พนมนาคา บทที่ 3 : ปล่อยเขาไป
โดย : พงศกร
พนมนาคา นวนิยายลึกลับเรื่องล่าสุดของ พงศกร เมื่อ ‘เอเชีย’ Medical illustrator รับงานวาดภาพประกอบตำราทางการแพทย์เกี่ยวกับโรคผิวหนังประหลาดที่มองคล้ายเกล็ดงู ทำให้เธอต้องไปพัวพันกับตำนานอันลึกลับของหมู่บ้านที่ผู้คนยังบูชาพญานาค เธอจะได้กลับออกมาไหม ตามไปลุ้นกันที่ anowl.co เว็บไซต์ที่มีนิยายสนุกๆ ให้คุณได้อ่านออนไลน์
****************************
– 3 –
“เมื่อตะกี้…” เอเชียทำหน้าเหลอหลา ดวงตาที่เธอหันมามองชายหนุ่มเต็มไปด้วยร่องรอยตระหนก “ฉันกำลังคุยอยู่กับแม่ชีคนหนึ่ง…คุณเห็นหรือเปล่า”
“ไม่เห็น” พุ่มข้าวบิณฑ์ปฏิเสธ
“ไม่เห็น” เอเชียพึมพำเสียงสั่น “เป็นไปได้อย่างไร”
สายลมยะเยือกเย็นพัดพรูผ่านมา พร้อมกับเสียงใบไม้บนต้นสะบัดไหว และเอเชียรู้สึกหนาวยะเยือก ทั้งที่เป็นเวลาบ่ายซึ่งแดดยังแผดแสงแรงกล้า
เริ่มกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว
เป็นใครจะไม่กังวล…จู่ๆ ก็มีคนแปลกหน้า มาทักเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ
แถมพอจะสอบถามเพิ่มเติม ก็กลับหายไปราวอากาศธาตุ
เล่นกล…เป็นการเล่นกลชัดๆ
นี่ถ้าคนที่ถูกทักเป็นแม่ เอเชียเดาได้เลยว่าแม่จะต้องตกใจมาก และรีบเก็บกระเป๋ากลับนิวยอร์กแทบจะทันที
แต่หล่อนไม่ใช่แม่
คำทำนายทำนองนั้นไม่ได้ผล สำหรับหญิงสาวที่เกิดและเติบโตมากับวิทยาการอันทันสมัยแล้วนั้น ทุกสิ่งจะต้องสามารถอธิบายได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ คำทายทักของแม่ชีอาจจะสร้างความประหวั่นขึ้นในใจของเธอได้ก็จริง หากทว่าไม่มีน้ำหนักมากพอจะทำให้เอเชียล้มเลิกภารกิจสำคัญในครั้งนี้
“เป็นไปแล้ว อย่าว่าแต่แม่ชีเลย แถวนี้ผมไม่เห็นมีใครสักคน อย่ามาแกล้งอำกันเล่นดีกว่า” พุ่มข้าวบิณฑ์หัวเราะอย่างนึกขัน “คุยกับเพื่อนในจินตนาการหรือไง…ผมเห็นคุณยืนพูดอะไรอยู่คนเดียวมาพักใหญ่แล้ว”
“ไม่จริง ฉัน…”
เอเชียตั้งท่าจะเถียง เธอชี้มือไปทางทิศที่แม่ชีรูปนั้นยืนอยู่ หากเมื่อกวาดตาดูให้ดีอีกครั้ง ก็พบว่าบริเวณหลังศาลอันศักดิ์สิทธิ์…นอกจากเขาและเธอ ไม่มีใครอื่นอีกเลย
“อย่าคิดมากเลย ไม่มีอะไรหรือคุณ บางครั้งจินตนาการของคนเรามันก็เล่นตลกกันได้ ยิ่งคุณเดินทางข้ามเส้นแบ่งเวลามา แล้วยังไม่ได้นอนพักผ่อนแบบเต็มๆ ก็อาจจะเกิดอาการแปลกๆ อะไรแบบนี้ได้ ผมว่าเรารีบไปกันดีกว่า เดี๋ยวเลิกงานแล้วรถจะเริ่มติด”
พุ่มข้าวบิณฑ์ตัดบท เดี๋ยวคืนนี้ถ้าได้โทรศัพท์คุยกับเพกาละก็ จะต้องถามสักหน่อยว่า เพื่อนของพี่สาวชอบเรียกร้องความสนใจด้วยวิธีแปลกๆ แบบนี้หรือเปล่า
โดยไม่รอฟังว่าเอเชียจะว่าอย่างไรอีก เขาเดินนำหน้าหญิงสาวกลับไปยังรถที่จอดไว้บนถนนด้านหน้า จากหางตาของชายหนุ่มเห็นร่างสูงโปร่งของเอเชีย เดินละล้าละลัง เหลียวมองดูนั่นนี่ตลอดเวลาที่เดินตามหลังเขาไป
“ยังต้องไปซื้อของกันอีกนะ…ว่าแต่คุณอยากไปเดินตลาดหรือห้างสรรพสินค้าครับ ที่นี่มีห้างอยู่สองสามแห่ง”
“ไปตลาดดีกว่าค่ะ” เอเชียหาคำตอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ จึงตัดสินใจว่าเอาไว้ก่อน…ค่อยหาคำอธิบายภายหลัง เธอดึงตัวเองมาจากเรื่องที่กำลังหมกหมุ่น คำว่า ‘ตลาด’ ทำให้หญิงสาวมีท่าทางตื่นเต้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด “เวลาไปเที่ยวประเทศไหน ฉันชอบเดินตลาดของประเทศนั้นมากที่สุด”
ห้างสรรพสินค้ามีข้าวของที่ทันสมัย มีสินค้าแบรนด์สากล ดูไปแล้วก็เหมือนๆ กันแทบทุกประเทศ ทว่าตลาดนี่ละ…มีเสน่ห์ มีเอกลักษณ์เฉพาะตน ทั้งยังเป็นสถานที่ที่บอกจะเล่าวิถีชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นนั้นได้ดีที่สุด เอเชียชอบเดินดูสินค้าแปลกตา อาหาร ผัก ผลไม้ ปลา แมลง ของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ หลายต่อหลายครั้งที่เธอพบของถูกใจในตลาด
“ถ้างั้นไปพาซาจ๊ะกันดีกว่า”
พุ่มข้าวบิณฑ์เลี้ยวรถไปถนนสายเล็กที่เป็นทางลัดมุ่งสู่ Psar Chaa – Old Market ตลาดซาจ๊ะหรือพาซาจ๊ะ ตามสำเนียงเรียกของคนท้องถิ่น
“พาซาจ๊ะ” เอเชียพยายามเลียนสำเนียงของชายหนุ่ม
“คุณเคยไปจตุจักรไหม” พุ่มข้าวบิณฑ์ย้อนถาม
“Sunday Market น่ะหรือ” เอเชียว่า
“ใช่” เขากะพริบสัญญาณไฟเพื่อหาที่จอดรถ
“เคยสิ” ทุกครั้งที่ได้กลับมาเยี่ยมญาติที่เมืองไทย เธอจะต้องหาโอกาสไปตลาดนัดจตุจักร หรือที่คนต่างชาติรู้จักกันในชื่อ Sunday Market หรือตลาดนัดสุดสัปดาห์เสมอ ที่นั่นมีสินค้าน่าสนใจมากมายหลากหลายประเภท ทั้งของกิน เสื้อผ้า ของที่ระลึก รวมถึงหัตถกรรมจากทุกภาคของประเทศไทย
“ตลาดซาจ๊ะหรือพาซาจ๊ะนี่ก็คล้ายกัน”
พุ่มข้าวบิณฑ์หาที่จอดรถได้แล้ว เขาเป็นคนมีดวงในเรื่องนี้ ถึงแม้ที่จอดรถหายากแค่ไหน แน่นเพียงใด ชายหนุ่มก็มักจะได้ที่จอดรถมาง่ายดายเสมอ
“มีของให้ซื้อเยอะมาก…ว่าแต่คุณอย่าเดินเพลินก็แล้วกัน สำหรับวันนี้ผมแนะนำให้ซื้อเฉพาะของใช้ที่จำเป็นก่อน ถ้าชอบ เอาไว้วันหลังผมพามาใหม่”
“ฉันรู้น่ะ” เอเชียไม่ชอบให้ใครมาออกคำสั่ง เธอยักไหล่ ขณะที่พุ่มข้าวบิณฑ์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง แล้วบอกกับหญิงสาวว่า
“อีกหนึ่งชั่วโมงกลับมาพบกันตรงนี้…หนึ่งชั่วโมงพอไหม”
“เหลือเฟือ” เอเชียว่า “ฉันไม่ได้เป็นคนบ้าช็อปปิงสักเท่าไรนักหรอก”
“ผมจะคอยดู…ผู้หญิง…ร้อยทั้งร้อย…” พุ่มข้าวบิณฑ์พึมพำในลำคอ
“พูดว่าอะไรนะ นายหนูพุก…เอ๊ย…พุ่มข้าวบิณฑ์” เอเชียได้ยินไม่ถนัด เพราะมัวแต่มองของเล่นที่ทำจากกระดาษสีสันสดใสในร้านค้าตรงหน้า
“ไม่มีอะไร” เขาแกล้งล้อเลียนอีกฝ่ายด้วยการยักไหล่บ้าง
“อ้าว แล้วคุณไม่ไปกับฉันหรือ” เอเชียถาม เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะเลี้ยวไปคนละทางกับหล่อน
“ไม่ละ” พุ่มข้าวบิณฑ์ส่ายหน้า “คุณจะได้เลือกซื้อของตามสบาย ผมว่าจะแวะไปนั่งคุยกับเพื่อนขแมร์สักหน่อย เขาเปิดร้านขายของเก่าอยู่ที่นี่”
“งั้นอีกชั่วโมงเจอกัน” เอเชียพยักหน้า
“อย่าลืมต่อราคาเยอะๆ นะ…ของที่นี่จะตั้งราคาสูงกว่าความเป็นจริงพอสมควร ต้องต่อราคาเก่งๆ ถึงจะได้ลดราคา…คุณพูดภาษาไทยกับแม่ค้าได้เลย อ้อ แล้วอย่าลืมใช้เงินเรียลนะ”
เขาไม่วายเป็นห่วง หากดูเหมือนหญิงสาวมัวตื่นตาตื่นใจกับสินค้าหลากหลายตรงหน้า จนไม่ได้สนใจฟังชายหนุ่มเสียแล้ว…
ถ้าหากพุ่มข้าวบิณฑ์ไม่ได้เตือนเรื่องเวลาเอาไว้ล่วงหน้าละก็ เอเชียคงจะหลงระเริงไปกับความหลากหลายของสินค้านานาประเภทในตลาดซาจ๊ะแห่งนี้จนลืมเวลานัดหมายไปแล้ว
ในความรู้สึกของหญิงสาว ที่นี่เป็นตลาดที่สนุกและมีสีสันที่สุด!
เธอรีบซื้อเครื่องใช้ส่วนตัวที่จำเป็น รวมถึงเสื้อนอน ชุดชั้นใน และข้าวของจิปาถะ สำหรับใช้เป็นการชั่วคราวสองถึงสามวัน ทั้งหมดใช้เวลาอย่างรวดเร็วไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
เธอยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงสำหรับเดินเที่ยวตลาด
เอเชียกวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น ร้านค้าที่นี่มีมากมายหลายสิบแห่ง ข้าวของล้วนละลานตา ตลาดซาจ๊ะมีทุกอย่างขาย จริงดังที่พุ่มข้าวบิณฑ์คุยอวดไว้
ผ้าทอพื้นเมืองลวดลายแปลกตา ถ้วยชามรามไห ไม้แกะสลัก เทวรูป ของเก่า ของกิน ของเล่น ดูน่าตื่นตาตื่นใจมาก
มีของที่เอเชียอยากได้หลายอย่าง สำหรับตัวเอง สำหรับพ่อแม่ โปรเฟสเซอร์เซอร์จิโอ และสำหรับฝากเพื่อนที่ The MET เธอตั้งใจว่ายังไงจะต้องกลับมาที่ตลาดซาจ๊ะนี้อีกครั้ง จะได้มีเวลาเดินสบายๆ กว่าวันนี้
ใกล้ถึงเวลานัดหมาย และเอเชียยังสำรวจตลาดไม่ทั่ว
เธอตัดสินใจอ้อมไปทางด้านหลังที่มีกรงสัตว์ซ่อนอยู่
เกือบผงะ เมื่อเห็นร้านขายเหล้าที่มีฝรั่งนั่งดื่มกันอยู่ พนักงานในร้านสองคนช่วยกัน คนหนึ่งจับงูจากในกรงขึ้นมาตัวหนึ่ง จับหัวของมันชูขึ้น แล้วอีกคนก็ใช้มีดกรีดท้อง
“อุ๊บ…”
เอเชียยกมือขึ้นปิดปากแน่น พยายามสะกดกลั้นเสียงกรีดร้องของตนเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
งูตัวนั้นดิ้นและสะบัดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวด พนักงานคนเดิมที่ใช้มีดกรีดท้องงู รีบหยิบแก้วมารองเลือดที่ไหลถะถั่ง เขาใช้อีกมือกระชับมีดไว้มั่น ออกแรงกรีดท้องงู เปิดแผลให้ยาวขึ้นกว่าเก่า จากนั้นก็ควักเอาดีงูออกมา แล้วบีบใส่ลงไปในแก้วใบเดียวกัน ก่อนจะยื่นให้ฝรั่งหัวล้านคนหนึ่ง
เอเชียกลั้นหายใจเมื่อเห็นฝรั่งคนนั้นยกแก้วที่มีเลือดและดีงูผสมเหล้า ดื่มจนหมดแก้วอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงฮือฮาและเสียงปรบมือของผู้คนในร้าน
“ยังมีเหลืออีกหนึ่งตัว…ตัวสุดท้ายของวันนี้”
เสียงพนักงานคนแรกตะโกนเป็นภาษาฝรั่งเศส เขาโยนร่างไร้วิญญาณของงูตัวแรกทิ้งไป ก่อนจะหยิบงูอีกหนึ่งตัวขึ้นมาจากลังไม้ใบใหญ่ที่ตั้งอยู่บนพื้นคอนกรีตที่แดงฉานไปด้วยเลือดสดๆ
“ตัวนี้เด็ดสุด แพงสุด มีใครจะสู้ราคาไหม”
หัวใจเอเชียเต้นระรัวเร็ว ดวงตาของเธอจ้องมองงูตัวใหญ่ขนาดเท่าท่อนแขนเด็กด้วยความประหลาดใจ ด้วยไม่เคยเห็นงูที่มีรูปลักษณะแบบนี้มาก่อน
ลำตัวสีเขียวเข้ม เกล็ดสะท้อนกับแสงไฟเพดานเกิดประกายระยับ รอลำคอมีเชือกเส้นโตมัดอยู่อย่างแน่นหนา ดวงตาของงูตัวนั้นจ้องมองแน่วนิ่งมาที่หล่อน ราวจะขอความช่วยเหลือ
ดวงตาสีแดงก่ำเหมือนกับทับทิม…
แตกต่างจากงูตัวแรกที่ถูกเชือดไปแล้ว งูตัวนี้ทิ้งตัวลงสงบนิ่ง ไม่ขยับเยื้อนเคลื่อนไหว ดูไปอาการเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง ขณะที่งูตัวแรกนั้นสะบัดตัวไปมาอย่างจะเอาชีวิตรอด
บรรดาฝรั่งที่นั่งรายล้อม ต่างก็จ้องมองงูตัวนั้นอย่างตื่นตะลึง ไม่เคยมีใครเห็นงูใหญ่เท่าตัวนี้มาก่อน
“จับยากมาก ต้องใช้หมองูที่ชำนาญมากๆ ถึงจะจับได้” พนักงานหนุ่มรูปร่างผอมเกร็งโฆษณาสรรพคุณ “งูเจ้า…ใครก็ตามที่ได้ดื่มเลือดและกินดีของมัน รับรองจะสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ไข้”
“เท่าไร” ฝรั่งคนหนึ่งตะโกนถาม
“สองร้อยดอลลาร์” พนักงานคนเดิมตะโกนตอบ
“โอ้โห บ้าไปแล้ว” ฝรั่งคนนั้นส่ายหน้า “งูตัวเดียว ตั้งสองร้อยดอลลาร์”
“ใจไม่สู้เลย” เด็กหนุ่มที่จับงูเกล็ดมรกตส่ายหน้า “มีใครสู้ราคาไหม”
“ฉันเอา” ฝรั่งผมทองตาสีฟ้าอีกคนหนึ่งที่อยู่โต๊ะถัดไป ชูธนบัตรหนึ่งร้อยดอลลาร์สองใบขึ้นโบกไปมา “เชือดมาเลย”
“ดีมาก” เด็กหนุ่มที่มีมีดในมือเดินไปรับเงินสองร้อยดอลลาร์มาจูบ ก่อนจะยัดใส่กระเป๋าเสื้อ แล้วหยิบแก้วเหล้าเดินย้อนกลับไปหาเด็กหนุ่มคนแรก เตรียมจะเชือดงูตัวนั้น
“เดี๋ยวก่อน” อะไรบางอย่างทำให้เอเชียรีบตะโกนออกไป “ฉันให้สามร้อยดอลลาร์”
“โอ สามร้อยดอลลาร์” เด็กหนุ่มตาโต หันมาทางหญิงสาวร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่หน้าร้าน เขากะพริบตาถี่ๆ ด้วยความประหลาดใจ ด้วยไม่คิดว่าหญิงสาวหน้าตาสะสวย แต่งกายทันสมัยคนนี้จะสนใจดื่มเลือดงูและกินดีงูผสมเหล้าเหมือนกับคนอื่นๆ
เขาหันกลับไปหาฝรั่งคนที่ให้เงินสองร้อยดอลลาร์ ทำท่าเหมือนจะถามว่าอยากสู้ราคาไหม ฝรั่งคนนั้นยักไหล่และแบมืออกมาข้างหน้า เป็นทำนองยอมแพ้ พนักงานหนุ่มคนนั้นเลยเดินเอาเงินสองร้อยดอลลาร์กลับไปคืน และรับเงินสามร้อยดอลลาร์มาจากเอเชีย
“เชือดเลยนะมิส” เด็กหนุ่มคนที่รับเงินไปจากเอเชียเดินตรงไปยังงูใหญ่ แล้วหันมาทางเอเชีย
“น็อง…ไม่” เอเชียรีบปฏิเสธเป็นภาษาฝรั่งเศส “ห้ามเชือดงูเด็ดขาด”
“อ้าว” คราวนี้ไม่เพียงแต่เด็กหนุ่มทั้งสองจะงง หากฝรั่งก็งงกันทั้งร้าน
“จ่ายตั้งสามร้อย มิสไม่กินดีงูหรือ” เด็กหนุ่มคนที่มีงูอยู่ในมือ แสดงท่าทีแปลกใจ
“ไม่” เอเชียยืนยัน
“แล้วมิสจะทำอะไรกับงูนี่” เด็กหนุ่มคนที่มีมีดในมือถามต่อ “ผมเอาไปแล่เนื้อ ผัดพริกให้เอาไหม หรือคุณอยากได้หนังไปทำกระเป๋าก็ได้นะ…หนังแบบนี้หายาก เอาไปทำรองเท้าหรือกระเป๋าน่าจะสวยมาก”
“ไม่” เอเชียยังคงส่ายหน้า
เธอเหลือบสายตาไปยังงูตัวใหญ่อีกครั้ง ดวงตาสีแดงก่ำของมันคลายแสงลงเป็นสีอ่อนจาง อะไรบางอย่างในท่าทางของงูตัวนั้นบอกเอเชียว่า…มันกำลังขอบคุณ…
“ฉันต้องการให้พวกคุณปล่อยเขาไป”
“ปล่อยงูตัวนี้เนี่ยนะ” เด็กหนุ่มทั้งสองคนหันไปมองหน้ากัน เหมือนไม่อยากเชื่อว่าเอเชียตัดสินใจเช่นนั้น
“ใช่” เอเชียยังคงยืนกราน “จับมาจากที่ไหน เอาไปปล่อยที่เดิม”
“จับมาไกลมากนะ” เด็กหนุ่มคนที่มีมีดในมือพึมพำ “ปล่อยแถวนี้ได้ไหม”
“ฉันคิดว่ามันอยากกลับบ้าน” เอเชียยื่นให้เด็กหนุ่มพวกนั้นอีกหนึ่งร้อยดอลลาร์ “ฉันให้เงินเพิ่ม…เป็นค่าเดินทางสำหรับเอางูไปปล่อย”
“ยังงั้น…ก็ได้” เด็กหนุ่มคนที่จับงูเอาไว้ ท่าทางดูหมดสนุก
“แล้วฉันจะแน่ใจได้ใช่ไหม ว่าพวกคุณปล่อยเขาไปแล้วจริงๆ” เอเชียถามเสียงหนักแน่น “ไม่ใช่พอฉันกลับไปแล้ว คุณก็เอาเขากลับมาเชือดขายแขกใหม่…แบบนี้ฉันไม่โอเคนะ”
“พวกเขาเชื่อถือได้”
เสียงทุ้มๆ ตอบมาจากทางด้านหลัง และเมื่อเอเชียหันกลับไปก็ปรากฏว่าเป็นพุ่มข้าวบิณฑ์นั่นเอง เขาเดินมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ด้านหลังร่างสูงใหญ่มีชายหนุ่มชาวขแมร์อีกคนเดินตามมาด้วยกัน
ดวงหน้าของชายคนนั้นดูเป็นมิตร เขาส่งยิ้มกว้างให้เอเชียทั้งที่ยังไม่รู้จักกัน
พุ่มข้าวบิณฑ์หันไปพูดอะไรบางอย่างเป็นภาษาเขมรกับชายหนุ่มท่าทางดูดีคนนั้น เอเชียเห็นเขาพยักหน้า ก่อนจะเดินไปหาเด็กหนุ่มทั้งสอง แล้วพูดสั่งความเป็นภาษาเขมร
ท่าทางของเด็กหนุ่มทั้งสองดูเปลี่ยนไปในบัดดล คนที่จับงูในมือโค้งแล้วโค้งอีก กิริยาพินอบพิเทาอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่เด็กหนุ่มซึ่งถือมีดเตรียมเชือดงูก็รีบเก็บอาวุธของเขาใส่ในฝัก แล้วหันมาโค้งให้กับเพื่อนของพุ่มข้าวบิณฑ์
“เรียบร้อยแล้วครับมิส”
คราวนี้ชายหนุ่มคนนั้นหันมาบอกกับเอเชียโดยตรง ภาษาฝรั่งเศสของเขาสำเนียงราวนักการทูต เพื่อนของพุ่มข้าวบิณฑ์ยิ้มเห็นฟันขาวสะอาด ตัดกับผิวสีคล้ำอย่างคนพื้นถิ่น
“ผมกำชับพวกเขาเรียบร้อย…มิสแน่ใจได้เลยว่า งูตัวนี้จะได้กลับถิ่นฐานของมันอย่างปลอดภัยแน่นอน”