หิมพาลัย บทที่ 1 : ผลไม้ทิพย์

หิมพาลัย บทที่ 1 : ผลไม้ทิพย์

โดย : ตรี อภิรุม

Loading

หิมพาลัย ดินแดนที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม คนและสัตว์ป่าอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขจะมีอยู่จริงหรือเป็นเพียงความฝัน และระหว่างเธอคนนั้น “อุมาวสี” กับ “โลกแห่งความจริงที่จากมา” พิชญ์จะเลือกอะไร…”หิมพาลัย” นวนิยายออนไลน์ที่ตรี อภิรุม จะพาชาวอ่านเอาเดินทางไปกับจินตนาการที่แสนสวยงามและความรักที่มีอยู่จริง
*****************************
สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

พิชญ์ พิจิตรา เบื่อหน่ายสุดๆ

จะไม่ให้เบื่อได้อย่างไรไหว คุณแม่กำหนดให้เขาติดกลุ่มไปกับญาติผู้ใหญ่ในรายการทัวร์ธรรมะ

ทัวร์ธรรมะคือ ทัศนาจรตระเวนชมวัดวาอารามทางภาคอีสาน ตำบล อำเภอ ที่อารยธรรมตะวันตกยังแทรกซึมไม่ถึง หรือแทรกถึงก็น้อยมาก

กลุ่มตา ยาย ลุง ป้า อายุอย่างน้อยที่สุดก็ห้าสิบขึ้น พิชญ์เพิ่งอายุยี่สิบเจ็ด จัดว่าเป็นคนหนุ่มคนเดียวในคณะ แสนจะเปล่าเปลี่ยวเงียบเหงา ครั้นจะตีสนิทกับกลุ่มอื่นก็ไม่คุ้นเคย

ชายหนุ่มให้คำนิยามคนแก่ว่า ชอบฟื้นความหลัง ฟังเรื่องเก่า กินของขม ชมของเด็ก เขาสาบานไว้ในใจว่าต่อให้อายุสักหกสิบก็จะไม่เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด

คุณยายเข่าไม่ค่อยจะแข็งแรง มารดาต้องการให้เขาจูงท่านเดินป้องกันหกล้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาเป็นหลานชายคนโปรดของคุณยาย หมดทางหลีกเลี่ยง

ตลอดทางที่รถทัวร์วิ่งฉิวปานจะปลิวลม พิชญ์หรี่ตาสะลึมสะลือ มองทิวทัศน์ท้องทุ่ง หย่อมบ้านผ่านไปเรื่อยๆ บางคราวได้ยินพวกญาติผู้ใหญ่คุยกัน เกี่ยวกับหลวงพ่อ หลวงตา พระปฏิบัติสังวรศีลยิ่งนัก ตลอดจนกฎแห่งกรรม

บางเรื่องจำเจซ้ำซาก ได้ฟังมาแล้วไม่น้อยกว่าห้ารอบ

พวกญาติผู้ใหญ่ไม่มีวันจะคุยกันเรื่องไอที โลกาภิวัตน์ สมาร์ตโฟนรุ่นล่าสุด แอปพลิเคชัน พ็อกเก็ตพีซี ระบบทัชสกรีน สามารถทำอะไรได้หลายอย่างเหมือนโลกอยู่ในกำมือ

เขาจบปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ ทำงานบริษัทที่มั่นคงแห่งหนึ่ง ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายผลิตและวางแผน

ชอบพอผู้หญิงหลายคน แต่ไม่สนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ จนถึงขั้นเรียกว่าแฟนหรือเพื่อนใจ

ขบวนรถทัวร์ธรรมะแวะตามวัดชนบท มัคคุเทศก์ก็จะประกาศให้สาธุชนลงไปไหว้พระประธานในโบสถ์ บำเพ็ญกุศลตามวาระ ท่องเที่ยวบริเวณวัดใช้เวลาแต่ละแห่งประมาณชั่วโมงครึ่ง

พิชญ์จูงคุณยายประคองเดิน และหาโอกาสปลีกเวลาว่างใช้โทรศัพท์มือถือโทร.ถึงเพื่อนหญิงคุยจ้อเพลิดเพลินแก้เหงา

ขาดโทรศัพท์มือถือไม่ได้ เปรียบได้ว่าโมบายลิซึ่มอวัยวะที่สามสิบสาม

วันนั้นอยู่บนภูเขา ป่าชุมชน บริเวณกว้างขวาง ทิวทัศน์สวยงามร่มเย็นสงบ มัคคุเทศก์ประกาศว่า เราจะค้างคืนที่นี่ พรุ่งนี้หกโมงเช้าจะออกเดินทาง ทางวัดจัดสถานที่ไว้ให้สาธุชนปฏิบัติธรรม เพียงพอสำหรับสมาชิกร้อยกว่าคน

สถานที่ดังกล่าวได้แก่ ศาลาการเปรียญหลังเขื่อง และบ้านพักสภาพคล้ายบังกะโลตามสุมทุมพุ่มพฤกษ์ลานเขา ไม่คิดค่าบริการ สุดแล้วแต่ผู้มีจิตศรัทธาจะบริจาคทำนุบำรุงวัด

ชายหนุ่มส่งกลุ่มญาติผู้ใหญ่เข้าบังกะโล เป็นช่วงเวลาปลอดโปร่ง เขาเดินทอดน่องชมวิว ยืดเส้นยืดสายในตัว

โทรศัพท์คุยกับเพื่อนหญิงเช่นเคย เปิดเผยว่ามาทัศนาจรเชิงธรรมะ สืบเท้าไปเรื่อยๆ ย่ำดงหญ้าสวบสาบ ห่างจากที่พักไกลโข

แลเห็นถ้ำบนเชิงเขาสูงจากพื้นดินประมาณร้อยเมตร กอปรด้วยทางเดินระนาบเอียง แสดงว่าชาวบ้านใช้เส้นทางนี้ประจำ

‘น่าสังเกตการณ์แฮะ’

ลองทำตามความคิด พิชญ์ปีนเขา ค่อนข้างจะสะดวก มีกอหญ้าคาและวัชพืชเตี้ยๆ สำหรับยึดเหนี่ยว แต่กว่าจะถึงปากถ้ำก็เล่นเอาเหนื่อยเหงื่อซึม

ลานถ้ำกว้างพอประมาณ ชวนให้สงสัยว่า พระสงฆ์อาจจะใช้เป็นสถานที่เจริญวิปัสสนา ปลีกวิเวก เขาไต่ลงไปที่ถ้ำ สำรวจบริเวณ ผนังตะปุ่มตะป่ำ ไม่ถึงกับเป็นคมแหลมอันตราย บางแห่งเป็นแอ่งเปียกชื้นเกิดจากฝนตกน้ำขัง

อุโมงค์ถ้ำระนาบเอียง ต่ำกว่าตำแหน่งที่เขายืนเล็กน้อย ปีกไม้ตีตะปูปิดปากอุโมงค์หยาบๆ

สิ่งที่น่าสังเกตคือ ข้อความเขียนด้วยสีแดงห้ามเข้า

“หรือว่าข้างในจะเป็นเหว”

ชายหนุ่มตั้งข้อสังเกต

โอ…โน่นอะไรกันเล่า?

แสงสว่างกะพริบวูบวาบ พร้อมทั้งกลิ่นหอมประหลาดซ่านขึ้นมาสัมผัสจมูก

ให้ความสดชื่นซึมลึกถึงจิตวิญญาณทีเดียว

เว้นช่วงสิบนาที แสงสว่างก็เกิดขึ้นอีก ไล่เลี่ยกับการทะลักของกลิ่นหอม

ใช่…มันเป็นปรากฏการณ์พิสดารที่น่าพิสูจน์!

“เอาน่า…” ชายหนุ่มบอกตัวเอง “ลองเข้าไปดูสักห้าเมตร เห็นท่าไม่เหมาะก็ย้อนกลับขึ้นมาอย่างเก่า”

เขาจับไม้ปีกกระชากออกผึง ไม่เหนือความสามารถ แผ่นไหนตะปูหงาย ก็จับพลิกคว่ำลง กันคนเหยียบ

“วู้…!”

เสียงสุนัขหอนวิเวกไกลมาก เข้าใจว่ามาจากวัด

“เฮ้อ…สำเร็จแล้ว”

เพดานเตี้ย ไม่สัมพันธ์กับส่วนสูงหกฟุตของเขา พิชญ์ลงทุนคลานเดียะ

กลิ่นหอมจัด ชวนให้เคลิบเคลิ้มใหลหลง ประเมินว่าน่าจะมาจากมวลบุปผชาติ

ใช่แต่เท่านั้น เขาสัมผัสสายลมอ่อนๆ โชยมาจากก้นถ้ำ

“สำรวจแค่นี้ก็น่าจะพอละมั้ง”

บัดดล แสงสว่างวูบวาบกะพริบในส่วนลึกของปลายอุโมงค์

ทรงพลังดึงดูดมหาศาล ร่างล่ำเพรียวของพิชญ์ลื่นไหลเข้าอุโมงค์ลึกลับ เส้นทางคดเคี้ยว เขากลิ้งม้วนต้วน ไม่รู้ว่ากี่ร้อยต่อกี่ร้อยรอบ

มึนศีรษะอย่างแรง อยากจะอ้วก พลันสติสัมปชัญญะดับวูบ

ไม่ทราบว่าสิ้นสตินานเท่าใด ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกตัวทีละน้อย กะพริบตายิบๆ แลเห็นท้องฟ้าสีคราม ปุยเมฆขาวลอยฟ่อง เขากำลังนอนทับอะไรสักอย่างที่ระคายผิวหนัง

ใช่แล้ว…ดงหญ้านั่นเอง

พิชญ์ขยับกายลุกนั่ง กวาดสายตารอบบริเวณ สถานที่นั้นคือทุ่งหญ้า วัชพืชแซมประปรายสูงไม่เกินห้าฟุต ปราศจากตึกรามบ้านเรือน

นึกทบทวนความทรงจำ เขาโดนกระแสดึงดูดหายเข้าไปในอุโมงค์ประหลาด หมดปัญญาช่วยตัวเอง จนกระทั่งสลบ

“เอ…หรือว่าเราตายแล้ว อยู่ในสภาพของวิญญาณ”

ลองหยิกแขนพิสูจน์ ก็ปรากฏว่าเจ็บ สั่นศีรษะ พยายามหนีจากความคิดที่สับสน

ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ มันเป็นกลิ่นเดียวกับที่สัมผัสในถ้ำ

ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน มองนาฬิกาข้อมือ ห้าโมงเย็น ชักจะสงสัย ยกมันขึ้นแนบหู หยุดเดิน เชื่อว่าถ่านนาฬิกาหมดสภาพ

ล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือที่เหน็บเอว โทร.ถึงคุณป้าในกลุ่มทัวร์แสวงบุญ ไม่ติด ปลอดสัญญาณโทรศัพท์

“บ้าชะมัด เราถูกตัดขาดจากโลกภายนอก”

ตัดสินใจสะกดรอยตามกลิ่นหอม อากาศเย็นลง…เย็นลงเหลือระดับสิบห้าองศาเซลเซียส

เขาเป็นคนกรุงเทพฯ เขตร้อน เคยชินกับอุณหภูมิสามสิบกว่าองศา ฉะนั้นจึงรู้สึกหนาว กำสองมือ สาวเท้าเร็วขึ้นกึ่งวิ่งเชิงออกกำลังกาย

เพียงชั่วครู่ก็ประจักษ์ สิ่งมหัศจรรย์พันลึกสุดจะพรรณนา

ท้องทุ่งดงหญ้าวัชพืชแหวกเป็นร่องแนวยาวเหยียด ไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดอยู่ตรงไหน  เปรียบได้ว่าเส้นกั้นพรมแดนประมาณนั้น

ความแตกต่างเห็นได้ชัดเจน ตำแหน่งที่เขายืนค่อนข้างจะแห้งแล้ง ไร้สีสันสวยงาม หากฝั่งตรงข้ามชุ่มชื้น ไม้ดอกงามสะพรั่ง ราวกับสวนบุปผชาติ ตั๊กแตนปีกสีฟ้าบินปร๋อ ผีเสื้อแสนสวยนับสิบบินฉวัดเฉวียน แต่ไม่ยักล้ำข้ามเขตพรมแดน

พิชญ์ตะลุยต่อ ฝูงผีเสื้อแตกฮือบินพึ่บพั่บ ตัดกับแสงตะวันรอน วิจิตรพรรณรายดุจแดนเนรมิต

ชักจะหิว เกิดปัญหาว่ากลับไปเนินเขาไม่ถูก จะทำประการใดดีเล่า

อยากจะเจอชาวบ้านหรือแหล่งชุมชน เพื่อสอบถามเส้นทาง แต่เท่าที่ผ่านมาไกลโข ไม่เจอใครเลย

หลงทาง แถมอดอาหาร ชะตาของเขาจะตกอับยับเยินขนาดนี้เชียวหรือ

ในที่สุด ก็ถึงต้นไม้พุ่มโต สูงประมาณยี่สิบฟุต ใบเขียวจัดผลกลมๆ แบนๆ สีชมพูอมส้มคล้ายลูกท้อ

“หอมกลิ่นมาจากผลไม้ชนิดนี้เอง น่ากินแฮะ”

สิ่งที่น่าสังเกตคือ โคนต้นไม่มีผลสุกงอมร่วง

แต่ละลูกอยู่สูงเกินเอื้อม ชายหนุ่มปีนต้นเอื้อมปลิด หอมจัดจนต้องสูดดมอันดับแรก

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ผลไม้ประหลาดนี้ส่งกลิ่นไปถึงปากอุโมงค์ถ้ำ ยังผลให้เขาถูกกระแสดึงดูดพลัดถิ่น

ถือมือเดียวขาดความระมัดระวัง พลันผลร่วงหล่นจากมือ

ตุ้บ!

ช่างน่าอัศจรรย์นัก!

ผลไม้สีสวยหายวับไปกับตา

พิชญ์ปลิดลูกที่สอง คราวนี้ระวังตัวลีบ ไต่ลง กระโดดตุ้บเหยียบพื้นดิน

ไม่เคยรู้จักมันมาก่อน เผื่อกินแล้วชักคาปากจะว่าอย่างไร หัวใจเขาคะยั้นคะยอ

เอาน่า…เสี่ยง ถ้าไม่ยอมเสี่ยงก็อด

เขากัดกิน หวานกรอบ อร่อยยิ่งกว่าแอปเปิล ชุ่มคอ กินจนเกลี้ยงลูก ไม่เหลือแม้แต่เปลือก ร่างกายอบอุ่นขึ้นคลายหนาว

ปีนขึ้นต้น ปลิดกินลูกที่สอง เพียงเท่านี้ก็อิ่ม จัดว่าเป็นอาหารรองท้องได้หนึ่งมื้อ

เดินทางต่อสะเปะสะปะ ตั้งความหวังว่าจะเจอหย่อมบ้านเรือน ความง่วงเริ่มจู่โจมรุนแรง หนุ่มชาวกรุงสะลึมสะลือ ตาลายยิบๆ

ห่างไกลจากต้นไม้ทิพย์ไม่ถึงร้อยเมตร เขาเข่าอ่อน เอนกายบนแท่นหิน กอดอกงีบหลับผล็อย

ฝันเลอะเลือน จับต้นชนปลายไม่ถูก สุดท้ายมันค่อยๆ ชัดเจนขึ้นระดับหนึ่ง จูงมือคุณยายเดินเตาะแตะ

คนพลัดถิ่นรู้สึกตัว มือเขายังถูกจับกุมอบอุ่น พึมพำพร้อมทั้งลืมตาขึ้น

“คุณยาย…”

ผู้ที่จับมือบีบไม่ยักใช่บุพการี หากเป็นหญิงวัยใกล้หกสิบ สวมชุดสีเปลือกมังคุดคล้ายกิโมโน หนาเทอะทะรุ่มร่าม สวมสนับแข้ง และรองเท้าไม้เกือบจะเหมือนเกี๊ยะ

นางเกล้าผมมวยท้ายทอย เสียบปิ่นหยกหุ้มทอง ผมค่อนข้างจะบางดำไม่สนิท

“เจ้าไม่ใช่ชาวหิมพาลัยนคร”

สำเนียงเหน่อเพี้ยน แต่ก็พอจะฟังออก พิชญ์ขยับกายลุกนั่ง

“ผมเป็นคนไทยครับ โปรดชี้ทางให้กลับด้วย”

หญิงอาวุโสเพ่งมองชายหนุ่มผู้แปลกปลอมอย่างลึกซึ้ง สายตาอ่อนโยนเป็นมิตร

“หิมพาลัยเป็นเมืองลับแล เจ้าผ่านเข้ามาทางทวารภพ ยากนักที่ใครจะทำได้เช่นเจ้า กินผลไม้คุณธรรมแล้วใช่ไหม”

พิชญ์นิ่งตรึกตรอง กินผลไม้กลิ่นหอมสองลูก อร่อยมาก เกิดอาการง่วงจัด งีบหลับ

ขณะนี้ความอิ่มเอิบยังอยู่ เสมือนอิ่มทิพย์ ร่างกายอบอุ่นต่อต้านความหนาวเย็น

“ใช่ครับ ป้าเป็นเจ้าของเหรอ”

“อย่าเรียกข้าว่าป้า เรียกข้าว่าแม่เฒ่า ข้าชื่อจันจู”

ชื่อประหลาด เพิ่งได้ยินครั้งแรก แม่เฒ่าน่าจะเป็นชาวเขาทางภาคเหนือ

“เจ้าไม่ใช่ชาวสยามคนแรกที่ผ่านเข้ามาทางทวารภพ การกลับไปสู่โลกภายนอกยากมาก โดยเฉพาะเจ้ากินผลไม้คุณธรรม เท่ากับเป็นพลเมืองหิมพาลัยครึ่งตัว”

“ใครที่พลัดเข้าหิมพาลัยนคร ต้องกินผลไม้ทุกคน”

“ผลไม้ทิพย์ มันจะหนีมือคนที่ใจบาปหยาบช้า แม้หล่นจากโคนต้นก็จะหายวับ เจ้าเก็บกินได้แสดงว่ามีคุณธรรมพอสมควร”

เขานึกถึงตนเอง ไม่เคยฉ้อโกง ลักขโมย ฆ่าสัตว์ นอกจากจำพวกแมลง เช่น ยุงเป็นต้น ประพฤติผิดทางเพศ สิ่งที่ไม่อาจจะละเว้นได้คือ โกหก

“ผมอยากรู้จักชาวสยามที่ตกค้าง”

“ตายหมดด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ข้าจะพาเจ้าไปที่พัก”

แม่เฒ่าจันจูตัดบท นำอาคันตุกะนอกระบบเดินลิ่ว

ทั้งสองผ่านไปตามอุทยานดอกไม้หลากสีที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ หญิงวัยทองแข็งแรง ก้าวฉับๆ กึ่งวิ่ง หากพิชญ์อายุสักหกสิบ คงจะตามนางไม่ทัน

ชัยภูมิไม่ค่อยจะราบเรียบ ส่วนใหญ่ต่ำบ้างสูงบ้าง ดุจคลื่นในมหาสมุทร ไกลออกไปป่าไม้เขียวครึ้ม และเทือกเขาหลายยอดสูงเสียดฟ้า

ประเมินทิวทัศน์โดยรวม เหมือนป่าโอบล้อมพื้นที่แอ่งกระทะ มิน่าเล่า อากาศบริสุทธิ์สดชื่น ห่างไกลจากมลภาวะทั้งปวง

เชื่อว่าชาวหิมพาลัยไม่รู้จัก อากาศร้อนอุณหภูมิกว่าสามสิบองศาเซลเซียส

“เหวอ…แม่เฒ่า”

ชายหนุ่มชะงักกึก ชี้มือระรัว

เสือโคร่งตัวใหญ่มากนอนหมอบโคนต้นสัก

นางเหลียวชำเลือง มิได้หวั่นไหวตกใจสักนิด อธิบายเสียงราบเรียบ

“มันเป็นมิตรกับคน ต่างฝ่ายต่างอยู่ ไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน”

ทันทีทันใด พยัคฆินทร์เหลืองลายพร้อยก็ลุกเดินวาดหางเข้ามาหาสตรีอาวุโส คลอเคลียที่ขา

เขาแอบแยกเขี้ยวสยอง เกรงว่าเสือโคร่งจะสำแดงสัญชาตญาณสัตว์ร้าย ตะปบขย้ำกินนาง แม่เฒ่าลูบหัวประหนึ่งว่าเป็นสัตว์เลี้ยง

“เสือเสนอตัวให้ข้าขี่หลังกลับหมู่บ้าน”

“แล้วผมล่ะ”

“เดิน”

ฝ่ายตรงข้ามขนลุกเกรียว สิ่งอัศจรรย์มีในพิภพนี้เสมอ เพียงแต่ว่าเราไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นที่ไหน

คำพังเพยที่ชาวไทยได้ยินชินหู คนขี่หลังเสือไม่กล้าลง เกรงว่ามันจะขม้ำเป็นภักษาหาร

เปรียบได้ว่าผู้ทรงอำนาจสูงสุดไม่กล้าลงจากตำแหน่ง

“ตามสบายครับ เชิญ”

“ไม่ ข้าจะเดินเป็นเพื่อนเจ้า”

หญิงสูงอายุยืนยันเจตนารมณ์ พลางสาวเท้ากระฉับกระเฉง เขาเลี่ยงไม่ยอมรั้งท้าย กลัวถูกลอบตะปบ

พยัคฆินทร์มองเฉย ไม่ติดตาม

อากาศเริ่มขมุกขมัว อาทิตย์อัสดง สาดแสงลำสุดท้ายจับกลีบเมฆ สวยงามวิจิตรพรรณราย น่าจะถ่ายทอดเป็นจิตรกรรม

ชาวกรุงไม่มีโอกาสเห็น เพราะตึกอาคารสูงระฟ้าบดบัง

ในที่สุดก็ถึงหมู่บ้านที่เรียงรายตามเนินต่ำสูงระยะห่างกัน ประมาณร้อยกว่าหลังคาเรือน สภาพกระท่อมไม้ปีก หลังคามุงแฝก ชั้นเดียวทั้งสิ้น

ชาวหิมพาลัยนครแห่กันออกมาต้อนรับแม่เฒ่าจันจู เด็กๆ วิ่งเกรียวกราวล้อมรอบ

สิ่งที่น่าสังเกต หนุ่มสาวหล่อสวยทั้งหมด ผู้สูงอายุวัยไม่เกินหกสิบ หน้าตาไม่ขี้เหร่ ระดับแม่เฒ่าก็เช่นกัน

ทุกคนแต่งชุดรุ่มร่าม โทนสีมอๆ สนับแข้ง ไม่มีใครสักคนสวมชุดสีสันฉูดฉาด วิเคราะห์ว่าไม่ใช่ช่วงเทศกาลรื่นเริง

ใช่แต่เท่านั้น พวกเขาทักทายภาษาพื้นเมืองลงเล้ง คล้ายภาษาจีนกลาง

ใครต่อใครมองมาที่หนุ่มแปลกปลอมเป็นจุดเดียว ยิ้มแย้มแสดงออกซึ่งมิตรภาพ เด็กๆ ที่หน้าตามอมแมมเอียงคอไปมาน่ารัก

“เจ้าชื่ออะไร”

แม่เฒ่าจันจูเหลียวมาถาม

“พิชญ์”

หลายคนขนานนามของเขา ผู้ฟังสะดุดหูเพราะเรียกเพี้ยนว่าพิษ

“เกือบจะถึงที่พักแล้ว”

เขาเดินตามหญิงชรามิตรรายแรก หนุ่มน้อยวัยไม่เกินสิบเจ็ดเคียงขนาน

กระท่อมไม้ปีกหลังคามุงแฝกอยู่บนเนินดินเตี้ย ด้านในเป็นแคร่แข็งแรง ประกอบด้วยเตาผิงปล่องไฟทะลุหลังคา สภาพค่อนข้างจะรก เสื้อผ้าวางระเกะระกะ

“นี่บ้านของข้าเอง ให้เจ้าพักชั่วคราว” เด็กหนุ่มแนะนำตัวเอง “ข้าชื่อเคียะง่วน เหลนของแม่เฒ่าจันจู”

“เหลน…”

ชาวกรุงพเนจรพึมพำ แม่เฒ่าอายุยังไม่ถึงหกสิบ  มีเหลนแล้วหรือ ไม่อยากเชื่อ น่าจะนับญาติกันโดยศักดิ์เสียมากกว่า

นางจันจูสั่งความเคียะง่วนเป็นภาษาพื้นเมือง ก่อนจะแยกไปทางอื่น ปล่อยให้สองชายอยู่กันตามลำพัง

เคียะง่วนเก็บเสื้อผ้าเก่าเท่าที่จำเป็นพาดแขน ของใช้ส่วนตัวใส่ย่าม

“ข้าจะไปนอนค้างบ้านญาติ”

“อ้าว! เจ้าทำไมไม่ค้างที่นี่ล่ะ”

“แคร่แคบ ข้าไม่อยากนอนเบียดเจ้า กรนดัง”

เพียงเท่านั้น เคียะง่วนก็หอบสัมภาระก้าวเลาะลัดแนวไม้หายไปรวดเร็ว

ท่ามกลางอากาศขมุกขมัว พิชญ์สำรวจภายในกระท่อมไม้ปีกหลังคาเขม่าจับ ผ้านวมผืนใหญ่น่าจะช่วยป้องกันความหนาวได้ดีที่สุด

ลมหนาวพัดแรง ใบไม้แห้งปลิดปลิวร่อนแฉลบ

ชักจะวิตกหลายเรื่อง หมู่บ้านนี้ไม่มีไฟฟ้า กลางคืนคงจะมืดมนอนธการดุจนรก โป๊ะแก้วครอบตะเกียงเขม่าจับดำ ตะเกียงดวงเดียวจะให้แสงริบหรี่ในขอบเขตจำกัด

ตรวจหาส้วม อ้อ…อยู่ด้านหลังกระท่อม สภาพโกโรโกโสพอๆ กับที่พัก คาดว่าคงจะเป็นส้วมหลุม นั่งไม่ระมัดระวังอาจจะพลัดตกลงไปในบ่ออาจม เปื้อนเขรอะ กลิ่นเหม็นคลุ้ง

เมื่อพิชญ์เปิดประตูไม้ขัดแตะเอี๊ยด ก็รู้ว่าความคาดหมายผิดถนัด

สภาพส้วมซึมสมัยเก่า กระบวยตักน้ำวางอยู่บนปากโอ่งดินเผาใบย่อม

เหง่ง-หง่าง-เหง่ง-หง่าง…!

เสียงระฆังแว่วมากับลมหนาว สุนัขสัตว์เลี้ยงในหมู่บ้านหอนวู้ สร้างความเปล่าเปลี่ยววังเวงสุดจะพรรณนา

ติดต่อกับคำสวดภาษาพื้นเมืองประสานเสียง ยานคางโหยหวนชวนให้ขนลุก

“เวรกรรม ไม่นึกเลยว่าเราจะตกอยู่ในสภาพอเนจอนาถ ป่านนี้พวกญาติคงคิดว่า เราถูกผู้มีอิทธิพลอุ้ม”

อาจจะเป็นพวกนักพรตสวดในเทวาลัยวิงวอนเทพเจ้า หรือไม่ก็พระสงฆ์นิกายวัชรยานจากวัดศาสนาพุทธ

ไฟในเตาผิงใกล้จะมอดรอมร่อ ชายหนุ่มเติมถ่าน แต่ก็ช่วยไม่ได้มากนัก คาดว่าจะมอดดับในที่สุด

เคียะง่วนโผล่มารอบสอง  พร้อมด้วยถาดไม้ใส่อุปกรณ์ วางถาดลงบนแคร่

ก่อนอื่นช่วยก่อไฟ เติมกิ่งไม้แห้ง ครู่เดียวก็ควันโขมง จุดตะเกียงให้ด้วย ไล่เลี่ยกับเสียงสวดสิ้นสุด

ค่อยยังชั่ว ได้แสงวับๆ แวมๆ ขจัดความมืดสลัว

เด็กหนุ่มผู้บริการแจงนิ้วอธิบาย

“นี่แปรง ยาสีฟัน สบู่ ผ้าเช็ดตัว สักครู่ญาติข้าจะนำอาหารมาให้เจ้า ลาก่อน…พรุ่งนี้จะพบกันอีก”

หนุ่มน้อยชาวหิมพาลัยพนมมือไหว้อย่างนอบน้อม เขาเกือบจะรับไหว้ไม่ทัน ครั้นแล้วเคียะง่วนก็เดินลิ่วหายไปในความมืด

อนิจจา…แปรงสีฟันไม้ โชคดีหน่อยไม่ใช่แปรงมือสอง ยาสีฟันผงสีมอๆ ใส่โถดินเผากะทัดรัด ผ้าเช็ดตัวทำด้วยผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดผืนเล็กกว่าผ้าขาวม้า สบู่สมุนไพรกลิ่นชอบกล

“พิชญ์”

เสียงผู้หญิงเรียกอ่อนหวานแหวกความเงียบสงัด



Don`t copy text!