ไม้สี่โมง บทที่ 5 : วิชาชีพอันภาคภูมิ
โดย : ปรียนันทนา
ไม้สี่โมง โดย ปรียนันทนา นวนิยายรักโรแมนติกที่อ่านเอามั่นใจว่าคุณจะต้องอมยิ้มอุ่นหัวใจ เรื่องราวของมัคคุเทศก์สาวและบุรุษพยาบาลหนุ่มที่เส้นทางชีวิตไม่น่าจะมาบรรจบกันได้ แต่เพราะคุณยายอุบลแท้ๆ ที่นำทั้งสองมาพบกันโดยบังเอิญ นี่คือภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่กามเทพสูงวัยต้องทำให้สำเร็จ นิยายออนไลน์ที่เราอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์
*************************
เสียงเพลงจากร้านอาหารกึ่งผับยามราตรีดังเป็นจังหวะแต่ไม่ชวนระคายหูเนื่องจากเป็นท่วงทำนองแจซ แต่บางวันก็มีบ้างที่บ้านใกล้เรือนเคียงกลับเปิดเพลงรบกวนกันเอง แม้ว่าเขาจะจัดการนำวัสดุหลายอย่างที่ว่ากันว่าเก็บเสียงได้ดีมาป้องกันแล้วก็ตาม แต่ด้วยความแคบของถนนสายนี้ประกอบกับอาคารต่างๆ ยังอยู่ชิดติดกันเป็นส่วนใหญ่ บ้านของชายหนุ่มตั้งอยู่กลางซอยวัดชนะสงครามค่อนมาทางปากซอยรามบุตรี ทว่าบางครั้งก็กลับได้ยินเสียงดนตรีและผู้คนส่งสำเนียงต่างภาษากันยามดึก หากจะกล่าวว่าบ้านของเขาตั้งอยู่บริเวณอโคจรก็คงไม่ผิดนัก แต่เมื่อลองคิดอีกมุมหนึ่งเขาก็เคยบอกกับเพื่อนว่าสถานที่เหล่านั้นต่างหากมาตั้งอยู่ย่านสงบเงียบเช่นบ้านของเขา หรือเรียกว่าพวกเขาถูกยึดครองความเป็นส่วนตัวโดยมีคำว่าความเจริญทางเศรษฐกิจมาแทนที่ แม้ครอบครัวของเขาจัดอยู่ในจำพวกไม่เคยมีปัญหากับใคร แต่บางครั้งบิดาของเขาผู้เป็นข้าราชการเกษียณก็เกิดอาการรำคาญจนถึงกับต้องเปลี่ยนนิวาสสถานไปบ้านชานเมืองในบางเดือน โดยเฉพาะช่วงที่มีเทศกาลวันหยุด เช่น วันสงกรานต์และวันขึ้นปีใหม่ อย่างไรก็ตามปาณัทคิดว่าเขากลับรู้สึกว่าบ้านของเขาอยู่ในย่านที่สะดวกและค่อนข้างมีสีสันทีเดียว
“วันนี้กลับเร็วนะพี่”
“อ้อ ทัต” ปาณัทเอ่ยทักน้องชายคนเดียวนามว่าทัตพลผู้กำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้ายในคณะสังคมสงเคราะห์
“วันนี้พี่ไม่มีเวรดึกเลยกลับบ้าน” เขาตอบน้องชายอย่างยิ้มแย้มขณะวางสตูไก่ที่นำมาอุ่นลงบนโต๊ะ กลิ่นอาหารหอมฉุยถึงกับทำให้ทัตพลผู้ที่เพิ่งเข้ามานั่งลงพร้อมรับประทานทันที
“นี่สตูที่ทำไว้แต่แต่วันอาทิตย์ใช่ไหม แหม ทำไมมันหอมกว่าเดิมอีกนะ” ทัตพลพูดพร้อมก้มลงสูดกลิ่นอาหารอย่างหิวจัด
“นี่ของนาย พี่ทำไว้เมื่อวันอาทิตย์ไง แบ่งฟรีซไว้เผื่อกินอีกรอบ”
ปาณัทส่งจานข้าวให้น้องชาย ทัตพลรับมาทันทีโดยไม่ใส่ใจว่าเขาเพิ่งกลับจากข้างนอกและควรไปล้างมือก่อนรับประทานอาหารให้สมกับที่มีพี่ชายเป็นพยาบาล พี่ชายของเขานั้นนอกจากมีหน้าตาที่ชวนมองให้เป็นผู้หญิงแล้วนี่คงเป็นคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งที่หากบังเอิญใครได้รู้คงต้องตั้งคำถามเกี่ยวกับปาณัทอีกเป็นแน่แท้
“พี่ปาณนี่ก็แปลกเนอะ ชอบทำกับข้าวอย่างกับผู้หญิง” ทัตพลก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เคยสงสัยในตัวพี่ชาย
“อ้าว ผู้ชายก็ทำกับข้าวกันเยอะแยะ อาชีพเชฟไงล่ะ”
“ก็ใช่ แต่หน้าพี่หวานๆ แบบนี้ทำให้คนคิดไปใหญ่เลย” ทัตพลจิ้มมันฝรั่งชิ้นโตในชามมากัดอย่างเอร็ดอร่อย
“ทำไงได้ หน้านี้แม่ให้มานี่หว่า”
“รีบๆ กินให้เสร็จเถอะ เดี๋ยวออกไปข้างนอกกัน”
“ไปไหนพี่ ยังกินไม่ถึงครึ่งท้องเลย” น้องชายว่าพลางตักไก่ชิ้นโตเคี้ยวอย่างเพลิดเพลิน
“ก็ไปข้าวสารไง”
“อ้อ งานพี่น่ะเหรอ ผมลืมไปว่านอกจากชอบทำอาหารแล้วพี่ชายยังเป็นพยาบาลด้วย นี่พี่รู้ไหมว่าเวลาผมบอกใครต่อใครว่าพี่ชายเป็นพยาบาลนะ ร้อยทั้งร้อย อื้อหือ”
“ทำไม”
ผู้เป็นพี่ชายตักข้าวแล้วนั่งลงตรงข้ามน้องชายอย่างหิวไม่แพ้กัน หากทว่ากิริยาที่แสดงออกดูนุ่มนวลในลักษณะชายหนุ่มที่อ่อนโยนมากกว่าผู้เป็นน้องซึ่งติดจะโลดโผนแบบเด็กผู้ชายมากกว่า
“ก็คำถามต่อมาทำเอาผมอยากซัดหน้าพวกนั้นสักหมัดสองหมัด”
ทัตพลเป็นคนอารมณ์ร้อนและค่อนข้างใช้อารมณ์เหนือเหตุผล แม้ปัจจุบันเขาสามารถควบคุมอารมณ์ได้มากกว่าตอนยังเป็นวัยรุ่นตอนต้นที่มีเรื่องชกต่อยประสาเด็กผู้ชาย แต่ลึกลงไปปาณัทก็รู้ดีว่าน้องชายยังมีความห้าวหาญที่หลงเหลืออยู่จนบางครั้งเขาก็แอบคิดว่าน่าจะแบ่งปันมาให้เขาบ้าง
“นายก็ไม่เห็นต้องสนใจ พี่ยังไม่สนเลย”
“ไม่สนได้ไง พวกนั้นชอบคิดว่าพี่ไม่ชอบผู้หญิง”
“อ้าว แล้วไม่ชอบผู้หญิงมันผิดหรือไงวะ”
“เฮ้ย พี่พูดงี้แปลว่าชอบผู้ชายเหรอ”
ผู้เป็นน้องถึงกับชะงักเมื่อเจอคำตอบของพี่ชาย
“เปล่า พี่แค่ไม่เห็นว่ามันจะสำคัญตรงไหน ชอบใคร เพศอะไร ถ้าเป็นคนดี ไม่ได้ไปแย่งใครมาก็พอแล้ว” ปาณัทตัดบทอย่างไม่สนใจตอบคำถามน้องชาย “อย่ามัวพูดเรื่องอื่นเลย ตกลงกินข้าวเสร็จแล้วจะไปข้าวสารกันไหมล่ะทัต”
“ไปทำอะไรพี่ อ๋อ โครงการที่พี่ไปทำกับชุมชนน่ะเหรอ”
ข้าวยังคงเต็มคำอยู่ในปากทำให้ผู้เป็นพี่ชายทำได้เพียงพยักหน้าแทนคำตอบ เขาริเริ่มโครงการจิตอาสาเรื่องการปฐมพยาบาลในยามค่ำคืนที่เขาประสานงานกับตำรวจท้องที่เพื่อเข้าไปทำได้หลายเดือนแล้ว งานนี้เป็นงานที่เขาถนัดและเต็มใจอย่างยิ่ง วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ชวนน้องชายไปด้วยกัน
“ไปสิพี่ ดีเลย ผมอยากไปกับพี่อยู่เหมือนกันแต่กลับบ้านดึกมาหลายวันเลยไม่ได้ไปด้วย”
“เห็นนายว่าสนใจอยากทำอาสาสมัครสาธารณสุขใช่ไหมล่ะ”
“ใช่ๆ ผมอยากทำแต่รู้สึกว่าต้องมีการอบรมด้วยใช่ไหมพี่”
ทัตพลหมายถึงโครงการอาสาสมัครสาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร
“ใช่ ถ้านายสนใจเดี๋ยวเราไปคุยกันกับผู้กองต้อมตอนพี่ไปข้าวสารก็ได้ ว่าแต่นายจะมีเวลาอบรมเหรอ”
“ลองถามเป็นข้อมูลก่อนก็ได้นี่พี่ งั้นคืนนี้ผมไปด้วยก็แล้วกัน” น้องชายพูดจบก็ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารฝีมือพี่ชายอย่างเอร็ดอร่อยต่อไป
……………………
ร้านเสื้อผ้าริมสองข้างทางถนนข้าวสารคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวเอเชียและยุโรป ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงมากันเป็นกลุ่ม เมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ใบหน้าหวานเดินมากับอีกหนึ่งคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายกันหากดูคมสันกว่าก็พากันชำเลืองมองอย่างสนใจ บางคนถึงขนาดสบตาแล้วยิ้มให้ทั้งสองอย่างผูกมิตร เมื่อเห็นหนึ่งในสองคนมีกระเป๋าอุปกรณ์ปฐมพยาบาลสะพายอยู่
“โหพี่ ผมไม่ได้มานาน คนเยอะเหมือนกันนะ”
“วันธรรมดาคนไม่ค่อยเยอะหรอก เพราะคนไทยน้อย”
“จริงด้วย แต่เดี๋ยวนี้มีสาวๆ เอเชียเยอะเนอะ เมื่อก่อนมีแต่ฝรั่ง”
ทัตพลมองสาวญี่ปุ่นหน้าตาน่ารักสองคนที่กำลังเลือกซื้อเสื้อผ้าตรงร้านที่เขาเพิ่งเดินผ่านมาซึ่งอีกฝ่ายก็กำลังมองตอบเขาเช่นกัน
“นั่นไง ผู้กองต้อมมาโน่นแล้ว”
ชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับผู้พูดเดินตรงมาอย่างยิ้มแย้ม เมื่อเอ่ยชื่ออีกฝ่ายกับคนอื่นเขาปาณัทมักเรียกอย่างให้เกียรติเครื่องแบบโดยใส่คำนำหน้าเสมอ หากเมื่อพบหน้ากันความเป็นเพื่อนสนิทมาแต่วัยเยาว์ก็กลับมาเหมือนเดิม
“ว่าไงผู้กองขุนแผน”
“เฮ้ย ไอ้ปาณ พูดลอยๆ แบบนี้กล่าวหากันนะโว้ย”
“ใครบอก หลักฐานน่ะมีเห็นๆ ข้าไม่อยากพูดว่ะ เดี๋ยวสาวๆ ของเพื่อนจะเสียใจ”
“หวัดดีพี่ต้อม”
ทัตพลยกมือไหว้เพื่อนของพี่ชายที่เขาคุ้นเคยมานาน แม้ว่าร้อยตำรวจเอกชยพลหรือพี่ต้อมที่เขารู้จักจะย้ายออกไปจากย่านนี้นานหลายปี แต่ก็ยังคงติดต่อกับพี่ชายเขาเสมอ ทัตพลจึงรู้สึกว่าโชคดีที่พี่ต้อมมาประจำสถานีแถวบ้าน
“หวัดดีน้องชาย เป็นไงบ้าง อยู่บ้านเบื่อไหม มีพี่ขี้บ่น จุกจิกอย่างกับผู้หญิงตั้งแต่เล็กจนโต”
“ก็ไม่เท่าไรหรอกพี่ต้อม แค่ผมกับพ่อไม่กล้าวางของไม่เป็นที่เท่านั้นเอง”
ทัตพลรับมุกอีกฝ่ายอย่างอารมณ์ดี
“นั่นไง ข้าว่าแล้ว ไอ้ปาณ นายนี่มันเจ้าระเบียบเรื่องเยอะแต่เด็กจนใครๆ พากันคิดว่าจะไม่แมน แถมยังไปเรียนพยาบาลอีก”
“พูดกันไม่จบนะต้อม เรื่องเรียนเนี่ย ตั้งแต่จบมอหกแล้ว”
“เออ ไม่จบโว้ย ถ้านายไม่หยุดพูดเรื่องข้ามีสาวๆ เยอะ ข้าก็จะพูดไปแบบนี้แหละ แฉมาแฉกลับไม่โกงโว้ย”
“แต่เรื่องข้ามันไม่ได้มีใครเสียหาย จะมาเรียกแฉไม่ได้นะ”
ปาณัทเถียงกลับด้วยสีหน้าผู้ถือไพ่เหนือกว่า จนอีกฝ่ายส่ายหน้าระอาไปเอง
“ว่าแต่วันนี้ทัตมาด้วยมีอะไรหรือเปล่า หรือแค่อยากมาช่วยพี่ชายเฉยๆ”
ชยพลเปลี่ยนเรื่องหันไปถามน้องชายเพื่อนเมื่อเห็นว่าเถียงกับเพื่อนสนิทพอหอมปากหอมคอแล้ว
“ก็กะว่าตามมาช่วยแล้วจะมาดูว่าผมจะทำอะไรเพื่อชุมชนได้อีกบ้าง พอดีเคยได้ยินเรื่องการสมัครเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขของ กทม.น่ะพี่ พี่ปาณเลยให้มาคุยกับพี่ดูว่าพี่มีข้อมูลบ้างหรือเปล่า”
“เอ เรื่องนี้พี่ก็รู้ว่ามีนะ ต้องไปอบรมกับสำนักอนามัย ใช้เวลาหลายเดือนเหมือนกัน ไม่ใช่เป็นอาสาแบบที่เจ้าปาณมันทำหรอก อันนี้มันทำเฉพาะกิจเท่านั้น แต่ของ กทม.นั่นจริงจัง ถ้าทัตสนใจคงต้องไปถามสำนักอนามัย เดี๋ยวพี่หาเบอร์ให้ก็แล้วกัน”
“ถ้างั้นไม่ต้องหาเบอร์หรอกพี่ เบอร์น่ะผมหาได้อยู่แล้ว เซิร์ชกูเกิลเอาก็ได้”
“เหรอ ก็ดี งั้นถ้าได้เรื่องยังไงส่งข่าวพี่ด้วยนะ”
นายตำรวจหนุ่มในชุดเครื่องแบบหันมาตบบ่าน้องชายเพื่อนเบาๆ ก่อนหันไปมองเพื่อนเขาอย่างจริงจังผิดกับเมื่อครู่
“สงสัยนายต้องทำงานแล้วละปาณ”
เขาหันหน้าไปด้านหลังปาณัทที่ขณะนี้กำลังมีการชุลมุนเกิดขึ้นเพราะมีนักท่องเที่ยวเมาแล้วเดินล้มไปชนแผงขายของจนบาดเจ็บ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอ่ยเสียงเป็นงานเป็นการปาณัทก็ไม่รอช้า เขารีบเดินไปยังจุดเกิดเหตุพร้อมกระเป๋าสำหรับการปฐมพยาบาลทันทีโดยมีน้องชายตามติดไปอย่างใกล้ชิด
กลุ่มนักท่องเที่ยวและแม่ค้าที่ยืนมุงดูอยู่เริ่มถอยออกเป็นวงกว้างเมื่อเห็นตำรวจเดินนำชายหนุ่มสองคนซึ่งบรรดาแม่ค้าต่างคุ้นหน้าชายคนแรกเป็นอย่างดีว่าคืออาสาสมัครผู้ทำหน้าที่ปฐมพยาบาล พวกเขายังรู้อีกว่าชายหนุ่มคนนี้มีอาชีพพยาบาลซึ่งถือว่าแปลกที่จะพบผู้ชายเป็นพยาบาลวิชาชีพ
“คุณปาณมาแล้ว หลบหน่อยสิป้า ให้คุณเค้าดูพ่อหนุ่มนี่หน่อย เมาแอ๋หัวทิ่มมาเลย ดีนะหนูขายเสื้อผ้า ถ้าขายน้ำแข็งไสหรือไอติมมีหวังไม่ต้องขายของกันพอดี เฮ้อ” แม่ค้าวัยกลางคนท่าทางปากร้ายใจดีส่งเสียงดังเจื้อยแจ้วบอกบรรดาแม่ค้าพ่อค้าไทยมุงอย่างระอา หากก็ไม่ถือสาหาความผู้เป็นต้นเหตุให้สินค้าของเจ้าหล่อนหล่นกองมาบนพื้นพร้อมตะแกรงแผงเสื้อ
“คุณปาณดูหน่อยสิ เมาล้มพับไปแถมสลบอีกเนี่ย”
“มากับใครครับ” เสียงนายตำรวจหนุ่มถามอย่างสงสัย
“นี่ไง มาด้วยกัน” แม่ค้าคนเดิมชี้ไปยังชายหนุ่มอีกคนที่กำลังประคองนักท่องเที่ยวคนที่ล้มอยู่
“ไม่น่าจะคุยรู้เรื่องนะพี่ ท่าทางไม่ต่างกัน” ทัตพลพูดเช่นที่คนอื่นสังเกตเห็น เพราะนักท่องเที่ยววัยรุ่นผมสีน้ำตาลอ่อนตาสีฟ้าสองคนนี้คงดื่มจัดมาทั้งคู่ก่อนจะเกิดเหตุล้มลงที่หน้าแผงขายเสื้อผ้า
“แผลแค่ถากๆ นะ เดี๋ยวผมทำแผลให้เบื้องต้นแล้วไปนั่งพักที่โรงพัก เสร็จแล้วค่อยไปตรวจที่โรงพยาบาลก็แล้วกัน”
“พี่ปาณบอกใคร เมากันทั้งคู่ขนาดนี้”
“เออว่ะ” ปาณัทโคลงศีรษะยิ้มขำกับตนเองขณะลงมือทำแผลบริเวณหางคิ้ว ข้อศอกและหัวเข่าให้นักท่องเที่ยว
“ขอบคุณครับ” หนุ่มตาสีฟ้าที่นั่งประคองเพื่อนอยู่เอ่ยขอบคุณอย่างแผ่วเบาด้วยสติสัมปชัญญะอันน้อยนิด
“สงสัยเริ่มสร่างเมาแล้วพี่” ทัตพลบอกพี่ชาย
“นั่นสิ คุณพาเพื่อนไปนั่งพักที่สถานีตำรวจไหวไหมครับ” ปาณัทถามอีกฝ่ายช้าๆ แต่ไม่ได้รับการตอบกลับเพราะอีกฝ่ายยังนั่งนิ่งกึ่งหลับกึ่งตื่น
“ข้าว่าคงต้องให้นั่งตรงนี้จนสร่างก่อนมั้งปาณ เดี๋ยวให้เด็กไปซื้อน้ำมาให้ดื่ม แล้วเดี๋ยวสร่างเมากันทั้งคู่ค่อยให้ป้าไปคุยเรื่องชดใช้ค่าเสียหายด้วย” ชยพลหันไปทางแม่ค้าที่ยังคงยืนอยู่เพราะยังไม่สามารถจัดของให้เข้าที่ได้เช่นกัน
“ไอ้ของน่ะมันไม่ได้เสียหายหรอกค่ะหมวด แต่ตอนนี้มันขายไม่ได้เพราะพ่อหนุ่มสองคนยังนั่งขวางอยู่ เจ๊ก็จัดร้านใหม่ไม่ได้”
“นั่นสิ ผมว่าเราคงต้องช่วยกันประคองสองคนนี้ไปนั่งที่อื่นดีกว่า ขืนรอให้สร่างเมาเจ๊คงไม่ได้ขายของพอดี” ทัตพลเอ่ยอย่างเห็นใจ
“ก็ดีเหมือนกัน ว่าแต่เมื่อกี้ตอนล้มลงไปหัวนักท่องเที่ยวคนนี้กระแทกพื้นหรือเปล่าครับเจ๊” ปาณัทถาม
“ไม่นะคุณ แต่เอ๊ะ ถ้าไม่กระแทกแล้วทำไมหัวแตก อ๋อ สงสัยกระแทกขอบแผงไม้นี้แหงเลยคุณ”
เสียงแม่ค้าสันนิษฐานด้วยเพราะเมื่อครู่เจ้าตัวกำลังหันไปคุยกับเพื่อนแผงข้างๆ อยู่จึงไม่ทันมองว่านักท่องเที่ยวคนนี้ล้มท่าไหน ได้แต่เห็นตอนที่ทั้งคนทั้งของลงไปกองกับพื้นเรียบร้อยแล้ว
“แต่แผลไม่น่าจะใช่แค่ขอบไม้ไผ่นี่นะเจ๊” ปาณัทมองแผงไม้ที่กองบนพื้นอย่างไม่แน่ใจ “ทางที่ดีผมว่าเดี๋ยวเค้าคุยได้ค่อยถามอีกรอบดีกว่า คิดว่าน่าจะไปเช็กที่โรงพยาบาลอีกรอบนะ”
“นั่นสิ ตอนนี้พวกเราช่วยกันประคองไปที่ สน.ก่อนดีกว่า”
ร้อยตำรวจเอกชยพลพูดพร้อมกับเข้าประคองผู้บาดเจ็บอย่างต้องการตัดบทเหตุการณ์ความวุ่นวายตรงหน้า
“งั้นพี่ปาณช่วยพี่ต้อมก็แล้วกัน เดี๋ยวผมประคองนายคนนี้เอง ท่าทางจะยังพอเดินไปได้”
………………………….
แสงไฟสว่างจ้ากับอุณหภูมิเย็นสม่ำเสมอภายในอาคารทำให้ผู้ที่อยู่ในอาการมึนเมาทั้งสองเริ่มมีสติกลับมาอีกครั้ง นักท่องเที่ยวคนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเริ่มหันไปมองรอบกายอย่างแปลกที่หากคงพอเดาได้ว่าทั้งตนเองและเพื่อนน่าจะไปก่อเหตุจนต้องมานั่งอยู่บนสถานีตำรวจเช่นนี้
“นี่ผมกับแฮรี่เมามากเลยใช่ไหมครับ ขอโทษและขอบคุณพวกคุณที่ช่วยเรานะครับ”
“เพื่อนคุณน่าจะเมาจนหลับ แต่ผมคิดว่าควรไปโรงพยาบาลเพื่อเช็กว่าศีรษะกระทบกระเทือนหรือเปล่านะครับ” ปาณัทตอบอีกฝ่ายอย่างใจเย็นแม้ใจจริงเขาอยากให้ผู้บาดเจ็บไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
“อ๋อ ไม่น่าจะต้องไปหรอกครับเพราะแฮรี่ไม่ได้ล้มกระแทกพื้น แค่ชนแผงเสื้อเอง แต่เราดื่มมากไปหน่อย”
“คราวหลังก็อย่าดื่มจนขาดสติแบบนี้ก็แล้วกัน นี่ดีนะแม่ค้าเค้าไม่เอาเรื่อง” เสียงเข้มๆ ของผู้กองหนุ่มและสำเนียงภาษาอังกฤษแบบไทยๆ หากก็ครบถ้วนกระบวนความในถ้อยคำทำให้อีกฝ่ายยิ้มแหยอย่างเกรงใจ
“ครับๆ ผมขอโทษอีกครั้ง” เขาพึมพำขอโทษก่อนหันไปเขย่าตัวเพื่อนแรงๆ “แฮรี่ตื่นได้แล้ว รู้ไหมว่านายทำเรื่องวุ่นวายมาก ตื่นมารับรู้หน่อยสิ”
“อืม ว่าไงบ๊อบ ดื่มต่อกันเหรอ ไปๆ” เขาพยายามลุกขึ้นทั้งที่ความเป็นจริงยังคงนั่งอยู่ที่เดิม กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งออกมาอวลอยู่ในอากาศ สร้างความรู้สึกกระอักกระอ่วนแก่คนรอบข้าง กระนั้นดูเหมือนเจ้าตัวก็ยังไม่รู้สึกอะไร
“นี่พวกคุณพักที่ไหนครับ” นายตำรวจหนุ่มเอ่ยถามเสียงนิ่ง
“อยู่โรงแรมแถวถนนสามเสนครับ”
“อ้อ ก็ไม่ไกล ถ้างั้นเดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งก็แล้วกัน”
“ดีครับดี สภาพแฮรี่แบบนี้ผมคงพากลับไม่ไหวเหมือนกัน”
นักท่องเที่ยวชื่อบ๊อบพึมพำขอบคุณอีกครั้งอย่างเกรงใจก่อนค่อยๆ ลุกขึ้นเมื่อมีตำรวจอีกนายหนึ่งเดินมาบอกเขาว่าแท็กซี่มารออยู่แล้ว เขาเดินตามชายหนุ่มที่เมื่อครู่ทำแผลให้เพื่อนกับตำรวจคนแรกที่กำลังพยุงเพื่อนของเขาไป โดยมีชายหนุ่มอีกคนเดินประกบข้างเขาไปจนถึงรถ
เมื่อเห็นว่าทั้งแฮรี่และบ๊อบเข้านั่งในรถเรียบร้อยแล้วทั้งสามคนยังยืนสนทนาอยู่ครู่หนึ่งหน้าสถานีตำรวจ ปาณัทและน้องชายเดินกลับบ้านเมื่อเวลาล่วงเข้าวันใหม่ได้สองชั่วโมงอันถือเป็นการจบภารกิจประจำสัปดาห์ของเขาที่มักมาเป็นอาสาเมื่อออกเวรเสมอ แม้วันนี้ไม่มีคนแวะเวียนมาที่โต๊ะประจำที่เขานั่งเพื่อขอให้ช่วยทำแผลหรือขออุปกรณ์ปฐมพยาบาลมากมาย แต่เหตุการณ์ที่นักท่องเที่ยวเมาแล้วล้มก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ประจำวันที่เขาจะจำไปอีกเหตุการณ์หนึ่ง ก่อนที่พรุ่งนี้จะต้องไปเผชิญกับงานประจำที่เขาปวารณาตนไว้ตั้งแต่ตอนเลือกเรียนแล้วว่าชีวิตนี้จะยินดีทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น เขาจึงภาคภูมิใจในความเป็นพยาบาลแม้รู้ว่าคนรอบข้างและอีกหลายคนอาจรู้สึกไม่คุ้นที่ได้เจอกับพยาบาลผู้ชายก็ตาม