พันธรตี บทที่ 1 : ฉันไม่ใช่เด็ก

พันธรตี บทที่ 1 : ฉันไม่ใช่เด็ก

โดย : บุญฐิสา

Loading

“พันธรตี” โดย บุญฐิสา ได้จบลงแล้วนะคะ หากเพื่อนๆ ท่านใดอยากได้รวมเล่มไว้อ่านให้หายคิดถึงเจ้าหลวงมังคละและเจ้ามิ่งทิพย์ สามารถสั่งซื้อได้ที่ เพจ : บุญฐิสา FB : Praew Boonthisa หรือ E-mail : Boonthisa_writer@hotmail.com นะคะ

****************************

– 1 –

บ้านดอยไม้แดง พุทธศักราช 2539

บ้านดอยไม้แดงคือหมู่บ้านเล็กๆ ในอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ ทำเลที่ตั้งเป็นที่ราบเหมือนแอ่งก้นกระทะถูกโอบล้อมด้วยภูเขาทำให้อากาศค่อนข้างเย็นสบายตลอดทั้งปี แม่น้ำสายใหญ่ไหลพาดผ่านส่งผลให้ทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ น้ำดีดินดีทำอาชีพเกษตรกรรมก็เจริญงอกงามได้พืชผลผลิตทุกปี แม้ว่าถนนหนทางและน้ำไฟสามารถเข้าถึงได้เป็นอย่างดีแล้ว แต่ที่นี่ก็ยังคงความเป็นสังคมชนบทเอาไว้ อาจด้วยความที่อยู่ห่างไกลจนเกือบสุดชายขอบเขตแดนประเทศไทย ความเจริญจึงเดินทางมาถึงช้าเป็นพิเศษ…ช้าราวกับอยู่กันคนละช่วงเวลากับชาวเมืองหลวงนับสิบปี

รถเก๋งคันหนึ่งแล่นผ่านถนนคอนกรีตแคบๆ ที่พื้นผิวเป็นหลุมบ่อ สองฟากฝั่งข้างทางประกอบไปด้วยบ้านเรือนซึ่งส่วนใหญ่เป็นบ้านชั้นเดียวขนาดกะทัดรัด ปลูกอยู่ค่อนข้างห่างกันโดยไร้รั้วรอบขอบชิด ที่ดีหน่อยก็ปลูกไม้พุ่มขนาดเล็กแทนเส้นแบ่งอาณาเขตเท่านั้น

รถวิ่งไปเรื่อยๆ บ้านเรือนในตัวหมู่บ้านก็น้อยลงจนมองเห็นเพียงประปรายและสุดท้ายก็ไม่มีอยู่เลย เมื่อออกจากเขตหมู่บ้านมาแล้วพื้นที่ส่วนใหญ่ก็เป็นที่ดินทำกินของชาวบ้าน ถนนดินลูกรังทอดตัวคดเคี้ยวเลียบสายธารเล็กๆ ข้างทางเต็มไปด้วยพุ่มหญ้าสูงเกินหนึ่งเมตรด้วยมีผู้ใช้งานน้อยเต็มที บางช่วงของถนนถูกปกคลุมด้วยกิ่งไผ่ ประสานกันจนกลายเป็นอุโมงค์ธรรมชาติดูสวยงามหากลึกลับอยู่ในที

ชายหนุ่มที่กำลังขับรถอยู่ในวัยสามสิบปี ผิวสีเข้มอย่างเป็นธรรมชาติ วงหน้าคร้ามคม คิ้วดำเข้มพาดเหนือดวงตาเปี่ยมเสน่ห์ ราวกับว่าเมื่อผู้ใดได้สานสบนัยน์ตาคู่นั้นก็ยากที่จะบังคับตัวเองไม่ใช่นิยมชมชอบเขาขึ้นมาได้

ขณะที่เจ้าตัวกำลังขับรถพลางคิดอะไรเพลินๆ ก็ต้องเผลอสบถออกมาเมื่อพบว่ามีอะไรบางอย่างพุ่งพรวดเข้ามาตัดหน้ารถอย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นเพียงเงาลางๆ เท่านั้น ไม่ทันคิดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดไหนเขาก็รีบเหยียบเบรกอย่างกะทันหัน โชคยังดีที่รถไม่ได้แล่นมาด้วยความเร็วมากนัก อีกทั้งไม่มีเสียงเหมือนทับอะไรเข้าเจ้าของรถจึงพอจะวางใจได้บ้าง แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นตัวต้นเหตุเต็มตา

‘เด็ก…อย่างนั้นหรือ?’

ร่างสูงโปร่งเปิดประตูรถลงแล้วรีบก้าวเข้าไปหาร่างเล็กที่นอนเค้เก้อยู่บนพื้นพร้อมจักรยานคู่หูด้วยสภาพชวนอนาถใจ อีกฝ่ายสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวตุ่นๆ และผ้าซิ่นพื้นเมืองซึ่งบัดนี้คลุกดินไปหมดทั้งตัว เส้นผมสีดำสนิทมวยมุ่นกึ่งกลางศีรษะมีปอยผมบางส่วนหลุดร่วงลงมาปรกหน้าปรกตาไปหมด

หญิงสูงวัยแถบนี้ยังคงสวมผ้าซิ่นกันเป็นปกติอยู่แล้ว ในขณะที่สาวรุ่นๆ เปลี่ยนมาเป็นสวมเสื้อผ้าตัดเย็บทันสมัย ทว่าเด็กที่ยังแต่งตัวอย่างกับย้อนไปสมัยสิบถึงยี่สิบปีก่อนแบบนี้เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

“เป็นอะไรหรือเปล่าหนู”

ธรรมนูญรีบเข้าไปช่วยประคอง ใบหน้าเรียวเล็กประกอบด้วยเครื่องหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราตวัดสายตาขึ้น ทำหน้าเขียวหน้าแดงจนคนมองใจคอไม่ดีเข้าไปอีก กระทั่งเสียงหวานเล็ดรอดออกมาจากลำคอ พร้อมกับตากลมโตกระจ่างใสราวกับลูกแก้วค้อนใส่ประหลับประเหลือก

“ไม่…ใช่…เด็ก”

“อ้าว” ชายหนุ่มเลื่อนสายตามองอีกฝ่ายขึ้นลงจะอย่างไรก็เด็กชัดๆ แต่ไม่ได้คิดที่จะต่อล้อต่อเถียงอีกนอกจากถามด้วยความเป็นห่วง “เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

เธอนิ่งไปเล็กน้อยเหมือนกำลังคิดว่าควรจะตอบคนตรงหน้าด้วยภาษาท้องถิ่นที่คุ้นเคย หรือภาษาไทยกลางตามที่อีกฝ่ายพูดดี สุดท้ายก็ตัดสินใจยืดอกกล่าวภาษาไทยกลางอย่างชัดถ้อยชัดคำราวกับอยากจะสื่อว่าตนเองไม่ใช่สาวบ้านนอกบ้านนาที่จะไม่รู้ความอะไรเลย

“ถามว่าไม่เจ็บตรงไหนยังตอบง่ายกว่าเสียอีก”

คำตอบกวนๆ ชวนโมโห แต่เพราะเป็นคนตรงหน้าพูดออกมาด้วยเสียงเล็กๆ นั่น มันจึงทำให้เขาหลุดยิ้มออกมา…เด็กหนอเด็ก

“พูดเก่งขนาดนี้ท่าจะเจ็บไม่เยอะมั้ง เอาเถอะพี่ขอโทษนะ…ลุกขึ้นไหวไหมนี่”

คนตรงหน้ามองเมินมือที่ยื่นออกมาหาแล้วพยายามลุกเองแบบทุลักทุเล ธรรมนูญทนมองไม่ไหวจึงพยายามช่วยประคองแม้ว่าจะไม่ได้ยินคำร้องขอเลยก็ตาม หากในขณะที่แตะตัวอีกฝ่ายนั้นกลับรู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองเต้นผิดจังหวะไปวูบหนึ่ง กระแสบางอย่างแล่นผ่านปลายนิ้วก่อนความโหยหาอย่างไร้ที่มาที่ไปจะเข้ามาห่อคลุมจิตใจ

“โอ๊ย…” หญิงสาวร้องพลางนิ่วหน้าเล็กน้อย ก่อนค่อยๆ ดึงชายผ้าซิ่นขึ้นมาจนเห็นรอยแผลถลอกบนหัวเข่า เลือดสีแดงฉานหยดหนึ่งไหลลงมาจากแผล

ชายหนุ่มเพิ่งได้สติจึงพยายามประคองอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น

“มานี่มา”

“จะพาฉันไปไหน” เธอถามอย่างระแวดระวังเหมือนคนไม่ไว้ใจใครง่ายๆ นัก

“ไปทำแผลอย่างไรล่ะ แถวนี้มีโรงพยาบาลไหม”

“ไม่มี มีแต่สถานีอนามัย และวันนี้เป็นวันอาทิตย์ก็ปิดด้วย”

“อ้าว แล้วปกติถ้าไม่สบายจะทำอย่างไร โดยเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์แบบนี้”

“ก็ดูแลตัวเองไปก่อน แต่ถ้าอาการหนักจริงๆ ค่อยจ้างรถไปส่งโรงพยาบาลในเมือง” หญิงสาวนิ่วหน้าครุ่นคิด แล้วจึงกล่าวต่อว่า “แล้วแผลแค่นี้ใครเขาไปหาหมอกันล่ะ”

“แน่ใจนะว่าไม่มีส่วนไหนแตกหักเสียหาย ตัวหรือก็บอบบางเสียขนาดนี้”

“ไม่มีๆ เดี๋ยวลงไปล้างๆ ในลำธารเอาก็ได้แล้ว” เจ้าตัวว่าพลางทำท่าจะเดินกะเผลกๆ ลงไปยังสายน้ำที่อยู่ติดกับถนนนั่นเอง

“อย่า! น้ำขุ่นขนาดนั้นเดี๋ยวก็ได้ติดเชื้อหรอก” คงเพราะช่วงนี้เป็นฤดูฝนจึงทำให้น้ำในลำธารขุ่นคลั่กจนอาจจะเรียกได้ว่าน้ำโคลนเสียมากกว่า “ไปทำแผลที่รถพี่แล้วกัน”

ธรรมนูญประคองหญิงสาวที่ยังไม่รู้จักชื่อเดินต่อไปยังรถของตัวเอง เปิดประตูข้างที่นั่งคนขับให้เธอนั่งโดยยื่นขาทั้งสองข้างออกมานอกรถ ก่อนจะหยิบขวดน้ำเปล่าออกมาราดแผลให้พร้อมกับชวนคุยไปด้วย

“ชื่ออะไรนะเราน่ะ”

ร่างเล็กนิ่งไปเล็กน้อย สุดท้ายก็กล่าวออกมาเบาๆ ว่า “ทิพย์…ฉันชื่อทิพย์”

“พี่ชื่อมนูนะ ทิพย์อายุเท่าไรแล้ว”

“ปีนี้ก็สิบแปด”

“หา…จริงหรือ” เขาถามเสียงสูงเสียจนอีกฝ่ายถลึงตาใส่

“ต้องให้บอกกี่ครั้งว่าไม่ใช่เด็กแล้ว”

“ได้ๆ…ยื่นมือออกมาหน่อยสิ”

ทิพย์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ยอมยื่นมือให้แต่โดยดี ชายหนุ่มใช้น้ำที่เหลือในขวดรดมือเล็กคู่นั้น ปลายนิ้วของเขาแตะมืออีกฝ่ายเล็กน้อยเพื่อช่วยล้างเศษดินทรายออกให้อย่างไม่ได้คิดอะไร ในขณะที่เจ้าตัวกลับก้มหน้างุดไม่พูดไม่จา

“รอเดี๋ยวก่อนนะ” กล่าวจบเขาก็ผละไปค้นดูของในรถดังกุกกักๆ อยู่พักหนึ่ง “โชคดีจริงๆ ที่เหลือพลาสเตอร์อันหนึ่ง พี่พกติดเอาไว้ในรถแต่ก็ไม่ได้ใช้มานานแล้วเพิ่งจะมามีประโยชน์ในตอนนี้นี่เอง”

ร่างสูงโปร่งย่อตัวลงแปะพลาสเตอร์ปิดแผลให้คนเจ็บอย่างแผ่วเบา แล้วจึงเงยขึ้นมาส่งยิ้มให้เป็นจังหวะเดียวกันกับที่หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาพอดี ทำเอาคนมองถึงกับชะงักค้าง…

รอยยิ้มของธรรมนูญนั้นสว่างจ้าราวกับแสงอาทิตย์ในฤดูร้อนที่จู่ๆ ก็สาดแสงลงมายังความมืดมน หรืออาจจะเปรียบได้ดั่งสายพิรุณโปรยปรายลงมาสู่ผืนดินอันแห้งแล้งแตกระแหง รอยยิ้มซึ่งเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตทำให้ทิพย์ถึงกับนิ่งเงียบไป…เงียบจนผิดปกติ ก่อนดวงตากลมโตคู่นั้นจะเป็นประกายแวววาวด้วยมีน้ำเอ่อคลอ

“อ้าว เป็นอะไรไป หรือว่าพี่เผลอกดแผลแรงไป” ชายหนุ่มถึงกับทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะหนึ่ง

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ฝืนข่มกลั้นอารมณ์ทั้งหมดทั้งมวลแล้วถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“ทำไมต้องทำดีกับฉันด้วยทั้งที่เราก็ไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อย ฉันเป็นฝ่ายผิดขี่จักรยานตัดหน้ารถแถมยังทำตัวไม่ดี คุณก็ไม่ดุด่าอะไรสักคำ”

ถึงภายนอกจะดูแข็งกร้าวอย่างไรข้างในก็ยังคงมีความเป็นเด็กอยู่ดีสินะ…เขาเผยยิ้มออกมาน้อยๆ แล้วตอบว่า

“ตอนนี้ก็รู้จักกันแล้วนี่…อีกอย่างทิพย์ไม่เป็นอะไรแค่นี้พี่ก็ดีใจแล้ว ทำไมถึงต้องว่าด้วย”

“รู้แค่ชื่อกับอายุเนี่ยนะ”

“อย่างน้อยเราก็เป็นเพื่อนร่วมโลกไง แล้วทำไมต้องคิดว่ารู้จักหรือไม่รู้จักถึงจะทำดีต่อกันได้ด้วยล่ะ”

“คุณเป็นคนดีจัง” เธอสรุปกับตัวเองได้ว่าอย่างนั้น

“แค่นี้ก็สรุปได้ง่ายๆ แล้วหรือว่าใครเป็นคนดีหรือไม่ดี” ธรรมนูญยังคงมีรอยยกยิ้มที่มุมปากหากแววตากลับเหมือนมีม่านหมอกเลื่อนมาบดบัง

“ทีคุณยังบอกว่าเรารู้จักกันแล้วได้ง่ายๆ เลย ทำไมฉันจะทำแบบนั้นบ้างไม่ได้”

“มันต่างกันนี่…” ทั้งที่รู้ว่าไม่ใช่หัวข้อที่ควรพูดกับเด็กน้อยที่เพิ่งพบเจอกันเป็นครั้งแรก แต่พอเห็นดวงตาใสแจ๋วที่จ้องมองตอบกลับมาคู่นั้นก็ทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจช้าๆ ก่อนกล่าวออกมาว่า “ทิพย์อาจจะยังเด็ก หรือไม่อย่างนั้นก็ชินกับการใช้ชีวิตแบบซื่อตรงคิดอะไรก็ทำอย่างนั้นแบบชาวบ้านแถวนี้ แต่พี่จะบอกอะไรให้นะ…คนเราน่ะต่อให้รู้จักมานานแล้ว คิดว่าเข้าใจกันเป็นอย่างดี แต่สุดท้ายก็ยังอาจพลิกผันร้ายใส่กันได้อย่างง่ายๆ เลย นับประสาอะไรกับคนที่เพิ่งเจอกันเล่า”

“ฉันรู้ว่าคุณไม่ใช่คนอย่างนั้น”

“มั่นใจขนาดนั้นเชียว พี่อาจจะเป็นพวกลักพาตัวเด็กก็ได้ ระวังไว้ให้ดีล่ะ”

“อย่างคุณเนี่ยนะ”

ชายหนุ่มหัวเราะ แต่ก็ไม่อยากจะทำลายความมองโลกในแง่ดีของอีกฝ่ายมากเกินไปกว่านี้ สักวันเธอก็คงจะเรียนรู้ได้เองนั่นแหละ

“ขอโทษนะ เผลอพูดอะไรไม่รู้ต่อหน้าเด็ก…เอ๊ย สาวน้อยที่กำลังโตเป็นผู้ใหญ่” ท้ายประโยคต้องรีบเอ่ยแก้เมื่อคนตรงหน้าตวัดสายตามามองเขม็ง

“ว่าแต่คุณมาทำอะไรที่นี่ ดูท่าทางไม่น่าใช่คนแถวนี้”

“พี่กำลังจะย้ายมาอยู่หมู่บ้านนี้นี่เอง” เขาให้คำตอบ

“แล้วจะย้ายมาอยู่แถวไหนหรือ”

“บ้านหลังที่สร้างใกล้เสร็จนั่นอย่างไร เลยจากที่นี่ไปหน่อยเคยผ่านไปไหม”

“นั่นบ้านคุณหรือ”

“ใช่ หลังจากนี้เราอาจจะได้เจอกันบ่อยๆ ก็ได้ ว่างๆ ก็แวะไปเที่ยวบ้านพี่ได้นะ แถวนี้พี่ไม่รู้จักใครหรอก” ไม่รู้เพราะอะไรที่ทำให้ธรรมนูญถูกชะตากับหญิงสาว…ราวกับเคยรู้จักกันมานานแสนนานแล้วจึงเอ่ยปากชวน

“มีงานให้ทำไหมล่ะ” คราวนี้ดวงตาของทิพย์เริ่มเปล่งประกาย

“ทำไม”

“มีงานก็คือมีเงิน ถ้ามีเงินให้ก็ไป” หญิงสาวตอบตรงเสียยิ่งกว่าตรง

“อืม พวกงานบ้านพอทำได้ไหม” จริงๆ ชายหนุ่มก็มีความคิดว่าจะหาลูกจ้างมาช่วยทำงานบ้านอยู่เหมือนกันแต่ไม่คิดว่าจะหาได้เร็วขนาดนี้

“สบายมาก”

“ถ้าอย่างนั้นไว้ลองแวะไปดูก่อนก็ได้” เขายังไม่ยอมรับปากในทันที ถึงอย่างไรก็ต้องให้ทดลองงานดูก่อน “แล้วต้องขออนุญาตพ่อแม่ก่อนไหม”

ร่างเล็กนิ่งไปพักหนึ่งแล้วจึงกล่าวออกมาว่า “ฉันไม่มีพ่อแม่แล้ว”

“แล้วตอนนี้อยู่กับใครล่ะ”

“อยู่คนเดียวที่หมู่บ้านฝั่งตรงข้ามของภูเขาโน่นแน่ะ วันนี้มาทำงานรับจ้างที่หมู่บ้านทางฝั่งนี้แล้วกำลังจะกลับบ้าน” เธอชี้ไปยังภูเขาที่เห็นอยู่ลิบๆ

“แล้วญาติคนอื่นๆ ล่ะ” เขายังพยายามซักไซ้ต่อ

“ไม่มี”

“หมายถึงต้องอยู่ตัวคนเดียวเลยอย่างนั้นหรือ”

ทิพย์ส่งเสียงอือในลำคอแผ่วๆ ท่าทางเหมือนไม่อยากพูดมากกว่านี้แล้ว แต่เพียงแค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้คนฟังเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น อายุแค่สิบแปดแต่ก็ต้องอยู่เพียงลำพังไม่มีญาติที่ไหนอีก คงเพราะแบบนี้ตอนที่พูดถึงเรื่องงานและเงินดวงตาถึงเป็นประกายขนาดนั้น ธรรมนูญไม่กล้าถามต่อว่าพ่อแม่ของหญิงสาวเสียไปตั้งแต่ตอนไหน แต่มันก็คงจะนานพอที่จะทำให้อีกฝ่ายไม่คุ้นชินกับการเป็นคนถูกดูแลจนถึงกับน้ำตาคลอออกมาเมื่อมีคนช่วยทำแผลให้ หัวใจของชายหนุ่มพลันอ่อนยวบลง

“ถ้าบ้านพี่เสร็จแล้วว่างๆ ก็มางานขึ้นบ้านใหม่ได้นะ นี่พี่เชิญทิพย์เป็นคนแรกเลยรู้ไหม”

“ฉันอาจจะต้องทำงานวันนั้น” ทิพย์แบ่งรับแบ่งสู้

“ไม่เป็นไร ไว้วันไหนว่างๆ ค่อยแวะมาละกัน เดี๋ยวพี่จะลองหางานให้ทำดู” เวลาในแต่ละวันคงเป็นเงินเป็นทองสำหรับอีกฝ่ายเขาจึงไม่ได้ว่าอะไรอีก

“ขอบคุณนะ ขอบคุณมาก…ฉันไม่รู้จะบอกคุณยังไงดีเลย” หญิงสาวพร่ำบอก

“พอแล้วๆ ขอบคุณครั้งเดียวก็พอ อีกอย่างเลิกเรียกว่าคุณได้แล้ว ฟังแปลกหูพิกล เรียกพี่มนูหรือพี่เฉยๆ ก็ได้” ธรรมนูญบอกอย่างเป็นกันเอง แต่คนที่เมื่อสักครู่ยังมีสีหน้าซาบซึ้งใจอยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนท่าทีไป

“ไม่ได้หรอก เรายังไม่สนิทกันถึงขั้นนั้น” ร่างเล็กกล่าวปฏิเสธ

ทำไมเปลี่ยนอารมณ์เร็วขนาดนั้น…ชายหนุ่มคิดแบบขำๆ

“พิลึกคนจริงๆ แล้วตอนไหนถึงสนิทพอจะเรียกได้”

“อืม…ให้เป็นเรื่องของอนาคตแล้วกัน” เธอตอบอย่างจริงจัง

ร่างสูงโปร่งเห็นแล้วทนไม่ไหวยื่นมือไปยีผมอีกฝ่าย กว่าจะรู้สึกตัวเส้นผมของคนตรงหน้าก็ฟูฟ่องไปแล้ว

“ขอโทษที พี่ลืมตัวไปหน่อย”

“ไม่รอรู้ตัวพรุ่งนี้เลยล่ะ” คนพูดทำหน้ายู่แม้ว่าเขาจะช่วยลูบผมเธอจนเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วแต่ก็ไม่ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น

“ร้ายไม่เบานะเรา” ชายหนุ่มเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ

จากอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันทำให้เขาได้รู้จักเพื่อนใหม่คนแรกในที่แห่งนี้ พ่วงด้วยตำแหน่งว่าที่คนงานรับจ้างเพิ่มขึ้นมาเสียอย่างนั้น หลังคุยกันได้สักพักหนึ่งอาการของทิพย์ก็เริ่มดีขึ้น ธรรมนูญอยากจะไปส่งเธอ แต่ปัญหาคือเส้นทางกลับบ้านของทิพย์เป็นทางแคบๆ ที่ต้องใช้รถมอเตอร์ไซค์ จักรยาน หรือเดินไปเท่านั้น ชายหนุ่มจึงทำได้แค่ขับรถตามดูห่างๆ จนกระทั่งสุดทางที่รถยนต์จะไปได้

ขณะมองแผ่นหลังเล็กกับจักรยานคันโตไม่สมตัวกำลังห่างออกไปเรื่อยๆ จู่ๆ ธรรมนูญก็รู้สึกใจหายวาบราวกับมีใครมาฉกชิงดวงใจ ร่างสูงโปร่งรีบเปิดประตูลงจากรถแล้วตะโกนออกมา

“ทิพย์!”

เขานึกอยากจะรั้งตัวเธอเอาไว้ไม่ให้จากไปไหน ในอกเต็มไปด้วยความรู้สึกห่วงหาอาวรณ์ กลัวว่าการพบกันครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วทั้งสองก็จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก แต่อีกไม่กี่วินาทีต่อมาก็พบว่านี่มันไม่ปกติ…ไม่ปกติเอามากๆ เสียด้วย

เจ้าของชื่อชะงักหันมาตามเสียงเรียก ยกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความฉงน “มีอะไรหรือ”

“เปล่า” เขาตอบ ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “พี่แค่จะบอกว่าเดินทางปลอดภัยนะ”

“อื้อ” หญิงสาวพยักหน้าลงน้อยๆ

“แล้วพบกันนะ”

“แล้วพบกัน” ร่างเล็กตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะโบกไม้โบกมือแล้วปั่นจักรยานจากไป

ธรรมนูญรอจนกระทั่งอีกฝ่ายหายลับสายตา ยืนพิงรถเอาไว้อย่างนิ่งงันในขณะที่รอบกายมีเพียงความเงียบ รอจนกระทั่งเวลาผ่านไปพักหนึ่งจึงหยิบบุหรี่ในรถออกมาจุดสูบพร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยความงุนงงสงสัย

‘นี่เราเป็นอะไรไปวะ’

 

หลังจากตรวจงานการก่อสร้างเรียบร้อย นายช่างผู้ดูแลก็ยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี และบ้านจะเสร็จก่อนกำหนดการส่งมอบอย่างแน่นอน เพราะการก่อสร้างราบรื่นไร้อุปสรรคต่างจากบ้านหลังอื่นที่เขาเคยสร้างมาก่อน คนเป็นเจ้าของบ้านจึงค่อนข้างสบายใจขึ้นมาก

ธรรมนูญขับรถกลับมายังตัวหมู่บ้านแล้วจอดลงหน้าบ้านหลังหนึ่ง หิ้วตะกร้าสานบรรจุของหลากหลายชนิดเอาไว้ในนั้น เดินเข้าไปสู่บ้านซึ่งจากสภาพแล้วค่อนข้างดูดีกว่าบ้านในละแวกเดียวกัน เขาเดินผ่านแผ่นป้ายที่ทำจากไม้ติดไว้หน้าบ้านใจความว่า…‘ที่ทำการผู้ใหญ่บ้านดอยไม้แดง’

คนแรกที่พบเป็นหญิงวัยกลางคนกำลังง่วนอยู่กับการทำอะไรสักอย่างบริเวณตั่งไม้ใต้ต้นมะม่วงหน้าบ้าน ชายหนุ่มยกมือไหว้อย่างนอบน้อมพลางส่งยิ้มเป็นมิตร

“สวัสดีครับ ผมมาขอพบผู้ใหญ่บ้าน ไม่ทราบว่าวันนี้ผู้ใหญ่อยู่หรือเปล่าครับ”

นางบัวซอนรวบผมเป็นมวยไว้ที่ท้ายทอย ใบหน้าแฝงเค้าความดุมีไฝอยู่ที่มุมปากหนึ่งเม็ด มองอีกฝ่ายไล่ตั้งแต่ทรงผมที่ได้รับการตัดเล็มอย่างดี เสื้อเชิ้ตสีสุภาพ กางเกงขายาวตัดเข้ารูป รวมถึงรองเท้าหนังชั้นดี ทุกอย่างที่ประกอบอยู่บนตัวเขาล้วนแปลกแตกต่างจากชาวบ้านแห่งนี้โดยสิ้นเชิง นางยกมือรับไหว้อย่างเก้ๆ กังๆ ด้วยวัฒนธรรมของชาวบ้านแถบนี่ไม่ใคร่มีใครไหว้ใครสักเท่าใดนัก จากนั้นหญิงวัยกลางคนก็พูดภาษาเหนือออกมาแบบรัวๆ ด้วยความที่ปกติเป็นคนพูดเร็วอยู่แล้ว พอผสมกับความไม่คุ้นชินกับอีกฝ่ายส่งผลให้นางพูดเร็วขึ้นอีก ทำเอาชายหนุ่มผู้มาจากเมืองกรุงถึงกับชะงักค้าง

“เอ่อ…เมื่อสักครู่ว่าอะไรนะครับ” เขาเผลอทำคิ้วขมวด

ด้วยความที่มีโทรทัศน์ไว้ติดตามข่าวสารรวมถึงดูละครภาคค่ำทำให้ชาวบ้านดอยไม้แดงสามารถฟังภาษาไทยกลางเข้าใจทุกอย่าง เสียเพียงแต่ว่ารู้สึกอายๆ ที่จะพูดออกมาเท่านั้น นางบัวซอนต้องตั้งสติอยู่นานพักหนึ่งกว่าจะเอ่ยออกมาอีกครั้งด้วยภาษาไทยกลางที่ยังคงเจือสำเนียงท้องถิ่นแบบตะกุกตะกัก

“น่าจะอยู่แถวๆ นี้แหละเจ้า กำเดียว…เอ๊ย เดี๋ยวเรียกให้นะเจ้า” กล่าวจบเจ้าตัวก็หันไปตะโกนเสียงแหลม “เพ็ญเอ๊ย ป้อมึงอยู่ตางใด ขะใจ๋ (1) ไปบอกว่ามีคนมาหา”

ไม่กี่อึดใจต่อมาหญิงสาวคนหนึ่งก็ก้าวออกมาที่หน้าประตูบ้าน ใบหน้าสวยใสไร้การประทินโฉมให้ความรู้สึกราวกับดอกไม้ป่าที่งามอย่างเป็นธรรมชาติ ร่างผอมบางในชุดเครื่องแบบสีกากีคล้ายว่าเพิ่งเลิกงานกลับมาชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นผู้มาเยือน ก่อนจะเดินมาหาแล้วเป็นฝ่ายยกมือไหว้เขาก่อนอย่างเป็นธรรมชาติเพื่อเชิญชวนเข้าไปในบ้าน

“พ่อรู้แล้วค่ะว่ามีแขกมาหา แต่พอดีว่าแต่งตัวไม่เรียบร้อยเลยขอเวลาสักหน่อย เชิญขึ้นไปรอบนบ้านก่อนเถอะค่ะ”

หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็พูดคุยถามไถ่อย่างเป็นกันเอง ธรรมนูญจึงได้รู้ว่าหญิงวัยกลางคนที่พบเป็นคนแรกชื่อว่าบัวซอนภรรยาของผู้ใหญ่คำปัน ส่วนหญิงสาวที่ถูกเรียกว่าเพ็ญหรือพรเพ็ญนั้นก็เป็นบุตรสาวของผู้ใหญ่บ้าน ทำงานเป็นครูในโรงเรียนประจำหมู่บ้านนี้เอง

เวลาผ่านไปพักหนึ่งจนกระทั่งผู้ใหญ่คำปันมาถึง นางบัวซอนและพรเพ็ญจึงผละออกไปทำงานในครัวซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก ชายวัยกลางคนดูจะสนใจเรื่องภาพลักษณ์ของตัวเองเป็นพิเศษ เขาสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย หวีผมเรียบแปล้ โครงหน้าดูมีเค้าความหล่อหลงเหลืออยู่ไม่น้อย

หลักจากทักทายกันตามมารยาทแล้วชายหนุ่มก็เกริ่นเข้าเรื่องว่า “ที่มานี้คือผมกำลังจะย้ายมาอยู่เป็นลูกบ้านที่นี่ เลยอยากมาไหว้แล้วก็แนะนำตัวกับผู้ใหญ่ไว้ก่อนครับ”

“อ้อ ดีๆๆ จะได้รู้จักกันไว้ก่อน มีอะไรก็ช่วยเหลือกันได้” ผู้ใหญ่คำปันกล่าวตอบด้วยภาษาไทยกลางอย่างคล่องแคล่วไม่ให้เสียศักดิ์ศรีระดับผู้นำหมู่บ้าน

“ขอบคุณครับ” เขากล่าวอย่างนอบน้อม

“ทำไมถึงคิดจะย้ายมาอยู่แถวนี้ล่ะ” ชายวัยกลางคนถามเพราะดูท่าทางอย่างไรอีกฝ่ายก็น่าจะมาจากที่เจริญกว่า ย้ายมาอยู่บ้านป่าห่างไกลแสงสีความเจริญแบบนี้คนหนุ่มอย่างเขาจะทนไหวหรือ…คงไม่ใช่ว่าหนีคดีอะไรมาหรอกกระมัง

“ผมใช้ชีวิตอยู่ในเมืองมาตั้งแต่เกิด แต่พออายุเพิ่มขึ้นก็รู้สึกว่าคนเยอะยิ่งวุ่นวายเลยอยากจะย้ายออกไปอยู่นอกเมืองที่มีบรรยากาศสงบๆ และอากาศดีๆ สักหน่อย จนกระทั่งมาเจอที่นี่เห็นว่าราคาไม่แพงก็เลยตัดสินใจซื้อเอาไว้สร้างบ้าน”

“แล้วทำงานทำการอะไรหรือ ผมว่าที่นี่ดูไม่มีงานที่เหมาะกับคุณเลย จะมาทำไร่ทำสวนก็ไม่น่าใช่”

“ผมเป็นนักเขียนครับ ทำงานอยู่ที่บ้านได้ ไม่มีปัญหาอะไร”

“อ้อ แบบนี้นี่เอง” ดูๆ แล้วลูกบ้านคนใหม่ก็ดูดีมีความรู้ไม่น่ามาสร้างปัญหาคำปันจึงค่อนข้างวางใจลงมาก หลังจากให้คำปรึกษาลูกบ้านคนใหม่หลายๆ เรื่องจนกระทั่งเอะใจนึกขึ้นมาได้

“ว่าแต่…คุณจะย้ายมาอยู่ตรงไหนนะ”

“จริงๆ ผมไม่ได้อยู่ในตัวหมู่บ้านหรอกครับแต่ก็ถือว่าอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของผู้ใหญ่ บ้านของผมอยู่ห่างออกไปจากเขตหมู่บ้านเล็กน้อย ที่ตอนนี้กำลังก่อสร้างกันอยู่ไงครับ” ธรรมนูญกล่าวด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจอย่างปิดไม่มิด

เพล้ง!

เสียงอะไรบางอย่างตกแตกดังจากภายในครัว ชายหนุ่มหันไปมองเห็นสองแม่ลูกกำลังก้มเก็บเศษจานกันอยู่อย่างชุลมุนวุ่นวาย พอหันกลับมาอีกครั้งก็พบว่าสีหน้าของคู่สนทนาดูเปลี่ยนไปราวพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ

“ที่ตรงนั้น…คุณเป็นคนซื้อไปเองหรอกหรือ”

“ใช่ครับ ผมเอง”

ผู้ใหญ่บ้านเบิกตามองกว้าง สีหน้าฉาบทาด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย ทั้งตกใจกับเรื่องราวที่ได้ยิน  ทั้งแฝงเร้นความหวาดกลัวจางๆ และสุดท้าย…คือความเวทนา สงสารเห็นใจ หรือห่วงใยอย่างใดเขาก็มิอาจทราบได้ และยิ่งไม่เข้าใจหนักไปอีกเมื่ออีกฝ่ายนิ่งเงียบไปพักหนึ่งราวกับจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“อ้อ…ปละ เปล่าหรอก ไม่มีอะไร” ปากบอกว่าไม่มีอะไรแต่เสียงของคนพูดกลับแผ่วลงไปเรื่อยๆ เมื่อรู้ว่าถูกลูกบ้านคนใหม่จับจ้องอยู่ จึงเปลี่ยนมากล่าวเต็มเสียงมากกว่าเดิมว่า “เอาเป็นว่ามีอะไรก็บอกผมได้ตลอดนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

“ขอบคุณครับ” เจ้าของร่างสูงโปร่งบอกอย่างซาบซึ้ง แม้ความสงสัยจะยังไม่คลายไปจากใจนัก

“ไม่เป็นไรๆ ในฐานะผู้ใหญ่บ้านผมต้องดูแลลูกบ้านทุกคนอยู่แล้ว”

ผู้ใหญ่คำปันยืดไหล่ขึ้นราวกับกำลังแบกศักดิ์ศรีของความเป็นผู้นำหมู่บ้านเอาไว้บนบ่า ทว่ายามกล่าวคำพูดออกมานั้นมุมปากกลับสั่นระริกอย่างไม่อาจหักห้ามตนเองได้

เมื่อธรรมนูญขอตัวกลับครอบครัวของผู้ใหญ่บ้านพร้อมใจกันออกมายืนส่ง

“เฮาจะบ่บอกเรื่องนั้นกับคุณเปิ้น (2) แต๊ๆ กา” พรเพ็ญเป็นฝ่ายกล่าวออกมาคนแรก มองตามรถของอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง

“เยี๊ยะ (3) จะใดได้ ที่ก่ (4) ซื้อไปแล้ว บ้านก่สร้างไปแล้ว” นางบัวซอนว่าพลางถอนหายใจ

“คนหัวสมัยใหม่มาจากที่เจริญแล้วอย่างเปิ้นคงบ่เชื่ออยู่ดี อาจคิดว่าเป็นความเชื่องมงายไร้สาระของชาวบ้านป่าอย่างเฮา…ตอนนี้ก่คงมีแค่ต้องรอดูไปก่อน ถ้ามีอะหยัง (5) เกิดขึ้นค่อยช่วยๆ กันไป” ผู้ใหญ่คำปันว่าพลางทอดถอนหายใจ

คนเป็นบุตรสาวหันมามองยังพ่อของตน ปกติแล้วชายวัยกลางคนค่อนข้างอารมณ์ดี เฮฮาได้แม้ในยามคับขันจนออกจะดูไม่น่าเชื่อถือสำหรับตำแหน่งผู้นำหมู่บ้าน หากพอเป็นเรื่องนี้แล้วกลับเผยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังออกมาทุกครั้ง…แต่เรื่องที่ผ่านมาย่อมทำให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไม่น่าแปลกใจอะไรเลย

“บ่แน่ คุณเปิ้นอาจจะบ่เป็นหยังก็ได้”

หญิงสาวผู้มองโลกในแง่ดีอยู่เสมอกล่าว หากผู้ใหญ่คำปันกลับส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย

“บ่มีทาง ป้อคอยเฝ้ามองมาตลอดชั่วทั้งชีวิตของป้อ บ่เกยมีไผ  (6) ทำลายอาถรรพ์ของตี้นั่นได้!”

 

เชิงอรรถ : 

(1) ขะใจ๋ หมายถึง เร็ว

(2) เปิ้น – ภาษาเหนือเป็นได้ทั้งสรรพนามบุรษที่ 1 เช่น ฉัน ตัวเรา หรือสรรพนามบุรุษที่ 3 เช่น เขา พวกเขา

(3) เยี๊ยะ – หมายถึง ทำ

(4) ก่ – หมายถึง ก็

(5) อะหยัง – หมายถึง อะไร

(6) ไผ – หมายถึง ใคร



Don`t copy text!