียงแต่ว่าเราจะลุกขึ้นมาทำให้เกิดขึ้นไหม”
ถึงแม้ รฦกรส, เฌอ, และ พยับฟ้าโพยมดิน จะเล่าเรื่องราวที่ต่างกัน แต่ทั้งหมดมีหัวใจร่วมเดียวกัน “คือการใช้ชีวิตของคนเราต้องอยู่บนพื้นฐานของศีลธรรม ต้องไม่เบียดเบียนคนอื่น บางคนมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง แต่ผมมองว่าจะยิ่งใหญ่มาก ถ้าเรามีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น เพื่อสังคมด้วย ประเด็นนี้คือสิ่งที่ซ่อนอยู่ในทั้งสามเรื่องครับ”

รฦกรส : ความทรงจำ ความผูกพัน และรสชาติของรัก
“แรงบันดาลใจมาจากความรู้สึกว่าอาหาร โดยเฉพาะอาหารรสมือแม่ รสมือที่ทำกันกินในบ้าน มีความพิเศษ มีรสชาติบางอย่างที่ไม่ใช่แค่ความอร่อย แต่มีความรักอยู่ในนั้น”
ในเรื่องนี้ พระเอกเติบโตขึ้นมาพร้อมความทรงจำเกี่ยวกับอาหารจานหนึ่ง ที่เชื่อมโยงเขากับอดีตอันลึกลับ เป็นจุดเริ่มต้นของการตามหารากเหง้าของตัวเองผ่านรสชาติอาหาร
“สมองส่วนที่จดจำรสชาติอาหารเป็นสมองที่ทำงานแบบ deep memory ฝังลึกอยู่ แม้เวลาผ่านไป เรายังจำความอร่อยของขนมวัยเด็กได้อยู่เสมอ นั่นคือกลไกการจดจำของร่างกายที่อธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ครับ”
นอกจากการระลึกรสชาติ รฦกรส ยังพูดถึงความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว
“สังคมไทยเป็นสังคมของครอบครัว เป็นจุดแข็งที่ต่างจากตะวันตก เราเติบโตมาพร้อมปู่ย่าตายาย แม้อาจไม่รักกันมาก แต่เมื่อเกิดวิกฤต เรามักช่วยกันได้เสมอ ครอบครัวจึงเป็นพื้นฐานสำคัญของสังคม เรื่องนี้ผมจึงใส่ความสัมพันธ์ครอบครัวลงไปเสมอ แม้แต่ใน พยับฟ้าโพยมดิน ก็มีเรื่องของพี่น้อง ส่วน เฌอ ก็ชัดเจนมาก เป็นเรื่องของมิตรภาพในวัยเยาว์ครับ”
เฌอ : กลิ่นอายมิตรภาพที่อบอวล
หากเป็นแฟนพงศกรจะเห็นว่า เฌอ มีวิธีการเล่าเรื่องที่ต่างไปจากผลงานก่อน ๆ ซึ่งคุณหมอโอ๊ตได้เล่าว่า
“ในแต่ละบทผมเขียนสั้นลง ไม่ได้บรรยายบริบทมาก แต่ดิ่งลึกสู่ความรู้สึกของตัวละคร ให้เห็นว่าแต่ละคนคิดอย่างไร มองโลกแบบไหน ให้ความสำคัญกับเพื่อนอย่างไร เป็นวิธีเล่าที่ไม่เคยใช้มาก่อน แต่ถึงเปลี่ยนวิธี สำนวนก็ยังเป็นของพงศกรอยู่ดี” และถ้าอ่านดีๆ จะรู้ว่าหัวใจของเรื่องนี้คือ ต้นไม้ “ถ้าถามผม ต้นไม้คือตัวเอก เพราะมันคือแก่นของทุกบท ทุกตัวละคร เพียงแต่ไม่มีบทพูดเท่านั้นเอง แต่เขาก็สื่อสารนะ ถ้าอ่านถึงบทสุดท้ายจะรู้เลยครับ”
ในเรื่องต้นไม้ที่คุณหมอโอ๊ตเล่าคือต้นก้ามปู แต่ต้นไม้ที่ผูกพันในชีวิตจริงของคุณหมอคือต้นหูกวาง
“ต้นหูกวางต้นนี้อยู่หน้าค่ายภานุรังษี จังหวัดราชบุรี ตอนเด็ก ๆ ผมไปวิ่งเล่น ซื้อขนมอยู่แถวนั้นเสมอ จนวันหนึ่งมันถูกตัดทิ้ง ซึ่งตอนนั้นผมไปเรียนอยู่ขอนแก่นแล้ว พอกลับมาก็พบว่ามันหายไป รู้สึกเลยว่าเหมือนความทรงจำชิ้นหนึ่งถูกตัดขาด และวันนั้นเองผมจึงรู้ว่าผมผูกพันกับมันมากแค่ไหน และจากความทรงจำนี้เอง กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผมสร้างต้นก้ามปูใน เฌอ ขึ้นมา ให้ต้นไม้ต้นนี้เหมือนเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ความผูกพัน และความทรงจำของผู้คนในชุมชนครับ”

พยับฟ้าโพยมดิน : การอยู่ร่วมกับธรรมชาติด้วยความเคารพ
เรื่องนี้เล่าการผจญภัยตามหาคนหายบนเทือกเขาในภูฏาน เต็มไปด้วยความลึกลับ พลังเหนือธรรมชาติ และตำนานท้องถิ่น
“ผมมีเพื่อนเป็นหมอชาวภูฏานครับ เขาเล่าเรื่องบ้านเมือง ความเชื่อพื้นถิ่นให้ฟัง ผมเองก็เคยไปด้วย ภูฏานเป็นประเทศที่ใช้ดัชนีความสุขเป็นตัววัดความเจริญ พูดถึงเรื่องซีโร่คาร์บอน เหล่านี้สะท้อนว่าประเทศเขาให้ความสำคัญกับธรรมชาติ เวลาเล่าถึงใส่รายละเอียดเหล่านี้ลงไปในนิยาย”
ในแง่การเดินทางของตัวละคร คุณหมอโอ๊ตอธิบายว่าเป็นทั้งการผจญภัยและการเดินทางทางจิตใจ
“ตัวละครมีสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งมาจากโลกสมัยใหม่ อีกกลุ่มคือชาวภูฏานที่อยู่กับธรรมชาติ วิธีคิดต่างกันคนละขั้ว แต่ระหว่างการเดินทาง พวกเขาค่อย ๆ เรียนรู้และเกิดความเคารพในธรรมชาติ เช่น ตอนที่เดินเข้าไปในดงเห็ดพิษ เห็ดไม่ได้ทำร้ายมนุษย์ แต่มันปกป้องตัวเอง สิ่งเหล่านี้ทำให้ตัวละครเรียนรู้การอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลครับ”
กลิ่นและรสสัมผัสจากงานของพงศกร
ในยุคที่ผู้คนเร่งรีบและขาดการเชื่อมโยงกับสิ่งรอบตัว สิ่งหนึ่งที่คุณหมอโอ๊ตอยากให้ผู้อ่านได้รับจากงานเขียนของเขาคือ การทบทวนตัวเอง
“อยากให้ถามตัวเองว่า เราอยู่ห่างจากธรรมชาติเกินไปไหม อยู่ในสังคมที่แข่งขัน สะสมวัตถุมากเกินไปหรือเปล่า บางคนอาจชอบแบบนั้นก็ไม่ผิด แต่ถ้ารู้สึกเหนื่อย ชีวิตไม่มีความสุข ลองทบทวนตัวเองว่าเราลืมอะไรไปหรือเปล่า เช่น ลืมรสอาหารฝีมือแม่ ลองกลับบ้านไปกินข้าวที่แม่ทำ หรือเวลาเที่ยวป่า เที่ยวธรรมชาติ เราเห็นดอกไม้ผ่านเลนส์ หรือเห็นด้วยตา ได้กลิ่นจริง ๆ หรือเปล่า ซึ่งถ้าอ่านนิยายแล้วรู้สึกเหมือนถูกสะกิดความคิดขึ้นมาสักนิด ผมก็ถือว่านิยายได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์แล้วครับ”

เส้นทางต่อจากนี้
“ถ้าติดตามผลงานผมมาตลอด จะเห็นว่าเส้นเรื่องหลักของพงศกรคือ มนุษย์กับธรรมชาติ และ ความสมดุลของชีวิต สำหรับ เรื่องแฟนตาซี ลึกลับ สืบสวน เป็นเพียงกลวิธีพาผู้อ่านไปถึงใจความเท่านั้น อย่าง รฦกรส ผมใช้แนวฟีลกู๊ดฮีลใจ แต่สุดท้ายก็พูดถึงสมดุลของชีวิต ส่วน พยับฟ้าโพยมดิน ถึงจะเป็นแฟนตาซี แต่จุดหมายคือการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ส่วน เฌอ ก็ชัดมากในเรื่องธรรมชาติกับมนุษย์ ดังนั้น เรื่องต่อ ๆ ไปก็คงยังมีหัวใจแบบนี้อยู่ครับ”
สำหรับนักเขียนที่ใฝ่ฝันอยากมีรางวัลติดมือสักครั้ง คุณหมอโอ๊ตฝากข้อคิดไว้ว่า
“ผมอยากให้ทำงานเขียนอย่างมีความสุข ซื่อสัตย์กับตัวเอง อย่าพยายามเขียนเพราะอยากได้รางวัล เพราะแบบนั้นมันกดดันและไม่มีความสุข เรื่องรางวัลมีปัจจัยมากมายที่เราควบคุมไม่ได้ แต่สิ่งที่นักเขียนควบคุมได้คือ ความสนุกของเรื่อง และ ความซื่อสัตย์ในสิ่งที่อยากสื่อ ทำสิ่งนี้ให้ชัดเจน สนุก และมีความสุข นั่นแหละคือรางวัลที่แท้จริงของนักเขียนครับ”







