พันธรตี บทที่ 3 : คนละสายเลือด

พันธรตี บทที่ 3 : คนละสายเลือด

โดย : บุญฐิสา

“พันธรตี” โดย บุญฐิสา ได้จบลงแล้วนะคะ หากเพื่อนๆ ท่านใดอยากได้รวมเล่มไว้อ่านให้หายคิดถึงเจ้าหลวงมังคละและเจ้ามิ่งทิพย์ สามารถสั่งซื้อได้ที่ เพจ : บุญฐิสา FB : Praew Boonthisa หรือ E-mail : Boonthisa_writer@hotmail.com นะคะ

****************************

– 3 –

เมื่ออารมณ์ฝ่ายต่ำถูกปลุกปั่นอย่างรุนแรง สมองของธรรมนูญจึงคิดหาแต่เหตุผลเข้าข้างตัวเองว่าถึงอย่างไรปัทมาก็ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง แล้วตอนนี้ยังมีอะไรไม่ถูกต้องอีก ทั้งที่อีกใจหนึ่งก็รู้ดีว่าหากพลาดพลั้งไปในคืนนี้จะมีแต่ปัญหาตามมาอีกมากมาย

ขณะความคิดกำลังตีกันอยู่ในหัวแต่ร่างกายที่ทำตามสัญชาติญาณดิบของมนุษย์นั้นกลับสั่งการให้ร่างสูงโปร่งพลิกตัวขึ้นมาอยู่ด้านบน หญิงสาวยกมือไล้ใบหน้าคมเข้มด้วยสายตาหลงใหล ก่อนจะเลื่อนไปโอบรอบต้นคอแกร่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ชายหนุ่มโน้มลงมาจุมพิตอย่างเร่าร้อน

กรุ่นกลิ่นน้ำหอมชั้นดีจากต่างประเทศบนเรือนกายหญิงสาวยิ่งปลุกเร้าอารมณ์ให้มากขึ้นทุกที เขาก้มลงซุกไซ้ซอกคอหอมกรุ่น ผิวกายหนุ่มสาวแนบเนื้อสัมผัสเสียดสีกัน อารมณ์ดำกฤษณาควบคุมความคิดอ่านทั้งหลายหมดสิ้น ทั้งความฉลาดหลักแหลม รอบคอบ เป็นเหตุเป็นผล คล้ายกับถูกซุกไว้มุมใดมุมหนึ่งในห้องแล้วหลงลืมมันไป

จนกระทั่งปรากฏแสงฟ้าแลบแปลบปลาบสาดประกายสว่างจ้าเข้ามาภายในห้องนอนสะท้อนเข้าสู่นัยน์ตาเขา ตามด้วยเสียงฟ้าผ่าดังลั่นไม่ต่างอะไรกับมีมือยักษ์มาทุบผนังจนทั้งบ้านสั่นสะเทือน บัดนั้นธรรมนูญจึงได้สติชัดแจ้ง ทุกอย่างชัดเจนในห้วงความคิดของตน ว่าหากปล่อยให้เรื่องมันเลยเถิดไปไกลกว่านี้ก็ต้องพร้อมยอมรับกับผลที่จะตามมาด้วย!

“เป็นอะไรคะ” หญิงสาวเอ่ยถามเมื่อพบว่าจู่ๆ อีกฝ่ายก็นิ่งไป

ชายหนุ่มรีบผละออกราวกับกำลังสัมผัสโดนของร้อนที่กำลังแผดเผาตนเอง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ไฟทั้งบ้านสว่างวาบขึ้นมา ธรรมนูญเหมือนตื่นจากความฝันเมื่อเห็นหญิงสาวนอนทอดกายบนเตียงนอนอันยุ่งเหยิงของตนเอง

“นี่มันอะไรกันคะ” ร่างเพรียวบางตกใจเมื่อถูกดึงขึ้นมาจากเตียง

เขาพาตัวเธอไปที่หน้าประตูห้องโดยไม่พูดไม่จาอะไร นอกจากทำสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนเพิ่งผ่านเรื่องคอขาดบาดตายมา

“พูดอะไรสักอย่างสิคะพี่มนู” คนที่ยืนอยู่นอกห้องถามโดยไม่ยอมขยับไปไหน

“พี่ขอโทษ” เจ้าตัวกล่าวสั้นๆ ด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ก่อนจะปิดประตูดังปัง ล็อกประตูห้องอย่างหนาแน่นราวกับกลัวว่าปัทมาจะเข้ามาเคลียคลอเขาได้อีกรอบ

เกือบไปแล้ว…

ร่างสูงโปร่งคิดกับตัวเอง เพราะความหน้ามืดตามัวเหมือนโดนผีบ้าราคะเข้าสิงเกือบทำให้ทุกอย่างมันแย่ลงกว่าเดิม เพราะเพียงแค่นี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ยุ่งอีรุงตุงนังกันเกินพอแล้ว หากเผลอไผลจนมีความสัมพันธ์ทางกายอีก ชาตินี้คงไม่มีวันตัดขาดจากกันได้!

 

ปัทมายืนมองประตูนิ่งค้างเหมือนเห็นโลกถล่มทลายลงไปต่อหน้าต่อตา พอหายตกใจแล้วน้ำตาก็ไหลพร่างพรูออกมา ทั้งเจ็บใจเพราะพลาดจากสิ่งที่หวัง ในขณะเดียวกันก็อับอายกับสิ่งที่ทำลงไป…เธอทำถึงขนาดนี้แล้วแต่เขาก็ยังไม่เอา!

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนกว่าหญิงสาวจะเดินโซเซกลับไปห้องของตนเองได้ เธอฟุบตัวลงบนเตียงอย่างเศร้าซึมปล่อยให้น้ำตาไหลเปื้อนเปียกหมอน วูบหนึ่งที่รู้สึกถึงไอหนาวเย็นผ่านร่างไป ปัทมาเข้าใจว่าตนเองอาจจะปิดหน้าต่างไม่สนิทจนเป็นเหตุให้มีลมลอดผ่านเข้ามาได้ ทว่ายามกวาดตามองไปรอบห้องก็พบว่าประตูหน้าต่างทุกบานล้วนปิดแน่น ชายผ้าม่านนิ่งไม่ไหวติง

จู่ๆ ก็รู้สึกวังเวงขึ้นมาอย่างน่าแปลกประหลาด แม้ในห้องจะไม่มีใครอีกแต่กลับไม่คล้ายอยู่ลำพัง ราวกับมีดวงตาคอยจับจ้องมองเขม็ง และไม่ใช่เพียงคู่เดียวเสียด้วย

เพื่อความมั่นใจเธอเลยเดินไปปิดผ้าม่านให้สนิทแนบกรอบหน้าต่าง แล้วกลับมานอนห่มผ้าตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงคอ แต่ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกหนาวเหน็บจนจับขั้วหัวใจ แม้บรรยากาศจะค่อนข้างน่าหวาดระแวงแต่ด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการร้องไห้ก็ทำให้เผลอหลับไปอย่างไม่ทันรู้ตัว

เหมือนเป็นความฝันแต่ก็คล้ายกับว่าได้เกิดขึ้นจริง ในห้วงนิทรานั้นปัทมาอึดอัดจนหายใจไม่ออก พยายามขยับตัวเพื่อคลายความทรมานนี้แต่กลับพบว่าร่างกายของตัวเองไม่อาจขยับเขยื้อนได้ เหมือนมีคนมากมายมารุมล้อมรอบเตียง มือนับสิบรุมทึ้งตัว ท่อนบนก็ราวกับมีใครมานั่งทับหน้าอกเอาไว้ หญิงสาวฝืนต่อสู้จนกระทั่งขยับปลายนิ้วได้ แต่แล้วลำคอก็เหมือนถูกปลอกเหล็กพันธนาการเอาไว้ แรงบีบรัดเพิ่มมากขึ้นทุกที เธอพยายามสูดลมหายใจแต่ก็เหมือนถูกปิดกันไปหมดทุกทาง ไม่มีอากาศผ่านเข้าไปในปอดทั้งทางปากและจมูก

‘พี่มนู…ช่วยน้องด้วย’

คนที่คิดถึงก็ยังคงเป็น ‘พี่มนู’ ซึ่งคอยช่วยปกป้องดูแลเสมอมา พอคิดอย่างนั้นแรงบีบรัดตรงลำคอก็ค่อยๆ แผ่วลง ร่างเพรียวบางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้นความอึดอัดก็หายไป ความทุกข์ทรมานต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นล้วนเลือนราง…ในที่สุดความฝันก็จบสิ้นลงพร้อมๆ กับสติรับรู้วูบลับดับไป

ในขณะเดียวกันนั้นเอง…

พอปัทมาออกไปจากห้องแล้วร่างสูงโปร่งก็เดินวนเวียนไปมาในห้อง กวาดสายตาไปมองเตียงนอนที่ยับยู่ยี่ของตนแล้วถึงกับกุมขมับ ก่อนจะตัดสินใจแง้มหน้าต่างห้องออกเล็กน้อยพอให้อากาศถ่ายเทก่อนหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบแก้เครียด ชายหนุ่มอัดบุหรี่เข้าปอดแล้วพ่นควันสีเทาออกมาเป็นสาย ต้องใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะสงบสติอารมณ์ตัวเองได้

ทว่าอาจเป็นเพราะความเหนื่อยล้าจากงานขึ้นบ้านใหม่ที่วุ่นวายมาตั้งแต่เช้า ผ่านไปสักพักความง่วงก็คืบคลานเข้ามาหา ในช่วงที่อยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นนั้นเสียงบางอย่างก็แว่วเข้ามากระทบโสต เหมือนเครื่องประดับโลหะจำนวนมากกระทบกันจนเกิดเป็นเสียงตามจังหวะการก้าวเดินของผู้สวมใส่ ก่อนที่เตียงนอนจะยวบลงเล็กน้อยตามมาด้วยสัมผัสเย็นเฉียบหากอ่อนนุ่มราวกับมีร่างแน่งน้อยทิ้งตัวลงนอนเคียงข้างซุกซบตัวเองกับแผ่นอกเขา

 

ท้องฟ้ามืดครึ้มเต็มไปด้วยเมฆหมอกทะมึน บดบังดวงอาทิตย์จนสาดส่องแสงลงมาได้อย่างไม่เต็มที่นัก เส้นทางภายในป่าแห่งนี้จึงดูสลัวรางมากกว่าที่ควรจะเป็น ขบวนเดินทางเล็กๆ ซึ่งประกอบด้วยวัวเทียมเกวียนและกลุ่มคนนับสิบที่กำลังเดินเท้าพากันมุ่งหน้าต่อไปเรื่อยๆ อากาศแสนเย็นเยียบชวนให้รู้สึกหดหู่ใจ อีกทั้งความเหนื่อยล้าจากการเดินทางทำให้แทบไม่มีใครสนทนากับใคร

บนเกวียนมีหลังคาคอยช่วยบังแดดบังฝนปรากฏหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งทอดสายตามองออกไปข้างนอก ไม่กี่อึดใจต่อมาก็บังเกิดเสียงดังอึงอลขึ้นมาอย่างฉับพลัน และวัวเทียมเกวียนที่นั่งอยู่ก็หยุดชะงักอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวแทบไม่ทัน

‘เกิดอะไรขึ้น’ ร่างบอบบางส่งเสียงไถ่ถามออกไปอย่างนั้น

‘โจร…พวกโจรป่าบุกขอรับ’ ชายซึ่งทำหน้าที่นั่งบังคับวัวอยู่ทางด้านหน้าตอบ

เธอเอื้อมมือไปหยิบดาบด้ามหนึ่งซึ่งถูกพันเก็บไว้ในห่อผ้าและพกติดตัวมาด้วยโดยไม่คิดว่าจะต้องใช้งานมันจริงๆ ครั้นลงจากวัวเทียมเกวียนที่นั่งมาแล้วก็เห็นภาพความโกลาหลรอบตัว ชายฉกรรจ์ในชุดดำบุกเข้ามาพร้อมอาวุธครบมือ แม้ว่าพวกคนในขบวนจะเข้าต่อสู้จนสุดชีวิตแต่มองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าฝีมือห่างชั้นกันแค่ไหน ไม่รู้จะต้านทานเอาไว้ได้สักเท่าไร

หญิงสาวถอดดาบออกจากฝักแล้วจัดการกับใครหน้าไหนก็ตามที่พยายามพุ่งเข้ามาทำร้าย แม้จะไม่ได้เก่งกาจแต่ก็เรียกได้ว่าพอมีฝีมือใช้ป้องกันตัวอยู่บ้าง ท่ามกลางเสียงดาบปะทะดาบ อาวุธปะทะอาวุธ ชายชุดดำร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งซึ่งดูท่าว่าน่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มโจรหันมาเห็นเธอเข้าจึงชี้นิ้วมาพลางส่งเสียงบอกพรรคพวกของตน

‘นั่น…แม่หญิงผู้นั้น รีบไปจับตัวมาเร็ว’

ลำพังแค่จะรับมือกับพวกโจรป่าทีละคนว่ายากแสนยากแล้ว พอพวกมันหลายคนพากันรุมกลุ้มเข้ามารายล้อมจึงแทบไม่มีโอกาสชนะ ทำได้เพียงรับๆ ถอยๆ ฝ่ามือเรียวบางที่กำดาบแน่นรับแรงปะทะแต่ละครั้งยิ่งนานยิ่งเจ็บชาจนถึงขั้นแทบไร้ความรู้สึก แต่ก็ต้องฝืนทนไว้ด้วยรู้ว่าหากดาบหลุดจากมือเมื่อไรก็เท่ากับความตายมายืนรออยู่หน้าประตูแล้ว

กระทั่งมีเสียงม้าวิ่งกุบกับๆ ดังแว่วมาก่อนจะปรากฏร่างของบุรุษผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้าสีขาวอย่างสง่างาม เขามีรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมเข้ม สีหน้าทอแววอ่อนโยนแต่กลับมีรัศมีของพลังอำนาจบางอย่างที่แผ่ออกมาจางๆ พอเขาเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ก็คาดเดาได้ว่าอะไรเป็นอะไรจึงรีบเข้ามาช่วยเหลือ ถึงจะมีแค่ตัวคนเดียวแต่ฝีมือการต่อสู้ของชายหนุ่มกลับไม่ธรรมดา เพียงครู่จากที่คนร้ายกำลังเป็นต่อก็พลิกมาทำท่าจะเพลี่ยงพล้ำ

พวกโจรที่รุมเธออยู่จึงต้องถอยออกไปจัดการกับผู้มาใหม่ แม้จะเป็นอย่างนั้นแต่ด้วยความที่เรี่ยวแรงของเธอเหลือน้อยลงเต็มที สุดท้ายอาวุธก็เลื่อนหลุดจากมือกระเด็นไปไกลแล้วถูกจับตัวเอาไว้ได้อยู่ดี  ร่างบอบบางดิ้นรนขัดขืนรู้ตัวอีกทีก็พบว่ามีกำปั้นชกเข้าที่ท้องหมัดหนึ่ง ทำเอาทั้งเจ็บและจุกหมดเรี่ยวแรงแม้กระทั่งจะทรงกายอยู่อีกต่อไป สิ่งสุดท้ายที่มองเห็นคือดวงตาสีน้ำตาลซึ่งเต็มไปด้วยความห่วงใยของชายหนุ่ม เขาทำท่าจะพุ่งเข้ามาช่วยแต่กลับถูกโจรร้ายพัวพันไว้ไม่ยอมเลิกราจนไม่สามารถทำตามอย่างที่ใจนึก

‘ช่วย…ด้วย…’ หญิงสาวเค้นเสียงออกมาแต่กลับแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ หลังจากนั้นใครสักคนหนึ่งก็อุ้มเธอขึ้นพาดบ่า แล้วทุกอย่างจึงเหลือเพียงความมืดมิดเท่านั้น

 

หญิงสาวได้สติกลับคืนมาอีกครั้งเพราะถูกโยนลงพื้นอย่างแรง ในห้วงอันเลือนรางนั้นยังได้ยินเสียงของโจรร้ายทั้งสามทุ่มเถียงกัน

‘หัวหน้า…เราได้รับคำสั่งให้ฆ่านางไม่ใช่หรือแล้วยังจะพาตัวมาทำไมอีก’

‘มึงนี่โง่จริงๆ ของดีๆ ขนาดนี้จะฆ่าทิ้งไปเลยก็เสียเปล่าสิวะ’

‘แล้วผู้ว่าจ้างจะไม่พอใจหรือเปล่า’

‘อุวะ…พวกเราเป็นใคร โจรป่าที่ขึ้นชื่อเรื่องปล้นฆ่าข่มขืน มาจ้างพวกเราก็ต้องอยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นสิโว้ย แล้วจะบอกให้ว่าข้าลองเลียบๆ เคียงๆ ถามมาแล้ว ผู้ว่าจ้างบอกว่าจะทำอย่างไรก็ได้ ขอแค่สุดท้ายบนโลกใบนี้ไม่มีนางอยู่ต่อไปก็พอ’

ร่างบอบบางค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง กวาดตามองรอบกายในขณะนี้ก็พบว่าที่นี่คือถ้ำแห่งหนึ่ง…เป็นถ้ำคูหาเล็กๆ ทั้งยังมีเถาวัลย์ห้อยย้อยลงมาปิดปากถ้ำอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ จนหากมีใครบังเอิญผ่านไปมาก็คงแทบไม่สังเกตเห็น

‘อ้าว ตื่นแล้วหรือจ๊ะน้องสาว’ หัวหน้าโจรสาวเท้าเข้ามาหา

‘ใคร…ใครที่ต้องการให้ข้าตาย’ เธอเอ่ยถามออกมา

‘ข้าไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามหรอก’ มันบอกออกมาตามตรง ‘แต่การอยากให้ใครสักคนตายก็มีเหตุผลอยู่ไม่กี่อย่าง ถ้าไม่ได้มีความแค้นต่อกันมากๆ ก็เพราะจะได้ประโยชน์จากการตายของคนๆ นั้นนั่นเอง’

แม้ว่าฝ่ายโจรร้ายไม่ได้ให้คำตอบอย่างชัดเจน แต่พอได้ยินหญิงสาวก็ถึงกับชะงักค้างวูบหนึ่ง เข้าใจเรื่องราวทุกอย่างกระจ่างแจ้งในตอนนั้นเอง เธอกัดฟันกรอดด้วยความคับแค้นใจ…ไม่คิดว่าคนนั้นๆ จะเหี้ยมโหดได้ขนาดนี้เลย

‘ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าไปทำอะไรเอาไว้ ถึงได้มีคนเกลียดชังขนาดอยากฆ่าให้ตาย แต่ไม่เป็นไรหรอกก่อนตายข้าจะให้เจ้าได้มีความสุขเอง ฮ่าๆๆ’

ท้ายประโยคพวกมันก็ส่งเสียงหัวเราะเฮฮา โจรป่าสองคนจับยึดร่างบอบบางแล้วกดเอาไว้กับพื้น ในขณะที่หัวหน้าของมันยืนค้ำเหนือร่างแล้วมองมาด้วยสายตาหื่นกระหาย ณ บัดนั้นหญิงสาวคิดเพียงแต่ว่าถึงอย่างไรก็คงต้องสู้จนถึงที่สุด หรือถ้าพวกมันจะโกรธจนลงมือฆ่าไปเลยก็ไม่เป็นไร ดีกว่าต้องถูกย่ำยีให้เสียศักดิ์ศรี

เมื่อร่างใหญ่หนาพยายามคร่อมตัวเอาไว้แล้วโน้มลงมาซุกไซ้ที่ซอกคอ เธอก็กัดหมับเข้าไปที่ใบหูของมันจนสุดแรง จนได้ยินเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและแตกตื่นตกใจ พออีกฝ่ายเผลอก็ยกเข่าขึ้นกระแทกตรงแก่นกลางลำตัวแบบหนักๆ ทีหนึ่ง แล้วถีบร่างหนาจนล้มกลิ้งออกไปไกล

‘โธ่เว้ย นางนี่มันร้ายนัก…พวกเอ็งจับมันให้ดีๆ หน่อยสิวะ มีกันตั้งสองคน’ โจรร้ายตวาดลั่นพลางกุมใบหูของตัวเองที่มีเลือดไหลออกมา

‘พวกเราพยายามแล้ว แต่ไม่รู้มันเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน แรงเยอะอย่างกับคนบ้า’

‘หึ…ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ลองดูเถอะว่ายังจะขัดขืนไปได้สักกี่น้ำ’ หัวหน้าโจรป่าแสยะยิ้มออกมาทีหนึ่ง ก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากชายพก จุดไฟแล้วปามันลงพื้น ปรากฏกลุ่มควันสีเหลืองค่อยๆ พวยพุ่งออกมาแล้วอวลอยู่ภายในถ้ำแห่งนั้น

กลิ่นหอมเอียนๆ โชยมากระทบนาสิกร่างบอบบางก็ค่อยๆ อ่อนแรงลงเรื่อยๆ ห้วงความคิดทั้งสับสน มึนงง ลมหายใจหอบถี่กระชั้นทำให้ยิ่งสูดดมควันเข้าจมูกมากขึ้นเรื่อยๆ

‘นี่แก…ทำอะไร’ เธอว่าพลางสำลักด้วยกลิ่นแปลกๆ ที่เหลือจะทนนั่น

‘เดี๋ยวก็รู้’ ประโยคต่อมาจึงหันไปกล่าวกับลูกน้องทั้งสองคนว่า ‘เฮ้ย ปล่อยมือได้แล้ว คราวนี้สนุกกันละพวกมึงเอ๋ย’

ร่างใหญ่หนาทาบทับลงมาอีกครั้งคราวนี้หญิงสาวไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะขัดขืน คิดว่าชีวิตคงจะจบสิ้นเสียแล้วในตอนนี้เอง…ทว่าขณะเดียวกันนั้น

‘หยุดเดี๋ยวนี้’

แรงกดบนตัวหายไปเพราะโจรร้ายทั้งสามผละไปอีกทาง ท่ามกลางความสับสนเหมือนโลกทั้งใบมันโคลงเคลงเอียงซ้ายเอียงขวา มีเสียงการต่อสู้ อาวุธปะทะกัน กลิ่นคาวเลือดผสมปนเปในกลิ่นหวานเอียนจางๆ กว่าจะรู้ตัวก็พบว่ามีใครสักคนหนึ่งช่วยพยุงร่างแล้วนำพาออกมาจากถ้ำ อากาศที่สดชื่นขึ้นและแสงสว่างทำให้พอมีสติขึ้นมาจนรับรู้ได้ว่าผู้ช่วยเหลือคือชายหนุ่มที่ได้สบตาก่อนที่โจรร้ายจะจับตัวมานั่นเอง

‘เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่’

‘ข้าไม่เป็นไร ไม่ได้บาดเจ็บ’ แม้บอกอย่างนั้นแต่สีหน้าคนพูดกลับดูไม่ดีนัก ‘ร้อน…ทำไมมันร้อนอย่างนี้’

ร่างกายของเธอมันร้อนรุ่มไปหมดอย่างกับมีเพลิงผลาญ หากเป็นเพลิงที่เผาออกมาจากข้างใน อึดอัดทรมานอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน

เขามองใบหน้าเรียวที่มีเหงื่อผุดพรายก่อนจะนึกเอะใจอะไรบางอย่าง กลิ่นหอมแปลกๆ ในถ้ำนั่น ถ้าเข้าใจไม่ผิดน่าจะเป็นของจำพวกกำยานหรืออะไรสักอย่างที่มีฤทธิ์ปลุกกำหนัด

‘ชั่วช้านัก’

คิดในใจอย่างนั้นแล้วจึงรวบร่างบอบบางขึ้นสู่อ้อมแขนแล้วเริ่มเดินอย่างรวดเร็วจนเกือบจะกลายเป็นวิ่ง

‘จะพาข้าไปไหน’

‘ข้าก็จะช่วยเรียกสติเจ้าอย่างไรล่ะ’

หญิงสาวที่ตอนนี้กำลังแนบตัวอยู่กับแผ่นอกกว้างพ่นลมหายใจอุ่นร้อนผะผ่าวมายังบริเวณซอกคอ ทำเอาชายหนุ่มถึงกับฟันกรอด เพราะไม่ใช่แค่อีกฝ่ายที่ถูกพิษจากกำยานปลุกกำหนัดเล่นงานตนเองก็โดนด้วย เพียงแต่ไม่มากเท่าจึงยังพอครองสติไว้ได้

‘ทำใจดีๆ ไว้ก่อนนะ’

เขากล่าวออกมาโดยไม่รู้ว่าบอกคนในอ้อมกอดหรือกำลังบอกตัวเองอยู่กันแน่

 

ชายหนุ่มพาหญิงสาวไปจนกระทั่งถึงน้ำตกแห่งหนึ่ง หวังใช้สายน้ำที่เย็นจัดบรรเทาความร้อนรุ่มและเรียกสติกลับคืนมาให้ได้ จากนั้นจึงเอ่ยถามโดยที่ยังช่วยประคองเอาไว้ด้วยเกรงว่าหากปล่อยมืออีกฝ่ายอาจจะทรงตัวไว้ไม่อยู่จนจมน้ำได้

‘ดีขึ้นบ้างหรือไม่’

อาการมือไม้แตะลงบนตัวเขาอย่างสะเปะสะปะนั้นก็ทำให้รู้แล้วว่า…ไม่ดีขึ้น

‘มีสติขึ้นมาเสียทีเถิด รู้ไหมว่าข้าเองก็ลำบาก’

ร่างกายของเขาร้อนระอุขึ้นมาเรื่อยๆ หากยังเป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะยังคงสติเอาไว้ได้อีกนานเท่าไร

ร่างสูงโปร่งยกมือประคองใบหน้าเรียวแล้วตบเบาๆ เรียกสติ แต่พอดวงตาเปิดปรือคู่นั้นค่อยๆ ช้อนสายตาขึ้นมามองเขา สองแก้มแดงระเรื่อ ริมฝีปากบางเผยอน้อยๆ แฝงจริตยั่วยวนโดยที่เจ้าตัวไม่ได้พยายามด้วยซ้ำ แต่มันก็ทำเอาคนมองถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง

มาถึงตอนนี้สตินึกคิดทั้งหลายของหญิงสาวพลันปลาสนาการไปสิ้น รู้เพียงแต่ว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ความทรมานนี้หายไปเสียที ทั้งความอบอุ่น อ่อนโยน และความปลอดภัยที่เขามอบให้เธอ ทำให้ร่างบอบบางยกมือขึ้นโอบรอบลำคอแกร่งตามสัญชาติญาณ ก่อนเขย่งตัวขึ้นแตะริมฝีปากชายหนุ่ม เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะจุดไฟในตัวอีกฝ่ายให้ลุกโชน

เรือนกายสูงโปร่งพลันแข็งขึงขึ้นมาทันทีทันใด ก่อนที่จะทันได้คิดอะไรก็ตวัดมือโอบรอบเอวบางแล้วรั้งตัวเข้ามาแนบชิด สัมผัสเสียดสีจากกายหนุ่มสาวยิ่งทำให้อารมณ์เตลิดไปไกล ชายหนุ่มโน้มลงครอบครองริมฝีปากแดงอิ่มอย่างดูดดื่ม ราวกับคนที่หลงทางพบแหล่งน้ำกลางทะเลทราย ทั้งโหยหาและไม่รู้จักอิ่มจักพอ

ท่ามกลางสายน้ำอันเย็นเฉียบ เสียงน้ำตกดังซู่ซ่า…ลมหายใจของทั้งสองพลันหอบถี่กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ

 

เช้าวันต่อมาฝนก็หยุดตกเสียที ต้นไม้ใบหญ้าได้รับน้ำอย่างชุ่มฉ่ำ มีไอหมอกลอยจางๆ ตอนที่ธรรมนูญออกมาจากห้องนอนก็พบว่าปัทมากำลังทำอาหารเช้าอยู่ในครัว ต่างคนต่างทำตัวเป็นปกติถ้าไม่ใช่เพราะอาการไม่ยอมสบตากันนั้นคงเหมือนกับว่าเรื่องราวเมื่อคืนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ขณะที่กำลังนั่งรับประทานอาหารอย่างเงียบๆ ชายหนุ่มก็หวนนึกถึงความฝันที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าเขามักจะฝันถึงชายหญิงคู่หนึ่งแต่ก็เป็นตอนทั้งคู่ฆ่าตัวตายพร้อมกันเท่านั้น นี่จึงเป็นครั้งแรกที่บังเอิญฝันถึงฉากอื่นๆ แถมยังเป็นตอนที่ทั้งสองมีสัมพันธ์ลึกซึ้งเสียด้วย ซึ่งธรรมนูญก็คิดว่ามันคงมาจากจิตใต้สำนึกสืบเนื่องจากเรื่องของตนและปัทมา

“จะรับข้าวต้มเพิ่มหน่อยไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“ไม่ละ” เขาปฏิเสธ “ว่าแต่…เสียงเป็นอะไรหรือ”

“เป็นหวัดเสียงเลยหายน่ะค่ะ คงเพราะอากาศที่นี่ต่างจากกรุงเทพเลยแพ้อากาศ” เจ้าตัวว่าพลางกระชับผ้าพันคอให้แน่นขึ้น

เธอไม่ได้เล่าถึงความฝันกึ่งหลับกึ่งตื่นนั่น เพราะแม้แต่ตัวเองก็ไม่สามารถให้คำตอบที่แน่ชัดว่าเรื่องราวในตอนนั้นเป็นเพียงความฝันหรือความจริงกันแน่ ส่วนหนึ่งเพราะคิดว่ามันคือความฝันที่บังเอิญเกิดขึ้นอย่างประจวบเหมาะกับตอนไม่สบาย อาจจะโดนละลองฝนจนเป็นหวัดลงคออะไรเทือกนั้น หรือไม่บางทีอาจเกิดขึ้นเพราะจิตใต้สำนึกของตนเองก็ได้ ปัทมายอมรับกับตัวเองว่าช่วงนี้มีสภาพจิตใจไม่ปกตินัก ตั้งแต่ธรรมนูญบอกว่าจะย้ายมาอยู่ที่นี่เธอก็เครียดหนักมาโดยตลอด แล้วยังเรื่องเมื่อคืนอีก

“วันนี้เก็บของให้เสร็จนะ แล้วพรุ่งนี้พี่จะไปส่งกลับกรุงเทพฯ”

จู่ๆ ชายหนุ่มก็กล่าวขึ้นมา ทำเอาหญิงสาวที่กำลังจมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเองทำหน้าตื่น

“เดี๋ยวนะ นี่มันอะไรกันคะ”

“พี่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนคิดจะสร้างบ้านหลังนี้แล้วว่าจะย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่…คนเดียว” ท้ายประโยคนั้นเขาเน้นหนักราวกับว่าจะไม่ยอมให้ใครหรืออะไรมาสั่นคลอนความตั้งใจนั้น

“แต่น้องอยากอยู่ดูแลพี่มนูที่นี่ ถ้าน้องไม่อยู่แล้วใครจะดูแลงานบ้านงานเรือนให้ล่ะคะ”

“ก็จ้างชาวบ้านแถวนี้สักคนหนึ่งให้มาทำงานแบบไปเช้าเย็นกลับ อีกอย่างพี่โตแล้วนะ อายุมากกว่าเธอเสียอีก ก่อนหน้านี้ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาตลอดแล้วแค่นี้ทำไมจะทำไม่ได้”

ตั้งแต่พ่อแม่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุธรรมนูญย้ายไปอยู่กับย่าได้แค่ปีเดียว พอขึ้นมัธยมต้นก็ย้ายไปอยู่โรงเรียนประจำ กลับบ้านแค่เพียงวันเสาร์อาทิตย์เท่านั้น ครั้นเข้ามหาวิทยาลัยจึงอยู่หอพักเพราะสะดวกกับการเดินทางมากกว่าบ้านสวนของย่าซึ่งตั้งอยู่ในย่านฝั่งธนฯ จนเรียนจบแล้วมาทำงานเป็นนักเขียนนิยายแนวลี้ลับเหนือจริงก็ไม่ได้กลับไปอยู่กับย่าแต่อย่างใด นอกจากแวะไปเยี่ยมเยียนท่านบ่อยๆ เท่านั้น

ชายหนุ่มค่อนข้างจะชินกับการใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียว และสบายใจที่มันจะเป็นอย่างนั้นต่อไป

“ตั้งใจจะเสือกไสไล่ส่งกันจริงๆ นะคะ ทั้งที่คุณย่าของพี่ขอร้องเอาไว้ก่อนท่านจะเสียว่าให้ดูแลน้อง”

“เลิกยกเอาเรื่องนี้มาอ้างเสียทีเถอะ…” เขาพูดอย่างเหลืออด “ทุกๆ อย่างที่คุณย่าขอร้องพี่ก็ทำให้ท่านไปหมดแล้ว นี่ครบสองปีตามคำสัญญา หลังจากทำเรื่องหย่าเสร็จเรียบร้อยพวกเราก็จะไม่มีพันธะต่อกันอีกต่อไป สินสมรสมันมากจนถึงขั้นที่ว่าไม่ต้องทำอะไรเธอก็อยู่สุขสบายไปทั้งชาติ..ไม่มีพี่เธอก็อยู่ได้”

ธรรมนูญร่ายยาว มองอีกฝ่ายด้วยสายตาคมกริบอย่างคนรู้ทัน

“ไม่จริงค่ะ ถ้าไม่มีพี่ น้องอยู่ไม่ได้จริงๆ” เธอเริ่มทำตาแดงๆ ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นไม่มีค่าอะไรเลยเมื่อเทียบกันกับเขา

“เธอก็รู้ว่าพี่ให้ในสิ่งที่เธอต้องการไม่ได้” ธรรมนูญเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายแล้วจึงเปลี่ยนเป็นกล่าวอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ทว่าเพียงประโยคเดียวสั้นๆ กลับบาดลึกเข้าไปถึงใจของคนฟัง

“ทำไม…”

“เพราะพี่ไม่ได้รักเธอ”

“พี่มนู” ปัทมาครางเสียงแผ่ว ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจตัวเองดีแต่พอมาได้ยินกับหูตัวเองเข้าจริงๆ ก็แทบดับดิ้นลงไปในวินาทีนั้น น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมาอย่างไม่ทันรู้ตัว

“พี่ยังคงรักและเอ็นดูเธอนะ แต่ความรักอย่างพี่น้องมันไม่มีวันเปลี่ยนมาเป็นความรักฉันท์ชายหญิงได้”

ชายหนุ่มบอกตามตรง แม้ว่าจะสงสารแค่ไหนแต่มันก็คือความจริง ก่อนหน้านี้ใช่ว่าไม่เคยพยายามเปิดใจรับอีกฝ่าย แต่ในท้ายที่สุดมันก็ได้คำตอบว่า…เธอไม่ใช่

“คำก็พี่น้องสองคำก็พี่น้อง เมื่อไรจะเลิกคิดแบบนี้เสียที เราไม่ใช่สายเลือดเดียวกันเสียหน่อย”

“แต่พี่ก็เห็นเธอมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย นี่ปัทมา…คุณย่าท่านก็เสียไปแล้ว พี่ก็มีชีวิตของพี่ เธอไม่จำเป็นต้องดูแลใครแล้วนะ ใช้ชีวิตให้เต็มที่ ทำในสิ่งที่อยากทำเสียบ้าง”

ธรรมนูญรู้ว่าที่ผ่านมาปัทมาทุ่มเทคอยเฝ้าดูแลรับใช้คุณย่าของเขามาโดยตลอด เพราะอย่างนั้นท่านถึงรักเธอมาก หญิงสาวแทบไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานสดใสสมวัยของตนเองมาก่อนเลย

“สิ่งที่น้องอยากทำคือการได้อยู่เคียงข้างพี่”

“เลิกยึดติดกับพี่เสียทีเถอะ”

“ก็เพราะน้องมีแต่พี่ บนโลกใบนี้…ไม่เหลือใครอีกแล้ว” จากเด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตร เมื่อได้เจอกับคุณพจนาที่มีทั้งความรักและเมตตาก็เปรียบเสมือนหลักยึดในชีวิตของปัทมา  แต่พอท่านจากไปแล้วหญิงสาวจึงเปลี่ยนมายึดชายหนุ่มผู้เป็นที่รักเอาไว้แทน “ถ้าหากไม่มีพี่แล้วน้องจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรกันล่ะ”

“คราวนี้พี่จะไม่ใจอ่อนให้เธออีก” เขารู้ว่าตัวเองเป็นคนขี้ใจอ่อนโดยเฉพาะเวลาที่เห็นน้ำตาของผู้หญิง ที่ผ่านมาถ้าหากมีเรื่องอะไรก็จะยอมตามใจเธอโดยตลอด มีเพียงครั้งนี้เท่านั้นที่ไม่อาจยอมให้ได้จริงๆ เพราะกลัวใจตัวเองร่างสูงโปร่งจึงตัดบทผุดลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารแล้วทำท่าจะผละจากไป

“ก็ได้ค่ะ ถ้าพี่ไม่อยากให้อยู่น้องก็จะกลับกรุงเทพฯ แต่ว่า…” ท้ายประโยคต้องหยุดชะงักเอาไว้เพราะผู้พูดไอค่อกๆ แค่กๆ ต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อด้วยเสียงแหบแห้ง “ช่วงนี้น้องไม่ค่อยสบาย ขอพักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อนนะคะ รอให้อาการดีขึ้นแล้วจะขึ้นรถไฟกลับเอง พี่ไม่ต้องไปส่งถึงกรุงเทพฯหรอก”

สถานีรถไฟเชียงใหม่อยู่ในตัวจังหวัดซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางราวๆ สามชั่วโมง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังค่อนข้างสะดวกกว่าการต้องขับรถทางไกลลงไปยังกรุงเทพฯอีกหลายเท่าตัวนัก

“แน่ใจนะ” ธรรมนูญถามหลังจากนิ่งคิดไปพักหนึ่ง

“ค่ะ อีกอย่างพี่เพิ่งย้ายมาอยู่บ้านนี้ ข้าวของต่างๆ ยังจัดไม่เข้าที่เข้าทางด้วยซ้ำ ให้น้องอยู่ช่วยเถอะค่ะ พอแน่ใจว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้วจะได้กลับกรุงเทพฯอย่างสบายใจ” ปัทมากล่าวอย่างเป็นเหตุเป็นผล

“จะอยู่นานแค่ไหนล่ะ”

“ไม่เกินเจ็ดวันอาการป่วยก็น่าจะหายแล้ว”

เจ็ดวันหรือประมาณหนึ่งอาทิตย์ ก็เป็นช่วงเวลาที่ไม่สั้นและไม่ยาวนานจนเกินไปนัก ทบทวนดูแล้วชายหนุ่มเลยตอบตกลง

“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ พอครบกำหนดแล้วอย่าพยายามโยกโย้หรือหาข้ออ้างอะไรอีก”

“สัญญาค่ะ”

พอทั้งสองตกลงกันได้อย่างนั้นก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกดังมาจากหน้าบ้าน

“นี่…มีใครอยู่ไหมคะ”

เจ้าบ้านหนุ่มยื่นหน้าออกไปดูว่าผู้มาเยี่ยมเยือนเป็นใคร ก่อนจะเผยยิ้มออกมาด้วยความยินดี

“ไงล่ะเรา หายหน้าหายตาไปเลย เมื่อวานเขามีงานขึ้นบ้านใหม่กันทำไมไม่มา”

“ก็ฉันต้องไปทำงานนี่นา แต่พอวันนี้ว่างก็แวะมาหาตั้งแต่เช้าเลยเห็นไหม”

ทิพย์บอกด้วยรอยยิ้มสดใส แต่พอเห็นหญิงสาวอีกคนก็ถามขึ้นพร้อมด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น

“นี่ปัทมา…ภรรยาของพี่เอง” เขาทำท่าลังเลเล็กน้อย ไม่ว่าจะพูดอีกกี่ครั้งก็ไม่ชินปากตัวเองเสียทีนั่นละ ประโยคต่อมาจึงหันมากล่าวกับปัทมา “ส่วนนี่ทิพย์ เด็กแถวๆ นี้แหละ”

“เอ๊ะ ก็บอกแล้วว่าไม่ใช่เด็ก” เจ้าตัวบอกเมื่อได้ยินคำพูดที่แสลงหูเสียเหลือเกิน

“เอาเถอะ พูดผิดนิดเดียวเองน่า”

ยังคงมีรอยยกยิ้มที่มุมปากของทิพย์หากแววตานั้นฉายความเศร้าออกมาจางๆ ปัทมาอาจไม่ใช่ผู้หญิงที่สวยมากจนตื่นตะลึง แต่รู้จักการตกแต่งประทินโฉมให้รูปลักษณ์ดูดีขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัว ร่างเล็กก้มลงมองตัวเองซึ่งอยู่ในชุดซอมซ่อเหมือนอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบระหว่างตนกับหญิงสาวตรงหน้า

“ว่าแต่ที่มานี่คงไม่ได้จะมาเยี่ยมพี่เฉยๆ ใช่ไหม” ธรรมนูญพูดแบบรู้ทัน

“ก็วันนี้มันว่างๆ เลยแวะมาหาเผื่อคุณมีอะไรจะใช้งาน” ดวงตาของหญิงสาวกลับมาเป็นประกายเมื่อพูดถึงเรื่องงานหรืออีกนัยหนึ่งก็คือเงินด้วยเฉกเช่นเดียวกัน

“พี่ว่าจะจ้างทิพย์มาช่วยงานที่บ้านเป็นครั้งคราว คงช่วยได้เยอะระหว่างที่น้องยังอยู่ที่นี่ มีอะไรจะเรียกใช้ก็บอกทิพย์แล้วกัน”

“ค่ะ” เจ้าของร่างเพรียวบางตอบรับอย่างสั้นๆ ง่ายๆ “ถ้าไม่มีอะไรแล้วน้องขอตัวเข้าไปดูในครัวก่อนนะคะ”

“ไปเถอะ” ชายหนุ่มตอบ ก่อนจะหันมาทางทิพย์ที่กำลังมองเขาตาแป๋วอยู่ “อืม…เดี๋ยวขอคิดก่อนว่าวันนี้พอมีอะไรให้ทำได้บ้าง”

เขานิ่งคิดอยู่อึดใจหนึ่งเพราะที่จริงแล้วยังไม่มีงานเร่งด่วนอะไรจนต้องจ้างคนมาทำในวันนี้ แต่เพราะเป็นเธอถึงได้ยอมตกปากรับคำโดยง่าย ธรรมนูญรู้ว่าเด็กสาวคงกำลังลำบากถึงได้พยายามหางานทำทุกทางขนาดนี้ แม้จะสงสารแต่ชายหนุ่มก็ไม่ใช่คนที่จะยอมให้เงินคนอื่นไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะการได้รับเงินมาง่ายๆ ไม่ต้องลงแรงทำอะไรจะทำให้เสียนิสัย และเคยชินกับการเป็นฝ่ายรอรับความช่วยเหลือแต่เพียงฝ่ายเดียว

“ว่าอย่างไรล่ะ” หญิงสาวรุกเร้าถามต่อ

“ถ้าอย่างนั้น…วันนี้ช่วยพี่เก็บหนังสือเข้าชั้นหน่อยละกัน”

“หนังสือ?”

“ใช่ หนังสือ”

“งานน้อย ทำเดี๋ยวเดียวเสร็จ ก็ได้ค่าจ้างแค่ครึ่งวันน่ะสิ”

เขาแทบอยากจะเขกหน้าผากคนงกสักทีสองที “ลองดูก่อน…แล้วจะรู้”

 

คำว่า ‘แล้วจะรู้’ ทิพย์ก็เพิ่งมารู้เอาจริงๆ จังๆ เมื่อก้าวเข้าไปในห้องทำงานของเจ้านายหนุ่ม เห็นบรรดากล่องบรรจุหนังสือกองเป็นพะเนินซึ่งถูกขนส่งมาจากกรุงเทพฯ มีทั้งที่เป็นนิยายและหนังสือให้สาระความรู้ โดยเธอต้องจัดเรียงลงบนชั้นหนังสือที่ทั้งกว้างและสูงกินพื้นที่ผนังห้องฝั่งหนึ่ง ยังดีที่หญิงสาวเป็นคนฉลาดและเรียนรู้ได้เร็วเพราะแค่แนะนำและทำเป็นตัวอย่างให้ดูแค่ครู่เดียวก็สามารถจัดเก็บหนังสือตามหมวดหมู่ได้อย่างถูกต้อง

ผ่านไปครึ่งค่อนวันชายหนุ่มก็วางใจจนออกไปจากห้องเพื่อพักสายตาและชงกาแฟดื่มบ้าง พอกลับเข้ามาอีกทีเห็นภาพหญิงสาวกำลังปีนขึ้นไปบนเก้าอี้เพื่อเอาหนังสือไปเก็บตรงชั้นบนสุด แต่ถึงจะเขย่งแล้วเขย่งอีกก็ยังสูงไม่พออยู่ดี เขาเกือบจะขำอยู่แล้วถ้าไม่ใช่เพราะเธอเริ่มทำท่าเสียการทรงตัว

ธรรมนูญรีบวิ่งเข้าไปหาจึงสามารถช่วยรับอีกฝ่ายเอาไว้ได้ทันจนร่างเล็กนุ่มนิ่มอยู่ในอ้อมประคอง เมื่ออยู่ใกล้กันขนาดนี้ชายหนุ่มถึงเพิ่งรู้ว่าดวงตาทั้งคู่ของทิพย์นั้นสวยแค่ไหน เป็นตาที่โตแต่ในขณะเดียวกันก็มีลักษณะเรียวงามราวกับภาพวาดของจิตรกรชั้นดี แก้วตาสีดำขลับมีพลังดึงดูดจนคนมองไม่อาจละสายตาได้ ชั่ววูบหนึ่งก็นึกถึงคำเล่าลือจากปากชาวบ้านที่ว่ากันว่าลูกสาวของผู้ใหญ่คำปันนั้นมีความสวยเป็นที่เลื่องลือ ทว่าในสายตาของชายหนุ่มตอนนี้คนที่อยู่ตรงหน้าก็งามไม่ด้อยไปกว่ากันเลย หากเติบโตจนถึงวัยสาวสะพรั่งแล้วแม้แต่พรเพ็ญก็คงเทียบไม่ติด

“คราวหน้าอย่าฝืนตัวเองแบบนี้รู้ไหม ไม่ไหวก็ทิ้งเอาไว้ก่อนเดี๋ยวพี่มาช่วยเก็บเอง” เขาทำเสียงดุ ค่อยๆ ปล่อยตัวอีกฝ่ายให้ยืนได้อย่างมั่นคง

“ค่ะ” หญิงสาวรับคำแผ่วๆ ในลำคอ สองตายังเบิกตากว้างอย่างแตกตื่น ไม่วายยกมือขึ้นทาบหน้าอกตัวเอง เหมือนพยายามปลอบประโลมหัวใจที่สั่นระรัวให้สงบลง

“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ” จู่ๆ ปัทมาก็ปรากฏตัวอยู่หน้าประตู

“อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ” ธรรมนูญตอบ

“ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมจ๊ะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ”

“ไม่เจ็บตรงไหนก็ดีแล้ว” เจ้าตัวกล่าวก่อนจะหันไปพูดกับชายหนุ่มว่า “ทางนี้งานใกล้เสร็จหรือยังคะ น้องอยากจะขอยืมตัวทิพย์ไปช่วยหน่อย”

“ตรงนี้เหลือแค่เก็บหนังสือเข้าชั้นบนๆ แต่เดี๋ยวพี่จัดการเองดีกว่า”

หลังจากนั้นปัทมาก็เดินนำไปอย่างเงียบๆ จนถึงห้องเก็บของที่อยู่ติดกับห้องครัว ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ช่วยขนของพวกนี้ขึ้นไปไว้บนบ้านหน่อยนะ แล้วก็จัดเข้าตู้โชว์ตรงห้องนั่งเล่นด้วย”

“หมดนี่เลยหรือ” ร่างเล็กถามพลางกวาดสายตามองกล่องพัสดุขนาดใหญ่ที่กองระเกะระกะ

“ใช่ แล้วก็ระวังๆ ด้วยล่ะ ในกล่องมีพวกเครื่องแก้วที่แตกหักเสียหายง่ายอยู่ด้วย”

ดูอย่างไรก็รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจกลั่นแกล้งชัดๆ นอกจากแกล้งให้ทำงานหนักๆ ก็คงไม่เสียดายหากข้าวของจะเสียหายเพื่อแลกกับการหาเหตุมาก่นด่าเธอหรือไล่ออกจากงาน ทิพย์นิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนจะตวัดสายตากลับมามองยังผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนายหญิงของบ้าน คนถูกมองถึงกับสะดุ้งน้อยๆ เมื่อสบแววตาแข็งๆ เหมือนคนไม่ยอมคนคู่นั้น อีกฝ่ายอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็งับริมฝีปากลงปิดสนิท

“ทำไม มีอะไร” ปัทมาถามออกไปอย่างนั้นทั้งที่ในใจชักเริ่มจะหวั่นๆ

“เปล่า…” เพราะไม่อยากสร้างปัญหาเธอจึงจำต้องตอบรับออกมาสั้นๆ



Don`t copy text!