หิมพาลัย บทที่ 4 : แดนประหลาด

หิมพาลัย บทที่ 4 : แดนประหลาด

โดย : ตรี อภิรุม

หิมพาลัย ดินแดนที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม คนและสัตว์ป่าอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขจะมีอยู่จริงหรือเป็นเพียงความฝัน และระหว่างเธอคนนั้น “อุมาวสี” กับ “โลกแห่งความจริงที่จากมา” พิชญ์จะเลือกอะไร…”หิมพาลัย” นวนิยายออนไลน์ที่ตรี อภิรุม จะพาชาวอ่านเอาเดินทางไปกับจินตนาการที่แสนสวยงามและความรักที่มีอยู่จริง
*****************************
สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

เคียะง่วนไม่ยักตื่นตระหนก เอื้อมมือลูบหัวพยัคฆินทร์ เรื่อยลงมาทางต้นคอ สัตว์ร้ายร้องคำราม

เล่นเอาคนเบื้องหลังอกสั่นขวัญแขวน เกรงว่าเสือโคร่งจะขย้ำกินเนื้อเลือดสาด

ใช่แต่เท่านั้น เจ้าเหลืองลายพร้อยพ่วงพีมองบุรุษผู้แปลกปลอมตาเป๋ง ก่อนจะเบี่ยงเบนเดินช้าๆ ผ่านไประหว่างแนวพฤกษ์ มุ่งสู่เขตชุมชน

“ใครโกหก เสือจะตะปบเชิงสัพยอก” หนุ่มพื้นเมืองอธิบายคุณลักษณะ “บางทีก็แกล้งวิ่งไล่ให้หกล้มบาดเจ็บ”

ใช้พญาเสือโคร่งตรวจสอบ นี่หรือกฎหมายขื่อแปแห่งหิมพาลัย

พิชญ์สารภาพปนยิ้มกระดาก

“เมื่อตะกี้ข้ากลัวจนไม่กล้าหายใจแรง”

“มันจะกินจำพวกกวาง เก้ง กระต่าย ลดจำนวนสัตว์ที่ทำลายไร่พืชผลการเกษตรของชาวบ้าน”

แม้เคียะง่วนจะชี้แจงรวบรัด แต่ชายหนุ่มก็สามารถขยายความต่อเชิงวิชาการ

พยัคฆ์รักษาระบบนิเวศวิทยาให้คงสภาพสมดุล และชาวเมืองมีจิตสำนึกทางอนุรักษ์สภาพแวดล้อมอันเป็นธรรมชาติ

ทั้งสองเดินทางต่อ ไม่นานนักก็ถึงกระท่อมมุงแฝกริมถนน พิชญ์ชักชวน

“เจ้าควรจะมาพักกับข้า มันไม่ยุติธรรมที่เจ้าแยกไปค้างที่อื่น ลำบากลำบน”

“อย่าเลย แคร่แคบ นอนเบียดสองคนคงจะอึดอัด ข้ากำลังคิดว่าจะปลูกกระท่อมใหม่อีกหลัง ขอแรงญาติมิตรร่วมมือลงแขก”

เขานึกชมวัฒนธรรมของชาวหิมพาลัย สมานฉันท์ สามัคคี ลดความขัดแย้งถือเขาถือเรา ยึดหลักระบบเศรษฐกิจพอเพียง ไม่แข่งกันฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม

เช่นเดียวกับวัฒนธรรมไทยชนบทตั้งแต่ครั้งโบร่ำโบราณ ช่วยเหลือร่วมมือร่วมใจ สามัคคีชุมชน ไม่ต้องใช้เงินบุกเบิก

แต่ปัจจุบันวัฒนธรรมไทยดังกล่าวกำลังจะสูญสิ้น ถูกแทรกซึมโดยกระแสวัตถุนิยม อารยธรรมตะวันตก กลายเป็นลัทธิตัวใครตัวมัน ความช่วยเหลือเกื้อกูลเหลือน้อยที่สุด

“ตามใจเจ้าเถอะ”

เคียะง่วนทิ้งให้สหายต่างถิ่นอยู่ตามลำพัง

พิชญ์นอนเขลงบนแคร่ ประสานสองมือหนุนศีรษะ ตามปกติเมื่อเขาอยู่กับครอบครัว เคยใช้ยามว่างจมอยู่หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก โทรศัพท์ถึงเพื่อนฝูง มิตรหญิง ชมรายการโทรทัศน์ อ่านหนังสือพิมพ์ เข้าฟิตเนส

นี่เป็นโลกใหม่ ไร้สื่อสารสนเทศ ว่างเว้นจากกิจกรรมที่เคยปฏิบัติทั้งหลายทั้งปวง

“ขำดีชะมัด จู่ๆ ก็พลัดเข้ามาอยู่ในเมืองลับแล ดินแดนเนรมิต”

อากาศบริสุทธิ์ ลมเย็นพัดโชย ฟังเสียงนกจู๋จี๋ขับขานไพเราะ ชายหนุ่มเผลองีบหลับผล็อย

ฝันว่าตระเวนในดงบุปผชาติ พรรณไม้ดอกส่งกลิ่นหอมรวยริน ฝูงผีเสื้อ แมลงปอ และตั๊กแตนบินว่อน

ทันทีทันควัน หญิงนักมวยปล้ำ ผิวดำแดง หน้าตาน่าเกลียดกระโจนรวบตัวเขากดลงที่พื้น จูบปากดูดดื่ม คนเสียท่านักเลงหญิงดิ้นขลุกขลัก

“อย่า…”

พลันสะดุ้งตื่นจากความฝันวิปริต สิ่งที่ประจักษ์แจ้งกลับตาลปัตร

ล่อเจ้ากรรมก้มคอยาวเลียปากจมูกเขา พิชญ์ปัดป้อง สปริงกายลุกนั่ง สัตว์พาหนะขยับเดินออกไปยืนนอกกระท่อม จำอานผ้าได้ ตัวเดิมที่เขาเคยขี่หลังนั่นเอง

รินน้ำจากคนโท ล้างหน้าบ้วนปาก ส่องกระจกหวีผม

“เราไม่อยากเป็นหนุ่มอมตะ อยากกลับบ้านเกิดเมืองนอน ยอมแก่”

อุมาวสีปรากฏโฉมเงียบๆ เรือนผมประดับช่อเอื้องสีเหลืองประแดง กลิ่นหอมสมุนไพรสดชื่น

มือถือถาดอาหารไอร้อนระเหย พิชญ์รีบกุลีกุจอรับถาด วางไว้บนแคร่ ขณะที่ดรุณีสำอางโฉมทรุดกายบนเก้าอี้ไม้ไผ่

“ทำไมแม่หญิงไม่กินข้าวพร้อมข้า”

“เกรงว่าเจ้าจะไม่สะดวก”

“สะดวก” เขากล่าวย้ำ “กระชับความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ข้าไม่ชอบทำตัวเป็นแขก สร้างความลำบากลำบนให้ผู้อื่น อยากทำงาน ทำประโยชน์ให้แก่สังคม”

“ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไปนะ พ่อหนุ่ม เจ้าเพิ่งมาอยู่หิมพาลัยวันที่สอง จะต้องเรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีของเรา เชิญกินข้าว”

พูดแล้ว ก็ช่วยรินน้ำจากคนโทใส่แก้ว อุมาวสีทำท่าจะขยับลุกออกไปข้างนอก

“อย่าเพิ่ง แม่หญิง ข้าจะปรึกษาหารือบางอย่าง”

เด็กสาวอยู่ในอิริยาบถเดิม วางมือประสานบนเข่า สังเกตได้ว่าสวมแหวนเงินปลอกมีด สลักลวดลายพันธุ์ไม้เลื้อย หล่อนมองเขาพินิจพิเคราะห์

พิชญ์ตักข้าวผัดสีตุ่นๆ เข้าปาก รู้ได้เลยว่าผสมหนำเลี้ยบ รสชาติพอกินได้ไม่ถึงกับอร่อย ซดแกงจืดผักรวม ไม่คล้ายจับฉ่าย

“ถ้าเจ้าคิดว่าโกหก จะถูกขับไล่ออกจากหิมพาลัยนคร มีโอกาสกลับเมืองไทยแล้วละก็ เป็นความคิดที่ผิดถนัด”

อัศจรรย์ยิ่ง อุมาวสีทายใจเขาถูกเผง ไม่ทราบว่าหยั่งรู้ได้อย่างไร

“แม่หญิงจะให้ข้าจมปลักอยู่ที่นี่ตลอดชีวิต งั้นเหรอ”

แว่วเสียงล่อหายใจฟืดฟาด ย่ำซอยเท้าอยู่กับที่

“ทางกลับเมืองไทยก็พอมีอยู่บ้าง แต่ข้าไม่รู้ช่องทาง ไม่อาจจะแนะนำ”

“งั้นใครรู้”

อุมาวสีนิ่งตรึกตรอง

“เจ้ากินผลไม้คุณธรรม วิธีการมืดมน ลองถามผู้อาวุโส อาจจะช่วยเหลือเจ้าสำเร็จ”

“แม่เฒ่าจันจูไม่ช่วยข้าหรอกรึ”

“ผู้อาวุโสรายอื่น”

“ข้าจะพบได้ยังไงเล่า” พิชญ์วางช้อนข้าวผัดที่ตักค้าง “ชีวิตเหมือนถูกตีกรอบไม่รู้แหล่งชุมชน”

“ขี่ล่อไงล่ะ ข้าส่งมาเป็นเพื่อนพ่อหนุ่ม ขี่ตระเวนไปไหนได้ทุกหนทุกแห่งตามใจชอบ ยกเว้นขอบเขตส่วนตัวหวงห้าม”

ตลกสิ้นดี อยู่กรุงเทพฯ เขาขับรถเก๋ง ขึ้นรถไฟลอยฟ้า นั่งรถไฟใต้ดิน ชะตากรรมพลิกผัน ได้ขี่ล่อชมวิวในหิมพาลัยนคร หมดทางเลือก ถ้าไม่อยากเดิน

“พูดภาษากับมันไม่รู้เรื่อง”

“แค่เจ้าขี่คร่อมหลัง ล่อก็จะเดินดุ่มพาลาดตระเวน จะกลับเมื่อไหร่ตีตะโพกขวาเบาๆ แม้มันจะเป็นสัตว์ก็ตาม แต่มีจิตสำนึก สัญชาตญาณของคน ใกล้ชิดกับเจ้านานๆ อาจจะคุ้นเคยภาษาไทยฟังรู้”

“ล่อทุกตัวเป็นยังงี้หรือ”

“ส่วนใหญ่จะโง่ เซ่อ และเซื่อง ฉลาดประมาณห้า-หกตัว จัดว่าเป็นกรณีพิเศษ”

“ทำไมเป็นยังงั้น”

“ข้าไม่บอกสาเหตุ”

ต่างฝ่ายต่างเงียบ ดวงตะวันลับเหลี่ยมเขา อากาศเย็นลงรวดเร็ว ล่อย่ำกุกๆ ห่างออกไป จนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า ชายหนุ่มอิ่มอาหารมื้อเย็น ตบท้ายด้วยสตรอว์เบอร์รีรสหวานอมเปรี้ยว

“พิชญ์ไม่ต้องล้างจานชาม”

ผู้ฟังรู้ข้อมูล เนื่องจากล้างไม่สะอาด เพราะขาดอุปกรณ์ เช่น น้ำยาชำระล้าง เป็นต้น

หนุ่มชาวกรุงลุกออกไปหลังกระท่อม แปรงฟันบ้วนปาก รู้สึกได้ว่า อุมาวสีช่วยก่อไฟเตาผิง

เสร็จกิจส่วนตัว เขากลับเข้าประตู

ไม่เจออุมาวสี พร้อมทั้งถาดจานชามบนแคร่ ลมหนาวกรูเกรียว พิชญ์เงียบเหงาวังเวงประหนึ่งว่าอยู่คนเดียวในโลก

เหง่ง-หง่าง!

แว่วเสียงระฆังกังวานก้อง สุนัขพันธุ์ภูเขาหอนรับกันเป็นทอดๆ ตอกย้ำความเปล่าเปลี่ยววิเวกสุดจะพรรณนา

เขาจุดตะเกียงโป๊ะ บ่นพึมพำกับความว่างเปล่า

“เฮ้อ! อยากจะได้ใครสักคนเป็นเพื่อนคุย”

อากาศขมุกขมัว ไม้ใหญ่ไหวเอนแสกสากตามกระแสลม แลเห็นชาวบ้านก่อกองไฟริมถนนระยะสองร้อยเมตร

หรือว่าจะเข้าไปนั่งล้อมวง อังฝ่ามือหาความอบอุ่น พิชญ์ตอบตนเองเบ็ดเสร็จ

“อย่าเลย ยังไม่คุ้นเคย มันจะกลายเป็นทะเล่อทะล่า ไม่เหมาะสม”

เคียะง่วนปรากฏตัวเงียบกริบ หิ้วโคมตาวัว ผ่านเข้าประตูไม้ค้ำ แขวนโคมที่เสา

“พี่หญิงสั่งให้ข้ามาคุยเป็นเพื่อนก่อนนอน”

นับว่าเป็นการทายใจถูกอีกครั้ง หรือว่าอุมาวสีมีญาณหยั่งรู้พิเศษ พิชญ์ตั้งข้อกังขา

“แปลก ข้าไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเลย”

“อาจจะเป็นเพราะระฆังเพิ่งจะเงียบเสียง เจ้ามัวแต่มองทางอื่น”

เจ้าของกระท่อมตอบ ขณะทรุดกายนั่งเก้าอี้ สังเกตได้ว่าสวมถุงน่องหนาเทอะ ภายใต้เสื้อคลุมยาวถึงเข่า พร้อมกันนั้นเขาเตือนสหายต่างถิ่น

“ถุงน่องให้ความอบอุ่นเหนือกว่าสนับแข้ง ข้าจัดไว้ให้เจ้าแล้วอยู่ในชั้นล่างตู้”

ชายหนุ่มเปิดตู้ใบเตี้ย จัดการสับเปลี่ยนสนองตามความหวังดีของผู้เตือน รู้สึกอบอุ่นเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า

ทั้งสองคุยกันด้วยเรื่องพื้นๆ เช่น ขนบประเพณี ภูมิประเทศ ตลาดนัดภูมิปัญญาพื้นบ้าน เงินตราใช้เหรียญโลหะผสมกับเหรียญเงิน พิชญ์ขอร้องว่า หากสร้างกระท่อมหลังใหม่จงตามเขาไปช่วยงาน ไม่อยากอยู่เฉยนอนงอมืองอเท้าเกียจคร้าน สุดท้ายเขาวกสู่ปัญหาที่ยังไม่กระจ่าง

“ล่อบางตัวรู้ภาษาคน ใครฝึกสอน ตามธรรมชาติของล่อมันจะโง่และเซ่อ”

เคียะง่วนอึกอักชั่วประเดี๋ยว หัวเราะแห้งๆ

“มันรู้เอง ก็ไม่แตกต่างกับมนุษย์น่ะแหละ บางรายฉบับยอดเยี่ยม บางรายโง่เขลา”

โดยสัญชาตญาณ เขารู้ว่าคู่สนทนาอธิบายไม่หมดเปลือก หากอำพรางความจริงบางส่วน

“ไม่อยากเชื่อ”

“เอายังงี้เถอะ ล่อจูบเจ้าหรือเปล่า”

อัศจรรย์ใจชะมัด ตรงนี้แม้แต่อุมาวสีก็ยังไม่ทราบ ทำไมเคียะง่วนถามจี้ใจตรงเผง

“เจ้ารู้ได้ยังไง เรายังไม่เคยเล่าให้ใครฟัง”

“เดาส่งเดช”

“มีหลักการ แต่เจ้าไม่ยอมเปิดเผยความจริง”

เด็กหนุ่มกระสับกระส่าย ยิ้มแหย ซุกมือเข้าไปในอกเสื้อเพื่อให้ความอบอุ่น

“คุยกันเรื่องอื่นเถอะ พ่อหนุ่ม”

“ขนาดล่อธรรมดาๆ เจ้ายังปกปิด เรื่องอื่นก็ไม่จำเป็น”

เคียะง่วนบ่นพึมพำว่าลมหนาวโชยแรง ลุกขึ้นปิดประตูไม้ค้ำ ขณะที่พิชญ์รินน้ำจากคนโทค่อนแก้ว ยกขึ้นดื่มเกลี้ยง

“กินน้ำมาก ไม่ปวดเหรอ”

“เออ…จริงสิ ปวด”

ชายหนุ่มออกทางประตูด้านหลัง จัดการกับระบบขับถ่ายส่วนตัว กลับเข้ากระท่อม ขึ้นไปนั่งบนแคร่ที่แข็งแรง

“ก่อนนอนพิชญ์ควรจะสวดมนต์”

“ลูกไม้ตื้นๆ” เขาดักคอปนหัวเราะร่าเริง “เรื่องล่อ เรายังคุยกันค้าง”

“งั้นเจ้าสวดมนต์ ข้าจะสวดตาม หลังจากนั้นจะเล่าต่อ”

“โฮ้ย พิธีรีตองมากเหลือเกิน”

หนุ่มชาวกรุงบ่นอุบ อารมณ์ของเขาแจ่มใสเสมอ สมัยเด็กเขานอนกับคุณยาย เห็นท่านสวดมนต์ อาศัยลักจำและชอบทำเลียนแบบ เลยกระทำเป็นกิจวัตร ยกเว้นบางคืนที่นอนดึกง่วงสุดขีด ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แล้วก็หลับผล็อย

พิชญ์นั่งคุกเข่าพนมมือ สวดเบาๆ เคียะง่วนพนมมือบ้างทำปากขมุบขมิบภาษาพื้นเมือง

เมื่อสวดเสร็จเขาก็กราบท่าเบญจางคประดิษฐ์สามครั้ง แต่เด็กหนุ่มสูงอายุยกมือขึ้นจบเหนือศีรษะแทน

“เจ้าคงจะง่วง”

“เออ…ใช่”

พร้อมกันเจ้าตัวป้องปากหาวหวอด นัยน์ตาชักหรี่ปรือ เคียะง่วนแนะนำ

“นอนคุยกับข้าเถอะ พิชญ์”

เขาเอนกายระนาบลง ทวงสัญญา

“ข้อตกลง อย่าลืม”

“ล่อที่จูบเจ้าเป็นตัวเมีย ส่วนตัวผู้จะจูบผู้หญิง”

“ว้าว เราไม่ทันสังเกตเพศ” หัวเราะจนน้ำตาเล็ด “อะไรจะขนาดนั้นเชียว”

“ถ้าเจ้าเผลอเล่นพิเรนทร์กับล่อ อาถรรพเวทที่ติดมากับสัตว์จะลงโทษ”

“เล่นพิเรนทร์หมายถึงอะไร”

“เสพกาม”

แม้ว่าจะสะลึมสะลือจนเกือบจะลืมตาไม่ขึ้น พิชญ์ก็ไม่วายจะหัวร่อเอิ๊ก

“รับรองว่าเราไม่วิตถาร สัตว์กับมนุษย์คนละพวกนะโว้ย”

เผลองีบหลับผล็อย นิทรารมณ์เพลิดเพลิน ภายใต้นวมผ้าห่ม เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง

พิชญ์ฝันว่าเตร็ดเตร่ในแปลงบุปผชาติหลากสีงามสะพรั่ง เงาดำวูบเข้าทางเบื้องหลัง รวบร่างกอดเขาเซล้มตุ้บ

คุณพระช่วย!

นักมวยปล้ำหญิง หน้าตาแสนจะอัปลักษณ์ ปล้ำกอดจูบฟัดดุเดือด เรี่ยวแรงมหาศาลกดร่างเขาไม่ให้กระดิกกระเดี้ย

โลกวิปริตกระมัง ผู้หญิงที่เสียดุลทางเพศแก้แค้นเอาคืน เขาคงจะถูกหล่อนปู้ยี่ปู้ยำตามใจชอบ

ชั่วพริบตา ร่างกายของเขาก็เบาโหว่ง ไม่รู้ว่าหล่อนหายไปไหน ได้รับอิสรภาพ ชายหนุ่มขยับเอี้ยวมอง

ล่อเจ้ากรรมอยู่ใกล้ๆ ระยะสองเมตร จมูกของมันน่าเกลียดคล้ายนักมวยปล้ำหญิง

“เอิ๊บ!”

หนุ่มผู้พลัดถิ่นสะดุ้งเฮือก ตื่นจากความฝันอุบาทว์

หนาวยะเยือก โปงผ้านวมกองอยู่ข้างตัว ท่ามกลางแสงตะเกียงริบหรี่ เคียะง่วนกลับไปแล้ว ไฟที่เตาผิงใกล้จะมอด พิชญ์ลุกขึ้นจากแคร่ เติมฟืนแห้งเชื้อเพลิง

เช้าตรู่ แสงอรุณส่องโลก อุมาวสีแหวกสายหมอกจางๆ มาที่กระท่อมมุงแฝก พิชญ์ให้การต้อนรับ ยิ้มแย้ม

สาวรุ่นผู้สวยพริ้งวางปิ่นโตเถาเล็กลงบนแคร่ อีกมือยื่นกางเกงยีนส์ เสื้อเชิ้ตที่ซักรีดเรียบร้อย ชายหนุ่มรับไปเก็บไว้ในตู้ไม้สักปนกับกระเป๋าธนบัตรและเหรียญกษาปณ์

สะเทือนใจวูบ ไม่รู้ว่าชาตินี้ทั้งชาติจะได้กลับไปใช้เงินไทยหรือเปล่า

อุมาวสีบรรจงถอดปิ่นโตออกจากเถา เป็นข้าวต้มกุ๊ยข้าวกล้องที่เขาคุ้นเคย องค์ประกอบมี ไชโป๊ยำ หนำเลี้ยบดอง ถั่วลิสงคั่ว ชิ้นปลาที่หั่นฝอยทอดกรอบ

“หน้าตาของเจ้าแจ่มใสสดชื่น เมื่อคืนคงจะนอนหลับสนิท”

เขาหวนระลึกถึงความฝันที่ชัดเจน ประหนึ่งว่ามันสะท้อนมาจากความจริง เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นครั้งที่สอง จนแยกแยะไม่ออกระหว่างนักมวยปล้ำหญิงกับล่อ

หิมพาลัยเต็มไปด้วยสิ่งอัศจรรย์ เร้นลับ ยอกย้อนซ่อนเงื่อน

ปัญหาที่แฝงเรื่องเพศ ใครจะกล้าถามหล่อน

“ใช่ แม่หญิง ข้านอนหลับสบาย เหนือกว่าคืนแรก เมื่อไหร่เจ้าจะร่วมวงกินข้าวกับข้า”

“อาจจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ ไม่แน่นัก เอายังงี้เถอะ ข้าจะกินผลไม้เป็นเพื่อนเจ้า”

พิชญ์ยกถาดผลไม้รวมมาวางริมแคร่ เคียะง่วนจัดสรรมาให้มากมายหลายชนิดพูนถาด

เด็กสาวแบ่งจำนวนเล็กน้อยใส่ฝาปิ่นโต เอาไปล้างหลังกระท่อมแล้วกลับมานั่งเก้าอี้ตามเดิม

“ที่นี่มีนักมวยหญิงหน้าตาอัปลักษณ์บ้างมั้ย”

“ไม่มี”

มืองามหยิบผลเชอร์รีสีแดงคล้ำค้างเติ่ง ดรุณีผู้เลอโฉมเพ่งพิศคู่สนทนา เสมือนจะค้นหาความจริงที่ซ่อนเร้น ก่อนส่งเข้าปากเคี้ยวละมุนละไม คายเม็ดใส่แผ่นกระดาษสา

เขาเริ่มบริโภค รู้สึกว่าอร่อยถูกปากมากกว่าทุกมื้อ

“เจ้าเคยเห็นผู้หญิงดังกล่าวที่ไหนเหรอ”

เอากับแม่สิ เล่นเอาพิชญ์อึกอักอ้ำอึ้ง ที่หิมพาลัยโกหกผิดกฎจำต้องใช้อุบายพลิกแพลง

“มันอาจจะเป็นคำถามโง่ๆ ของคนพลัดถิ่น เท่าที่ข้าผ่านเข้าเมืองลับแล สาวๆมากหน้าหลายตา ล้วนแล้วแต่สะสวย ไม่เจอใครสักคนที่ขี้ริ้วขี้เหร่”

“งั้นก็ในความฝัน”

อาศัยไหวพริบ ทำให้ไม่อับจน

“ถ้าเป็นยังงั้นละก็ ข้าอยากจะฝันถึงแม่หญิงทุกคืน”

ถึงคราวที่อุมาวสีจะขวยเขิน พราวไปด้วยเสน่ห์น่ารัก เขาอยากจะไปจูบที่ริมฝีปากสีชมพู เสียงย่ำกุกกักภายนอก

นั่นปะไร!

ล่อแข็งแรงพ่วงพีเดินผ่านหน้าประตูไม้ค้ำ เพิ่งจะสังเกตว่าเป็นเพศเมีย

“หลังอาหารมื้อเช้า ล่อจะพาเจ้าไปตลาด ชมพิธีกรรมบางอย่าง ต่อจากนั้นมันจะพาเจ้าไปสถานที่ก่อสร้างกระท่อมของเคียะง่วน”

ชายหนุ่มยิ้มเจื่อน นึกถึงความฝันพิเรนทร์ถึงสองครั้งสองครา ชักจะหวั่นไหวไม่ชอบใจ

“เอารัดเอาเปรียบสัตว์ ข้าชอบเดินคุยกับแม่หญิง”

“ตามความรู้สึกของชาวกรุงเช่นเจ้า ไกลมากทีเดียว ประการสำคัญข้าจะเอาปิ่นโตไปเก็บด้วย อย่าห่วง เจ้าจะเจอข้าที่ตลาดพร้อมทั้งแม่เฒ่าจันจู”

หมดทางหลีกเลี่ยง เขาจำเป็นต้องอนุโลม

บัดนี้ พิชญ์แต่งกายรัดกุมรุ่มร่าม ปิดประตูไม้ค้ำ อุมาวสีหิ้วปิ่นโตยืนเคียง เรือนผมประดับช่อเอื้องของหล่อนสูงกว่าบ่าเขานิดเดียว

เขาเหยียบโกลน ดีดตัวเองขึ้นคร่อมอาน บังเอิญตาไวเหลือบพบจมูกล่อ แทบว่าจะสะดุ้งแปดตลบ

ช่างเหมือนจมูกนักมวยปล้ำหญิงโคตรอัปลักษณ์!



Don`t copy text!