พันธรตี บทที่ 2 : คืนไฟดับ

พันธรตี บทที่ 2 : คืนไฟดับ

โดย : บุญฐิสา

Loading

“พันธรตี” โดย บุญฐิสา ได้จบลงแล้วนะคะ หากเพื่อนๆ ท่านใดอยากได้รวมเล่มไว้อ่านให้หายคิดถึงเจ้าหลวงมังคละและเจ้ามิ่งทิพย์ สามารถสั่งซื้อได้ที่ เพจ : บุญฐิสา FB : Praew Boonthisa หรือ E-mail : Boonthisa_writer@hotmail.com นะคะ

****************************

– 2 –

เรือนไทยประยุกต์หลังงามผสมผสานระหว่างความคลาสสิกและทันสมัยอย่างลงตัว ลักษณะเป็นบ้านสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ หลังคาทรงมะนิลาคลุมด้วยกระเบื้องสีน้ำตาลอ่อน ขนาดสองห้องนอนสองห้องน้ำ ชั้นล่างเปิดโล่งรับลมเย็นๆ กลายเป็นใต้ถุนบ้านเสียครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งเป็นพื้นที่ห้องครัวและห้องทำงานของผู้เป็นเจ้าบ้าน โดยเน้นโทนสีขาวที่ดูแล้วชวนให้สบายตา มีบันไดทั้งในบ้านและนอกบ้าน เมื่อขึ้นบันไดหน้าบ้านไปแล้วก็จะพบกับชั้นบนซึ่งแบ่งส่วนพื้นที่นั่งเล่นหรือเอาไว้รับแขกเป็นส่วนแรก ประตูหน้าต่างกระจกเปิดอ้ากว้าง มีระเบียงที่สามารถนั่งชมสวนและบ่อปลาซีเมนต์เล็กๆ ด้านล่างได้เป็นอย่างดี

ในที่สุดบ้านใหม่ของธรรมนูญก็เสร็จเรียบร้อยตามกำหนดการ เป็นที่เลื่องลือถึงความสวยงามและทันสมัยเหนือใครในดอยไม้แดง โดยในวันนี้บรรยากาศค่อนข้างคึกคักเพราะมีงานขึ้นบ้านใหม่ แม้จะเหน็ดเหนื่อยและวุ่นวายแต่ทุกคนก็ยังคงยิ้มแย้มกันถ้วนหน้า

“ขอบคุณน้าบัวซอนมากนะครับที่มาช่วย แถมยังชวนชาวบ้านคนอื่นๆ มาร่วมด้วยอีก ไม่อย่างนั้นลำพังแค่ตัวผมคนเดียวคงจะลำบากมากแน่ๆ” ชายหนุ่มเอ่ยกับหญิงวัยกลางคนซึ่งกำลังยืนสั่งการให้จัดเตรียมเครื่องคาวหวานที่จะถวายแด่พระสงฆ์อยู่ ตอนแรกเขาคิดว่าจะจ้างคนทำอาหารสักสองสามอย่างไว้จัดเลี้ยงถวายพระ ส่วนอื่นๆ ก็คงต้องจัดการเอง แต่พอเอาเรื่องนี้ไปสอบถามกับภรรยาผู้ใหญ่คำปัน อีกฝ่ายก็รีบร้องบอกว่าไม่จำเป็นต้องจ้างใคร ถ้าหากไม่มีปัญหาอะไรนางจะขอชวนเพื่อนบ้านไปอีกจำนวนหนึ่งเพื่อช่วยงานทุกอย่างเอง ดังนั้นวันนี้เขาจึงไม่ได้เหนื่อยเท่าที่ควรจะเป็น

“ไม่เป็นไรจ้ะ แล้วทุกคนเขาก็ยินดีกันทั้งนั้นใครพอจะมีเวลาว่างก็มาช่วยๆ กัน” นางบัวซอนบอกด้วยรอยยิ้มกว้าง จากที่ตอนแรกคุยภาษาไทยกลางอย่างติดขัดและผิดๆ ถูกๆ เป็นที่น่าขัน แต่พอได้พูดบ่อยครั้งเข้าก็เริ่มคล่องปากมากขึ้น

“คุณมนู พระท่านเดินทางมาถึงแล้วนะคะ” พรเพ็ญเดินเข้ามาบอก ในวันนี้หญิงสาวสวมเสื้อและกระโปรงทรงบานยาวครึ่งแข้งดูสดใสแต่ก็ยังคงความสุภาพเอาไว้

“อ้อ มาถึงแล้วหรือครับ” เขากล่าวตอบหญิงสาวที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีแล้ว

“ใช่ค่ะ เดี๋ยวคงได้เริ่มพิธีกัน ข้างล่างนี่เพ็ญกับแม่จะดูแลให้เองไม่ต้องห่วงค่ะ”

ได้ยินดังนั้นธรรมนูญจึงปลีกตัวออกมายืนรอรับพระอยู่หน้าบ้าน ร่างสูงโปร่งยังไม่วายหันซ้ายแลขวาเพื่อมองหาทิพย์อย่างกระวนกระวายใจ อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะมาตามคำเชิญหรือไม่ ทว่ากลับไม่เห็นแม้เงา หลังจากวันนั้นก็มีเหตุให้ได้พบกันอีกสองสามครั้ง เขาจึงแน่ใจได้ว่าหญิงสาวรับทราบกำหนดการวันขึ้นบ้านใหม่แล้วอย่างแน่นอน ที่ไม่ได้มาคงเพราะต้องไปทำงานรับจ้างที่ไหนสักที่เสียมากกว่า

ด้านผู้ใหญ่คำปันมีหน้าที่ไปรับพระสงฆ์และเณรมานั้นก็อยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างจะลำบากใจไม่น้อย เณรทั้งสองรูปลงมาจากหลังรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่แล้ว แต่ฝ่ายพระยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมลุกจากรถง่ายๆ แววตาหวาดระแวงอย่างเห็นได้ชัด

“นิมนต์ลงมาจากรถเต๊อะ กำเดียวจะเลยฤกษ์งามยามดีเหียก่อน” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ

“ตุ๊ (1) ก่บอกแล้วว่าบ่พร้อมรับกิจนิมนต์ครั้งนี้แต้ๆ” พระสมศักดิ์มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกนัก

“เยี๊ยะจะใดได้ล่ะ ตุ๊ลุง (2) หลุต๊อง (3) จนมาบ่ไหว แล้วทั้งวัดก่มีตุ๊อยู่ตวยกั๋นแค่สองต๋น”

“นี่ก่เพิ่งบวชได้บ่ครบพรรษา สวดติดๆ ขัดๆ อยู่เลย แล้วยัง…”

“มาถึงนี่แล้วจำเป็นต้องเดินหน้าต่อละครับ เอาเต๊อะ รีบสวดจะได้รีบปิ๊กนะ” ชายวัยกลางคนรีบพูดดักไว้ก่อน ราวกับกลัวในสิ่งที่อีกฝ่ายจะพูดออกมาและมันคงทำให้เขาใจแป้วลงไปไม่น้อย

พระหนุ่มฟังที่อีกฝ่ายพูดก็ถอนหายใจยาวเหยียดก่อนลงจากรถ สาวเท้ามุ่งตรงไปยังเรือนไทยประยุกต์หลังงามซึ่งเจ้าของบ้านยืนต้อนรับอยู่ที่เชิงบันไดเรียบร้อยแล้ว

“นมัสการครับ” ธรรมนูญประนมมือไหว้พลางค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อมหากยังคงความสง่างาม เป็นอากัปกริยาของผู้ที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี

“เจริญพร” เมื่อได้พบกับฝ่ายเจ้าบ้านพระใหม่ย่อมต้องสำรวมตนเองยิ่งกว่าตอนพูดคุยกับผู้ใหญ่คำปันที่รู้จักกันมานาน ตัดความลุกลี้ลุกลนทั้งหลายทิ้งไปเหลือเพียงความสงบนิ่งเท่านั้น แม้จะไม่อาจปิดบังแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นจากส่วนลึกในจิตใจ

ฝ่ายเจ้าบ้าน พระเณร และผู้ใหญ่คำปันจึงพากันขึ้นไปบนบ้าน ชายหนุ่มเองก็วุ่นวายอยู่กับหลายๆ อย่างจนไม่ได้สนใจว่ามีเสียงรถแล่นเข้ามาในเขตบ้าน เวลาผ่านไปพักหนึ่งพรเพ็ญถึงได้เดินมาหาด้วยสีหน้าแปลกๆ

“สีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะครับ เป็นอะไรหรือเปล่า นั่งพักก่อนไหม” เขาเห็นสภาพอีกฝ่ายแล้วก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา

“คุณมนูคะ มีแขกมาหาค่ะ”

“ใครครับ” ร่างสูงโปร่งชะงักงัน นึกไม่ออกว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร ด้วยไม่ได้เชิญญาติพี่น้องคนไหน ทุกคนแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาย้ายมาอยู่ส่วนไหนของประเทศไทย

หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่นราวกับไม่กล้าเอ่ยคำนั้นออกมา เมื่ออีกฝ่ายยังคงมองมาด้วยสีหน้าสงสัย อึดใจหนึ่งกว่าที่จะเปิดปากกล่าวออกมาได้

“เธอบอกว่า…เป็นภรรยาของคุณค่ะ!”

นับจากวันแรกที่ธรรมนูญมาปรากฏตัวที่บ้าน เธอก็ได้เจออีกฝ่ายหลายครั้ง เห็นชายหนุ่มเทียวไปเทียวมาเพื่อตรวจสอบงานก่อสร้างบ้านเพียงลำพัง พอมีคนถามว่าจะย้ายมาอยู่กับใครอย่างไร เขาก็ตอบตามเดิมว่าจะมาอยู่คนเดียว

พรเพ็ญรวมถึงชาวบ้านแทบทุกคนจึงคิดว่าลูกบ้านคนใหม่ของดอยไม้แดงผู้นี้คงยังเป็นโสด จนกระทั่งมาถึงตอนนี้…เธอยังคงหวังว่ามันอาจจะเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้น แต่พอเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายที่เคร่งขรึมลง ครูสาวก็รู้แน่อยู่แก่ใจว่าเขามีภรรยาแล้วจริงๆ

“ผมขอตัวก่อนนะครับ” ธรรมนูญบอกก่อนจะสาวเท้ายาวๆ ลงไปยังชั้นล่าง ทันได้เห็นท้ายรถแล่นออกจากบ้านอยู่ลิบๆ ทิ้งไว้เพียงหญิงสาวผู้หนึ่งกับกระเป๋าเดินทางใบโตเท่านั้น เธอมีรูปร่างผอมเพรียว ผมซอยสั้นรับกับการแต่งกายที่ดูทันสมัยสมกับเป็นสาวผู้มาจากเมืองกรุง

“ปัด…มาที่นี่ทำไม แล้วนั่นสมพรไปไหน” ร่างสูงโปร่งรีบเข้าไปสกัดไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะลากกระเป๋าเข้าบ้านได้ทัน

“น้องให้สมพรกลับไปแล้วค่ะ” ปัทมาตอบด้วยรอยยิ้มน้อยๆ แม้อีกฝ่ายจะทำเสียงเข้มตาดุใส่แต่เธอก็ยังคงความสงบนิ่งเอาไว้ได้ เพราะรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าเมื่อมาถึงจะต้องพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้

“กลับไปแล้วทิ้งเธอไว้ที่นี่เนี่ยนะ”

“สมพรเป็นคนขับรถ ในเมื่อทำหน้าที่เสร็จแล้วเขาก็ต้องกลับไปอย่างไรล่ะคะ”

“อย่ามาเล่นลิ้น ต้องการอะไร”

“น้องก็จะมาอยู่กับพี่มนู”

“ตกลงกันแล้วนี่ว่าเธอจะอยู่บ้านที่กรุงเทพฯระหว่างที่เราทำเรื่องหย่า” น้ำเสียงแข็งๆ บ่งบอกอารมณ์ที่คุกรุ่นของผู้พูดได้เป็นอย่างดี เจ้าตัวหันมองรอบตัวทีหนึ่ง แม้จะรู้ว่าตกเป็นเป้าสายตาของชาวบ้านที่มาร่วมงาน แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่ทั้งสองยืนอยู่บริเวณลานหน้าบ้าน รอบๆ ไม่มีใครอยู่ใกล้จนอาจจะได้ยินสิ่งที่พูดคุยกันอยู่นี้ให้ต้องเป็นที่อับอาย

หญิงสาวเริ่มมีสีหน้าเจื่อนลงเพราะปกติชายหนุ่มค่อนข้างใจดี น้อยครั้งที่จะโกรธใครๆ ทว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้คงทำให้เขาเหลืออดเหลือทนแล้วจริงๆ หากในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วเธอก็ไม่คิดจะถอยหลังกลับอีกต่อไป เยื่อใยบางๆ ที่เชื่อมระหว่างทั้งสองกำลังจะขาดลงจึงต้องพยายามยื้อมันเอาไว้จนสุดชีวิต

“คนเป็นภรรยาก็ต้องอยู่กับสามีไม่ใช่หรือคะ” ปัทมาบอกตาใส

“เลิกเอาคำๆ นี้มาอ้างเสียที เธอก็รู้ว่าเรื่องระหว่างเรามันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะคุณย่าพี่จะไม่มีวัน…” คำพูดตรงๆ อาจจะเป็นการทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายแต่ธรรมนูญชัดเจนมาตลอดว่าเขาคิดอย่างไร

“พี่รับปากกับคุณย่าไว้แล้วไม่ใช่หรือว่าจะดูแลน้องแล้วทำไมถึงทิ้งน้อง” ปัทมาก้มหน้าน้ำตาริน

“พี่ไม่ได้ทิ้ง” ธรรมนูญว่าพลางถอนหายใจ แต่น้ำเสียงก็อ่อนลงหลายส่วน

“แล้วการที่พี่มาอยู่ที่นี่แต่ปล่อยให้น้องอยู่กรุงเทพแบบนี้จะให้เรียกว่าอะไรคะ”

ชายหนุ่มจนด้วยคำพูด…ยังไม่ทันได้กล่าวอะไรต่อก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาใกล้ๆ เสียก่อน

“เอ่อ…ใกล้ได้ฤกษ์ยามที่กำหนดไว้แล้วนะ” ผู้ใหญ่คำปันเข้ามาเตือน โดยไม่แม้แต่จะสนใจว่าคนทั้งสองกำลังพูดคุยอะไร หรือมีท่าทางแปลกไปอย่างใด เพราะจิตใจจดจ่ออยู่แต่ว่าอยากจะให้พิธีผ่านไปอย่างราบรื่นโดยเร็วเท่านั้น

“ขอบคุณที่มาเตือนครับผู้ใหญ่ ผมกำลังจะขึ้นไปพอดี” เมื่อชายวัยกลางคนเดินจากไปแล้วเขาจึงหันมากล่าวว่า “เช็ดน้ำตาเสียก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวขึ้นไปไหว้พระด้วยกันก่อน หลังจากนี้เราค่อยคุยกันอีกที”

“ค่ะ” หญิงสาวปาดรอยน้ำตาออกจากใบหน้าก่อนจะพยายามทำสีหน้าให้สดชื่นขึ้น

ร่างสูงโปร่งเป็นฝ่ายเดินนำไปก่อน ในขณะที่คนเดินตามหลังแอบเผยรอยยิ้มออกมานิดๆ เพราะในที่สุดก็สามารถอยู่ที่นี่ได้ตามอย่างที่ใจหวัง

‘พี่มนูคนดีก็เป็นแบบนี้แหละ…เขาใจแข็งอยู่ได้ไม่นานนักหรอก แค่บีบน้ำตานิดๆ หน่อยๆ ก็ใจอ่อนแล้ว’

ร่างผอมเพรียวเดินตัวตรงอย่างสง่าผ่าเผยเข้าไปในฐานะเจ้าบ้านฝ่ายหญิง แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเพียงแต่ในนามแต่ต่อจากนี้ไปเธอจะทำให้ตนเองกลายเป็นภรรยาของธรรมนูญทั้งในทางนิตินัยและพฤตินัยให้จงได้!

ผืนฟ้าเคยกระจ่างใสพลันเกิดการเปลี่ยนแปรทีละน้อย เมฆหมอกมารวมตัวกันอย่างไร้ที่มาที่ไปครอบคลุมเหนือเรือนไทยประยุกต์หลังงาม บดบังแสงตะวันจนทั่วทั้งบริเวณทำให้บรรยากาศดูทึมเทาทั้งที่เวลายังไม่ถึงเที่ยงแต่ก็ดูราวกับห้าถึงหกโมงเย็นเสียแล้ว ในที่สุดหยาดฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาตอนที่กำลังเริ่มประเคนอาหารถวายแด่พระและเณร จนกระทั่งตกหนักขึ้น…และหนักขึ้นเรื่อยๆ

“จู่ๆ ฝนก็ตกเสียอย่างนั้น ตอนที่มาถึงฟ้ายังสว่างโร่อยู่เลย” ปัทมาเปรยๆ ออกมา

อากาศวิปริตแปรปรวน…ทุกคนล้วนรู้สึกได้อย่างชัดเจน พวกชาวบ้านหันไปกระซิบกระซาบกันแบบแปลกๆ ยกเว้นเพียงคนทั้งสองที่มาจากเมืองกรุง คิดว่าสภาพอากาศของแถบนี้คงจะเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ ฝนนึกจะตกก็ตกเสียแบบนี้

มือที่กำลังถือช้อนของพระสมศักดิ์ถึงกับสั่นกึกๆ แม้พยายามเอามืออีกข้างประคองแต่ก็ไม่ได้ผล ฝืนตักข้าวกลืนไปได้ไม่กี่คำช้อนก็ร่วงหลุดจากมือ…

เปรี้ยง!

เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าดังกึกก้องกัมปนาท ราวกับจะสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งผืนปฐพี ลมพายุรุนแรงพัดอื้ออึงดุจดั่งมีขุนศึกนับร้อยนับพันมารวมตัวกันส่งเสียงร้องก่อนออกศึกอย่างฮึกเหิม ใบไม้พัดปลิวว่อนไม่ต่างอะไรกับว่ากำลังอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง โลกแห่งฝันร้ายอันแสนยาวนานที่ไม่รู้ว่าจะตื่นเมื่อใด

ไฟฟ้าดับพรึ่บลงทำให้บรรยากาศดูมืดทะมึนกว่าเดิม ชาวบ้านเหลียวซ้ายแลขวาสีหน้าแตกตื่น พระหนุ่มเอ่ยขอตัวกลับท่ามกลางเสียงลมฝนฟ้ากระหน่ำ

“เพิ่งฉันไปได้ไม่กี่คำเอง จะไม่ฉันต่ออีกหน่อยหรือครับ” ธรรมนูญกล่าว

“คือว่าบ่ค่อยสบาย ใคร่ปิ๊กไปพักผ่อนแต้ๆ ละ”

“แต่ฝนตกหนักขนาดนี้…”

“บ่เป็นหยังหรอก แม่นก่อป้อหลวง (4) ” พอหันไปหาคนที่กล่าวถึงในท้ายประโยคก็ยังไม่วายขยิบตาส่งสัญญาณ

“ครับ ฝนตกแค่นี้เอง ที่นี่ฝนตกหนักแต่หยุดเร็ว ไม่แน่ว่าพอนั่งรถออกไปได้ไม่ถึงครึ่งทางก็หยุดตกเสียละมั้ง” ผู้ใหญ่คำปันว่าพลางหัวเราะแหะๆ

พอพระสงฆ์ซึ่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจกำลังจะจากไปแล้ว คนอื่นๆ ก็เลยพากันขยับตัวช่วยเก็บกวาดทุกอย่างให้เป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างรวดเร็วก่อนจะแยกย้ายกันไป

“อ้าว จะกลับกันแล้วหรือครับ รอฝนซาลงก่อนดีไหม” ชายหนุ่มถามด้วยความเป็นห่วง

“ต้องรีบปิ๊กไปเยี๊ยะก๋านที่บ้านเจ้า” หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งว่าแล้วคนอื่นๆ ก็เออออตามกัน

“จะไม่ทานข้าวกลางวันด้วยกันก่อนหรือครับ” ถึงจะมีการทำกับข้าวไว้เผื่อ แต่ทุกคนก็ยังปฏิเสธที่จะอยู่ต่อ แม้ว่าเขาจะค่อนข้างเป็นห่วงแต่ในเมื่อคนในพื้นที่ยืนยันอย่างนั้นจึงไม่ได้ว่าอะไรต่อ “น้าบัวซอนล่ะครับ”

“ฉันกับลูกก็คงจะกลับเหมือนคนอื่นๆ นั่นแหละ ตอนนี้ทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยหมดแล้วนี่นะ” นางบัวซอนเป็นคนใจเด็ดมาตั้งแต่ยังสาวๆ แต่พอเห็นปฏิกิริยาของคนรอบข้างอย่างนั้นก็ยากที่จะควบคุมตัวเองไม่ให้หวั่นไหวได้

“ถ้าอย่างนั้นรบกวนเอาอาหารที่เราทำไว้กลับไปแบ่งให้ทุกคนที่มาช่วยงานด้วยได้ไหมครับ ผมกับปัดสองคนคงกินไม่หมด”

“ได้จ้ะ”

ชาวบ้านดอยไม้แดงค่อยๆ ทยอยจากไปกันทีละคนสองคน เดินบ้าง ปั่นจักรยานบ้าง ฝ่าฝนกันไปโดยไม่มีใครยอมเหลียวหลังกลับ จนกระทั่งเหลือเพียงผู้เป็นเจ้าบ้านทั้งสองคนเท่านั้น สรรพสิ่งรอบกายเหลือเพียงความเงียบ…เงียบจนวิเวกวังเวงนัก

“อากาศที่นี่หนาวจังเลยนะคะ” ปัทมาหนาวจนขนลุกซู่ ยกมือขึ้นลูบต้นแขนทั้งสองข้างของตัวเองเบาๆ

“คงเพราะฝนตกหนัก แล้วแถวนี้มีป่าไม้เยอะก็เลยหนาวเป็นพิเศษ” ธรรมนูญบอกตามหลักวิทยาศาสตร์

“คงจะจริงค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าน้อยๆ เห็นด้วยตามอีกฝ่ายว่า

ทั้งสองเดินเข้าไปในบ้านใหม่หลังงามที่กลิ่นสียังไม่ทันจะจางไป ต่างฝ่ายต่างจินตนาการถึงชีวิตใหม่ในแบบที่ตนเองวาดฝัน แม้ว่ามันจะเป็นไปคนละทิศทางกันก็ตาม โดยหารู้ไม่ว่านับจากนี้หายนะกำลังมาเยือน…ไม่ต่างอะไรกับอสรพิษที่คืบคลานมาหาอย่างช้าๆ เงียบเชียบ กว่าจะรู้ตัวก็ตอนถูกมันพุ่งฉกจนพิษแล่นไปทั่วร่าง แล้วพบว่าความตายกำลังมาอยู่ตรงหน้านั่นแหละ!

 

เวลาผ่านไปจนค่ำแม้ลมพายุจะสงบลงบ้างแล้วแต่ฝนก็ยังไม่ยอมหยุดตก นอกบ้านมีเพียงความมืดสนิทราวกับทั้งบ้านถูกโอบล้อมเอาไว้ด้วยความมืดมนอนธการ ท่ามกลางเสียงสายฝนพรำในบ้านมีแค่แสงสลัวจากจากเทียนไขที่จุดเอาไว้ตามมุมต่างๆ เพราะไฟฟ้าที่ดับลงตั้งแต่ตอนบ่าย

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไป ธรรมนูญเข้ามาอยู่ในห้องของตนเองโดยยกห้องนอนเล็กที่เหลือว่างอยู่อีกห้องให้ปัทมา ร่างสูงโปร่งกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียงเพื่ออ่านหนังสือ แต่ก็ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับตัวอักษรบนหน้ากระดาษได้เท่าที่ควรเพราะมีเรื่องรบกวนจิตใจ และมันคงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเรื่องภรรยาแต่ในนามของตนนั่นเอง

ระหว่างที่รับประทานอาหารด้วยกันชายหนุ่มพยายามที่จะคุยกับอีกฝ่ายให้รู้เรื่อง ทว่าหญิงสาวพยายามบ่ายเบี่ยงโดยตลอด ทำเหมือนไม่รู้สึกและมองไม่เห็นอาการว่าเขาไม่ยินดีต้อนรับเธอสักเท่าไร จนตอนนี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดีแล้ว พอถอนหายใจออกมายาวๆ ทีหนึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มีเสียงเคาะเรียกหน้าห้อง

“มีอะไรหรือ”

“คืนนี้ไฟคงดับอีกนาน เทียนในห้องอาจจะมีไม่พอน้องเลยเอามาเพิ่มให้ค่ะ” เธอกล่าวจากอีกฟากหนึ่งของประตู

ชายหนุ่มปิดหนังสือแล้ววางลงบนโต๊ะข้างเตียง เดินไปเปิดประตูให้อีกฝ่ายแล้วก็ถึงกับชะงักไปอึดใจหนึ่ง

สองมือของปัทมาถือถาดที่รองรับขวดน้ำ แก้วน้ำ และเทียนไขที่ยังไม่ได้ใช้ รวมถึงเทียนถูกจุดไว้ในที่ครอบแก้วเพื่อคอยให้แสงสว่างนำทางมา เขาคงจะไม่รู้สึกอะไรถ้าไม่ใช่เพราะการแต่งตัววับแวมของร่างเพรียวบางในขณะนี้…ชุดนอนสายเดี่ยวสีชมพูอ่อนตัดเย็บจากผ้าซาตินเนื้อเรียบรื่น ขับเน้นส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกาย เผยเรือนร่างโดยเฉพาะลำคอระหงและเนินอกที่โผล่พ้นคอเสื้อออกมา แม้จะอยู่ในแสงสลัวก็ยังรับรู้ได้ว่าผิวเนื้อนั้นขาวนวลเนียนมากแค่ไหน

“น้องเอาน้ำดื่มเข้ามาให้ด้วยนะคะ ไม่อย่างนั้นดึกๆ พี่อยากดื่มน้ำแล้วจะต้องคลำทางลงบันไดไปข้างล่างอีก” หญิงสาวบอก อีกทั้งยังถือจังหวะที่ร่างสูงโปร่งนิ่งอึ้งอยู่นั้นเบี่ยงตัวเดินแทรกเข้ามาในห้องนอน

ธรรมนูญทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็ตัดสินใจเดินตามเข้ามาในห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ชุดนอนของหญิงสาวยาวเหนือเข่าขึ้นมาเล็กน้อย แต่พอก้มลงเพื่อวางถาดลงบนโต๊ะข้างเตียง ชายผ้าก็ร่นขึ้นไปจนเห็นขาอ่อน ชายหนุ่มเบนสายตาไปอีกทางหนึ่ง กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะให้ราบเรียบที่สุดแล้ว

“ขอบใจ ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปนอนเถอะ”

“ค่ะ” เธอตอบรับสั้นๆ

ร่างสูงโปร่งลอบถอนหายใจ ทว่าจังหวะที่ปัทมากำลังหมุนตัวกลับมานั้นกลับสะดุดขาตัวเองแล้วเซถลามาหาจนทั้งสองล้มตัวลงไปบนเตียงอย่างพอดิบพอดี ร่างเพรียวบางทาบทับอยู่บนตัวเขาซึ่งพยายามผลักตัวเธอออก แต่ทำอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่ขยับเขยื้อน

“อุ๊ย ขอโทษค่ะ”

หญิงสาวดันตัวเองขึ้นมาแล้วช้อนสายมองเขา จังหวะนั้นเหมือนกับมีกระแสบางอย่างดึงดูดระหว่างทั้งสอง แววตาของเธอเหมือนกำลังลังเลใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะตัดสินใจกดริมฝีปากบางลงบนปากเขาหนักๆ ทีหนึ่ง ปัทมาถอนจูบในขณะที่อีกฝ่ายยังคงอึ้งๆ อยู่ เมื่อพบว่าไม่ได้มีการผลักไสเธอจึงก้มลงไปจูบอีกครั้งอย่างยาวนาน งกๆ เงิ่นๆ เท่าที่ผู้หญิงซึ่งยังไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้จะสามารถยั่วยวนชายคนหนึ่งได้

เหมือนมีแม่เหล็กตรึงชายหนุ่มเอาไว้ให้ไม่อาจเคลื่อนไหว ความนึกคิดของเขาเริ่มช้าลง…ช้าลงเรื่อยๆ หากสติรู้ผิดชอบชั่วดีที่ยังพอเหลืออยู่เล็กน้อยก็สั่งให้ดันตัวอีกฝ่ายออก ถึงอย่างไรธรรมนูญก็ยังเป็นเพียงผู้ชายที่มีเลือดมีเนื้อคนหนึ่งเท่านั้น ขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่รู้ว่าความอดทนจะขาดผึงลงเมื่อใด ทว่าระหว่างต่างฝ่ายต่างผลักๆ ดันๆ กันอยู่นั้นเอง หญิงสาวคว้ามือใหญ่ได้ก็ดึงไปแปะอยู่บนหน้าอกของตัวเอง ธรรมนูญสัมผัสได้ถึงเนินเนื้อเต็มไม้เต็มมือที่มีเพียงผ้าซาตินบางๆ คั่นเอาไว้

“หมดทั้งใจนี้น้องเป็นของพี่มานานแล้ว และน้องก็ยินดีจะเป็นของพี่ทั้งใจและกายนะคะ” เธอกระซิบเสียงสั่นๆ ด้วยสายตาเว้าวอน

ท่ามกลางแสงเทียนและเสียงฝนตก…บรรยากาศช่างดูเป็นใจไม่ต่างกับฉากหนึ่งในละคร

ชายหนุ่มไม่ใช่ไก่อ่อนที่ไร้ชั้นเชิงในเรื่องบนเตียงแต่อย่างใด เมื่อตอนนี้ถูกรุกเร้าหนักเข้าพร้อมประโยคเชิญชวนยั่วยวนใจก็ไม่ต่างอะไรกับเสือเมื่อยามได้กลิ่นคาวเลือด สัญชาติญาณดิบของมันจึงถูกปลุกขึ้นมา แววตาของเขาลุกโชนเป็นประกายเจิดจ้าราวกับมีใครจุดกองไฟอยู่ในนั้น

 

เชิงอรรถ :

(1) ตุ๊ – คำว่าตุ๊ ภาษาเหนือหมายถึงพระสงฆ์ ในขณะที่พระจะหมายถึงสามเณร

(2) ตุ๊ลุง – หลวงลุง

(3) หลุต๊อง – หมายถึง ท้องเสีย

(4) ป้อหลวง – หมายถึง ผู้ใหญ่บ้าน



Don`t copy text!