พันธรตี บทที่ 4 : ฝันร้าย

พันธรตี บทที่ 4 : ฝันร้าย

โดย : บุญฐิสา

“พันธรตี” โดย บุญฐิสา ได้จบลงแล้วนะคะ หากเพื่อนๆ ท่านใดอยากได้รวมเล่มไว้อ่านให้หายคิดถึงเจ้าหลวงมังคละและเจ้ามิ่งทิพย์ สามารถสั่งซื้อได้ที่ เพจ : บุญฐิสา FB : Praew Boonthisa หรือ E-mail : Boonthisa_writer@hotmail.com นะคะ

****************************

– 4 –

ธรรมนูญเงยหน้าขึ้นมาจากกองหนังสือเพื่อพบว่าร่างเล็กมายืนเกาะอยู่หน้าประตูห้องทำงานแบบเงียบๆ อยู่ก่อนแล้ว

“อ้าว ทิพย์ ทำไมไม่เข้ามาล่ะ”

“ฉันกลัวว่าจะรบกวน”

“ไม่หรอก…ว่าแต่มีอะไรหรือ”

“ฉันทำงานตามที่สั่งครบแล้วนะ มีอะไรจะใช้อีกไหม” ทิพย์เอ่ยถามหลังจากก้าวเข้ามาอยู่ข้างในห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะ” ชายหนุ่มตอบ แต่พอเห็นท่าทีละล้าละลังของอีกฝ่ายจึงถามต่อ “มีอะไรจะบอกหรือเปล่า…แล้วข้างหลังนั่นซ่อนอะไรเอาไว้”

“ฉันเก็บดอกไม้มาให้” คนที่คอยเอามือไพล่หลังอยู่ตลอดเวลาเลยยื่นมือออกมาข้างหน้าปรากฏดอกไม้สีขาวหลายชนิด

ร่างสูงโปร่งนิ่งไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่วายเอ่ยเย้าแหย่ “คิดอะไรกับพี่อยู่รึเปล่า”

“หะ…หา ว่าอะไรนะ”

“ก็ปกติควรจะเป็นฝ่ายชายเก็บดอกไม้จีบผู้หญิงไม่ใช่หรือ นี่อะไรกันเป็นสาวเป็นนางเอาดอกไม้ให้ผู้ชาย”

หญิงสาวทำหน้าตกใจเหมือนเด็กโดนจับได้ ก่อนใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นแดงซ่านด้วยความอับอาย จากที่แต่แรกไม่ทันคิดอะไรก็เริ่มไม่รู้จะวางไม้วางมือตรงไหน รีบละล่ำละลักร้องบอกว่า

“ฉันแค่คิดว่าคุณน่าจะชอบดอกไม้เพราะปลูกเอาไว้เต็มบ้านออกอย่างนี้ แล้วช่วงนี้เห็นว่าคุณคงไม่มีเวลาออกไปชมสวนถึงได้เก็บมาให้ดู นี่คนเขาหวังดีนะเนี่ย แต่ถ้าไม่อยากได้ก็ช่างมันเถอะ” เธอพูดจบก็ทำท่าจะหันหลังกลับ

“เดี๋ยว พี่แค่ล้อเล่นน่ะ” ดวงตาคมคู่นั้นเป็นประกายพราวระยับ พยายามกลั้นขำแล้วจึงบอก “มีแจกันอยู่ในครัว เอาไปใส่แจกันมาให้ด้วยสิ”

ทิพย์วิ่งออกไปพักเดียวก็กลับมาพร้อมแจกันดอกไม้ที่จัดแต่งอย่างเรียบง่าย ชายหนุ่มยื่นมือรับมันมาระหว่างนั้นปลายนิ้วของทั้งสองแตะกันเล็กน้อย ภาพบางอย่างคล้ายพุ่งวาบเข้ามาสู่สายตาแต่กลับเลยผ่านไปอย่างรวดเร็วจนมองแทบไม่ทัน

สตรีชุดโบราณ…สีชมพูกลีบบัว

“มีอะไร ไม่ชอบหรือ” หญิงสาวสาวถามอีกฝ่ายที่มีอากัปกริยานิ่งไปอย่างผิดปกติ

“ไม่หรอก สงสัยจะเหนื่อยเกินไปแล้วตาลาย” แม้จะตอบอย่างนั้นหากหัวใจกลับเต้นผิดจังหวะอยู่นานพักหนึ่ง

เขาวางแจกันไว้บนโต๊ะทำงานที่ยังคงว่างเปล่าเพราะยังจัดของได้ไม่เข้าที่เข้าทางนัก ดอกไม้ทำให้บรรยากาศภายในห้องดูสดชื่นขึ้นมาอีกมาก แต่ความรู้สึกเหมือนมีตะกอนบางอย่างตกค้างอยู่ในใจยังไม่เลือนหายไป ร่างสูงโปร่งหลับตาลงแล้วนวดขมับตัวเองเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นมาลอยๆ ว่า…

“แถวนี้มีดอกบัวขายบ้างไหม”

“ไม่มีหรอก อยากได้หรือคะ”

“อืม…แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร”

ธรรมนูญพยายามไม่ใส่ใจความรู้สึกแปลกๆ เหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองเหล่านั้น แต่สติก็ไม่อยู่กับร่องกับรอยเท่าไร กว่าจะรู้ตัวอีกครั้งก็พบว่าทิพย์หายตัวไปโดยไม่อยู่รอรับเงินค่าจ้างจึงค่อนข้างแปลกใจไม่น้อย แต่ก็คิดว่าอีกฝ่ายอาจมีธุระที่ต้องเร่งรีบกลับไปทำ จนกระทั่งได้ยินเสียงจักรยานกลับเข้าบ้านมาอีกด้วยความสงสัยจึงเดินออกไปหา ภาพที่เห็นคือร่างเล็กกำลังหอบดอกบัวอยู่ในอ้อมแขน ชายผ้าซิ่นเปียกโชกไปเสียครึ่งหนึ่งจนน้ำหยดติ๋งๆ ตลอดทางที่ก้าวเดิน

“ทิพย์ไปทำอะไรมา ทำไมเปียกไปเกือบทั้งตัวแบบนี้” ชายหนุ่มเอ่ยทักพร้อมทำหน้านิ่ว ยังไม่ทันได้กล่าวอะไรมากกว่านั้นอีกฝ่ายก็ยัดดอกบัวมาให้ถือ ก่อนจะก้มลงบิดชายผ้าซิ่นน้ำทำเอาน้ำเจิ่งนองบริเวณจุดที่ยืนอยู่

“เห็นคุณบอกว่าอยากได้ดอกบัวไม่ใช่หรือ”

“อย่าบอกนะว่าไปหาเก็บมาให้”

“ก็ใช่น่ะสิ” หญิงสาวพยักหน้าหงึกๆ ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร

“ไม่เห็นต้องลำบากขนาดนี้เลย”

“ก็ไม่ได้ลำบาก” เธอว่าเสียงอ่อน ยื่นมือไปรับดอกบัวที่ฝากกับเขาไว้กลับคืนมา แล้วเดินเข้าไปในครัวเพื่อจัดการพับกลีบดอกบัว

ระหว่างที่ทิพย์ก้มหน้าก้มตาจดจ่ออยู่กับดอกไม้ตรงหน้า ธรรมนูญได้แต่นิ่งมองอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ เท่านั้น สุดท้ายดอกบัวที่พับกลีบอย่างประณีตก็ลอยละล่องอยู่ในอ่างศิลาดลส่งกลิ่นหอมรวยระรินชวนให้รู้สึกทั้งชื่นตาและชื่นใจ

“เสร็จแล้วค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นถือว่าพี่ซื้อต่อจากทิพย์แล้วกัน” ชายหนุ่มเห็นความทุ่มเทแล้วก็ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร…สิ่งที่หญิงสาวชอบก็เห็นจะมีเพียงเรื่องเงินนี่แหละ แต่ต้องผิดคาดเมื่อได้รับคำตอบกลับมาว่า

“ฉันอาจจะชอบเงิน แต่ไม่ใช่เป็นคนเห็นแก่เงินขนาดนั้นนะ” เจ้าตัวทำหน้ายู่เหมือนไม่สบอารมณ์นัก

“อ้าว พี่ก็แค่อยากตอบแทนทิพย์ไง”

“ฉันทำก็เพราะอยากทำ ให้เพราะอยากให้ ไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทน”

“ขอบใจนะ” เขาบอกออกมาด้วยความรู้สึกจากใจจริงไม่ใช่แค่ตามมารยาทเท่านั้น

“แค่คำๆ นี้ก็พอแล้ว หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะ”

เธอคลี่ริมฝีปากออกมาเป็นรอยยิ้มที่ทำเอาคนมองรู้สึกว่า…แม้ดอกบัวนี้ก็ยังงามได้ไม่เท่า

“อย่าไปยิ้มแบบนี้ให้ใครบ่อยๆ ล่ะ”

“ทำไมหรือ” ทิพย์ถามแบบงงๆ

“พี่เป็นห่วง”

“ทำไมต้องห่วงด้วยล่ะ”

ธรรมนูญตอบคำถามนั้นไม่ได้ แล้วไม่รู้ด้วยว่าควรจะเป็นห่วงใครดีระหว่างเจ้าของรอยยิ้ม หรือหัวใจของคนที่ได้มองเห็นรอยยิ้มนั้นกันแน่ สุดท้ายก็เลยโบกมือไม้แล้วพยายามเฉไฉไปเรื่องอื่นแทน…หลังจากนั้นหญิงสาวจึงพาตัวเองกับจักรยานคันโตจากไป ทิ้งให้คนเป็นเจ้าบ้านมองส่งจนสุดสายตา

ตลอดทั้งชีวิตนี้ของชายหนุ่มอาจด้วยรูปร่างหน้าตาที่ดูดี ฐานะทางสังคมที่ไม่ด้อยไปกว่าใคร ดังนั้นมีอะไรที่อยากได้แล้วไม่เคยได้บ้าง ทว่าสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่างดอกบัวที่ทิพย์พยายามหามาเพียงแค่เขาหลุดปากออกมาเท่านั้น แม้มันจะไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรนักทว่าด้วยใจที่แสนจะซื่อตรงของผู้ให้ กลับมีน้ำหนักในใจของผู้รับยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งนั้น

กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกบัวโชยมาโอบล้อมรอบทั้งตัวและหัวใจของเขา

 

ทิพย์กลับบ้านไปได้ไม่นาน พรเพ็ญก็ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาหา เพื่อนำหม้อที่ใช้ใส่อาหารแจกจ่ายคนที่มาช่วยงานเมื่อวานนี้มาคืน ทั้งยังมีน้ำใจเอาขนมที่นางบัวซอนทำมาฝากอีกด้วย ปัทมาจัดหาน้ำดื่มมาต้อนรับขับสู้อย่างมีน้ำใจ ลูกสาวผู้ใหญ่บ้านดอยไม้แดงรั้งอยู่ไม่นานก็ขอตัวกลับ

หญิงสาวนำแก้วน้ำกลับลงไปล้างที่ห้องครัว พออยู่คนเดียวแล้วสีหน้านุ่มนวลก็แปรเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างภายในพริบตา อาจด้วยความที่ใช้แรงเยอะตามอารมณ์แก้วน้ำที่กำลังล้างอยู่จึงกระแทกกับอ่างล้างจานจนแตกคามือ แม้จะถูกเศษแก้วบาดจนได้เลือดแต่เธอกลับไม่อาจรับรู้ถึงอาการเจ็บที่เกิดขึ้นกับร่างกาย นอกจากความเจ็บปวดที่ใจเท่านั้น

ถ้าหากเธอต้องกลับไปอยู่กรุงเทพจริงๆ อีกไม่นานก็คงต้องเสียธรรมนูญให้กับสาวบ้านป่าพวกนี้ในสักวันหนึ่งแน่

เจ็ดวัน…เหลือเวลาอีกแค่เจ็ดวันเท่านั้น ยิ่งคิดหัวใจก็พลันรุ่มร้อนขึ้นมาราวกับมีไฟสุม

ทั้งๆ ที่ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองในบ้านหลังเดียวกันแบบนี้ ปัทมาคิดว่าจะไม่ยอมเสียโอกาสดีๆ ไปอย่างเปล่าประโยชน์ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรวบหัวรวบหางชายหนุ่มมาเป็นของตนภายในเวลาเจ็ดวันให้จงได้!

ปัทมาทรุดกายลงนั่งบนเตียงนอนของตนพร้อมถอนหายใจช้าๆ พอคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงหลายวันผ่านมานี้ก็ทำเสียงฮึดฮัดขัดใจออกมาเบาๆ…นางเด็กคนนั้นเห็นทำหน้าตาซื่อๆ แต่ว่าร้ายไม่เบา ถึงจะพยายามแกล้งหนักๆ หมายให้ทนอยู่ทำงานที่นี่ไม่ไหวจนต้องลาออกไป แต่พอเอาเข้าจริงแล้วกลับทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้เลย

เมื่อกลับเข้ามาอยู่ในห้องนอนเงียบๆ เพียงลำพังในยามค่ำ ทำให้หญิงสาวตระหนักขึ้นมาได้ว่าหมดเวลาไปแล้วอีกวัน เรื่องระหว่างเธอกับธรรมนูญนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะอีกฝ่ายไม่เผยโอกาสให้สามารถเข้าใกล้ทั้งตัวและหัวใจของเขาได้เลย โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ชายหนุ่มเริ่มต้นงานเขียนนิยายเรื่องใหม่แล้วทำให้ขลุกตัวอยู่แต่ในห้องทำงานเป็นส่วนใหญ่

สิ่งที่ทำได้คือพูดจากันวันละไม่กี่ประโยคเท่านั้น สวนทางกับเวลาที่เหลืออยู่ที่นี่ซึ่งลดน้อยถอยลงทุกที และถ้าหากเดินทางกลับไปยังกรุงเทพก็ต้องเผชิญกับอีกปัญหาใหญ่คือเรื่องการจดทะเบียนหย่า ที่ผ่านมาปัทมาพยายามเตะถ่วงโดยยกเอาปัญหาเรื่องการแบ่งทรัพย์สมบัติมาอ้าง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะยืดเวลาไปได้อีกสักแค่ไหน

อีกอย่างที่ทำให้หญิงสาวไม่มีเวลามาวางแผนการอะไร ก็เพราะจริงๆ แล้วเธอไม่ค่อยมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวนัก…เรือนไทยประยุกต์หลังงามท่ามกลางบรรยากาศอันสุขสงบ หากในความเป็นจริงกลับแฝงบางอย่างแสนน่ากลัวเอาไว้ ความรู้สึกว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพังนั้นเกิดขึ้นบ่อยเสียจนแทบจะกลายเป็นปกติ ไหนจะยังเสียงกุกกักๆ หรือเสียงเหมือนคนเดินภายในบ้านยามดึกสงัด ตามมุมโน้นบ้าง มุมนี้บ้าง ซึ่งเธอก็พยายามปลอบใจตัวเองว่าน่าจะเป็นเสียงของชายหนุ่มผู้อยู่ร่วมบ้านเดียวกัน

แม้กระทั่งในความฝันปัทมายังถูกรบกวนจนไม่อาจนอนหลับได้สนิท จากที่ตอนแรกรู้สึกว่าอาจจะคิดมากไปเอง นานวันเข้าก็ชักจะเริ่มเชื่อแล้วว่ามีเรื่องเรื่องลี้ลับเกิดขึ้นในบ้านนี้จริงๆ แต่พอเอาไปปรึกษากับธรรมนูญกลับถูกหาว่าคิดไปเองเท่านั้น เพราะตัวเขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุขไม่เคยพบเจออะไรแปลกๆ ในบ้านหลังนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว เธอจึงได้แต่เก็บงำความว้าวุ่นใจเอาไว้เพราะไม่อยากรบกวนให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญไปมากกว่านี้

ร่างเพรียวบางล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยล้าจากอาการอ่อนเพลียสะสม เพราะในแต่ละคืนจะได้นอนจริงๆ ก็แค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เธอไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะลุกขึ้นไปปิดไฟในห้องจึงบอกตัวเองว่าหลับเอาแรงสักงีบแล้วค่อยตื่นมาปิด

ในห้วงนิทรานั้นไม่ได้สุขอย่างที่คิดหญิงสาวพบเจอกับความฝันอันแสนยุ่งเหยิง ทั้งผู้คนจำนวนมากซึ่งมีผิวกายอันขาวซีด พวกเขาเหล่านั้นต่างพากันจ้องมองมาด้วยดวงตาไร้แวว ท่ามกลางบรรยากาศมืดหม่นชวนให้หวาดผวา และความฝันอื่นๆ อันพาให้สับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก หัวใจเต้นเร็วแรงด้วยความหวาดกลัวจับจิต แต่ถึงกระนั้นก็ยังพอรู้ว่ากำลังฝันอยู่จึงพยายามพร่ำบอกตัวเองให้ตื่นครั้งแล้วครั้งเล่า

ในที่สุดเธอก็หลุดพ้นจากฝันร้ายเสียที แม้จะยังไม่ได้ลืมตาแต่ด้วยสัมผัสของที่นอนใต้ร่างและผ้าห่มผืนบางคลุมตัวเอาไว้ ก็ทำให้รู้ได้ว่าตัวเองกลับมาอยู่บนเตียงภายในบ้านของธรรมนูญอีกครั้ง ร่างเพรียวบางถอนหายใจออกอย่างโล่งอก ก่อนจะพยายามฝืนเปลือกตาอันแสนหนักอึ้งเพื่อมองความเป็นไปทุกอย่างรอบตัว ทั้งที่จำได้ว่าก่อนจะนอนยังเปิดไฟในห้องทิ้งเอาไว้ แต่ตอนนี้สิ่งที่มองเห็นกลับมีเพียงความมืดสนิทเท่านั้น

ปัทมาเปิดปรือดวงตาขึ้นอีกครั้งและคราวนี้ก็พบว่าเป็นอย่างที่คิด…ทั้งห้องตกอยู่ในความมืดจริงๆ ถึงกระนั้นยังสามารถมองเห็นเครื่องเรือนต่างๆ ภายในห้องอย่างเลือนราง สายตามองฝ่าความมืดออกไปยังผนังห้องมุมหนึ่งซึ่งปรากฏจุดสีแดงวาวเรืองสองจุดเล็กๆ

หญิงสาวคิดว่าตัวเองตาฝาดแต่พอลองเขม้นมองบวกปรับสายตาจนชินกับความมืดได้แล้ว พบว่าสิ่งที่เห็นคือแมงมุมตัวหนึ่ง มันมีขนาดเท่ากำปั้นและจุดสีแดงก็คือดวงตาทั้งคู่ที่กำลังจับจ้องประหนึ่งไม่ให้คลาดสายตา

เธอขนลุกเกรียวตั้งแต่หัวจดเท้า ริมฝีปากอ้าค้างโดยไม่มีเสียงเล็ดรอด สองตาเบิกตาโพลงด้วยความหวาดกลัวแต่ก็ไม่กล้าละสายตาไปจากสิ่งที่เห็น ฝ่ามือทั้งสองข้างที่กำแน่นเย็นเฉียบ ทั้งสองมองจ้องตากันอยู่พักหนึ่งก่อนเจ้าของดวงตาสีแดงคู่นั้นจะเริ่มเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ จากที่แต่แรกเกาะอยู่บนผนังเกือบติดกับเพดานห้อง มันก็ค่อยไต่ลงมาด้านล่างเรื่อยๆ ขายุบยับเยื้องย่างอย่างเชื่องช้า…ทว่าในชั่วพริบตาต่อมากลับกระโจนเข้าใส่เธอด้วยความเร็วสูง!

ปัทมาหลุดกรี๊ดออกมาเต็มเสียง

ร่างเพรียวบางผวาเฮือกลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะพบว่ารอบตัวในขณะนี้เต็มไปด้วยแสงสว่างพร่างพราย ไฟในห้องยังคงเปิดอยู่เหมือนอย่างตอนก่อนหลับไป พอลองกวาดตามองไปรอบๆ อย่างหวาดผวาก็ไม่พบความผิดปกติใดทั้งสิ้น

ที่แท้เมื่อสักครู่นี้คือความฝันหรอกหรือ…เป็นฝันซ้อนฝันอีกที

ในความเงียบงันเธอได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังกระหน่ำอย่างชัดเจน

หญิงสาวหอบหายใจถี่ๆ เพราะเมื่อสักครู่นี้กลัวจนแทบหยุดหายใจไปแล้ว แสงสว่างทำให้จังหวะหัวใจเริ่มผ่อนคลายลงช้าๆ ความกลัวยังมีอยู่หากบัดนี้ถูกแทนที่ด้วยโทสะที่กำลังเพิ่มมากขึ้นทุกที เนื่องจากถูกก่อกวนจนไม่ได้หลับได้นอนมาหลายคืนกระทั่งถึงขีดจำกัด ทำเอาเธอโมโหถึงกับตวาดออกมา

“แกเป็นใคร แน่จริงก็มาเจอกันตรงๆ สิอย่ามาผลุบๆ โผล่ๆ แบบนี้ ถ้ายังไม่หยุดล่ะก็ฉันจะแช่งไม่ให้ผุดได้เกิดเลยคอยดู” เจ้าตัวพูดอย่างเกรี้ยวกราด ทั้งโกรธ ทั้งกลัว และคับแค้นใจผสมปนเปกัน

เสียงของปัทมาลอยหายไปในอากาศ…ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

ร่างเพรียวบางตวัดผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้น หมายจะไปดื่มน้ำหรือทำอะไรสักอย่างให้ตื่นตัวและสลัดความหวาดกลัวจากฝันร้ายออกไปไกลๆ เสียที แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรไปมากกว่านั้นเพราะมีเสียงดังกุกกักแว่วมากระทบโสตประสาท พอลองเงี่ยหูฟังจึงพบว่าต้นเสียงน่าจะมาจากทางตู้เสื้อผ้านั่นเอง

หญิงสาวหันขวับไปมองตามที่มาของเสียงนั้น ยืนชะงักค้างอยู่ที่เดิมอึดใจหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจได้ว่าต้องพิสูจน์ให้เห็นกับตาตัวเอง

คราวนี้เป็นไงเป็นกัน!

ฝ่าเท้าเริ่มขยับเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ เพื่อมุ่งไปทางที่ตั้งของตู้เสื้อผ้า ซึ่งในขณะนั้นเสียงก็ยังไม่ยอมเงียบหายไป มันยังคงดังขลุกขลักๆ ราวกับบางสิ่งที่มีชีวิตเคลื่อนไหวอยู่ในนั้น พยายามที่จะดันตัวเองออกมาภายนอก เพียงแต่ยังติดอะไรบางอย่างจนประตูเปิดไม่ออก

จนกระทั่งไปหยุดยืนที่หน้าตู้เสื้อผ้าแล้วเธอจึงยื่นมือไปเปิดประตูออกมาช้าๆ

เนื่องจากการมาอย่างเร่งด่วนทำให้ในตู้มีเสื้อผ้าของปัทมาอยู่น้อยมาก สิ่งที่มองเห็นอย่างโดดเด่นจึงกลายเป็นร่างกายเปลือยเปล่าที่ถูกยัดอยู่ในตู้อย่างแออัด สีผิวซีดขาวอมเหลืองนั้นไม่ได้เหลืองอย่างคนป่วยไข้ธรรมดาเท่านั้น ทว่าเป็นผิวที่เหลืองราวกับเนื้อตัวชุ่มโชกไปด้วยน้ำเลือดน้ำหนองไหลออกมาจากทุกรูขุมขน กลิ่นเหม็นเน่าปนคาวคละคลุ้งทะลักออกมาจากตู้

ร่างนั้นนั่งตะแคงข้างให้เห็น ชันเข่าขึ้นมาแล้วใช้สองมือกอดประคองเข่าตัวเองไว้หลวมๆ จากรูปร่างซึ่งไร้อาภรณ์ใดๆ ปกปิดก็พอจะเดาได้ว่าเป็นหญิง เธอเลื่อนสายตาขึ้นไปยังดวงตาที่ปิดสนิทก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่ออีกฝ่ายเปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างฉับพลัน

ปัทมามองสบนัยน์ตาสีแดงก่ำซึ่งทำให้หวนประหวัดไปถึงตาของแมงมุมตัวนั้นในฝัน…อีกฝ่ายฉีกยิ้มยิงฟันเผยให้เห็นฟันซี่แหลมเล็กเต็มปาก คมกริบราวกับจะสามารถกัดกินและฉีกกระชากทุกอย่างได้โดยง่ายดาย

วินาทีต่อมาหญิงสาวก็ส่งเสียงกรี๊ดออกมายาวๆ ทีหนึ่ง สัญชาตญาณสั่งการให้รีบวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ไม่แม้แต่จะเสียเวลาหันกลับไปมองทางเบื้องหลังด้วยซ้ำ หลังจากเปิดประตูห้องออกมาได้แล้วร่างเพรียวบางก็โผไปทางห้องนอนของธรรมนูญที่อยู่ใกล้ๆ กัน ทั้งทุบประตูและส่งเสียงเรียกอยู่พักหนึ่งแต่ก็ไม่มีการตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น พอถือวิสาสะปิดประตูเข้าไปแล้วจึงพบเพียงความมืดอันว่างเปล่า

ไฟบางดวงในบ้านยังคงเปิดอยู่อย่างสลัวๆ จึงรู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มน่าจะยังอยู่ที่ห้องทำงาน เธอเปลี่ยนทิศทางไปยังชั้นล่างแทน…เวลาช่างนานเหลือเกินในความรู้สึกและบ้านทั้งหลังก็ดูคล้ายกว้างใหญ่เกินไป ด้วยความเร่งรีบทำให้ปัทมาล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายรอบ จนกระทั่งไปถึงบันไดบ้านเธอรีบก้าวลงไปอย่างเร็วรี่ เหลือบันไดอยู่แค่ไม่กี่ขั้นเท่านั้นทว่าหญิงสาวกลับรู้สึกได้ถึงแรงผลักเบาๆ ที่หลังวูบหนึ่งก่อนจะเสียหลักล้มกลิ้งตกบันไดไป

โชคดีที่เกือบจะถึงพื้นด้านล่างแล้วเธอจึงไม่ได้เป็นอะไรมาก ราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการหมายเอาชีวิต นอกจาก ‘สั่งสอน’ แบบเบาะๆ เท่านั้น ปัทมาลุกขึ้นแล้วเดินโซซัดโซเซไปหาธรรมนูญ ทุบประตูห้องทำงานอย่างเร่งร้อนพร้อมกับส่งเสียงเรียก

“พี่มนู…ช่วยด้วย”

 

ดึกแล้วบรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบจึงทำให้ความคิดของธรรมนูญไหลลื่นเป็นพิเศษ มือจับปากกาตวัดเขียนตัวอักษรลงบนสมุดอย่างรวดเร็วแต่กลับไม่ทันสิ่งที่พรั่งพรูออกมาจากสมอง ด้วยเพ่งสมาธิอยู่แต่กับนิยายซึ่งกำลังเขียนอยู่ทำให้ปฏิกิริยาของชายหนุ่มช้ากว่าที่ควรจะเป็น แม้แต่เสียงกรี๊ดที่ดังขึ้นก่อนหน้านี้ก็คลับคล้ายว่าจะได้ยินแต่กลับไม่ได้ยิน จนกระทั่งปรากฏเสียงเรียกอยู่อย่างชัดเจนหน้าประตูห้องทำงาน

ก่อนหน้านี้ปัทมาเคยมาเรียกหาเวลากลางค่ำกลางคืนอยู่หลายครั้ง อ้างโน่นอ้างนี่สารพัดอย่าง แต่เขาก็ไม่ยอมเปิดประตูให้ในยามวิกาลอีกเลยไม่ว่าจะห้องนอนหรือห้องทำงาน มาบัดนี้เมื่อได้ยินน้ำเสียงราวกับเกิดเรื่องคอขาดบาดตายบางประการ ทำให้ธรรมนูญชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมเปิดประตูออกไปตามเสียงเรียกขาน

“เกิดอะไรขึ้น”

“ช่วยน้องด้วยค่ะ” เธอโผเข้าหาแล้วกอดรัดร่างสูงโปร่งเอาไว้ พึมพำออกมาราวกับคนไร้สติ “ผีค่ะ ผีหลอก”

ชายหนุ่มตกใจ…ไม่ใช่เพราะสิ่งที่ได้ยิน แต่คือการที่ผู้หญิงในชุดนอนลักษณะนุ่งน้อยห่มน้อยมาพัวพันตนไว้ไม่ยอมปล่อย เหตุการณ์ในคืนไฟดับนั้นหวนกลับมาในความคิดอีกครั้ง และมันทำให้เขาไม่ไว้ใจ สงสัยว่าอีกฝ่ายจะมาลูกไม้ไหนอีก

“ผีเผอมีที่ไหนกัน” ธรรมนูญบอกแกมดุ

“มีสิคะ มันอยู่ในตู้เสื้อผ้า โผล่ออกมาหลอกน้อง น่ากลัว…น่ากลัวที่สุด” ภาพที่เพิ่งเห็นยังคงติดตาจนปัทมาไม่กล้าบรรยายอะไรออกมามากกว่านี้อีกแล้ว นอกจากหลับตาปี๋แล้วซุกหน้าลงกับแผ่นอกกว้าง

“เดี๋ยวก่อน ปล่อยพี่ก่อน” ชายหนุ่มถอนหายใจ พยายามแกะมือไม้ซึ่งแปะป่ายบนตัวเขาอย่างสะเปะสะปะ แต่หญิงสาวก็มือเหนียวหนึบยิ่งกว่าหนวดปลาหมึกเสียอีก

“ไม่ค่ะ น้องไม่ปล่อย คืนนี้พี่มนูต้องอยู่กับน้องนะ ไม่แน่มันอาจจะกลับมาอีกก็ได้”

“หยุด…ปัทมาหยุด!” ร่างสูงโปร่งตวาดอย่างเหลืออดเหลือทนเต็มที แล้วมันก็ได้ผลเมื่ออีกฝ่ายชะงักเขาจึงสามารถสลัดมือเธอจนหลุด ก่อนจะดันร่างเพรียวบางออกไปให้ห่างจากตัวเอง “เลิกทำแบบนี้ได้แล้ว”

“น้องทำอะไรคะ”

“ก็แบบนี้แหละ” ธรรมนูญว่าพลางมองปัทมาตั้งแต่หัวจดเท้า รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที “คิดว่าพี่ไม่รู้ทันลูกไม้เธอหรืออย่างไร”

“น้องไม่ได้เล่นลูกไม้อะไร แต่น้องเจอผีจริงๆ” หญิงสาวยังคงยืนยันตามเดิม

“ยังจะปากแข็งอีก พี่ขอบอกเป็นครั้งสุดท้ายนะ…หยุดทำแบบนี้ได้แล้ว เธออาจจะไม่อาย แต่พี่น่ะอาย” ชายหนุ่มว่าแล้วก็งับปิดบานประตูลงตามเดิม ทิ้งให้อีกฝ่ายเต้นเร่าๆ อยู่ข้างนอก

“พี่มนู เปิดประตูออกมาก่อน” เธอร้องเรียกอย่างเกรี้ยวกราด

ร่างสูงโปร่งเดินออกห่างจากประตูเรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะใจอ่อนตามเสียงเรียกร้อง ทรุดตัวลงนั่งแล้วนวดขมับตัวเองอยู่พักหนึ่ง

สรุปว่าเขาก็ไม่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานอีกเลย หลังจากเผลอหลับไปในห้องทำงานรู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนรุ่งสาง เมื่อมองออกไปนอกกระจกหน้าต่างจึงพบว่าโลกภายนอกเริ่มมีแสงสลัวรางแล้ว ธรรมนูญเดินขึ้นไปยังชั้นสองพบว่าหลอดไฟยังคงสว่างโร่เพราะเปิดไฟทิ้งไว้ตลอดทั้งคืน บริเวณโต๊ะหมู่บูชาเล็กๆ ยังมีร่องรอยของการจุดธูปเทียนเอาไว้ให้เห็น ทั้งที่ปกติแล้วปัทมาไม่เคยมีกระจิตกระใจจะมาไหว้พระ

ร่างสูงโปร่งชะงักกึกเมื่อเห็นว่าหญิงสาวนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ตาโหล สีหน้าอ่อนล้าเหมือนคนไม่ได้นอนมาทั้งคืน พอหันมาเห็นเขาเข้าก็ส่งสายตาดุจจะตัดพ้อต่อว่ามาให้

คนใจร้าย’

“นี่ยังไม่นอนอีกหรือ”

“ใครจะไปนอนหลับลงล่ะคะ” เธอกล่าวเรียบๆ แลดูอ่อนระโหยโรยแรง

“อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนนี้เจอผีจริงๆ”

“ก็จริงสิคะ” ร่างเพรียวบางลุกขึ้นจากโซฟาด้วยท่าทางคอแข็งหน้าเชิด ก่อนจะกล่าวประโยคซึ่งชายหนุ่มคงคิดว่าไม่มีทางได้ยินมันออกจากปากเธอแน่ๆ “น้องต้องการกลับกรุงเทพฯให้เร็วที่สุดค่ะ!”

 

เนื่องจากมีสัมภาระไม่มากจึงสามารถเก็บของได้ภายในเวลาไม่นาน ธรรมนูญขับรถพาปัทมาเข้าไปในตัวเมืองเพื่อไปส่งที่สถานีรถไฟจังหวัดเชียงใหม่ เขายังแสดงอาการห่วงใยรับปากว่าจะพยายามหาเวลาลงไปเยี่ยมที่กรุงเทพฯ แต่เธอไม่ได้มักน้อยขนาดนั้น

แม้ในช่วงที่กำลังจะก้าวขึ้นรถไฟหญิงสาวก็ยังไม่วายหันกลับมามองชายหนุ่มพร้อมด้วยความคิดว่า…สักวันเธอจะต้องกลับมาอีกให้ได้

นี่เป็นเพียงการหนีไปตั้งหลักก่อนเท่านั้นเอง!



Don`t copy text!